บทที่ 6 - ดันเจี้ยนที่ถูกปิด 2
"โลกเปลี่ยนไปเยอะเลย"
วูจินมองนอกหน้าต่างรถเมล์พลางพึมพำ ค่ารถเพิ่มอีก 300 วอน แต่ที่เปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัดคือจำนวนรถบนถนนที่น้อยลงมาก
ทีวีในรถกำลังพูดถึงสถานีใต้ดินแห่งไหนที่ถูกพิชิตแล้ว มีแต่หัวข้อเดิมๆนี้
"ถ้ายึดครองดันเจี้ยนได้สำเร็จ เราจะปลอดภัยไปอีกสองสามวันหรืออาจเป็นเดือนๆ ถ้าล้มเหลว สัตว์ประหลาดจะหลุดออกมา"
รายการข่าวดำเนินไปเรื่อยๆ ช่วยวูจินเติมข้อมูล 5 ปีที่ว่างหายไป ในหัวข้อข่าวต่างประเทศพูดถึงสัตว์ประหลาดที่หลั่งไหลออกมาจากสถานีรถไฟในโตเกียว และกองทัพถูกส่งไปสกัดกั้นพวกมัน
"ที่ใกล้สถานีใต้ดินก็ไม่มีใครอยากอยู่อีกแล้ว"
ไม่มีใครรู้ว่าการยึดครองดันเจี้ยนจะล้มเหลวและสัตว์ประหลาดหลุดออกมาเมื่อไหร่ แบบนี้ก็ไม่ต่างกับระเบิดเวลา ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน
ยิ่งกว่านั้นยังมีคนพูดเล่นๆกันอีกว่าถ้าต้องอยู่ใกล้สถานี อยู่ใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังจะปลอดภัยกว่า
โซลเป็นเมืองหลวงที่มีทางรถไฟใต้ดินต่อกันจนไม่มีที่ไหนในโซลที่ไม่มีทางรถไฟ ไม่มีที่ปลอดภัยที่มอนสเตอร์ไปไม่ถึง
ดังนั้นประชากรในกรุงโซลจึงลดลงมาก เมื่อคนน้อยลงการจราจรก็ไม่ติดขัด รถเมล์แล่นฉิวเหมือนเหาะ
เมื่อรถเมล์หยุด วูจินรู้สึกเหมือนโลกตรงหน้าเขาถล่ม
"บ้าน..."
อพาร์ทเม้นท์ซึ่งเป็นบ้านของวูจินไม่อยู่แล้ว
"..."
เขาช็อกจนพูดไม่ออก อพาร์ทเม้นท์ที่เคยอยู่หายไปแล้ว
เมื่อก่อนที่นี่เป็นอพาร์ทเม้นท์ 5 ชั้น ถึงจะเคยพูดกันบ่อยๆว่าจะสร้างใหม่ แต่นึกไม่ถึงว่าผ่านไป 5 ปีมันจะหายไปแล้วมีตึกอื่นมาแทน
[กิลด์แฮมเมอร์]
มองปราดเดียวก็รู้ว่าตึกนี่ไม่ใช่อพาร์ทเมนท์ รูปทรงมันประกาศว่าเป็นอาคารสำนักงาน วูจินยืนมองใกล้ๆ รปภ.ของตึกเห็นเขาน่าสงสัยจึงเดินเข้ามา
"ทำอะไรอยู่คุณ?"
รปภ.ถามทันที วูจินข่มความโกรธ เขาฆ่าคนที่ไม่ชอบไม่ได้และเอาวิญญาณของคนที่ฆ่ามาใช้ไม่ได้ เรื่องแบบนั้นเป็นไปได้ก็แต่ตอนอยู่ในโลกอัลเฟน
ที่นี่คือโลก
วูจินนวดขมับ ครู่หนึ่งความโกรธของเขาก็สงบลงหน่อย
"เกิดอะไรกับคนที่เคยอยู่ที่นี่?"
"หา?"
"คนที่อยู่ที่นี่ก่อนจะมีตึกนี่ไงเล่า!"
"ไม่ ทำไมถึงถามฉันล่ะ..."
รปภ.จากจ้องหน้าวูจินเขม็งก็เปลี่ยนเป็นหลบตา ตาคนมันน่ากลัวได้ขนาดนี้ได้ด้วยเหรอ
"ไม่...ไม่รู้ ตรงนี้เป็นซากมาตั้งแต่ตึกนี่จะสร้างแล้ว"
"เป็นซาก?"
เส้นประสาทบนขมับของวูจินเต้นตุบๆเห็นได้ชัด รปภ.เหงื่อตกเมื่อเห็นสีหน้าของเขา
5 ปีก่อนในเหตุการณ์ดันเจี้ยนระเบิดมีประชากรล้มตายไปมาก ถ้าจะพูดให้ถูกคือทุกคนที่ใช้เส้นทางรถไฟใต้ดินในตอนนั้นตายหมด
ถ้าดันเจี้ยนไม่ถูกพิชิตภายในหนึ่งเดือนมันจะระเบิดและสัตว์ประหลาดจะหลุดออกมา ถึงตอนนั้นประชากรนับไม่ถ้วนก็จะบาดเจ็บล้มตาย
โซลนั้นใหญ่เกินไปและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงกระทันหันได้ช้าเกินไป มีกระทั่งทิ้งมิสไซล์ลงตรงที่สัตว์ประหลาดหลุดออกมา ที่ตรงนั้นจึงกลายเป็นซากปรักหักพัง
"ตอน...ตอนที่มอนหลุด จิชุนก็กลายเป็นซากแล้ว คุณมาโวยวายอะไรตอนนี้?"
วูจินข่มความโกรธเอาไว้เมื่อได้ยินคำพูดของ รปภ.
"เย็นไว้ เย็นไว้"
ไม่ใช่เวลาพาลกับคนอื่น ครอบครัวเขายังมีชีวิตอยู่ คิดอย่างนี้ทำให้วูจินพอจะสะกดความโกรธลงไปได้
คงตลกสิ้นดีถ้าเขาจะคลั่งขึ้นมาเพราะเรื่องแค่นี้ ไม่สมกับที่เป็นนักเวทย์ใช้สมองเลย
"ฮู่ว เพิ่งจะผ่านไป 5 ปีเอง วิธีตามหาครอบครัวเรายังมีอีกเยอะ"
เขานึกว่ากลับมาหลังจากเวลาผ่านไปยี่สิบปี แต่ที่จริงแล้วเพิ่งจะผ่านไป 5 ปีเท่านั้น ถ้าเขาไปที่เทศบาลก็น่าจะได้ข้อมูลที่อยู่ล่าสุดของครอบครัวเขา ถ้าได้ดูทะเบียนบ้านก็จะรู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
"อ๊ะ แต่ฉันจำหมายเลขประชาชนตัวเองไม่ได้"
เขาได้รับเลขประจำตัวประชาชนมาตอนเรียนมัธยมปลายปี 2 แต่เขาไม่รู้แล้วว่าบัตรประชาชนตัวเองไปอยู่ไหน เขาควรไปที่โรงเรียนเอาเลขประจำตัวประชาชนมา
ถ้าดูจากทะเบียนนักเรียนก็จะรู้ แล้วถ้าโชคดีอาจจะได้เบอร์โทรศัพท์มือถือของพ่อแม่ที่เขาลืมไปแล้วมาด้วย
พอคิดแผนการได้ทีละขั้นๆเขาก็สงบลง
ใช่แล้ว คนในครอบครัวของเขาต้องปลอดภัย แค่เขายังหาไม่เจอเท่านั้น ตอนนี้เลย 6 โมงเย็นแล้วเขาจึงกลับไปทำธุระที่โรงเรียนไม่ได้
ตอนนี้เขาต้องหาที่พักผ่อนและ...
โครก
วูจินล้วงกระเป๋าแล้วแตะเงินที่มีอยู่ 5.800 วอน พอเหลียวหน้าไปก็เห็นร้านอาหารแห่งหนึ่งในอาคารอีกฝั่ง
เขาเดินข้ามถนนไป
*****
"เฮ้อ ข้าวอะไรตั้ง 6000 วอน"
วูจินบ่นพลางซดน้ำจากบะหมี่ถ้วย เขามีเงินขาดไป 200 วอนดังนั้นเลยถูกมองเป็นขอทานแล้วโดนไล่ออกจากร้านขายซุปกับข้าว
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะขาดไป 200 วอนอย่างเดียว ชุดโทรมๆที่ดูเหมือนขอทานก็มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เขาถูกไล่ออกมา
"เชด ยัยแก่นั่นต่อให้ฉันหนาวตายก็คงไม่ให้ข้าวกิน"
วูจินนินทาความใจดำของคนในร้านอาหารไปเรื่อยระหว่างเคี้ยวข้าวปั้น เขาเศร้าใจที่เงินหมดแต่บะหมี่ถ้วยกับข้าวปั้นที่ไม่ได้กินมานานก็อร่อยอยู่
"เออ แล้วจะนอนที่ไหนล่ะทีนี้ ต้องไปสถานีตำรวจจริงๆแล้วมั้ง?"
เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ทำให้ไม่อยากไปสถานีตำรวจ ที่จริงก็ทำเรื่องไม่ดีอยู่สักเรื่องสองเรื่อง...สิบสามสิบเรื่อง เขาเคยฆ่าคนมาสองสาม... นับไม่ถ้วน แต่ทำที่โลกอัลเฟน
คัง-วูจินในโลกนี้เป็นคนธรรมดา... ก็ไม่ธรรมดาเท่าไหร่เพราะหายตัวไปสมัยเรียนมัธยมปลายปี 3 แล้วกลับมาหลังจากหายตัวไป 5 ปี
"เฮ้อ ถ้าไปสถานีตำรวจต้องโดนถามเยอะแน่"
คุณไปอยู่ที่ไหนมา? ระหว่างนั้นทำอะไร? ทำไมไม่ติดต่อมาตั้งแต่แรก? แค่หาข้ออ้างขึ้นมาเขาก็ปวดหัวแล้ว
เขาตัดสินใจว่าการไปสถานีตำรวจจะเป็นทางเลือกสุดท้าย อย่างไรเสียเขาก็ยังมีทางอื่น
"เฮ้อ"
ต่อให้ราคาที่ดินในโซลจะตกต่ำสิ้นเชิง ประชากรลดลงมาก วูจินก็ยังไม่มีที่พักอยู่ดี
เขาดีใจมากไปหน่อยที่ได้เห็นร้านขายของ 24 ชั่วโมงที่ไม่ได้เห็นมา 20 ปี เลยซื้อเครื่องดื่มกับของกินร้อนๆ สุดท้ายเลยเหลือเงินเพียง 300 วอน เงินเท่านี้เขาเข้าห้องอาบน้ำสาธารณะหรืออินเตอร์เน็ตคาเฟ่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วก็ สถานีรถไฟใต้ดินที่คนจรจัดใช้นอนก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นเขาก็ได้แต่รอให้ถึงตอนเช้าอยู่ข้างถนน ตอนนั้นเองเขาได้ยินเสียงประตูร้านขายของเปิดจึงหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ
ดวงตาของวูจินเป็นประกายเมื่อเขาเห็นคนคุ้นหน้า
พรหมลิขิต เขาแน่ใจว่ามันเป็นพรหมลิขิต
โดเจมิน รุ่นน้องที่เขาช่วยไว้เมื่อตอนเย็นกำลังเลือกข้าวปั้นอยู่
วูจินจัดการบะหมี่ถ้วยจนหมดแล้วยืนขึ้น จ่ายเงินแล้วเดินไปหาเจมิน
"เฮ้ นักเรียน"
"ครับ?"
เจมินหันมาเห็นหน้าซีดหน้าหนึ่ง วูจินฉีกยิ้มกว้าง
"ฮะๆ ฉันกำลังจะโทรหานายพอดี"
"คุณ คุณจะโทรหาผมทำไม...?"
เจมินถอย
"พ่อแม่นายอยู่บ้านหรือเปล่า?"
"ทำไมถึงอยากรู้เรื่องนั้น?"
เจมินตอบด้วยท่าทางระแวงจัด วูจินทำหน้าบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกแล้วส่งยิ้มน่าเชื่อถือมาก
"ฉันอยากคุยกับพวกเขาถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดไปน่ะ"
"พ่อแม่ผมเสียแล้ว"
"หา? ดีจั... ไม่ใช่ แย่จังเลย นายอยู่คนเดียว?"
เจมินพยักหน้า สีหน้าบอกว่ากังวลมาก
"นำทางสิ"
"ทำไม?"
"ขอค้างบ้านนายสักคืนนะ"
เจมินทำหน้างง คุณลุงประหลาดใส่ชุดโทรมๆผู้ชกต่อยเป็นเลิศกำลังจะบุกบ้านเขา
"อ้า ไม่ขอฟรีๆหรอก"
เขาคว้ามือเจมินแล้ววางของบางอย่างลงไป
300 วอน
นี่มันเงินที่ไถเขามาไม่ใช่เหรอ? เจมินมองอึ้งๆ วูจินก็ยิ้มเหมือนละอายใจอยู่
"ฮะๆๆ ฉันคืนให้แน่ เอ๋ ทำไมมีแมลงวันแถวนี้ล่ะ?"
วูจินชกลมด้วยท่าทางเหมือนนักมวย ไม่สิ เหมือนเราส์ เสียงหมัดแหวกอากาศดังฟุ่บ
เจมินก็ได้แต่เดินกลับบ้านอย่างขมขื่น
สงสารน้องเค้านะครับ555
ตอบลบ