บทที่2 - ถึงโซลแล้ว! (2)
เด็กอันธพาลไอแค่กๆ ลุกขึ้นเงียบๆ หลังจากดูท่าทีแล้วก็รีบหนีไป วูจินคิดจะไล่ตาม แต่ไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้น ดังนั้นจึงปล่อยพวกเขาไป
"ขอบ... ขอบคุณมากครับ"
โดเจมินเข้ามาโค้งขอบคุณ คนพิลึกนี้ใส่ชุดแปลกๆแต่ช่วยเขาไว้
"อ๊ะ ไม่เป็นไร แต่ถามอะไรอย่างได้ไหม"
พอได้ยินคำถามเจมินก็เริ่มแต่งเรื่องเตรียมตอบ ชายคนนี้ช่วยเด็กคนหนึ่งไม่ให้ถูกทำร้าย คำถามก็น่าจะประมาณว่า 'ทำไมพวกเขาถึงทำร้ายเธอ'
แน่ล่ะ ผู้ใหญ่ทั่วไปคงถามแบบนั้น
"วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร?"
"ครับ?"
"ฉันถามว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร"
"อ่า 10 พฤศจิ"
"ปีอะไร?"
"2015"
"อะไรนะ?"
คิม-วูจินประหลาดใจจนไม่ได้พูดอะไรอยู่เป็นนาน เขาถูก 'เรียกตัว' ไปยังต่างโลกในปี 2010 ตอนนั้นเขาเป็นนักเรียนม.ปลายปี 3
"ฮ้า เกิดอะไรขึ้นนี่?"
เขาอยู่ที่โน่นยี่สิบปี แต่ที่นี่เวลาผ่านไปเพียงห้าปี วูจินกดขมับเรียบเรียงความคิด
"แต่แบบนี้น่าจะดีกว่านะ?"
เขาคิดว่าผ่านไปยี่สิบปีแล้ว ไม่เคยคิดว่าเวลาจะเดินช้าหรือเร็วกว่าเลย ดังนั้นจึงคิดไปว่าไม่มีทางได้เจอครอบครัวของเขาอีกแล้ว แต่ถ้าเพิ่งผ่านไปเพียงห้าปี ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็น่าจะยังอยู่ที่เดิม
พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็คิดว่าเหตุการณ์ไม่ได้เลวร้าย
เขามองหากระจกแต่ไม่มี เขามองเจมินอีกที
"เฮ้ ฉันดูอายุเท่าไหร่?"
"อะไรนะ?"
คำว่าหนีเสือปะจระเข้ใช้กับสถานการณ์แบบนี้ใช่ไหม? เขารอดจากอันธพาลแต่ก็โดนคนบ้ามาพัวพัน
เจมินใคร่ครวญว่าจะตอบอย่างไร สุดท้ายก็พูดไปตามที่เห็น
"ราวๆยี่สิบสอง"
"งั้นเหรอ?"
'ร่างกายย้อนกลับเป็นหนุ่มเหรอ? ได้ความเป็นหนุ่มกลับมาหลังจากเสียเวทมนตร์ไป? หรือร่างฉันถูกสร้างขึ้นใหม่?'
เขางงขึ้นเรื่อยๆ แต่มีธุระเร่งด่วนที่เขาต้องจัดการก่อน
เขากลับมาหลังจากเวลาผ่านไปยี่สิบปี แต่ที่นี่เวลาเพิ่งจะผ่านไปห้าปี
อย่างแรกเขาต้องหาครอบครัวให้เจอก่อน เขาจำเบอร์โทรที่บ้านไม่ได้ และแน่นอน จำเบอร์โทรของคนที่บ้านไม่ได้ โชคดีที่ตอนนี้เขาอยู่ในโรงเรียนที่เคยเรียนดังนั้นจึงจำทางกลับบ้านได้
ถ้าพวกเขาไม่ได้ย้ายไปไหน เขาน่าจะกลับไปหาได้ภายในวันนี้
ปัญหาคือ เขาจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร?
มันเป็นระยะทางที่เขาเดินไปไม่ได้ ระยะทางเท่ากับสถานีรถไฟใต้ดินเจ็ดสถานี ดวงตาวูจินลังเล
"ขอยืมเงินหน่อยสิ"
"อะไร?"
"ขอยืมเงินค่ารถหน่อย"
เจมินนึกเสียใจที่ไม่ได้วิ่งหนีไปพร้อมกับคนอื่น เขาไม่กล้าปฏิเสธ ชายคนนี้ล้มอันธพาลภายในพริบตา ถ้าเจมินปฏิเสธก็ไม่พ้นโดนหมัด
เจมินล้วงกระเป๋า จากนั้นยื่นเงินทั้งหมดที่มีออกมา
เขามี 7300 วอน
"ขอบใจ ฉันคืนแน่สัญญา"
"ม...ไม่ ไม่ต้องหรอกครับ"
"เฮ้ย นายเห็นฉันเป็นพวกไถเงินจากเด็กหรือไง? ฉันจะคืนให้"
วูจินล้วงกระเป๋าแล้วพูดขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้
"จริงสิ ฉันไม่มีมือถือ จดเบอร์ของนายใส่กระดาษให้ที"
เจมินทำตาม เขาหยิบสมุดโน๊ตออกมาจากกระเป๋าสะพาย ฉีกมุมกระดาษออกมาแล้วเขียนเบอร์โทรศัพท์ คิดแล้วคิดอีกว่าจะให้เบอร์จริงๆหรือมั่วดี
"เอาน่ะ เขาไม่รู้หรอก"
เจมินจดเบอร์ปลอมลงไป เขาไม่อยากถูกเรียกมารีดไถอีก เขาอยากไปจากที่นี่เร็วๆก่อนชายคนนี้จะทำอันตรายเขา
"เอาล่ะ พี่ชายจะติดต่อนายทีหลัง"
"ครับ สวัสดีครับ"
เขาไม่ว่าถ้าชายคนนี้จะไม่คืนเงินหรอก เขาอยากไปจากที่นี่เร็วๆและไม่อยากเจอเขาอีก วูจินเหลือตัวคนเดียวอีกครั้ง เขาออกจากที่เผาขยะแล้วเดินไปรอบๆโรงเรียน
"ฮ้า ความทรงจำเริ่มกลับมาเรื่อยๆแล้ว"
เพิ่งจะผ่านไปห้าปี แต่เขาไม่ได้มาที่โรงเรียนตัวเองยี่สิบปีแล้ว
"ฉันอายุ 24? ตอนนี้พ่อแม่ก็น่าจะอายุ 50 กว่าแล้ว"
พอนึกถึงครอบครัวเขาก็ยิ่งซาบซึ้ง เขาอดทนต่อช่วงเวลายากเข็ญเพราะหวังว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาสู่อ้อมอกของครอบครัว
"โซอาจะโตขนาดไหนแล้วนะ?"
น้องคนเล็ก โซอา อายุ 2 ขวบตอนเขาจากไป ตอนนี้ก็ต้อง 7 ขวบแล้ว วูจินเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเมื่อนึกถึงครอบครัว
เมื่อเขาออกจากโรงเรียน เดินไปตามทางเท้า ทุกคนต่างกระซิบกระซาบเมื่อเขาเดินผ่าน ไม่แปลกเพราะเสื้อผ้าของวูจินโทรมมาก
คงจะเป็นผลจากการเดินทางข้ามมิติ อุปกรณ์สวมใส่ของเขาหายไปหมด วูจินดูเหมือนคนอนาถา แม้แต่รองเท้าก็ใส่รองเท้าหนัง เขาจึงดูแปลกประหลาดในสายตาคนอื่น
"ฮึ้ย"
เขาอาย แต่นั่นไม่ทำให้กำลังใจของเขาลดลง จิตใจของวูจินนั้นแข็งแกร่งถึงจุดที่เขาจะไม่ก้มหน้าละอายเพราะเสื้อผ้าที่สวม
มันน่าอายแต่ก็จนกว่าจะถึงบ้านเท่านั้น
วูจินพยายามอย่างหนักในการเมินเฉยต่อคำนินทาของคนอื่น แล้วเขาก็เจอสถานีรถไฟใต้ดิน
"หา? ทำไมมีทหารอยู่ที่นี่ล่ะ? มีอุบัติเหตุเหรอ?"
ทหารเกาะกลุ่มกันรอบทางเข้ารถไฟใต้ดิน ดูไม่น่าจะใช่การฝึก พวกเขาวางกระทั่งรั้วเหล็ก มีคนประจำการ
"ฮึ้ย อะไรเนี่ย?"
วูจินพยายามถามคนที่เดินผ่านไปมา
"ขอโทษครับ ขอถามอะไรหน่อย"
"อุ๊ย ฉันไม่เชื่อหรอกจ้ะ"
สตรีวัย 40 ตอบอย่างรำคาญเหมือนเขาเป็นแมลงอะไรพวกหนึ่ง เร่งฝีเท้าห่างไปอย่างรวดเร็ว
อะไรนี่? รู้สึกแปลกๆ
เขารีบหยุดนักเรียนหญิงสองคน น่าจะเป็นนักเรียนม.ปลาย
"ขอโทษนะ"
"เอ๊ะ ปล่อย ฉันไม่สนใจเรื่องศาสนาอะไรหรอกค่ะ"
วูจินโกรธเมื่อถูกตอบมาด้วยทีท่ารำคาญ แต่เขาพยายามทำใจเย็น
"ฉันไม่ได้ชวนให้เข้านิกาย ทหารพวกนั้นทำอะไรกันอยู่? ฝึกเหรอ?"
"ทหารก็เฝ้าทางเข้าดันเจี้ยนน่ะสิคะ อ๊ะ ปล่อยนะ ฉันต้องไปเรียนพิเศษ"
นักเรียนหญิงสะบัดหลุดจากมือของวูจิน เธอเริ่มเดินไปพลางลูบแขนเหมือนมือเขาสกปรก
"ฮะ เสียมารยาท"
เขาเดาว่าคนอื่นเรียกสถานีรถไฟใต้ดินว่าดันเจี้ยน เขาคิดว่าห้าปีไม่นานเท่าไหร่เสียอีก แต่ดูเหมือนจะคิดผิด
"เป็นสแลงที่เด็กๆใช้สินะ"
อืม ตอนเรียนเขาก็ทำแบบนั้น
ภาษาปากกับสแลงเปลี่ยนไปเร็วมากพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของอินเทอร์เน็ต ไม่แปลกถ้าคนเมื่อห้าปีที่แล้วอย่างวูจินจะไม่รู้จักคำนี้
"หืม ตรงโน้นไม่มีทหาร"
หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ตรงทางเข้าสถานีใต้ดินฝั่งตรงข้าม เขาก็ข้ามถนน พอเขาลงบันไดไปก็เห็นรั้วประตูเหล็กเหมือนที่เห็นในคุก
"อะไรวะ? ทำไมถึงกั้นทางไว้ล่ะ?"
ถึงว่าว่าทำไมไม่มีใครเลย พวกเขาปิดตายที่นี่ วูจินมองลอดลูกกรง เห็นแสงสว่างมาจากอุโมงค์ใต้ดิน
ประตูเหล็กถูกล็อกไว้แน่นหนา เขามองรอบๆเห็นบูธเล็กๆเหมือนห้องรักษาความปลอดภัยของอพาร์ทเมนท์ เขามองข้างในเห็นพวงกุญแจ เขาหยิบมันออกมาไขประตู
กริ๊ก
"อะไรหว่า? พนักงานสถานีประท้วงเหรอ?"
เขาเอากุญแจคืนที่เดิม จากนั้นเดินผ่านประตูเหล็กไป ไม่มีใครอยู่ในแสงฟลูออเรสเซนท์กระพริบติดๆดับๆ บรรยากาศค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว
"สงสัยจะปิดมากกว่าประท้วง"
ถ้าสถานีปิดอย่างนั้นรถไฟใต้ดินก็ไม่วิ่ง
วูจินกำลังจะหันกลับอยู่แล้วเมื่อมันเกิดขึ้น
[ท่านได้เข้าสู่ดันเจี้ยนตรงสถานีกวาชุนทางออกที่1]
"ห๊ะ อะไรล่ะนี่?"
--------------------------------
ไม่รู้พระเอกนามสกุลอะไรแน่ แต่ชื่อน่าจะชัวร์แล้ว
--------------------------------
บทที่1 รอใส่สารบัญ บทที่3
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบแปลสนุกดีครับ ติดๆขัดๆนิดหน่อย แต่โดยรวมแปลสนุกเหมือนอ่านนิยายแต่งเองเลยครับ
ตอบลบ