วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 9

บทที่ 9 - ต้องหาเงินแล้ว

“วูจิน วูจินของแม่จริงๆ วูจินจริงๆด้วย”


แม่จับไหล่เขาแล้วร้องไห้เป็นนาน แม่นึกว่าเขาตายไปแล้ว แต่วูจินกลับมาหลังผ่านไป 5 ปี นางบอกไม่ถูกว่านี่เป็นฝันหรือจริง


“ลูกไปอยู่ที่ไหน?”
“ถ้าให้อธิบายที่นี่ก็ยาวไปไม่เหมาะแม่ ว่าแต่คนอื่นล่ะ? ผมกลับไปบ้านแต่บ้านไม่มีแล้ว”
“โซอาอยู่โรงเรียนอนุบาล พ่อของลูก…”


แม่ไม่พูดต่อแต่ร้องไห้ เขารู้สึกว่าบางอย่างผิดไป หัวใจเย็นเฉียบ


“กลับบ้านก่อนแล้วค่อยคุย”
“จ้ะ จ้ะ กลับบ้านกัน”


ตอนเดินออกจากห้องพักครู วูจินกุมมือแม่ไว้แน่นเหมือนกลัวจะหายไป ระหว่างนั่งรถเมล์ แม่ของวูจินเล่าให้ฟังอย่างท้อแท้


พ่อของเขาติดอยู่ในเหตุการณ์ดันเจี้ยนระเบิดตอนที่ออกไปทำงาน เช่นเดียวกับคนอีกหลายหมื่นที่กำลังโดยสารรถไฟใต้ดิน เขาเสียชีวิต ไม่เจอแม้แต่ศพ แม่ของเขาดูแลโซอาเพียงลำพัง


หลังจากเสียผู้นำครอบครัว ลูกของนางก็หายตัวไปเช่นกัน เหตุผลเดียวที่แม่ของเขายังยืนหยัดอยู่ได้เพราะโซอาน้อย แต่เดิมพวกเขาก็ไม่ได้ร่ำรวย และแม่ต้องดูแลทั้งครอบครัวเพียงลำพัง เขารู้ดีว่าเธอต้องผ่านความยากลำบากมามาก


ทรัพย์สินที่พวกเขามีก็มีแต่อพาร์ทเม้นท์ แต่หลังจากเหตุการณ์ดันเจี้ยนระเบิดราคาก็ตกเตี้ยเรี่ยดิน ยิ่งกว่านั้นแม่เคยเป็นแต่แม่บ้าน นางไม่มีคุณวุฒิเหมาะกับงานอะไรมากนัก


ซ้ำร้ายโซอาก็ล้มป่วย เงินในบ้านยิ่งหมดลง สถานการณ์ตอนนี้คือแต่ละวันช่างยากลำบาก นางอดทนมาถึง 5 ปี


“ลูกยังมีชีวิตอยู่เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว อย่าไปกังวลนัก”


แค่เขายังมีชีวิตอยู่แม่ก็ดีใจแล้ว


รถเมล์แล่นไปหนึ่งชั่วโมงจึงมาถึงบริเวณที่เขาเคยอยู่ พวกเขาย้ายไปอยู่ห่างจากสำนักงานใหญ่ของกิลด์แฮมเมอร์หนึ่งช่วงตึก พวกเขามาถึงพื้นที่อาศัยเก่าโทรม


“เราย้ายมาใกล้ๆเผื่อว่าลูกหรือพ่อของลูกจะกลับมา”


ถ้าใครหายตัวไปในตอนที่เกิดดันเจี้ยนระเบิด ปกติจะหมายถึงคนๆนั้นตายแล้ว แต่แม่เขาไม่สิ้นหวัง ลูกของนางกลับมาหลังหายตัวไป 5 ปี นางจึงรู้สึกว่าสิ่งที่เชื่อไว้ไม่สูญเปล่า


แม่นำทางเขาผ่านตรอกคดเคี้ยว เข้าไปในกระท่อมแห่งหนึ่ง มีเพียงห้องเดียวและเล็กกว่าบ้านของเจมิน ยิ่งกว่านั้นยังมีกล่องซ้อนๆอยู่ทำให้ห้องยิ่งแคบลง


“อยู่นี่นะ แม่จะไปโรงเรียนรับโซอากลับมา”


แม่ทิ้งวูจินไว้ในห้องแล้วออกจากบ้านไป วูจินมองรอบห้องที่มีแต่กล่อง เขาเปิดดู


“อา…”


ในกล่องมีแต่ของๆเขา เขาเปิดกล่องอื่นๆและก็เช่นกัน มันใส่เสื้อผ้าของพ่อและของเขา มีกระทั่งของเล่นที่เขาเคยเล่นตอนเด็กๆ


นางเก็บของที่เป็นของเขากับของพ่อเมื่อ 5 ปีก่อนเอาไว้ ยัดมันไว้ในห้องเล็กๆห้องเดียว ดังนั้นในบ้านจึงแออัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาพอเดาได้ว่าทำไมแม่เขาไม่ทิ้งของพวกนี้ไป และนั่นทำให้เขารู้สึกใจสลาย


ไม่นานแม่เขาก็จูงมือโซอากลับมา ดวงตากลมโตของน้องสาวเงยมองวูจิน สีผิวสีหน้าของเด็กน้อยซีดเผือดแต่ผิวขาวทำให้เธอดูน่ารัก


เด็กทารกอายุ 2 ขวบในความทรงจำของเขากลายเป็นเด็กน้อยน่ารักวัย 7 ขวบ


“โซอา นี่พี่ชายของหนู สวัสดีสิ”
“พี่ชาย?”


โซอายึดชายเสื้อแม่ไว้มองวูจินอย่างไม่แน่ใจ วูจินก้มหน้ายิ้มอย่างเป็นกันเองที่สุดให้โซอา


“โซอา หนูเล่นกับพี่สักเดี๋ยวนะ? แม่จะทำอาหารอร่อยๆให้”
“เอ๊ะ? แม่จ๋าไม่ไปที่ร้านข้าวเหรอ?”
“ไม่ไปจ้ะ วันนี้แม่หยุด”


เป็นเพียงมื้อเที่ยงแต่แม่เตรียมทำอาหารชุดใหญ่อย่างเร่งรีบ โซอาดูมีชีวิตชีวากว่าปกติเมื่อเห็นว่ากับข้าวมีเนื้อ ดูเหมือนเธอจะไม่ได้กินเนื้อบ่อยๆ


แม่มองเขาอย่างพอใจ เขาจึงกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยเป็นการตอบแทน หลังกินข้าวหมดไปสามชามเขาก็วางช้อน


มีคนกล่าวไว้ว่าการกินอาหารร่วมกันคือวิธีที่ดีในการลดความระแวงระหว่างกันลง


โซอาดูจะชินกับเขาแล้ว เธอเรียกเขาว่า ’พี่ชาย’ อย่างคล่องปากและทำตัวติดกับวูจิน ไม่ใช่ว่าเธอไม่ระแวงแล้วแต่ดูเหมือนเธอจะโหยหาความอบอุ่น เห็นอย่างนี้แล้วหัวใจของวูจินเจ็บแปลบ


“งั้นพอโซอากลับจากโรงเรียนแล้วก็เล่นคนเดียวเหรอ?”
“อื้ม แม่จ๋าเหนื่อยแล้ว หนูต้องเป็นเด็กดีเล่นคนเดียว”


ได้ยินเด็ก7ขวบพูดแล้วเขารู้สึกภูมิใจในตัวเธอ จึงลูบหัว


“เอ๋ พี่ต้องหวีผมให้มิมิสิ”
“อ๊ะ อ้อ”


โซอาส่งตุ๊กตาของเธอชื่อมิมิให้ วูจินใช้หวีที่ใหญ่เท่านิ้วก้อยหวีผมตุ๊กตา วูจินกับโซอาเล่นตุ๊กตา ส่วนแม่ล้างจานไปพลางมองพวกเขาไปพลาง


นางเหนื่อยยากมาตลอด 5 ปี รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นแก่ชรา


แม่ของเขากำลังล้างจานอยู่ในขณะที่โทรศัพท์ดังขึ้น นางหยิบมันขึ้นมาแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ


[มันเกิดอะไรขึ้น? ช่วงยุ่งๆอย่างนี้แล้วเธอไปไหน? กลับมาเดี๋ยวนี้นะ]
“วันนี้เป็นวันสำคัญจริงๆค่ะ ขอหยุดได้ไหม?”
[นี่คุณนาย คิดว่าที่นี่เป็นอะไร ร้านอาหารเล็กๆแบบนี้ไม่มีหยุดกะทันหันนะจ๊ะ ปกติเธอก็ขอหยุดบ่อยอยู่แล้วอ้างว่าลูกป่วย ถ้าไม่อยากโดนไล่ออกก็กลับมาเดี๋ยวนี้!]


ประสาทสัมผัสของวูจินไวกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ดังนั้นเขาจึงได้ยินเสียงสนทนากระซิบกระซาบนี้ได้ไม่ยาก วูจินเดาสถานการณ์ได้คร่าวๆ และรู้สึกหนักใจ


แม่ออกจากห้องน้ำแล้วล้างจานเสร็จรวดเร็ว จากนั้นพูดกับวูจินและโซอาอย่างขอโทษ


“โซอา แม่ขอโทษแต่หนูเล่นกับพี่ชายหนูอีกหน่อยได้ไหม?”
“อืม ค่ะ หนูจะเล่นกับพี่ชาย”


ถึงจะจำเขาไม่ได้ แต่โซอาตามพี่ชายแจแล้ว ทำให้เขาคิดว่าเธอน่ารักมาก


“ขอโทษนะวูจิน”


วูจินหัวเราะฮ่าๆ


“ไม่เป็นไรแม่ ไปดีมาดีครับ”
“จ้ะ แม่จะรีบกลับนะ”


พอแม่ออกไป โซอาก็เลิกกลั้นน้ำตา


“แม่ยุ่งตลอดเลย โซอาต้องอยู่คนเดียว”


วูจินอึ้งเมื่อเห็นน้องร้อง


“ไม่หรอก พี่ชายอยู่นี่แล้วไง”
“ฮึ หนูไม่เคยเห็นคุณ คุณจะเป็นพี่ชายหนูได้ไง?”
“เอ่อ พี่เป็นพี่หนูจริงๆ จำไม่ได้เหรอ? ตอนหนูเด็กๆพี่ยังเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เลย”
“โซอาไม่ใส่ผ้าอ้อมแล้ว!”


วูจินพยายามกล่อมโซอาเลยเล่นกับเธอต่อ เขาคิดว่าแม่จะกลับมาตอนเย็นแต่ไม่ ดังนั้นวูจินเลยทำมื้อเย็นเอง เขาทำอาหารได้เพราะคุ้นเคยกับการพักแรมกลางป่าตอนอยู่โลกอัลเฟน
เมื่อเปิดประตูตู้เย็น ในนั้นมีเครื่องปรุงที่แม่เขาซื้อไว้เหลืออยู่


วูจินทอดไข่ จากนั้นแบ่งข้าวผัดกินกับโซอา แม่กลับมาตอนสามทุ่ม


“ขอโทษที่แม่กลับช้า ทำอะไรกินกันแล้วหรือยัง? พรุ่งนี้เราต้องซื้อมือถือให้ลูกแล้ว”


แม่คงร้อนใจมากที่ติดต่อวูจินไม่ได้  


พวกเขานอนในห้องเล็กๆที่มีเพียงห้องเดียว ไม่มีที่พอให้วูจินพลิกตัวด้วยซ้ำ โซอาหลับไปในอ้อมกอดแม่แล้ว แต่วูจินกับแม่ยังนอนไม่หลับ


“แม่ดีใจจริงๆที่ลูกกลับมา”


แม่พูดประโยคนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนจะหลับไปให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยได้พักผ่อน คืนนั้นวูจินนอนไม่หลับ เขานอนลืมตาโพลง


‘นี่มันไม่ใช่’


วูจินรู้สึกอึดอัดเหมือนกำลังถูกฝังใต้ตึก


เช้าวันต่อมาทุกคนตื่นอย่างเร่งรีบ โซอาต้องไปโรงเรียน แม่เตรียมตัวไปทำงาน


“วูจินลูกไปที่สำนักงานเขตขอเลขบัตรประชาชนใหม่ พอแม่ทำงานเสร็จเราจะไปซื้อมือถือกัน อย่าไปที่อื่นล่ะ ถ้าหิวก็ทำราเม็งกิน ไม่สิ ถ้าหิวก็มาที่ร้านที่แม่ทำงานอยู่ ชื่อร้านอาหารซูงมิหน้าตลาด”


“ครับ แม่อย่าห่วง เดี๋ยวผมไปหา”


พอไปกันหมดวูจินก็เหลือคนเดียว วูจินนิ่งลง


เขามีหลายอย่างต้องทำ


ต้องยกเลิกรายงานคนหาย และขอเลขประจำตัวประชาชนใหม่ที่สำนักงานเขต


เขาถูกเรียกตัวไประหว่างเรียนมัธยมปลายปี 3 ดังนั้นจึงเรียนไม่จบ เขาไม่อยากเป็นคนว่างงาน ดังนั้นก็ต้องหางาน


‘ฉันต้องหาเงิน’


เขาสงสารแม่ที่ทำงานยุ่ง โซอาต้องอยู่คนเดียว เขาเป็นผู้ชายคนเดียวในครอบครัว เขาต้องทำตัวเป็นเสาหลักของบ้าน


‘ฉันต้องหาเงินเยอะๆ’


เขาต้องเรียนต่อ ยิ่งกว่านั้นคือต้องหางานชั่วคราวทำทันที วูจินคิดหาวิธีทำเงินเยอะๆ


เหมือนโชคชะตา


ไม่ เหมือนกรงเล็บของปีศาจเรียกเขาเข้าไป


‘เราส์’


เขามองธนบัตรใบละหมื่นวอนยับๆสามใบแล้วตัดสินใจ เปิดกล่องที่แม่ใส่เสื้อผ้าเขาอย่างทะนุถนอมออก เขาแต่งตัวแล้วออกจากบ้าน


เขาไปขอเลขประจำตัวประชาชนและยกเลิกรายงานคนหายเสร็จ ไปธนาคารเปิดบัญชีให้ตัวเองเสร็จ จากนั้นไปก็ซื้อโทรศัพท์มือถือ


“นี่เป็นสินค้ามาแรงที่สุดของเราครับคุณลูกค้า มันแข็งแรงทนทาน เลยมีเราส์ดังๆหลายคนใช้รุ่นนี้”


วูจินซื้อตามที่คนขายโทรศัพท์แนะนำ เขาใส่เบอร์ของแม่แล้วส่งข้อความ


‘รุ่นน้องของผมคนหนึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆบ้านเรา ผมจะไปอยู่กับเขาที่นั่น และผมจะเตรียมสอบเทียบ’


แม่โทรหาเขาทันที เขาต้องปลอบอยู่นานกว่าแม่จะหายกังวล นางรู้ว่าสถานะการเงินของครอบครัวไม่เอื้อให้เขาเรียนต่อ สุดท้ายนางจึงตกลง


“เฮ้อ รู้สึกเกรงใจเหมือนกัน แต่เอาเถอะค่อยตอบแทนทีหลัง”


บ้านของเจมินอยู่ไม่ห่างจากบ้านวูจินมากนัก เป็นระยะทางที่เขาเดินไปได้ เขาคิดว่าเป็นที่ๆเหมาะให้เขาอยู่จนกว่าจะซื้อบ้านหลังใหญ่กว่าเดิมได้


วูจินคลี่เศษกระดาษออก กดเบอร์โทรของเจมินแล้วกดโทรออก เสียงเรียกสายดังขึ้น ไม่นานก็มีคนรับสาย


[สวัสดีครับ สำนักงานดองจิน ปาร์ควีโซพูดครับ]


วูจินได้ยินเสียงห้าว เขาตรวจว่ากดผิดหรือเปล่า แต่เลขบนโทรศัพท์มือถือตรงกับเลขบนกระดาษ


[ฮัลโหล โทรมาก็พูดสิครับ]
“นั่นเจมินหรือเปล่า”
[เปล่าครับ]


กริ๊ก


โทรศัพท์ถูกตัดสายไปพร้อมกับเสียงตื๊ดๆ วูจินมองมือถือพลางเดาะลิ้น


“ฮ้า นี่มัน? หมอนั่นหลอกฉัน?”


วูจินกดขมับ




เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 8

บทที่ 8 - กลับบ้าน (2)


“ฮ้า วูจิน เธอยังไม่ตาย”
ครูประจำชั้นสมัยเขาอยู่ ม.ปลายปี 3 มองเขาเหมือนเห็นผี วูจินหัวเราะแห้งๆ คนนับไม่ถ้วนตายไปตอนเกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก ดูเหมือนวูจินจะถูกนับเป็นหนึ่งในนั้น


มาเจอกันอีกครั้งหลังจากเวลาของด้านเขาผ่านไป 20 ปีแล้ว ดังนั้นวูจินจึงไม่รู้สึกซาบซึ้งอะไรนัก ครูมองหาข้อมูลของวูจินในบันทึกนักเรียน


“โอ๊ะ นี่ไงเบอร์โทรของทางบ้านเธอ”


กริ๊ง


ครูโทรไปทันที เบอร์โทรศัพท์อาจจะยังไม่เปลี่ยนหรือเปลี่ยนแล้วก็ได้
เขาจะได้ยินเสียงแม่ไหม? เบอร์เปลี่ยนไปแล้วหรือยัง?
วูจินนั่งบนโซฟาตัวตรงข้าม ใจเต้นโครมคราม


[ฮัลโหล?]


ครูประจำชั้นได้ยินเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนที่เหนื่อยล้า เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เอาไว้ใช้กับผู้ปกครองโดยเฉพาะ


“ฮัลโหลครับ ผมชื่อลี-ซางวู เป็นครูโรงเรียนมัธยมปลายมิโด”
[คะ? โรงเรียนมิโด?]


เสียงสั่นๆฟังเหมือนเสียงของแม่ในความทรงจำเลือนรางของเขา วูจินใจเต้นแรงขึ้นอีก เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก


“ครับ ไม่ทราบว่าคุณใช่คุณนายลี-ซุกยุงหรือเปล่า?”
[ค่ะ ใช่ค่ะ มีอะไรหรือคะ? ถ้าเป็นโรงเรียนมิโดอย่างนั้นก็เป็นโรงเรียนที่ลูกคนโตของเรา…]


เมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย วูจินรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น ต่อให้ถูกฟาดด้วยแส้จังๆเขายังไม่เจ็บเท่านี้


วูจินแย่งโทรศัพท์มา พูดเสียงสั่น


“แม่”
[...]


ไม่มีเสียงจากปลายสาย แต่ใครก็บอกได้ว่าเธอต้องประหลาดใจมาก การที่ความรู้สึกส่งผ่านมาถึงเขาได้ขนาดนี้แสดงว่าแม่ต้องตกใจมาก


“แม่ ผมวูจิน คัง-วูจิน”


ร่ายคาถาขั้นที่ 9 ยังไม่ยากเท่าเอ่ยคำว่า “แม่” นี้ ก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกในลำคอของเขาและแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว แทนที่จะได้ยินเสียงพูดเขากลับได้ยินแต่เสียงสะอื้นจากปลายสาย


[วู...วูจิน? วูจินของเราจริงๆเหรอ? เธอเป็นวูจินของเราจริงใช่ไหม?]


วูจินฟังเสียงครวญของแม่แล้วก็เลิกคิดเรื่องกลั้นน้ำตา ความเศร้าเปลี่ยนเป็นความดีใจเมื่อน้ำตาเขาไหลลงมา


“ผมกลับมาแล้ว”
[ฮึก ฮือๆ วูจินของแม่]


เขาดิ้นรนมา 20 ปีเพื่อเวลานี้


“แม่ย้ายไปไหนแล้ว? ผมจะไปหา”
[ไม่ แม่ไปเอง เดี๋ยวแม่ไปเลย อย่าขยับไปไหนนะ]


เขาได้ยินเสียงแม่ลนลาน วูจินยื่นโทรศัพท์คืนครู


“ฮู้ว”


เขาสูดหายใจลึกเพื่อให้น้ำตาหยุดไหล


พอครูได้โทรศัพท์คืนก็พยายามพูดให้แม่ใจเย็นลง หลังจากคุยอีกสักพักก็วางสาย วูจินมองแล้วเตือนตัวเองให้รีบซื้อโทรศัพท์


“อีกประมาณสองชั่วโมงนะ”
“ฮู้ว ขอบคุณครับครู”
“อืม ครูก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เธอยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว”
“ถ้าขอดูรอบๆโรงเรียนจะเป็นอะไรไหมครับ?”
“ตามสบายเถอะ”


วูจินคิดว่าถ้านั่งแต่ในห้องถึงสองชั่วโมงต้องเบื่อแน่ ดังนั้นเขาจึงเดินออกจากห้องพักครู


“เฮ้อ ไปหาเจมินแล้วกัน”


ถ้าแม่มาถึงเขาต้องคืนเงินที่ยืมเจมินมา เขารู้สึกอายที่ต้องขอเงินจากพ่อแม่ทั้งๆที่ตัวเองก็อายุ 24 แล้ว แต่เขาตั้งใจจะตอบแทนด้วยการเป็นลูกที่ดีไปชั่วชีวิต


ตอนนั้นถึงเวลาพัก นักเรียนออกมาเต็มทางเดิน เขาเดินเบียดผ่านบรรดานักเรียนไป เขากล้าออกมาเดินในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นแบบที่ใส่ตอนนอนดังนั้นนักเรียนหลายคนจึงมองเขา


“ว้าว หล่อจัง”
“สูงจัง เห็นว่าเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเราแน่ะ”


นักเรียนหญิงกระซิบคุยกันและปรบมืออย่างถูกใจ


“ว้าว พี่ท่านแต่งตัวโคตรเรียบ”
“กล้ามเน้นๆ ไปทำอะไรมาวะ?”


นักเรียนชายล้อวูจินลับหลัง


วูจินไม่สนใจ เขาเห็นห้องเรียนของเจมินแล้ว ขนาดไปเข้าห้องน้ำช่วงพักเจมินยังไปไม่ได้เพราะนักเรียนคนอื่นล้อมเขาไว้


“เฮ้ เจมิน”


วูจินเข้าไปหาเจมินอย่างสนิทสนมทำให้คนอื่นๆที่ล้อมเขาไว้ประหลาดใจ ซูฮยุคและนักเรียนที่โดนวูจินล้มพยายามหลบตา นักเรียนคนอื่นจ้องวูจินเขม็งแล้วพูดกวนๆ


“ใครวะ?”
“ว้าว นายไม่กล้าอยู่คนเดียวจนต้องเรียกพี่มาด้วยเลย?”


พวกเขามีกันตั้งเจ็ดคน พวกเขามองวูจินแล้วยิ้มแสยะ เจมินสบตาวูจินอย่างกังวลแล้วส่ายหน้าช้าๆแต่วูจินตะโกนขึ้น


“ใครทำตัวเป็นนักเลงตามฉันไปที่ดาดฟ้าให้หมด”


วูจินเดินนำหน้าไปอย่างถือดีโดยมีเจมินเดินคอตกตามไป อันธพาลที่เหลือมีสีหน้างงงวยก่อนจะตามพวกเขาไป


“เอ้า อัดพวกแม่งให้น่วมกันดีกว่า เฮ้ย ไปเรียกเด็กห้องอื่นมาด้วย”


ซูฮยุคตามขึ้นดาดฟ้าไปเงียบๆ มีนักเรียนมากกว่า 20 คนที่มา ดังนั้นเขาพยายามลบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานออกไปจากสมอง


‘ใช่แล้ว ตอนนั้นเราแค่เผลอไป คนเยอะเท่านี้ไอ้เวรนั่นจะทำอะไรได้’


อันธพาลมากกว่ายี่สิบคนรวมทั้งซูฮยุคเหยียบพื้นดาดฟ้า


****


“หนึ่ง”


เสียงเย่อหยิ่งของวูจินดังขึ้น


“เราคือ”


อันธพาลทั้งหลายเรียงแถวหน้ากระดาน พวกเขากำลังวิดพื้น


“สอง”


“ลูกน้องเจมิน”


นักเรียนยี่สิบห้าคนเรียงแถววิดพื้นพร้อมเพรียงกัน กระทั่งโดเจมินยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง


'เขาไปเรียนอะไรมาจากภูเขาจิรินะ?'


ต้องเรียนศิลปะการต่อสู้มาแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาจะล้มอันธพาลยี่สิบห้าคนภายในพริบตาเดียวได้อย่างไร?


ในเวลาไม่เกิน 1 นาที เขาก็จัดการให้นักเรียนทั้งหมดวิดพื้น 50 ที แต่ยังไม่จบเท่านี้ เมื่อแขนของพวกเด็กๆเริ่มสั่น วูจินก็เรียกพวกเขามารวมตัวกัน


“เฮ้ย มานี่ให้หมด”


ใบหน้านักเรียนแดงก่ำ วูจินยิ้มเยาะเมื่อเห็น เพราะที่นี่เป็นโลกเขาเลยยั้งมือไว้ ถ้าเป็นที่โลกอัลเฟนพวกนี้ลุกไม่ขึ้นไปแล้ว


ถ้าเป็นที่นั่นเขาจะฆ่า เปลี่ยนศพให้เป็นอันเดดทาสของเขา จากนั้นเพียงใช้เวทมนตร์อีกนิดก็กักขังวิญญาณพวกเขาไว้ได้


“นี่อะไรรู้ไหม?”
“แป๊บ… แป๊บเหล็ก”
“ถูกต้อง คนที่ใช้เจ้านี่นี่หมดทางเยียวยาแล้ว”


เด็กบ้าบางคนเอาท่อเหล็กมาเพื่อตีวูจิน เขาจับแล้วออกแรงเบาๆบิดมัน ไม่พอ เขาจับปลายแต่ละข้างของท่อเหล็กที่งอยืดออก


กึดๆๆ


ท่อเหล็กยืดออกเหมือนเป็นแท่งคาราเมล พอมันยืดจนสุดแล้วรับแรงดึงต่อไปไม่ไหวก็ขาดออก พวกอันธพาลมองเขาเหมือนวิญญาณถูกกระชากขาดตามไปด้วย จากนั้นวูจินโยนท่อเหล็กทิ้งไป


แก๊งๆ


วูจินยกแขนพาดไหล่เจมินที่ยืนอยู่ข้างๆ


“พวกนายไม่กวนเจมินแล้วนะ?”
“ไม่กวนแล้วครับ”
“ไม่กวนเด็ดขาดครับ”


วูจินพยักหน้าอย่างพอใจแล้วตะโกน


“แล้วอย่าโดดเดี่ยวเขาด้วย พวกนายทำตัวดีๆกับเขา เข้าใจไหม?”
“เข้าใจครับ!”
“เอาล่ะ กลับไปเรียนได้”


พวกอันธพาลได้ยินคำสั่งของวูจินแล้วก็โล่งใจที่ตัวเองยังไม่ตาย จากนั้นก็แย่งกันออกไปจากดาดฟ้า เจมินมองวูจินด้วยสีหน้าสิ้นหวัง


“ทีนี้ผมจะมาโรงเรียนได้ยังไง…”


ข่าวลือต้องกระจายไปทั่วโรงเรียนแน่ วูจินมองสีหน้าขมขื่นของเจมินแล้วยิ้มกว้าง


“ไม่ใช่ว่านายมาเรียนอย่างเดียวเหรอ? คราวนี้ก็ไม่มีใครแกล้งนายแล้ว”


เอ๊ะ? เอ๋? ทำไมมันฟังขึ้น


เขามาเพื่อเรียน แล้วจะสนทำไมถ้าหาเพื่อนไม่ได้?


วูจินเห็นเจมินทำหน้ายุ่งยากใจก็ตบบ่าปุบๆ


“อ้อ ฉันติดต่อกับแม่ได้แล้ว เดี๋ยวจะคืนเงินให้”
“ไม่...ไม่ต้องหรอกครับพี่”
“มันไม่ดีนะ”


วูจินกำลังดีใจที่จะได้เจอแม่ตัวเอง เจมินเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่กริ่งเข้าเรียนจะดังเสียที เขาอยากเลิกคุยกับวูจินเร็วๆ


“ฉันต้องตอบแทนที่นายช่วยไว้ ยอมให้คนแปลกหน้าค้างคืนนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
“ฮะๆ แต่พี่ช่วยผมก่อน วันนี้ก็ด้วย”


อนาคตเขาคงถูกเพื่อนๆหลบหน้า แต่ไม่ใช่เรื่องแย่นัก พวกอันธพาลคงไม่มาตอแยเขาอีก


ถ้าพวกเขาจะแกล้งอีกก็คงใช้วิธีแกล้งแบบอ้อมๆ


“ดี นายคิดแบบนี้ก็ดี ถ้าฉันซื้อมือถือจะติดต่อนายนะ ถ้าไอ้เด็กบ้าพวกนั้นมากวนอีกนายก็โทรหาฉัน”


วูจินล้วงกระดาษจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาโบก


‘ฮ้า ยังเก็บไว้อยู่เหรอ’


มันเป็นเบอร์ที่เจมินเขียนมั่วๆ เขารู้สึกละอายใจเลยหัวเราะแหะๆ


“ครับพี่ ดีใจด้วยที่ได้เจอกับคุณแม่”
“ฮะๆ ขอบใจ นายก็ตั้งใจเรียนล่ะ ขอให้หางานในบริษัทดีๆได้”


พอกริ่งดัง เจมินก็ถือโอกาสก้มหัวบอกลา จากนั้นวิ่งกลับห้อง วูจินยังอยู่ที่เดิม ยิ้มกริ่ม


“อากาศดีแฮะ”


คงเพราะมีรถน้อยลง ท้องฟ้าเหนือกรุงโซลวันนี้ดูกระจ่างตา


วูจินยืนอยู่ครู่ จากนั้นเขาเห็นรถแท็กซี่จอดตรงประตูหน้าโรงเรียน หัวใจเขาแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเร่งฝีเท้ามุ่งหน้ามาที่โรงเรียน


“แม่…”

วูจินสงบใจแล้วเดินไปยังห้องพักครู