วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 83

 บทที่ 83

อัศวินขั้นสูงนั่งที่อัศวินคนก่อนเคยนั่งและขอโทษ “ข้าขออภัยแทนลูกน้องที่ทำตัวหยาบคายด้วย ขอโทษจริงๆ”

ผมปัดคำขอโทษไป “ไม่ต้องครับ ไม่เป็นไร” เดี๋ยวตอนกลางคืนผมก็จะไปเล่นงานเขาให้ปางตายอยู่แล้ว

เขาส่ายหน้า ไม่รู้ความคิดในใจของผม “ไม่ ข้ารับรองด้วยชื่อของหน่วยอัศวินกวางขาว ลูกน้องของข้าต้องถูกลงโทษทางวินัย”

พอเขาพูดอย่างนั้น ผมก็รู้สึกสำนึกผิดกับความคิดที่จะไปเล่นงานเขา แน่นอน มันไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ทำ ลงโทษก็ส่วนลงโทษ แก้แค้นก็ส่วนแก้แค้น

ที่สำคัญกว่านั้น ผมแปลกใจที่คนตรงหน้าเป็นหัวหน้าหน่วยอัศวินกวางขาวที่ดูแลความสงบของเมืองหลวง เทียบกับชาติก่อนของผมก็เหมือนอธิบดีกรมตำรวจมาที่ห้องสอบสวนและขอโทษผม ถ้าอัศวินกับตำรวจเทียบกันได้นะ

“เพลแกรนท์ เขาเป็นเพื่อนข้ามาตั้งแต่เด็ก ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตเพื่อนของข้า ขอบคุณจริงๆ”

ผมประหลาดใจอีกครั้ง เส้นสายของหัวหน้ากว้างขวางและใหญ่กว่าที่คิด นิสัยของเพื่อนเขาดูน่านับถือ ไม่รู้ทำไมนิสัยของหัวหน้าถึงเพี้ยนนัก

“ไม่หรอกครับ ข้าดีใจที่เขาไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต”

เมื่อหัวหน้าอัศวินมองยิ้มของผม เขาก็ดูทึ่งเล็กน้อย “ผู้รับการฝึกในแผนกของเขามักจะสาปส่งให้เขาไปตาย แต่ดูเหมือนเจ้าจะมีนิสัยน่าประทับใจ”

อ้อ คงเพราะเป็นเพื่อนกัน เขาเลยรู้นิสัยหัวหน้าดี

หัวหน้าอัศวินดึงกองกระดาษมาจากลิ้นชักโต๊ะและพูด “เอิ่ม ขอโทษนะ แต่จากนี้ไปข้าจะต้องสอบสวนเจ้า อ้อ ไม่ได้หมายความว่าข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนร้ายนะ มันเป็นขั้นตอนจำเป็นมากกว่า”

มันแปลว่าเขาไม่คิดว่าผมเป็นคนร้าย แต่ก็ไม่เชื่อว่าผมไม่ใช่คนร้ายด้วย หรือก็คือ เขาบอกว่าถ้ามีเหตุผลมากพอที่จะสงสัยผม ผมจะถูกกล่าวหาเป็นคนร้าย

“ก่อนอื่น เฮอกามอร์ฟินที่เจ้าใช้ไม่ใช่ของที่ผู้รับการฝึกธรรมดาจะมี ข้าจะถามตรงๆ ทำไมเจ้ามี?”

ผมมีของจิปาถะสารพัดอย่างในกระเป๋ามิติ โดยเฉพาะของที่เกี่ยวกับเวทมนตร์

“คือ ข้าจะเอามันใส่ในชาและให้หัวหน้าเพลแกรนท์ดื่ม”

“...อะไรนะ?” หัวหน้าอัศวินดูมึนไป คำพูดของผมฟังแล้วชวนให้เข้าใจผิดได้เลย

ผมอธิบายต่อ “เฮอกามอร์ฟินมีผลทำให้ท้องเสีย ท่านหัวหน้าอัศวินดูจะรู้อยู่แล้ว แต่ข้าอยากเอาคืนที่เขาบ่นและให้งานแปลกๆข้าทำมาสามวัน”

หัวหน้าอัศวินทำหน้าเข้าใจวูบหนึ่งก่อนจะลบมันไปและถาม “ถ้าอย่างนั้น เฮอกามอร์ฟินนี่มาจากไหน?”

นี่เป็นคำถามที่คาดเดาได้ เฮอกามอร์ฟินเป็นสมุนไพรที่ไม่ได้วางขายในร้านขายยาทั่วไป ผมตอบอย่างจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง

“มาจากบ้านเกิดของข้า อย่างที่เห็นในบัตร บ้านเกิดของข้าอยู่แถบเทือกเขาดูม ข้ามักจะเก็บสมุนไพรแถวนั้น”

ที่จริงบ้านเกิดของผมขายวัตถุดิบที่ได้จากปีศาจเป็นหลัก แต่ผมไม่ได้โกหกทั้งหมดเพราะนักเวท นำโดยผู้เฒ่าเมอร์ปา ขายสมุนไพรที่เราเก็บมาให้จักรวรรดิ หัวหน้าอัศวินขมวดคิ้วเพราะคำพูดของผมพิสูจน์ยาก

ดังนั้นผมจึงพูดเสริม “เพื่อเป็นข้อมูลครับ เฮอกามอร์ฟินไม่ใช่สมุนไพรต้องห้าม และไม่ต้องมีใบอนุญาตในการใช้หรือซื้อขาย” มันแค่สมุนไพรนี้ค่อนข้างหายากและโตเฉพาะในบริเวณใกล้ป่าโอลิมปัส

“หืม เจ้าเป็นผู้รับการฝึกเป็นข้าราชการ แปลว่าไม่เคยออกจากเมืองหลวง ถ้าอย่างนั้นคนที่ให้หรือขายสมุนไพรให้เจ้าอยู่ไหน?”

“ไม่รู้สิครับ เขาอาจกำลังเดินทางกลับบ้านเกิดแล้ว? ข้าซื้อสมุนไพรนี้มาเกิน 15 วันแล้ว” ที่จริงคนขายสมุนไพรก็อยู่ตรงหน้านายนี่ไง ขุดเองกับมือ

“แปลว่าเจ้าได้สมุนไพรก่อนรู้ว่าจะไปฝึกงานที่ไหน” หัวหน้าอัศวินพูด

สายตาของเขาค่อนข้างทิ่มแทง ผมเชื่อว่าคงมีไม่กี่คนที่ไม่สนใจเรื่องของเพื่อนตัวเอง แต่ถ้าสายตาของเขาฟันคนได้ ผมคงกลายเป็นชิ้นเนื้อพันชิ้นแล้ว

“ใช่ ตอนเด็กข้าเรียนการเล่นแร่แปรธาตุ สมุนไพรจากบ้านเกิดข้าถูกส่งมาที่นี่ทางอากาศ ข้าอยากสอนกลเม็ดเล็กน้อยให้เพื่อน” ผมพูด

“การเล่นแร่! เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงรักษาได้ตรงจุด”

ในโลกนี้ นักเล่นแร่แปรธาตุมักจะทำงานเป็นหมอในที่ๆขาดวิหาร การเล่นแร่แปรธาตุใกล้เคียงกับการรักษาแบบตะวันออกมากกว่าตะวันตก การรักษาแบบตะวันออกใช้สมุนไพรและการกดจุด ส่วนการรักษาตะวันตกพึ่งการผ่าตัด อีกอย่าง ยาเมื่อรวมกับเวทมนตร์แล้วได้ผลดีกว่าที่คิด

“อย่างนี้นี่เอง เจ้าเล่าเรื่องเพื่อนที่เจ้าสอนการเล่นแร่แปรธาตุให้ได้ไหม?” เสียงของหัวหน้าอัศวินอ่อนลงขั้นหนึ่ง

ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย ไม่มีเหตุผลต้องปิดเรื่องนี้ ถึงผมบอกไปเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

“ยูเรีย เฟนเดรีย”

“อืม ยูเรีย เฟนเดรีย”

หัวหน้าอัศวินจดแล้วพึมพำออกมาเหมือนเห็นความผิดปกติ “เฟนเดรีย?”

สายตาของหัวหน้ากัปตันเต็มไปด้วยความสงสัย “ไม่ใช่เฟนเดรียที่ข้ารู้จัก ใช่ไหม?”

“เอ่อ เฟนเดรียที่ท่านรู้จักเป็นใครล่ะครับ?” ผมแกล้งโง่ โอ๊ะๆ รอยยิ้มขี้เล่นมันคอยจะโผล่มาบนหน้าผม

“ยูเรียคนนี้ มีผมสีขาวหรือเปล่า?”

เสียงหัวหน้าอัศวินสั่น ผมเกือบหัวเราะลั่น “ตาของเธอเป็นสีแดงด้วย”

หัวหน้ากัปตันตะลึง “เจ้ามีพรสวรรค์เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุเหรอ?”

เหมือนเขากำลังถามว่าทำไมนักแปรธาตุที่เก่งขนาดนั้นไม่ไปเป็นนักเวทหลวงแต่มาฝึกเป็นข้าราชการ บางทีเขาอาจไม่เชื่อผม

“เปล่าหรอก แต่จากที่ยูเรียเล่า สภาพอากาศที่บ้านเกิดของเธอไม่เอื้อต่อการเรียนแปรธาตุ เพราะอย่างนั้น มือสมัครเล่นอย่างข้าเลยมีโอกาสได้สอนคนจากเผ่าผีเสื้อ เป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับข้าเลย” ผมยิ้มอย่างพอใจ

ที่จริง เรื่องเคล็ดลับในการแปรธาตุนั้น ผมสอนยูเรียครั้งเดียวเธอก็เข้าใจแล้ว อย่างมากผมก็แค่สอนเรื่องสัดส่วนของยา ซึ่งเธอทำได้ไม่ค่อยคล่องเพราะมันไม่เกี่ยวกับพลังเวท แต่ผมบอกได้ว่าเธอมีความสามารถพอดู

หัวหน้าอัศวินดูไม่เชื่อแต่สุดท้ายก็ยอมรับคำอธิบายของผม

“แล้วจะปล่อยข้าได้เมื่อไหร่? ข้ากำลังอยู่ในช่วงประเมินนะครับ” การประเมินมีความสำคัญต่อผู้เข้ารับการฝึก เพราะความผิดพลาดสามารถส่งผลถึงขั้นอาจไม่ได้งานทำ

หัวหน้าอัศวินถอนหายใจ “โชคร้ายหน่อย ตามขั้นตอนแล้วเจ้าต้องถูกกักตัวอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์”

“อะไรนะครับ?”

“ขอให้เจ้าเข้าใจ นี่เพราะคนที่ถูกยาพิษได้รับเกียรติสูงสุดจากจักรพรรดิโดยตรง”

พูดอะไรไม่เข้าใจ?

“เวลากักตัวแค่หนึ่งสัปดาห์เพราะเจ้าช่วยชีวิตเพลแกรนท์ ถ้าไม่ใช่ล่ะก็...” หัวหน้าอัศวินหยุดพูดไป เขาคงจะพูดว่าผมคงถูกจับในฐานะคนร้ายไปแล้ว

บ้าเอ๊ย ผมวางแผนจะถูกปล่อยตัวด้วยการใช้ชื่อยูเรีย แต่หัวหน้าเพลแกรนท์ดูจะเป็นคนใหญ่คนโตกว่าที่ผมคิด

นี่เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับผม ถ้าหัวหน้าเพลแกรนท์ไม่ได้สติและเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา แน่ใจได้ว่าผมจะถูกจับในฐานะคนร้าย

บางทีถ้ายูเรียหรือคุณนายอาซิลลารู้ ผมอาจใช้ชื่อของนายพลวิลเลียมหรือนายกรัฐมนตรีออกไปได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องของผมอาจไปถึงลุงบลัดดี้ที่รู้จักหน้าผมและสนิทกับสองคนนั้น

ไม่สิ เป็นไปได้ว่าผมอาจถูกกำจัดในฐานะบุคคลอันตราย กับวิลเลียมผมไม่แน่ใจ แต่ถ้าเป็นอาร์คันทาผู้จับตามองผมอย่างใกล้ชิดหนึ่งเดือนต้องทำแน่

ถ้าเป็นแบบนี้ก็เหลือทางเดียว “หัวหน้าอัศวิน ท่านเชื่อหรือไม่ว่าข้าไม่ใช่คนร้าย?”

หัวหน้าอัศวินเบิกตากว้าง จากนั้นส่ายหน้า “ไม่ ข้าเชื่อไม่ได้”

หัวหน้าอัศวินพูดว่าเขาเชื่อ’ไม่ได้’ มันใกล้เคียงกับเขาพูดว่าเขาสรุปอะไรไม่ได้

สำหรับผมมันเป็นทั้งเรื่องดีและแย่ ที่แย่คือถ้าจับตัวคนร้ายไม่ได้ ผมจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้าย ที่ดีคือเพราะผมช่วยชีวิตหัวหน้าเอาไว้ ใจส่วนหนึ่งของหัวหน้าอัศวินจึงอยากเชื่อผม

ผมยิ้ม “ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ที่จริงท่านก็ไม่ควรเชื่อ”

เชามองผมอย่างประหลาดใจ พูดแบบนี้ทำให้ได้ความไว้ใจจากคนที่ดูซื่อสัตย์

“แต่ ข้ามีเรื่องอยากขอ” ผมพูด

“อะไร?” หัวหน้าอัศวินถาม

ผมทำหน้ามั่นใจ “ขอเวลาข้าหนึ่งวัน ข้าจะจับคนร้ายในหนึ่งวัน”

หัวหน้าอัศวินมองเหมือนได้ยินเรื่องบ้าที่สุด ถ้าเป็นคนแปลกหน้าพูดแบบนี้ จะไม่เชื่อเขาก็เป็นเรื่องปกติ แต่ผมไม่ใช่คนปกติ ผมจะทำทุกอย่าง รวมถึงเรื่องนอกกฎหมาย เพื่อจับคนที่ทำให้ผมซวย

“อย่างที่บอก ข้าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ถ้าเป็นเรื่องยาและพิษ ข้ามั่นใจว่าเก่งกว่าอัศวิน”

หัวหน้าอัศวินทำหน้าว่าอยากฟังต่อมากกว่าจะปฏิเสธ เขาอาจให้โอกาสเพราะผมช่วยเพื่อนของเขา

“ข้าขอถามอีกข้อ ผลการตรวจสอบของในอาเจียนของหัวหน้าเพลแกรนท์ออกมาแล้วหรือยัง?”

ถ้าหัวหน้าเป็นคนสำคัญ พวกเขาต้องเริ่มตรวจสอบอาเจียนแล้ว

หัวหน้าอัศวินส่ายหน้า “ยัง คงต้องใช้อย่างน้อยสามวันถึงจะตรวจสอบเสร็จ”

อะไรนะ? นานขนาดนั้นเลยเหรอ? ดูเหมือนนักเวทที่เป็นคนตรวจสอบจะไม่เก่งเลย แต่นั่นเป็นเรื่องดีสำหรับผม

“สามวันนานเกินไป ระหว่างที่ท่านรอผลการตรวจ มันนานพอให้คนร้ายลบร่องรอยและหนีไปใช่ไหม?”

หัวหน้าอัศวินเห็นด้วย “ใช่”

“ถ้าท่านให้โอกาส ข้าจะหาข้อมูลจากอาเจียนของหัวหน้าเพลแกรนท์” 

“ยังไง? อาเจียนนั่นเป็นหลักฐานสำคัญ ตอนนี้มันถูกส่งไปที่นักเวทหลวงแล้ว แม้แต่ข้าก็เอาคืนมาไม่ได้”

ผมยิ้มให้หัวหน้าอัศวิน “ไม่จำเป็นต้องเอามันมาที่นี่ ข้อมูลมันอยู่ในหัวข้าแล้ว”

สีหน้าของหัวหน้าอัศวินแสดงว่าอยากรู้ว่าผมรู้ได้ยังไง

ผมยิ้มขี้เล่น “ดูเหมือนท่านจะลืมไป แต่ข้าเป็นคนล้างท้องและตรวจอาเจียนเพื่อให้ยาแก้พิษ”




สารบัญ                                            บทที่ 84


วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 82

 บทที่ 82

ผมตามดูหัวหน้าอย่างใกล้ชิด ถ้าได้ข้อมูลที่จะเอามาเล่นงานเขาได้ก็ดีสิ หรือถ้าไม่ ได้สำรวจสถานที่ที่ผมจะได้เจอกับเขาเป็นการส่วนตัวระหว่างทางกลับบ้านก็ดีเหมือนกัน

หัวหน้าเดินไปตามตรอกพลางถือซองเอกสารซองหนึ่งแน่นเหมือนมันเป็นของมีค่า ผมแน่ใจว่าตอนออกจากที่ทำงานเขาไม่ได้ถือมัน ไปเอามาจากไหนนะ? อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะเป็นข้อมูลลับสุดยอดหรือหนังสืออีโรติคก็ไม่เกี่ยวกับผม

ขณะผมสะกดรอยตามหัวหน้าก็รู้สึกผิดสังเกต พวกเราเคยผ่านตรงนี้มาแล้ว เขาหลงทางเหรอ? ไม่ ถึงแม้ตรอกซอยจะซับซ้อน เขาไม่มีทางหลงทางแน่ถ้าไม่ใช่พวกหลงทิศขั้นเลวร้าย

จะว่าไป ที่แปลกอีกอย่างคือ ทำไมหัวหน้าเพลแกรนท์ถึงมาเดินในตรอกซึ่งเป็นที่ๆพวกอันธพาลชอบมาเตร็ดเตร่ล่ะ?

นอกจากนั้นแล้ว ผมสงสัยว่าเขารู้สึกว่ามีคนอื่นอยู่ในตรอกที่ไร้ผู้คนนี้ด้วยหรือเปล่า? ขณะที่ผมสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมา จู่ๆหัวหน้าก็โยนซองเอกสารที่เขาถือข้ามกำแพง

แต่ที่ตลกคือผมไม่ได้ยินเสียงซองเอกสารหล่น แปลว่าคนที่อยู่อีกฝั่งรับมันไว้ หัวหน้าไม่ชะงักและเดินต่อไป โดยไม่มีเสียงจากอีกด้านของกำแพง

นี่มัน แทนที่จะเป็นเรื่องสนุก มันจะกลายเป็นปัญหามากกว่าถ้าผมได้รู้ ผมรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา หลังจากลังเลระหว่างความอยากรู้อยากเห็นกับความไม่อยากยุ่งด้วย ผมก็ตัดสินใจเลี้ยวกลับ เวลาแบบนี้สมควรกลับบ้าน ล้างเท้า และเข้านอน

ผมควรระงับแผนหาเรื่องเขาระหว่างทางกลับบ้านสักพัก แล้วจะทำอะไรแทน? ผมต้องคิดอีกที

***

วันนี้ผมยังคงมาถึงที่ทำการเขตแต่เช้า ตั้งใจทำงานและฟังเสียงบ่นของหัวหน้า ขณะผมจัดการกับเอกสารก็สงสัยว่าทำไมผมยังทำแบบนี้ เพราะถึงทำงานก็โดนดุผมเลยคิดว่าจะไม่ทำงานและเอาแค่โดนดุพอ

แต่ถ้าผมไม่ทำงาน มันจะไม่จบแค่โดนดุแต่จะมีผลกับผลประเมินการฝึกด้วย ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากร้องไห้และทำงานให้ดีที่สุด

ตัดสินจากคำพูดและท่าทางของเพลแกรนท์ เขาไม่น่าจะให้คะแนนผมสูง เวลาเขามองผม ดวงตาของเขาเหมือนจะประกาศเจตนารมย์ของเจ้าของว่าจะให้ผมตก

บอกให้รู้ไว้ ถ้าผู้รับการฝึกตกแม้แต่ครั้งเดียวในช่วงฝึกงาน เขาต้องเริ่มฝึกใหม่ตั้งแต่ต้น หลังจากฝึกงานได้สามวัน ผมรู้สึกแต่ว่าหัวหน้ามีนิสัยแย่ ผมเชื่อว่าที่เขาเอางานประหลาดๆพวกนี้ให้ผมเพราะเขาเป็นคนนิสัยเสีย

ขณะผมยิ้มพลางด่าในใจ พนักงานที่นั่งข้างผมกระแอมแล้วชำเลืองมาทางผม มันเป็นสัญญาณสั่งให้ผมไปชงชามาให้ ทำเองไม่เป็นเหรอ? แต่ดูเหมือนเขายังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร จึงไม่สั่งผมตรงๆ ยังไงก็ตาม เด็กฝึกงานเหมาะกับการใช้สอยที่สุด

ผมยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มสุภาพ พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงของหัวหน้าเพลแกรนท์ “เจ้าจะไปไหนแทนที่จะทำงาน?”

ถึงตอนนี้ การบ่นเหมือนการตอบสนองของไขสันหลังไปแล้ว ผมเลี่ยงคำตอบด้วยการหัวเราะและตรงไปที่ห้องเก็บอาหาร ปิดประตูและหยิบถ้วยชาเท่ากับจำนวนคนในแผนกออกมา

“ขาก! ถุย!” ผมถุยน้ำลายใส่ถ้วยใบหนึ่ง ร่างกายผมแข็งแรงจนน้ำลายไม่เหนียวเลย เวลาแบบนี้ผมรู้สึกเสียดายที่เกิดเป็นคนเผ่ากา

ขณะกำลังรินชาใส่ถ้วยก็คิดอะไรได้ “ฮ้า อัจฉริยะจริงๆเรา!”

ถ้าน้ำลายไม่ดี ใช้ที่คล้ายๆกันก็ได้ ผมเปิดกระเป๋ามิติและหยิบรากเฮอกามอร์ฟินออกมา มันเป็นสมุนไพรสำหรับสร้างเวทมนตร์ รากของมันหวานและมีพิษอ่อนๆ ทำให้ท้องเสีย ที่หมู่บ้าน พี่สาวของผมมักใช้มันเป็นยาแก้ท้องผูก

ผมคั้นน้ำจากรากเฮอกามอร์ฟินลงในถ้วยใบหนึ่งและเทชาลงไป อาการปวดท้องจะไม่เกิดขึ้นทันทีจึงไม่มีปัญหา ผมใส่เท่ากับที่พี่สาวคนรองเคยกิน แค่พอให้เกิดผลที่ต้องการแต่ไม่ถึงตาย

ผมตัดสินใจเอาถ้วยที่มีน้ำลายผสมให้คนที่สั่งให้ผมชงชา ส่วนชาถ้วยพิเศษให้หัวหน้าเพลแกรนท์ ผมหยิบถาดใส่ถ้วยน้ำชาและขนม แล้วออกจากห้องเก็บอาหาร

“พักกันหน่อยไหมครับทุกคน” ผมแจกชาพร้อมหัวเราะอย่างจริงใจเป็นครั้งแรก

“ขอบใจ”

“ขอบใจนะ”

ผมแจกชาให้ทีละคน เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่สั่งให้ผมชงชาได้ถ้วยที่มีน้ำลาย

“เชิญครับ”

“ฮ่าๆ ขอบใจ” ไอ้เวรหัวเราะและดื่มชา เออ ดื่มให้อร่อย

ผมวางถ้วยน้ำชาของผมไว้ที่โต๊ะตัวเองและตรงไปหาหัวหน้าเพลแกรนท์ “เชิญดื่มชาครับหัวหน้า”

หัวหน้าไม่แม้แต่จะตอบขณะหยิบถ้วยทั้งๆยังอ่านเอกสารบนโต๊ะ ดื่มสิ! ด้วยความรู้สึกตึงเครียดนิดๆ ผมมองถ้วยชาเข้าใกล้ปากหัวหน้าช้าๆ รีบๆดื่มสิ! เวลาที่ถ้วยชาไปยังปากของหัวหน้าเหมือนมันช้าลงยังไงไม่รู้

ทันทีที่ได้ยินเสียงหัวหน้าเพลแกรนท์ซดน้ำชา ผมรู้สึกพอใจแบบแปลกๆ

“ฮึ่ม หวาน” หัวหน้าพูด

ผมยิ้มและพูดกับหัวหน้าที่มีสีหน้าไม่พอใจ “คราวหน้าข้าจะทำให้หวานน้อยลงครับ”

ขณะผมหันกลับ หัวหน้าก็ทำเสียงประหลาดและคายบางอย่างออกมา 

เลือดสีข้นกระเซ็นเลอะโต๊ะของเขา ทันทีต่อจากนั้นเขาก็ทำถ้วยชาหลุดมือและมันหล่นลงพื้น

เกิดอะไรขึ้น? ครู่หนึ่ง ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและแค่มองนิ่งๆ

แคล้ง!

ตอนที่ถ้วยหล่นลงพื้นและแตก ผมก็ได้สติและเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด เวรแล้ว!

“นักบวช! เรียกนักบวชมาที!” ผมตะโกนขณะให้หัวหน้านอนลงกับพื้น

“อ๊า!”

“อะไร?!?”

ทุกคนสับสนและตะโกน แต่แฟลมวิ่งออกไปทันทีที่เห็นเลือด โยนเอกสารที่เขาถืออยู่ทิ้ง

“ข้าไปเอง!”

แฟลม ไว้เลี้ยงข้าวนายทีหลัง ดูเหมือนแฟลมจะเป็นคนเดียวที่มีสติดี

ผมเสกน้ำขึ้นมา ที่จริงมันควรจะเป็นน้ำเกลือแต่ตอนนี้มันไม่มี ผมส่งน้ำเข้าปากเพลแกรนท์ ยังไงก็ต้องหาทางล้างท้องให้ได้

“แหวะ!”

ขณะผมทำให้เขาอาเจียนทุกอย่างออกมาก็พยายามหาสาเหตุไปด้วย มันเกิดอะไรขึ้น? เฮอกามอร์ฟินไม่ได้ทำให้อาเจียนเป็นเลือด

ผมทวนความรู้ที่ถูกบังคับสอนจากผู้เฒ่าเมอร์ปา เพราะไม่มีนักเรียนคนไหนนอกจากผม ไม่มีสมุนไพรหรืออาหารอย่างใดที่ถ้ากินร่วมกับเฮอกามอร์ฟินแล้วจะทำให้อาเจียนเป็นเลือด 

ถ้ายาออกฤทธิเร็วเกินไปและเขาท้องร่วงทันที ผมคงคิดว่าใส่ยามากเกินไป แต่เท่าที่ผมรู้ มันไม่ทำให้อาเจียนเป็นเลือด

“ฟื้นฟู! คืนสภาพ!” ผมพยายามทำให้สภาพร่างกายของหัวหน้าอยู่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้หลังจากล้างท้องเสร็จแล้ว

บ้าจริง ผมอยากให้มีเวทมนตร์ที่แก้พิษได้ทุกอย่างเหมือนในนิยาย โชคร้าย เท่าที่ผมรู้มันไม่มี ถึงแม้พลังศักดิ์สิทธิ์จะให้ผลเหมือนกันได้ นอกจากจะเป็นผู้ใช้พลังระดับเซนต์แล้วมันจะแก้พิษได้ไม่หมด ที่จริงแล้ว ผมไม่ได้เรียกนักบวชมาแก้พิษแต่เพราะต้องการพลังพิเศษของพลังศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอะไรดีกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์แล้วในเรื่องประคองชีวิต

เหตุเกิดในงานเต้นรำทำให้ผมเกิดความสงสัยมาก จึงหาข้อมูลหลายอย่าง ทำให้ตัดสินใจอย่างนี้ แทนที่จะให้ผมส่งพลังชีวิตเล็กน้อยไปให้ เรียกนักบวชมาส่งพลังศักดิ์สิทธิ์ให้เขาจะเพิ่มโอกาสรอดมากกว่า แน่นอน ถ้านักบวชที่มาไม่เก่งก็อีกเรื่อง

ผมใช้เวทรักษาไปเรื่อยๆและใช้มือคุ้ยอาเจียนของหัวหน้า ดูจากเสียงตอนอาเจียนเลือดที่ไม่มีไอแสดงว่าเลือดมาจากท้อง ไม่ใช่ปอด แต่ผมไม่ได้ล้างท้องเขาเพราะรู้เรื่องนั้น แต่เพราะคิดว่ามีอะไรผิดปกติในของที่ผมให้เขากิน

ขณะล้างท้อง เลือดที่ออกมาก็ค่อยๆน้อยลง ถึงอย่างนั้น สำหรับผมที่ไม่รู้เรื่องการแพทย์คงรักษาอะไรไม่ได้ แต่ผมมีข้อมูลทันสมัยในเรื่องสมุนไพร จึงตัดสินใจหาปัญหาจากสิ่งที่เขาอาเจียนออกมา 

ผมเจอใบหญ้าเปื่อยยุ่ยใบหนึ่งและเอามันมาจ่อจมูกดม กลิ่นเหม็นของอาเจียนและกรดปนกัน และสีเลือดคล้ำทำให้บอกยากว่าเป็นสีอะไร แต่ผมสรุปได้ว่ามันเป็นพืชมีพิษชื่อฮอร์น คราวนี้ ผมทึ่งกับประสาทดมกลิ่นเหนือมนุษย์ของผม

ผมตัดสินใจให้การแก้พิษเป็นเรื่องของโชค เมื่อดูแล้วว่าไม่มีใครมองอยู่ ผมแอบเอาเฮอกามอร์ฟินและสมุนไพรอื่นออกมาจากกระเป๋ามิติและเคี้ยว พวกมันใช้เป็นตัวแก้พิษฮอร์น

ภาวนาให้ข้อสรุปของผมถูก ผมวางสมุนไพรที่ถูกเคี้ยวในปากหัวหน้าและใช้เวทมนตร์ดันมันเข้าไปในท้อง จากนั้นผมก็เห็นแฟลมวิ่งเข้ามาโดยมีนักบวชชราคนหนึ่งอยู่บนหลัง

งานผมจบแล้ว ผมคงต้องเข้าออกห้องน้ำเพราะน้ำเฮอกามอร์ฟินติดในปาก แต่มันเลี่ยงไม่ได้ ถ้ามีอะไรผิดพลาดไป ชีวิตข้าราชการของผมก็เป็นอันจบ

***

หัวหน้าเพลแกรนท์ถูกส่งไปโรงพยาบาล เขายังไม่ได้สติแต่พ้นขีดอันตราย ผมได้ยินข่าวนี้ตอนอยู่ในห้องสอบสวนอันเหน็บหนาว

อัศวินตรงหน้ามองผมด้วยสายตาเย็นชาและถาม “เจ้าวางยาพิษเขาใช่ไหม?”

ไม่ใช่ ผมวางยาพิษเขาจริง แต่มันเป็นยาพิษทำให้ท้องเสียแค่วันเดียว มันเข้าใจได้ที่พวกเขาสงสัยผมเพราะหัวหน้าอาเจียนเป็นเลือดทันทีที่ดื่มชาที่ผมชง แต่มันยังรู้สึกไม่ยุติธรรมอยู่ดี ยิ่งกว่านั้น ยาพิษที่ผมให้เขากินยังแก้พิษฮอร์นด้วย

“ข้าไม่ได้ทำ” ผมพูด

“ว่าแต่ ไอ้นั่นมันอะไรนะ มอร์ฟิน?”

“เฮอกามอร์ฟิน มอร์ฟินนั่นเป็นยาสกัดจากฝิ่น”

อัศวินพูดเรื่องอันตรายแล้วนะ คิดยังไงถึงจะให้ผมเป็นคนขายยา? พูดอย่างนั้นแต่ในกระเป๋ามิติผมมีฝิ่นอยู่ และเพราะมันทำในโอลิมปัสจึงมีพิษสูงและคุณภาพดี

“ใช่ นั่น เจ้ามีใช่ไหมล่ะ พิษนั่น ชื่ออะไรนะ...”

“ฮอร์น?”

อัศวินตบมือ “ใช่! เจ้ามีฮอร์นด้วยใช่ไหม?”

“ไม่มี”

“หมายความว่ายังไงที่ว่า‘ไม่มี’ เจ้ารู้กระทั่งชื่อพิษแต่บอกว่าไม่ได้ทำเหรอ?” อัศวินกดดัน

“ข้ารู้ชื่อพิษเพราะเห็นมันในอาเจียนที่ เฮอกามอร์ฟินเป็นยาแก้พิษฮอร์น ข้าเลยให้เขากิน” ผมพูด

“อาฮะ!”

ผมเกือบถอนหายใจใส่สีหน้าก้าวร้าวของอัศวิน ขณะคิดว่าจะอัดเขาสักเปรี้ยงดีไหมประตูห้องสอบสวนก็เปิดออกและชายคนหนึ่งเข้ามา

“สวัสดีครับ!” อัศวินที่สอบสวนผมลุกขึ้นและคำนับ

ชายคนที่ถูกคำนับถลึงตาใส่อัศวินและพูด “ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ายัดเยียดความผิดใส่เขา?”

ห้องสอบสวนคงไม่เก็บเสียงเลยสินะ

อัศวินที่สอบสวนผมตกใจจนพูดไม่ออก คนที่เพิ่งเข้ามาคงเป็นอัศวินระดับสูง

อัศวินระดับสูงเดาะลิ้นและสั่ง “ออกไป”

“ครับ?”

“ข้าบอกให้ออกไป”

อัศวินรีบทิ้งการสอบสวนและออกไปด้วยสีหน้าหวาดกลัวชายที่พูดเสียงต่ำ ผมเสียดายที่อายุของอัศวินคนนั้นถูกยืดออกไป แต่ก็โล่งอกว่าคนที่เข้ามาอาจจะคุยกันเข้าใจได้


สารบัญ                                         บทที่ 83

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 81

 บทที่ 81

“อรุณสวัสดิ์ครับ!” ผมคำนับและทักทายหัวหน้าอย่างแข็งขัน เขามาทำงานตั้งแต่เช้าก่อนคนอื่นเสมอ

ตอนนี้เป็นเวลา 7:20 นาฬิกา หมายความว่าผมมาก่อนเวลาที่หัวหน้าบ้านี่บอกให้มา 15 นาที จะว่าไป เวลาทำงานปกติเริ่มตอน 8:30 แต่หัวหน้ามาถึงที่นี่ก่อนหนึ่งชั่วโมง

หัวหน้าเพลแกรนท์มีสีหน้าตะลึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นไม่สนใจขณะเดินผ่านผมไปยังโต๊ะของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นพูดตรงๆ “มาเร็วขนาดนี้คงไม่มีอะไรทำสินะ”

ฮ่าๆ ถ้าผมเอาหินทุบหัวเขาจะยังพูดอย่างนั้นได้ไหม

ในใจผมคิดอย่างนั้น แต่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง “เมื่อวานข้ามาสาย จึงสำนึกผิดและมาเช้าขึ้นครับ”

ใครเคยพูดนะว่าเราถ่มน้ำลายใส่คนกำลังยิ้มไม่ได้? หัวหน้ามองผมอย่างไม่พอใจและเดาะลิ้น “ชิ วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง”

กร๊อบ!

“หือ?”

โอ๊ะ! ผมเผลอกำหมัดแน่นไปหน่อย หัวหน้าได้ยินและมองผม ผมยิ้มและยืดตัว

“ฮ่าๆ คิดว่ากล้ามเนื้อคงจะฝืดเพราะเป็นตอนเช้าน่ะครับ”

ผมฝืนใจไม่เสริมว่า “ช่วยข้ายืดกล้ามเนื้อด้วยการเป็นกระสอบทรายให้หน่อยได้ไหมครับ?”

“ของแบบนั้นให้ทำก่อนเข้างาน ที่นี่เป็นที่ทำงาน ไม่ใช่ที่ออกกำลังกาย”

พูดแล้ว หัวหน้าเพลแกรนท์ก็ส่งเอกสารปึกหนึ่งให้ผมจากลิ้นชักของเขา

“นี่เป็นบันทึกของผู้อาศัยในเขตของเรา เรียงมันตามอายุแล้วเอามาให้ข้า”

ปึกเอกสารหนาเกือบหนึ่งเมตร เอามาจากไหน? แต่ที่ถามมากกว่าคือ ทำไมต้องเรียงตามอายุด้วย?

“ครับ เข้าใจแล้วครับ!”

ผมตอบอย่างกล้าหาญ ปัดความสงสัยไปทางอื่น นี่ไม่ใช่งานไร้ประโยชน์ที่ให้ผมทำไปอย่างนั้นเอง ใช่ไหม?

ผมนั่งลงแล้วเริ่มเรียงเอกสาร

***

หลังเวลาอาหารกลางวัน ราวบ่ายสอง ผมเรียงเอกสารเสร็จในที่สุดและเอาไปวางตรงโต๊ะของหัวหน้า

“เสร็จแล้วครับ” ผมพูด

หัวหน้าเพลแกรนท์พูดโดยไม่มองผม “เหรอ? งั้นเรียงใหม่จากอายุอ่อนที่สุดไปแก่สุด”

ฮ่าๆๆๆ! ว่าแล้ว!

ผมคว้ากองเอกสารและเริ่มเรียงมันตรงนั้น คนอายุ 11-19 อยู่หน้า 63,40, และ 57 จากบนกอง คนอายุช่วง 20 อยู่หน้า 155,68,และ 120 จากบนกอง ผมเรียงไว้แล้วก่อนจะเอามาส่ง

หัวหน้ามองเหมือนผมเป็นคนบ้า แต่ช่างสิ

หลังจากเรียงเสร็จ ผมยิ้ม “เสร็จแล้วครับ”

เป็นไงล่ะ เจ้าหัวหน้าบ้า? ผมเรียงเอกสารอย่างลำบาก แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกสะใจ แต่แล้วความรู้สึกพึงพอใจก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อหัวหน้าเพลแกรนท์เอื้อมมือไปที่ลิ้นชักและดึงเอกสารอีกปึกหนึ่งออกมา เอกสารปึกใหม่ยังหนาเท่าเดิม

“นี่เป็นรายชื่อผู้เสียชีวิตในปีนี้ เอาคนที่มีทะเบียนบ้านอยู่นอกเขตออก” 

ไม่เหมือนเอกสารก่อนหน้าที่หนึ่งใบมีข้อมูลของคนเดียว รายชื่อผู้เสียชีวิตมีหลายชื่อต่อหนึ่งหน้า

“ครับ!”

แค่ตอนนี้ ผมตอบอย่างร่าเริง – ไอ้บ้าเอ๊ย!

***

“ไปดื่มกันไหม?” ผมถามแฟลมระหว่างกลับบ้าน

ตลอดเวลาทำงาน หัวหน้าส่งเอกสารหลายประเภทให้ผมและสั่งให้เรียงในหลายๆแบบ

ฮ่าๆๆ ฆ่าดีไหม? ไม่ ยังก่อน ทนต่ออีกหน่อยเถอะ

แฟลมส่ายหน้า “ไม่ เพื่อสุขภาพของเจ้า วันนี้ผ่านดีกว่า ข้าตกใจจริงๆนะตอนเห็นเจ้าดื่มเบียร์ผสมกับน้ำอื่น”

“ทำไม? พวกเหล้ามันต้องผสมเพื่อให้แอลกอฮอล์มันเจือจางลงไม่ใช่เหรอ?” ผมถาม

“ใครเขาผสมเหล้ากับเหล้ากัน!”

จะบอกว่าเหล้าไม่ควรเอามาผสมกันเหรอ? ก็นะ ผมคิดว่าคงเพราะเบียร์เมื่อวานมีรสแรง ทำให้กลบรสชาติของเหล้าอื่น เบียร์เกาหลีในชาติก่อนของผมไม่อร่อยเพราะรสอ่อน แต่ถ้าเอาไปผสมกับโซจูแล้วจะอร่อย

“ยังไงก็เถอะ ข้าไม่ไป”

ผมเลียปากเมื่อแฟลมตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ “แย่จัง”

“กลับหอของเจ้าเถอะถ้าเป็นไปได้”

“อืม ก็คงต้องอย่างนั้น”

น่าเสียดายแต่ผมไม่มีทางอื่น ไม่ใช่เพราะถ้าผมเมาแล้วจะกลับบ้านเองไม่ได้ แต่ผมคิดว่าทุกคนจะเป็นห่วงถ้าไม่มีใครอยู่ช่วยผม ด้วยเหตุนี้ผมจึงตัดสินใจเอาไว้ดื่มคราวหน้า

ผมไม่ดื่มเหล้ามานาน จึงดูเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้

หลังจากแยกกับแฟลม ผมก็เตรียมกลับหอแต่เผอิญเห็นหัวหน้าเพลแกรนท์หายไปในตรอกอย่างรวดเร็ว เหมือนเขากำลังหนีจากผู้ไล่ตาม

หืม ผมมีลางสังหรณ์ว่ากำลังเกิดเรื่องน่าสนใจ

ผมยิ้มแบบทำให้คนอื่นคิดถึงปีศาจและตัดสินใจเร้นตัวและตามเขาไป

***

เพลแกรนท์เก็บกระเป๋าและลุกจากโต๊ะก่อนเวลาปกติ

“สวัสดีนะครับ หัวหน้า!” พร้อมกันนั้น เด็กฝึกงานที่นั่งหน้าเขาก็ลุกและเอ่ยลา

สมาชิกในแผนกหันความสนใจจากเด็กฝึกงานมามองเขาอย่างคาดหวัง แต่เพลแกรนท์ไม่ทำตามความคาดหวังของพวกเขา

“ทำงานให้เสร็จก่อนกลับ สิ้นปีแบบนี้พวกเจ้าทิ้งงานค้างไว้ไม่ได้แล้วนะ รู้ไหม?”

คนในแผนกได้แต่มองเพลแกรนท์ด้วยสายตาหม่นหมองขณะเขาออกจากห้อง พูดว่าจะกลับมาตรวจงานพรุ่งนี้เช้า ที่จริงเพลแกรนท์พูดไม่ผิด การปล่อยงานให้คั่งค้างยังพอเป็นไปได้ถ้ายังมีเวลาเหลือ แต่ในช่วงสอบบัญชีสิ้นปีแบบนี้เป็นเรื่องยาก

ส่วนเขาไม่มีใครหยุดให้เลิกงานก่อนเวลาได้ เพราะเขามาก่อนคนอื่นและทำงานของตัวเองจนเสร็จ อย่างไรก็ตาม ถ้าคนในแผนกทำงานเสร็จก็กลับบ้านตรงเวลาได้

เมื่อออกจากที่ทำการเขต เพลแกรนท์เดินเรื่อยเปื่อยในตลาดแล้วลอบเข้าไปในตรอก เขาเดินอย่างรวดเร็วไปทางฝั่งตะวันออกของเมืองหลวงและเข้าไปในร้านเหล้าไม่โดดเด่นแห่งหนึ่งที่อยู่มุมตรอก

เหมือนร้านเหล้าก้นซอยทั่วไป ขวดเหล้ากลิ้งบนพื้น และคนท่าทางเหมือนนักเลงกำลังดื่มเหล้ากันอยู่ แต่ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีเศษฝุ่นแม้แต่ในมุมร้าน เหล่านี้เป็นรายละเอียดเล็กน้อย แต่ทำให้เพลแกรนท์แน่ใจ

เพลแกรนท์เข้าไปในร้านและไปหาบาร์เทนเดอร์ เขาหยิบเหรียญทองแดงออกมาห้าเหรียญและพูด “ขอเหล้าที่ถูกที่สุด”

เงินเดือนของเพลแกรนท์ไม่ต่ำขนาดต้องดื่มเหล้าถูกที่สุดของร้านแบบนี้

บาร์เทนเดอร์มองเพลแกรนท์ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ขอเหล้าถูกที่สุดทั้งๆที่ใส่สูทหรูแบบนี้นะ”

บาร์เทนเดอร์พูดเหมือนเยาะเย้ย เพลแกรนท์รู้สึกอายเล็กน้อย แต่เขาไอแห้งๆแล้วตอบ “มันไม่เกี่ยวกับเจ้าไม่ใช่เหรอ?”

บาร์เทนเดอร์ทำเสียงหึ “งั้นจะเอาอะไร?”

เขาพูดอย่างไม่มีความเคารพ แต่เพลแกรนท์ไม่สนใจ “ตะวันพักผ่อน...”

“ฮะ ห้าเหรียญทองแดงสำหรับเหล้าแพงแบบนั้นเหรอ? เฮ้ย เด็กๆ!”

พวกอันธพาลที่กำลังจิบเหล้าลุกขึ้นและเดินมาหาเพลแกรนท์

“พี่ชาย อย่ามาก่อเรื่องที่นี่สิ”

ชายร่างโตที่ล้อมเพลแกรนท์คว้าแขนของเขาและลากไปประตูหลังของร้าน

“เจ้าจะพาข้าไปไหน?!”

เพลแกรนท์ร้อง แต่พวกอันธพาลไม่สนใจและลากต่อ พอเปิดประตูหลัง แทนที่มันจะพาไปข้างนอก กลับเป็นบันไดนำไปใต้ดิน

เมื่อขึ้นบันไดและปิดประตู พวกเขาก็ปล่อยแขนเพลแกรนท์ เพลแกรนท์รีดชุดสูทให้หายยับและลงบันไดโดยไม่พูดอะไร สุดบันไดมีประตูบานหนึ่ง เพลแกรนท์เคาะประตู และประตูเลื่อนเปิดออก

เพลแกรนท์รู้สึกขัดๆที่ประตูที่มีด้ามหมุนกลับเป็นประตูเลื่อน แต่เขาเดินเข้าไปอยู่ดี

เข้าประตูไปเป็นห้องค่อนข้างใหญ่ตกแต่งหรูหรา กลางห้องเป็นโต๊ะและโซฟา ที่นั่งบนโซฟาเป็นผู้หญิงคลุมหน้าคนหนึ่ง

“ยินดีต้อนรับ ข้าควรเรียกเจ้าว่า หัวหน้า เพลแกรนท์ วอน โบโลญนีโอไหม?” เสียงผู้หญิงฟังขี้เล่น

เพลแกรนท์นั่งตรงข้ามเธอ “เรียกตามที่สะดวกเถอะ แต่เปลี่ยนรหัสผ่านไม่ได้เหรอ?”

เขาเข้าใจว่าต้องมีรหัสผ่าน แต่ที่เขาถูกลากมันไม่ค่อยน่าดู

หญิงคลุมหน้าทำเป็นประหลาดใจ “โอ เจ้าคงไม่ชอบละครของแหล่งข่าวแม่ใหญ่ของเรา สายสืบโบโลญนีโอ ไวท์”

เพลแกรนท์ขมวดคิ้ว เขาบอกให้เรียกชื่อเขาอย่างไรก็ได้ แต่การเรียกเขาว่า ‘สายสืบไวท์’... เธอรู้เรื่องของเขาแค่ไหน?

เมื่อเพลแกรนท์คิดสงสัย หญิงคลุมหน้าก็ท่องขึ้นมาเหมือนอ่านใจเขา

“เพลแกรนท์ วอน โบโลญนีโอ บุตรคนที่สามของเคานท์โบโลญนีโอ เครือญาติของดยุคอาร์ทีมิส และน้องชายของเคานท์โบโลญนีโอคนปัจจุบัน ปัจจุบันทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายในที่ทำการเขต เขาเคยทำงานในกองคลังแต่ถูกส่งมาเป็นหัวหน้าฝ่ายจึงเกิดข่าวลือว่าถูกลดขั้น แต่แม้จะมีข่าวลืออย่างนั้น จากความสำคัญของเขาในปฏิบัติการ ‘กับดักแมงมุม’ เมื่อสี่ปี เก้าเดือน สิบสามวันก่อน-”

“หยุด!” เพลแกรนท์ตะโกนด้วยความโมโห

เพลแกรนท์หายใจหอบ หน้าแดง หญิงคลุมหน้าก้มหัวขอโทษ “ขออภัย ข้าเผลอทำตัวหยาบคายไปเพราะรู้สึกว่าเจ้าสงสัยพวกเรา”

พูดจบ เธอหยิบกาน้ำชาและเทใส่ถ้วยชา ส่งให้เพลแกรนท์

“ชานี้ทำจากสมุนไพรช่วยทำให้จิตใจและร่างกายสงบลง ขอบคุณสำหรับการมาเยี่ยมร้านขายข่าวแม่ใหญ่เป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการขอโทษ เราจะไม่คิดค่าบริการสำหรับข้อมูลที่เจ้าต้องการหนึ่งครั้ง”

เพลแกรนท์มองหน้าเธอ เขาไม่เห็นหน้าเพราะมีผ้าคลุมบัง แต่สายตาที่รู้สึกผ่านผ้าคลุมเย็นชา

เพลแกรนท์รู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ ดูว่าข้อมูลที่พวกเขาได้มาถูกต้องไหม

เพลแกรนท์รู้สึกไม่พอใจแต่ไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม เขาตัดสินอย่างใจเย็นว่าถึงเวลาลาออกจากงานนี้แล้วเพราะจุดอ่อนร้ายแรงของเขาถูกคนอื่นเจอ

“เจ้าบอกว่าจะให้ข้อมูลฟรีหนึ่งครั้ง?”

หญิงคลุมหน้าพยักหน้า “แน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นส่งข้อมูลทั้งหมดที่เจ้ามีเกี่ยวกับ ‘พิจิก’”

หญิงคลุมหน้าแสร้งทำเป็นตกใจด้วยการยกมือปิดปาก “ดูเหมือนข้าต้องจ่ายค่าชดใช้ราคาแพงจากการทำตัวหยาบคายชั่วครู่”

แม้พูดอย่างนั้น แต่อารมณ์ของเธอไม่เปลี่ยนแปลง เพลแกรนท์ทึ่งในใจที่เธอทำเหมือนทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย เขายังสังเกตว่าเธอจงใจส่งข้อมูลให้ ไม่อย่างนั้น คงไม่จงใจพูดว่าจะให้ข้อมูลฟรีๆ

ราวกับเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อเธอกวักมือ ชายคนหนึ่งก็เปิดประตูและนำซองเอกสารเข้ามา

“เอาไปสิ”

เพลแกรนท์รับซองเอกสารและถาม “เจ้าเป็นใคร?”

หญิงคลุมหน้ายิ้ม “เรียกข้าว่าผู้จัดการสำนักงานใหญ่เถอะ”

เสียงของเธอฟังอายุน้อยมาก


สารบัญ                                             บทที่ 82



วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 80

 บทที่ 80

ถึงตอนเย็นฟ้าก็เริ่มมืดเพราะกลางวันสั้นลง ดูเหมือนฤดูหนาวจะมาถึงแล้ว ข้อดีคือผมได้กลับบ้านตรงเวลา

“ร่าเริงไว้ วันนี้ข้าเลี้ยงเหล้านะ”

“ขอบใจ”

ผมถอนหายใจและขอบใจแฟลม

หัวหน้าของแฟลมหัวเราะ ‘ฮ่าๆๆ’ เมื่อแฟลมทำพลาด แต่ของผมเหมือนมีด ไม่สิ เขาเหมือนคนไม่พอใจที่ไม่ได้กลั่นแกล้งผม ผมสงสัยว่าเขาเป็นศัตรูในชาติปางก่อนหรือเปล่า

แน่นอน ชาติก่อนผมทำอะไรไว้หลายอย่าง คนที่เข้าข่ายมีเยอะจนไม่รู้ว่าคนไหน ดังนั้นปล่อยไปเถอะ

การฝึกวันสุดท้าย ผมน่าจะคุยแบบเปิดอกกับหัวหน้าผู้ชอบข่มขู่นะ แบบนั้นเขาจะได้สำนึกตัวและพูดว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นตัวเห็บ

พวกเราไปที่ร้านเหล้าใกล้ๆที่ดูใช้ได้

“หอพักไม่ได้ห้ามดื่มเหล้าเหรอ?”

เท่าที่ผมรู้ ผู้ดูแลหอพักเป็นคนเข้มงวดมาก

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร เมื่อวานเขาประกาศว่าอนุญาตให้พวกเราดื่มเหล้าได้ แต่ต้องกลับมาแบบมีสติ”

ดูเหมือนผู้ดูแลจะคลายความเข้มงวดลงเพราะการฝึกใกล้จบแล้ว

“ดี อ้อ ขอเบียร์สองกับไส้กรอกหนึ่งจานครับ”

เมื่อผมสั่งเสร็จ แก้วเบียร์ขนาดใหญ่มากก็มาถึง กับแกล้มยังไม่มา แต่ผมยกเบียร์ขึ้นดื่มแล้ว

“ฮ้า!”

หัวหน้าคนนั้นต้องบ้าแน่ มีใครที่ไหนให้ ใบเสร็จหนึ่งกอง, กระดาษหนึ่งปึก, และลูกคิดแล้วบอกเด็กใหม่ให้ทำสรุปรายจ่ายสิ้นปี?

ใบเสร็จกองนั้นแม้แต่จัดเรียงยังไม่ถูกจัด ผมเลยต้องเริ่มตั้งแต่จัดเรียง ถ้าผมไม่ได้สร้างตารางเอ๊กเซลขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ ตอนนี้คงยังต้องนั่งดีดลูกคิดอยู่

แต่ที่จริงแล้วผมไม่แน่ใจว่ามันจะถูกต้องเพราะผมต้องทำจากสมุดบัญชีและไม่ได้ตรวจกับรายการเดินบัญชีธนาคาร อย่างไรเสียผมก็ไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะตรวจได้ แต่ผมคำนวณใบเสร็จทั้งหมดที่ได้มา และเผื่อว่าจะมีรายการเดินบัญชีโผล่มาภายหลัง ผมจึงปล่อยให้มีช่องว่างไว้เพื่อจะได้เปลี่ยนได้ ดังนั้นผมแน่ใจว่าจะจัดการกับปัญหานี้ได้ทีหลัง

หลังจากเจอกับหัวหน้าเพลแกรนท์ เขาดูจะไม่อยากให้ผมผ่านการฝึก ดังนั้นผมจึงดูเหมือนจะต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อต่อให้เขาไม่อยากยังไงก็คงต้องให้คะแนนผมกลางๆ

แก้วเบียร์ว่างเปล่าก่อนผมจะรู้ตัว

“อีกแก้ว!”

“ดื่มเร็วไปหรือเปล่า?” 

แฟลมกังวล แต่เผ่ากามีกระเพาะเหล็ก!

***

เพลแกรนท์ที่นั่งข้างอาร์คันทาถอนหายใจขณะรับแก้วเบียร์จากนายกรัฐมนตรี

“ข้าบอกหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าอย่าส่งเด็กฝึกงานมา?”

“ฮ่าๆ ข้าส่งเด็กฝึกงานไปให้หัวหน้าทุกแผนก คงยกเว้นเจ้าไว้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” อาร์คันทาหัวเราะและจิบเบียร์

แต่เพลแกรนท์ทำหน้าตึงมองอาร์คันทาอย่างเดียว

อาร์คันทาหยุดยิ้มและวางแก้วลง “ยังลืมเรื่องวันนั้นไม่ได้อีกเหรอ?”

เพลแกรนท์ก้มหน้าลงเหมือนรู้สึกผิด

“ขอโทษครับ”

“สี่ปี ไม่สิ เกือบห้าปีแล้ว ตั้งแต่เด็กฝึกงานที่เจ้าดูแลเข้าไปพัวพันกับงานของเจ้าและตาย ข้าจะไม่บอกให้ลืมหรอก แต่มันจบไปแล้ว เจ้าลงโทษตัวเองมามากแล้ว ควรหยุดได้แล้ว”

เพลแกรนท์ขมวดคิ้วและส่ายศีรษะ “ถ้าข้ายังลืมไม่ได้และคิดถึงมันเสมอ สำหรับคนอื่นข้าไม่รู้ แต่สำหรับข้าแสดงว่ามันคือปัจจุบัน”

อาร์คันทามองรอยย่นที่หว่างคิ้วของเพลแกรนท์ หน้าผากเพลแกรนท์มีรอยลึกจนต่อให้เขาไม่ได้ขมวดคิ้วก็เหมือนกำลังขมวดคิ้วอยู่

เขารู้ว่ารอยย่นนั้นมาจากความรู้สึกผิดและทรมานตัวเองของเขา

“เพราะอย่างนี้เจ้าเลยรังแกพวกเด็กฝึกงานเหรอ? เพื่อไม่ให้เข้าใกล้เจ้า?” อาร์คันทาถาม

เพลแกรนท์ยิ้มขม มองกลับไปที่การกระทำของเขา  เขาอาจเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำที่เกิดจากแผลใจ ว่าเด็กฝึกงานอาจตายเพราะใกล้ชิดกับเขา

“ครับ ข้าเสียใจกับเด็กฝึกงานด้วย แต่ข้าชอบเอาแต่หาเรื่องตำหนิพวกเขาโดยไม่รู้ตัว” 

อาร์คันทายิ้มและพูดหยอก “คราวนี้เด็กฝึกงานอยู่ได้กี่ชั่วโมงล่ะ ถ้าทนได้ถึงสามชั่วโมง ข้าต้องชวนเขามาทำงานที่กองคลังแล้ว”

เพลแกรนท์หัวเราะ

“กองคลังที่ถูกคนๆนั้นปั้นขึ้นมาน่ะหรือครับ? สามชั่วโมงจะพอเหรอ? ท่านไม่คิดเหรอว่าเขาต้องทนอย่างน้อยสามวัน?”

“ฮ่าๆ อย่างนั้นเชียว?”

“เฮ้อ ถ้าคิดแบบนั้น เด็กฝึกงานคนนี้ก็สมควรถูกชวน”

อาร์คันทาประหลาดใจ หัวหน้าแผนกคนนี้จู้จี้เจ้าระเบียบจนต้องเป็นคนมีความสามารถมากทีเดียวที่ทำให้เขาพูดแบบนั้นออกมา

“ใครกันที่ทำให้เจ้าพูดแบบนั้นได้?”

“เขาบอกว่าชื่อ...เดน” เพลแกรนท์ตอบ

อาร์คันทาคิดในใจ’ไม่จริงน่า’

มาคิดดูแล้ว เขาได้รับรายงานว่านักเรียนชื่อเดนที่พักในหอพักของแม่ของเขา สอบข้าราชการผ่านและตอนนี้เป็นผู้รับการฝึก

“ถ้าท่านสนใจ จะให้ข้าทำการตรวจสอบและเอามารายงานครั้งหน้าไหม?”

อาร์คันทาส่ายศีรษะให้เพลแกรนท์

“ไม่ต้อง ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเป็นการส่วนตัวหรอก เจ้างานยุ่งไม่ใช่เหรอ? ไว้ข้าจะดูผลการฝึกที่เจ้าประเมินทีหลังก็พอ”

“เข้าใจแล้วครับ”

เพลแกรนท์ดื่มเหล้าและเอาซองเอกสารออกมาจากกระเป๋า

“นี่เป็นเอกสารเกี่ยวกับการตรวจสอบ ‘พิจิก’ ครับ”

“ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

อาร์คันทาก้มหัวให้ เพลแกรนท์รู้สึกอึดอัดและโบกมือ

“ไม่หรอกครับ พวกนั้นก็เป็นศัตรูของข้าเหมือนกัน”

อาร์คันทาอ่านเอกสารในซองทันที มันเขียนถึงการสะกดรอยการเคลื่อนไหวของคนๆหนึ่งในวันที่ผ่านมา

“คนนี้” อาร์คันทาพูด

“เป็นแหล่งข่าวคนหนึ่งที่ข้าหาเจอครับ”

“ข้อมูลมันน้อยเกินกว่าจะเรียกคนๆนี้ว่าแหล่งข่าวของพิจิก”

หัวหน้าแผนกพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

อาร์คันทาอ่านเอกสารอย่างครุ่นคิด “มันอาจเป็นเหยื่อล่อ” ถ้ารีบร้อนแตะมัน อาจจะอันตรายกว่าเดิม

เพลแกรนท์เข้าใจความหมายของอาร์คันทาและฝืนยิ้ม “แต่มันเป็นเบาะแสเดียว”

“เจ้าอาจตาย” อาร์คันทาเตือน

เพลแกรนท์ลุกขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มขม “ถ้าอย่างนั้นปัจจุบันของข้าก็จะจบลง”

อาร์คันทาฟังแล้วเศร้า เขาควรแบกรับความผิดเอาไว้ แต่การที่เขาแบกรับไม่ได้ทำให้รู้สึกโหดร้าย

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนครับ”

ร้านเหล้าเงียบลงมากเมื่อเพลแกรนท์คำนับลาและจากไป อาร์คันทาถือแก้วแน่นในที่อันเต็มไปด้วยความเงียบ เสียงน้ำแข็งกระทบกันในแก้วฟังเศร้าสร้อย

***

ผมตื่นขึ้นตอนเช้า กุมหัวด้วยความรู้สึกเหมือนมันกำลังจะแตก อาการเมาค้างไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย

“น้ำ”

ผมใช้เวทมนตร์เสกน้ำขึ้นมา และดื่มน้ำที่ลอยกลางอากาศ จากนั้นลุกจากเตียง เปิดหน้าต่างและร่ายเวทมนตร์

“เกาะกลุ่มออกซิเจน”

ออกซิเจนมารวมกันรอบตัวตามพลังเวทของผมและโมเลกุลอื่นถูกดันออกไป เวทมนตร์นี้มาจากหนังสือที่ผมยืมจากยูเรีย และถูกอ้างว่าเป็นเวทมนตร์จำเป็นสำหรับเผ่าผีเสื้อที่อาศัยในพื้นที่สูง

“ฮู่ ฮ่า ฮู่ ฮ่า!”

เมื่อผมหายใจเอาออกซิเจนเข้มข้นเข้าไปก็รู้สึกปวดหัวน้อยลง ไม่รู้เพราะแอลกอฮอล์ทำให้ออกซิเจนไหลขึ้นสมองไม่สะดวกหรือเปล่า แต่มันได้ผล เมื่อพิจารณาว่าผมดื่มไปตั้งแต่เมื่อคืน มันอาจเป็นแค่พลาเซโบเอฟเฟคท์ ผมคิดไปเองก็ได้ว่ามันได้ผล?

ที่ช็อกยิ่งกว่าคือกระเพาะคนเผ่ากาไม่ได้ทำจากเหล็ก ผมยังอาเจียนไปสองสามรอบด้วยซ้ำระหว่างกลับหอ ผมดื่มเบียร์แค่ 30 แก้ว มันเป็นเบียร์ผสมกับน้ำอย่างอื่นครึ่งหนึ่ง ช่างเสียเกียรติคนเผ่ากาจริงๆ!

ผมอายจนบอกใครไม่ได้แล้วว่าเป็นคนเผ่ากา เออ ก็ไม่คิดจะบอกใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ผมต่อสู้กับอาการเมาค้าง ลงไปชั้นหนึ่งขณะคิดเรื่อยเปื่อย

“โอ้ ตื่นแล้วเหรอ?”

เหมือนเคย ลิสบอนทักทายผมตอนเช้า ตอนนี้มันเกือบ 6:40 เจ้าขี้ใจอ่อนนี่ตื่นตอนไหน? 

เสื้อผ้าของเขาเปียกเหงื่อ ต่างจากสภาพเรียบร้อยของเขาตามปกติ ดูเหมือนจะไปออกกำลังกายมา

ตอนมาเมืองหลวงผมไม่คิดว่าเขาตื่นเช้าขนาดนี้ แต่ดูเหมือนจะใส่ใจเรื่องการฝึกกว่าเดิมหลังจากเข้าโรงเรียนอัศวินและมีเป้าหมาย เป้าหมายของเขาคือเข้าหน่วยอัศวินควายดำของลุงบลัดดี้

ผมไม่เข้าใจเขาเลย ดูเหมือนเขาจะได้ยินเรื่องดีๆมาตอนสอบเข้า

“เจ้าไม่หนาวเหรอ?”

ตอนนี้เป็นหน้าหนาว ฟ้ายังมืดและเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของวัน

“หืม? อ๊ะ ข้าสบายดี ออกจะร้อนมากกว่า?” ลิสบอนยักไหล่

“อ๊ะ เพิ่งนึกได้ แต่ที่เจ้าพูดเมื่อวานไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม?”

ที่ผมพูดเมื่อวาน? อ้อ?

“มาแล้วเหรอ เจ้าขี้ใจอ่อน?”

“นั่นแหละ! เจ้าพูดอย่างนั้นหมายความว่ายังไง? พูดเพราะเมาใช่ไหม?”

ลิสบอนมองผมอย่างน้อยใจแบบไม่ค่อยได้เห็น ผมพยักหน้า

“เขาว่าคนเมาจะพูดความจริง”

ลิสบอนดูช็อกเหมือนถูกทรยศ “ใจร้าย! ทำไมเรียกข้าอย่างนั้นล่ะ เมื่อคืนเอลี่ได้ยิน ตั้งแต่นั้นมาก็เรียกข้าอย่างนั้นตลอด!” 

ผมหัวเราะเมื่อเห็นลิสบอนที่ใกล้จะร้องไห้เต็มที

“ฮ่าๆ เข้าใจอลิซเลย เพราะเจ้าทำให้พวกเจ้าแทบไม่มีเงินเดินทางมาเมืองหลวง”

“ก็จริง แต่มันเกินไป!”

เจ้าขี้ใจอ่อนวิ่งไปห้องอาบน้ำด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่พอเลิกงานเขาก็คงลืมหมด ไม่อย่างนั้นจะถูกเรียกว่าขี้ใจอ่อนได้ยังไง?

ผมเข้าไปในห้องครัวและหาอะไรกิน

“โอ้ หลับสบายไหมคะ?”

ในห้องครัวมีคนครัวที่คุณนายอาซิลลาจ้างมา

“มีอะไรให้กินไหม?”

ผมกุมท้อง เธอหัวเราะและหยิบแอปเปิลลูกหนึ่งออกจากตู้เย็น

“รอสักครู่นะ ข้าปอกให้”

คุณนายอาซิลลาพูดและหยิบแอปเปิลจากคนครัว

“ข้ากินนี่เป็นอาหารเช้านะครับ วันนี้ต้องไปเร็วหน่อย”

“เมื่อคืนเจ้าเมาขนาดนั้น กินแค่นี้จะไหวเหรอ?” คุณนายอาซิลลาถามขณะบังเด็กสาวที่พยายามหยิบของจากตู้เย็นเพิ่ม

“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ แต่ร่างกายข้าแข็งแรง ขอบคุณสำหรับแอปเปิลนะพลีน่า”

เธอน่าจะชื่อพลีน่า ดูจากที่เธอแปลกใจตอนผมเรียกแล้วผมคงเรียกถูก

ผมกินแอปเปิลพลางเตรียมตัวไปทำงาน สำหรับผลไม้ที่ออกมานอกฤดูกาลแล้วมันอร่อยและสดมาก


สารบัญ                                       บทที่ 81


วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 79

 บทที่ 79

จะว่าไปก็ใกล้ถึงวันเกิดพี่สาวของผมแล้ว ผมส่งพรเทวีไปให้ หวังว่าจะได้รับดีแล้ว

ตอนแรกผมตั้งใจจะเอามันไปทำเป็นสร้อยคอหรือเครื่องประดับอย่างอื่น แต่พลอยนั่นโด่งดังเกินไปจนผมไม่กล้าให้ช่างทำเครื่องประดับเห็น หรือถ้าผมทำเองก็กลัวจะทำเสียของ จึงส่งไปทั้งอย่างนั้น ไม่เหมือนผม ช่างของหมู่บ้านใช้มือเก่ง ผมเชื่อว่าเขาจะสามารถเอามันไปทำเป็นอะไรสักอย่างได้

“โอ้ ข้างในอุ่นนะ”

แฟลมสัมผัสลมอุ่นและสีหน้าผ่อนคลายลง

“ข้างในสะอาดกว่าที่คิด”

มันสะอาดกว่าที่ทำการอำเภอที่ผมเคยไปรายงานตัว

“ข้าอยู่แผนกสาม แฟลม เจ้าล่ะ?”

“ข้าอยู่แผนกสี่”

ที่ทำการเขตมีทั้งหมด 5 แผนก แต่ละแผนกรับเด็กฝึกงานหนึ่งคน ถ้าเป็นการฝึกต่างๆที่จะจัดขึ้นภายหลังก็จะเป็นการฝึกร่วมกับอีกหลายคนเหมือนเป็นชั้นเรียน แต่ในจักรวรรดิมีที่ทำการหลายที่จึงฝึกเป็นรายคนได้ แฟลมกับผมมีผลการฝึกอยู่ระดับบนจึงถูกส่งไปที่ทำการเขต คนที่ผลการฝึกต่ำลงไปก็ถูกส่งไปที่ทำการอำเภอ

เพื่อเป็นข้อมูล ผมเคยไปที่ทำการอำเภอครั้งหนึ่งเพื่อรายงานการส่งตัว แต่สภาพที่นั่นไม่ดีนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่ทำการเขต แต่ดูจากที่นี่มีเครื่องทำความร้อน ความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมในที่ทำงานระหว่างทั้งสองที่ก็ชัดเจนมาก อาคารสะอาดเรียบร้อยขนาดทำให้อยากยกผลการฝึกตัวเองขึ้นเล็กน้อยเพื่อมาทำงานในที่ทำการเขต

แฟลมกับผมขึ้นไปชั้นสองเพื่อไปยังแผนกที่เราถูกส่งมาฝึกงาน ทันทีที่มาถึงชั้นสองเราก็เห็นป้ายแขวนเขียนว่า “ได้รับเลือกจากราชวงศ์ให้เป็นที่ทำการเขตยอดเยี่ยม” และตัวอักษรที่เล็กลงมาด้านล่าง “ขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับความพยายามของทุกคน”

ผมแทบหัวเราะลั่นเมื่อเห็นป้ายที่เหมาะกับการเอาไปแขวนในสถาบันแห่งชาติสักที่ ดูเหมือนทุกโลกมีของแบบนี้

ดูเหมือนในระดับที่ทำการเขต ราชวงศ์จะเป็นฝ่ายดูแล

“ข้าไปทางนั้นนะ” แฟลมชี้ไปที่ประตูที่เขียนว่าแผนกที่สี่

ผมดูด้วย

“ข้าทางนั้น”

ประตูข้างแผนกที่สี่คือแผนกที่สาม

“งั้นไว้เจอกัน เสร็จแล้วไปดื่มกันไหม?”

แฟลมทำท่าดื่มหน้าประตูและผมพยักหน้า

“เข้าท่า”

ในหอพักมันเสียงดังเกินกว่าจะดื่มคนเดียว แต่ถ้าจะดื่มกับคนอื่น... นอกจากผมแล้วก็มีแต่คุณนายอาซิลลาที่ดื่มเหล้าได้ แต่เธอชอบไวน์ซึ่งชั้นสูงเกินไปไม่ค่อยเหมาะกับผม และสำหรับผมที่ชอบดื่มเบียร์แก้วใหญ่ทำจากธัญพืชประเภทอื่นๆแล้วจะเอามันไปแนะนำให้เธอดื่มก็คงไม่ดี

ผมเข้าประตูที่เขียนว่าแผนกที่สาม

“หือ?”

ผมเห็นที่เปิดโล่ง ไม่ใช่ห้องเล็กๆ มีโต๊ะตั้งเป็นกลุ่มใต้ป้ายไม้แขวนลงมาจากเพดานเขียนว่า ‘แผนกที่สี่’ ข้างๆมีป้ายไม้เขียนว่า ‘แผนกที่สาม’

และเมื่อผมหันไปมองข้างๆ ก็สบตากับแฟลม ถ้าเป็นแบบนี้แล้วทำไมต้องทำประตูสองบาน?

แฟลมกับผมยิ้มเก้อๆและตรงไปที่โต๊ะที่มีป้ายชื่อ ‘หัวหน้าแผนก’

ที่โต๊ะ ชายอายุราว 40 ผอม ใส่แว่น กำลังนั่งอ่านเอกสาร ผมสีน้ำตาลเข้มที่แสกเป็น 2:8 และรอยย่นกลางหน้าผากทำให้ดูเป็นคนเข้มงวด

หัวหน้าแผนกที่สาม เพลแกรนท์ วอน โบโลญนีโอ เมื่ออ่านป้ายชื่อแล้วผมก็คำนับ

“สวัสดีครับ! ผมเป็นผู้รับการฝึกที่ได้มาฝึกงานที่นี่ เดน วอน มาร์ค ครับ! หนึ่งสัปดาห์นี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ!” 

ดี คำนับ 60 องศา กับเสียงเข้มแข็งที่ไม่ดังหรือเบาเกินไปและฟังสุภาพ มือทั้งสองข้างอยู่เหนือสะดือ คะแนนเต็มสำหรับการทักทายครั้งแรก

เหลือบมองไป แฟลมกำลังทักทายเหมือนทักพี่น้อง ด้วยแขนที่กางออกเล็กน้อยกับเสียงดัง

แย่ล่ะ! ผมเป็นห่วงแฟลมเล็กน้อย แต่หัวหน้ายิ้มอย่างใจดี ผมคำนับ แต่หัวหน้าที่รับการคำนับจากผมไม่มีปฏิกิริยา

ผมเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อมองหน้าของหัวหน้า แต่เขามองต่ำใส่ผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“เจ้า... ตอนนี้กี่โมงแล้ว?”

เขาถามด้วยเสียงค่อนข้างหงุดหงิด ผมเหยียดหลังกลับขึ้นมาช้าๆพลางตอบ “เจ็ดโมงห้าสิบนาทีครับ!”

“ทำไมมาสายนัก!”

พูดบ้าอะไรของเขาน่ะ?!

ผมได้จดหมายบอกให้มาตอน 8:30 จึงตั้งใจจะมาตอนแปดโมง 30 นาทีก่อนเวลานัด แต่ยังมาเร็วไป 10 นาทีเพราะเดินเร็ว แต่อะไร? สาย? ผมน่ะนะ?

“สำหรับเจ้านี่เป็นวันเริ่มงานวันแรก เจ้าควรมาตอนเจ็ดโมงครึ่ง!” หัวหน้าคำราม

ผมก้มหัวอีกครั้ง “ขอโทษครับ!”

โชคร้ายชะมัด! นี่ไม่ใช่เวลาเป็นห่วงคนอื่นแล้ว แม่งเอ๊ย ทำไมผมโชคร้ายแบบนี้!

นี่ไม่เกี่ยวกับพฤติกรรมของผม แต่เพราะมาเจอคนแบบนั้น ทันใดนั้นผมก็อิจฉาแฟลมขึ้นมา ถ้าเปลี่ยนกันจะช้าไปไหม?

“ขอโทษแล้วมันจบไหม!?”

ผมรับเสียงตวาดด้วยการจ้องเข็มติดเน็คไทของหัวหน้า ไม่ใช่หน้าของเขา

เวลาแบบนี้ ถ้ามองพื้นจะถูกตำหนิที่มองไปที่อื่น แต่ถ้ามองหน้าจะถูกตำหนิว่าไม่สำนึกผิด เราต้องมองไปยังที่ๆเขาตำหนิไม่ได้ พยักหน้าและตอบรับว่ากำลังฟังเสียงบ่นอยู่

“ไม่จบครับ”

“ชิ เพราะอย่างนี้เด็กสมัยนี้ถึงใช้ไม่ได้”

ผมอยากเตะหัวหน้าที่กำลังเดาะลิ้นให้เต็มแรง แต่คนนี้เป็นคนที่จะให้คะแนนผม ไม่สิ ถ้าผมเตะเต็มแรงเขาจะตายเอา ผมไม่แย่ขนาดจะฆ่าคนเพราะเรื่องแบบนี้ แน่อยู่แล้ว เอาแค่เบาะๆด้วยการถุยน้ำลายใส่น้ำชาที่เขาดื่มแทน

เมื่อผมยืนนิ่งรอฟังคำบ่น เขาตวาด “ไป!”

“ครับ!”

ผมจะทำหน้าน้อยใจไม่ได้ ข้อมูลยังมีไม่พอจะตัดสินว่าหัวหน้าคนนี้เป็นคนยังไง แต่มีกรณีที่ถ้าทำหน้าน้อยใจจะยิ่งถูกตำหนิมากขึ้น

ผมถอยอย่างระวัง ชายอ้วนคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะอยู่แผนกเดียวกับผมเดินมาหา

“เอ่อ ฮะๆ บอกว่าชื่อ เดน ใช่ไหม? นั่งตรงนี้นะครับ”

ที่นั่งที่เขาชี้ไปพร้อมกับรอยยิ้มขัดเขินคือที่ๆอยู่ใกล้หัวหน้าที่สุด

เมื่อผมมองด้วยสีหน้า ‘ไม่มีที่อื่นที่ไกลหน่อยแล้วเหรอ’ เขากระซิบ “ตรงนี้เป็นที่นั่งของเด็กฝึกงาน”

เพราะหัวหน้าเป็นคนประเมิน เด็กฝึกงานจึงต้องนั่งตรงนี้เพื่อให้เขามองเห็นง่ายๆ

“ร่าเริงไว้นะ!”

ชายอ้วนมองผมด้วยสายตาขอโทษและกลับไปนั่งที่ของเขา

ดูจากท่าทางแล้วของเขาแล้ว หัวหน้าคงเป็นคนแบบนั้น

แม่งเอ๊ย เวรแล้วไง!

***

ตอนเย็น เพลแกรนท์ลุกขึ้นเพื่อเลิกงาน

จากนั้นเด็กฝึกงานคนใหม่ที่นั่งใกล้เขาที่สุดก็หยุดทำธุระของเขาและลุกขึ้น

“หัวหน้า เลิกงานแล้วเหรอครับ!”

เพลแกรนท์ทวนชื่อของเด็กฝึกงานในใจ ชื่อเดนใช่ไหม? เห็นเขาทำงานแข็งขันและดูอารมณ์ดีแล้วทำให้รู้สึกดี

“ที่หยุดนี่เพราะทำงานเสร็จแล้วเหรอ?”

“ครับ! ที่ท่านสั่งทำเสร็จหมดแล้วครับ”

เพลแกรนท์ประหลาดใจ ที่เขาสั่งให้เดนทำไม่ใช่ของที่จะทำให้เสร็จได้ในวันเดียว

“เอามาให้ดูสิ” เพลแกรนท์ขมวดคิ้วจริงๆ และยื่นมือไปยังเด็กฝึกงาน

ถ้าทำงานแบบครึ่งๆกลางๆเพราะอยากจะเลิกงานเร็ว เขาคงต้องดุจริงๆแทนที่จะเพียงตำหนิเล็กน้อย

“นี่ครับ”

เดนส่งกระดาษปึกหนาให้ เพลแกรนท์ตรวจเอกสารอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่เพลแกรนท์ให้เด็กฝึกงานทำคือเรียงบัญชีสำหรับตรวจสอบสิ้นปี มันไม่ใช่งานที่เขาส่งให้ด้วยความตั้งใจจะเห็นมันเสร็จ

มันเป็นงานที่เพลแกรนท์ไม่ให้พนักงานใหม่ทำ เขาส่งงานนี้ให้เด็กฝึกงานคนใหม่ เดน พร้อมกับลูกคิดหนึ่งราง เพื่อว่าเมื่อเดนมาร้องไห้กับเขาว่าทำไม่ได้ เขาจะได้ปลดเดนออกจากหน้าที่นี้และไม่ให้เดนเข้าใกล้เขาได้อีก 

แต่ทว่า มองผ่านๆแล้ว บัญชีดูถูกต้องสมบูรณ์ เพื่อให้แน่ใจ เขาต้องตรวจใบเสร็จและรายการเดินบัญชีธนาคาร แต่ดูคร่าวๆมันตรงกับที่เขาจำได้

“และนี่คือใบเสร็จกับเอกสารเบิกจ่ายเรียงตามวันที่ครับ”

เพลแกรนท์กลัว หมอนี่มันอะไรกัน?

ตอนเช้าเขาไปตลาดเพื่อซื้อชากับขนมให้คนในแผนก, ช่วยขนของหนัก, และทำงานจิปาถะตามที่สั่ง แต่ยังมีเวลาทำงานนี้เสร็จ?

สัตว์ประหลาดอะไรนี่?

จำนวนใบเสร็จและเอกสารขออนุมัตินั้นเยอะจนแม้แต่เขาเองทำทั้งวันยังไม่เสร็จ เขาสงสัยว่าเด็กฝึกงานได้รับความช่วยเหลือจากคนในแผนกหรือเปล่า แต่เด็กฝึกงานสายตาไร้เดียงสาคนนี้อยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่เช้า เขาคิดว่าเขายอมแพ้ไปแล้วเพราะไม่เห็นแตะลูกคิด แต่ดูเหมือนเขาแค่คิดเลขในใจ

จะด่าดีไหม? สำนึกผิดชอบชั่วดีของเพลแกรนท์ไม่ยอมให้เขาทำอย่างนั้น

“ฮึ่ม! ทุกคนเลิกงานได้”

เพลแกรนท์โยนปึกเอกสารลงบนโต๊ะของเขาและออกไป จากด้านหลังได้ยินเสียงร้องอย่างดีใจของคนในแผนก

หัวหน้ายิ้มและออกจากที่ทำการเขตอย่างรวดเร็ว เขาดูนาฬิกาและเร่งฝีเท้าผ่านถนนหลายๆสายพลางคิดว่าใกล้จะสายแล้ว

หยุดตรงหน้าร้านเหล้าที่ปิดอยู่ ในตรอกแห่งหนึ่ง เพลแกรนท์หายใจหอบและเอาบัตรข้าราชการของเขาไปยังประตู

ปี๊บ!

เมื่อเกิดเสียง ชายร่างบึกบึนคนหนึ่งก็ออกมาจากร้านเหล้า

“มาช้าไปนิดนะ”

“งานมันยุ่งช่วงสิ้นปีเจ้าก็รู้ เจ้าเป็นข้าราชการเหมือนกัน”

เขายิ้มเมื่อได้ยินเพลแกรนท์พูดอย่างนั้น “รู้ ช่วงนี้เจ้าทำข้าจะตายแล้ว”

เพลแกรนท์ยิ้มให้ความขวานผ่าซากของชายคนนั้น

“ถึงอย่างนั้น เจ้าได้เลิกงานเร็วเพราะชั่วโมงทำงานที่ท่านเป็นคนกำหนดนี่?”

“เพราะเจ้า จำนวนครั้งที่ข้าเลิกงานเร็วเลยนับได้ด้วยมือข้างเดียว”

ขณะพวกเขาคุยกัน เสียงก็ดังมาจากข้างในร้านเหล้า

“พวกเจ้าคุยอะไรกันตรงนั้น? เข้ามาสิ”

เพลแกรนท์เข้ามาข้างใน เมื่อประตูปิดก็ล็อกอัตโนมัติพร้อมเสียงดังแคล้ง

เพลแกรนท์ไม่รู้สึกถึงมัน แต่เขารู้ว่าข้างในร้านเหล้าถูกป้องกันด้วยเวทมนตร์หลายชนิด เขาก้าวเข้าไปอีกก้าวและคำนับ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ท่านนายกรัฐมนตรี”

อาร์คันทายิ้มให้เพลแกรนท์



สารบัญ                                 บทที่ 80



วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 78

 บทที่ 78 – แผนวางยาพิษของข้าราชการคนหนึ่ง (1)

ลึกเข้าไปในป่าโอลิมปัส ทูตคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในศาลากลางของหมู่บ้านเผ่ากา เขารีบเข้าไปในห้องทำงานที่เขียนว่า ‘ที่ทำงานหัวหน้าเผ่า’ ในมือมีกล่องอันเต็มไปด้วยจดหมาย

“รองหัวหน้าเผ่า! จดหมายจากหัวหน้าเผ่าน้อยมาแล้ว!”

เฮสเทียวางเอกสารลงและพูด “ข้าบอกหลายครั้งแล้วนะ ไม่ใช่รองหัวหน้าเผ่า แต่เป็นรองหัวหน้าหมู่บ้าน”

ด้วยความปรารถนาจะปฏิรูปเผ่ากาที่ค่อนข้างปิดกั้นจากภายนอก เธอเริ่มจากเปลี่ยนตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ไม่มีใครเรียกชื่อตำแหน่งใหม่นี้

คิดว่าจะเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อตำแหน่งหัวหน้าเผ่าตามเดิมดีไหม เฮสเทียรับจดหมายจากทูต

เมื่อเดนเบอร์กหนีไป เขาทิ้งจดหมายบอกว่าจะส่งจดหมายมาทุกเดือนเพื่อไม่ให้พวกเธอเป็นห่วง นี่เป็นฉบับที่หกแล้ว

จดหมายของเดนเบอร์กถูกส่งมาถึงทูตผ่านกิจการหนึ่งในหลายๆกิจการที่เผ่ากามีส่วนร่วม แอสทีเรีย

ตลาดแอสทีเรียดำเนินการโดยดยุคแห่งแอสทีเรีย หนึ่งในสองดยุคใหญ่ของจักรวรรดิ แม้จะไม่เท่ากับตลาดดรูวาล ก็ยังถือว่ามีขนาดใหญ่ทีเดียว

เฮสเทียอ่านจดหมายและหัวเราะ มันเขียนว่าเดนเบอร์กกำลังออกล่าปีศาจในเขตแดนปีศาจ

“โกหกเก่งจริง” เฮสเทียอุทาน

ตั้งแต่เด็กแล้ว เดนเบอร์กโกหกเก่งอย่างประหลาด ในจดหมายเขาบรรยายทิวทัศน์ในแต่ละพื้นที่ของเขตแดนปีศาจ ซึ่งละเอียดจนเธอนึกภาพตามได้ มันเหมือนเขาท่องเที่ยวในเขตแดนปีศาจจริงๆ

จดหมายฉบับก่อนบรรยายทิวทัศน์ได้ละเอียดจนเธอสงสัยว่าหรือมันจะจริง ขนาดทำให้เธอขอให้ทางตลาดแอสทีเรียตามหาที่มาของจดหมาย แต่พวกเขาบอกว่าจดหมายบินมากับนกที่ทำจากเวทมนตร์มาที่สาขาเมืองวาแรนท์ ดังนั้นพวกเขาจึงตามรอยของจดหมายกลับไปไม่ได้

ครั้งหนึ่ง ตลาดแอสทีเรียพยายามจับนกเวทมนตร์เพื่อหาว่ามันมาจากไหน แต่นกของเดนเบอร์กอาละวาดและทำลายอาคาร ทิ้งไว้แต่จดหมาย โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่เผ่ากาจำได้ขึ้นใจเพราะพวกเขาต้องจ่ายค่าเสียหาย

เฮสเทีย ด้วยความนับถือในอุบายที่ฉลาดและดุดัน ล้มเลิกความพยายามตามรอยของเดนเบอร์กผ่านทางจดหมาย

“แหม เขาบอกว่าส่งของขวัญวันเกิดมาให้ข้า”

ทูตเหมือนนึกขึ้นได้และล้วงกล่องไม้กล่องหนึ่งออกจากกระเป๋า “อ้อ! ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คือของขวัญถึงรองหัวหน้าเผ่า”

วันเกิดของเธอยังมาไม่ถึง แต่กว่าจดหมายฉบับต่อไปจะมาก็จะผ่านวันเกิดไปแล้ว

เธอรับกล่องไม้และถามเมื่อเห็นรอยไหม้บนกล่อง “นี่รอยไหม้ใช่ไหม?”

“ใช่ ตอนแรกมันมีเวทมนตร์ผนึกกล่องเพื่อป้องกันมันถูกเปิดออก แต่ตอนข้าเข้าป่าโอลิมปัส พลังเวทก็คลั่งทำให้มันระเบิด แต่ของข้างในไม่เป็นไร”

เห็นกล่องไม้ยังอยู่ดี เธอคิดว่าคงแค่เกิดประกายไฟนิดหน่อยแล้วเปิดต่อ

“จริงเหรอเนี่ย?”

เฮสเทียเปิดกล่อง ข้างในเป็นไพลินรูปกางเขน

“จดหมายบอกว่ามันเป็นอัญมณีชื่อ ‘พรเทวี’ ที่เขาบังเอิญได้มาจากตลาดมืด”

เธอมองปราดเดียวก็บอกได้จากประกายอ่อนๆของมันว่าเป็นอัญมณีราคาแพง

“อ้อ และนี่เป็นรายงานจากแลนซีลอต”

เมื่อเฮสเทียอ่านจดหมายของเดนเบอร์กจบ ทูตก็ส่งจดหมายอีกฉบับให้

จากรายงานของแลนซีลอต พวกเขาเดินทางไปเมืองหลวงกับเซนต์ฮิลลิส และบอกคร่าวๆถึงกิจกรรมประจำวันของพวกเขา เธออ่านและหัวเราะ

“พวกเขาดูสนุกกันดี ขอบใจนะ เจ้าไปทำธุระของเจ้าได้แล้ว”

ทูตคำนับและออกไป 

เฮสเทียเตรียมจะอ่านเอกสารต่อแต่แล้วก็ถอนหายใจพร้อมกับมองไปนอกหน้าต่าง

“อยู่ที่ไหนคะ พ่อ?”

เฮสเทียอ่อนแอเกินกว่าจะจัดการกับงานทั้งหมดในหมู่บ้านได้

***

ผมตื่นในตอนเช้าและเปิดหน้าต่าง อากาศเย็นที่เป็นเอกลักษณ์ของหน้าหนาวเข้ามาในห้อง ลมหายใจของผมกลายเป็นไอ นอกหน้าต่าง มีหิมะเป็นแผ่นบางๆจากหิมะที่ตกเมื่อคืน เพราะยังเป็นต้นหนาวมันจึงไม่หนานัก แต่ถนนลื่นแบบนี้ทำให้การเดินทางไปศูนย์ฝึกลำบากขึ้น

อีกไม่กี่วันก็จะได้เวลาเปิดไปหน้าสุดท้ายของปฏิทิน แปลว่าผมออกจากหมู่บ้านหลังเป็นผู้ใหญ่เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม มาอยู่ในเมืองหลวงได้ครึ่งปีแล้ว

รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็ว ผมปิดหน้าต่างเมื่อห้องระบายอากาศพอแล้วและลงบันไดไปที่ชั้นหนึ่ง

“ตื่นแล้วเหรอ?”

เมื่อผมมาถึงห้องนั่งเล่น ลิสบอนทักผมเป็นคนแรก

“ใช่”

“เย้! เดนล่ะ!”

อัลฟอนร้องและวิ่งมากอดผมอย่างเคย และอย่างเคย ผมจับศีรษะของเขาและหยุดเขา

หลังจากเป็นนักเรียนโรงเรียนทหาร อัลฟอนเริ่มมีกล้ามเนื้อขึ้นมา ผมรู้สึกว่าตอนนี้จะใช้แรงหยุดเขามากกว่าเดิมก็ได้ เพราะเขานี่เอง ทำให้ผมควบคุมแรงของตัวเองได้สำเร็จ

มันน่ารำคาญที่เขาวิ่งหาผมทุกเช้า แต่ก็ต้องขอบคุณเขาด้วยที่ทำให้ผมกะแรงถูก สมกับที่คิด เขามีร่างกายแข็งแรงเพราะเผ่าผีเสื้อก็เป็นชาติพันธุ์นักสู้เหมือนกัน

ผมพูดกับยูเรียที่ยิ้มมาจากด้านหลังอัลฟอนโซ

“ข้าอ่านหนังสือที่เจ้าให้ยืมหมดแล้ว อย่างที่คิดเลย เผ่าผีเสื้อมีเวทมนตร์แปลกใหม่หลายแบบ”

ผมยืมหนังสือเวทมนตร์ของเผ่าผีเสื้อแลกกับการสอนเทคนิคเล็กๆน้อยๆในการเล่นแร่แปรธาตุให้ยูเรีย ถึงจะเป็นเวทมนตร์ของเผ่าผีเสื้อ แต่มันเป็นเวทมนตร์ที่คนเผ่าผีเสื้อเรียนแค่ถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ กระนั้นก็ตาม สมกับที่เป็นพวกเขา มันมีหัวข้อกว้างขวางให้เรียนได้มากมาย เพราะเหตุนี้ ผมเลยสามารถพัฒนาเวทมนตร์ละลายคาร์บอเนชั่นในน้ำและสร้างน้ำอัดลมขึ้นมาได้ ผมรู้สึกว่าเกือบจะสร้างโค้กได้แล้ว

“แหม อ่านหมดแล้วเหรอ?”

ยูเรียประหลาดใจที่ได้หนังสือที่ผมส่งคืนให้ ผมยักไหล่พร้อมกับปล่อยศีรษะอัลฟอนโซ

“อืม ข้าแค่อ่านอย่างเดียว”

แน่นอน ผมเรียนรู้ได้หมดหลังจากอ่านจบหนึ่งรอบ แต่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับดีกว่าเพราะผมเป็นแค่คนธรรมดาที่มีความสนใจในเวทมนตร์

“ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจก็ถามได้ตลอดนะ”

ผมขอบคุณยูเรียและตรงไปที่ห้องครัวเพื่อกินอาหารเช้ากับทุกคน คุณนายอาซิลลากับอลิซกำลังคุยกันที่โต๊ะ

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

ผมทักคุณนายอาซิลลาและนั่งลง เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว คนงานในบ้านพักก็เริ่มเสิร์ฟอาหาร

“ค่ะ ขอบคุณเจ้าที่ทำให้เมื่อคืนข้าหลับสบาย” คุณนายอาซิลลาทักกลับในแบบของหญิงสูงศักดิ์และถาม “จะว่าไป เริ่มวันนี้แล้วใช่ไหม? การไปฝึกงานตามหน่วยงานต่างๆ?”

ผมพยักหน้า “ครับ เวลาดีๆได้หมดไปแล้วล่ะ” ผมพูดเล่นและหยิบมีดกับส้อม

แต่ที่จริงผมไม่ได้พูดเล่น ถึงตอนนี้มันไม่ถือว่าแย่เพราะเหมือนผมอยู่ในวิทยาลัยแบบชาติก่อน แต่ตอนนี้ผมต้องไปฝึกงาน ตั้งแต่วันนี้ไป ผมต้องไปตามหน่วยงานที่กำหนดแทนที่จะเป็นศูนย์ฝึก แต่ช่างมันก่อน อาหารเช้าที่นี่ยังอร่อยตามเคย ผมกัดขนมปังและพูดกับอลิซที่ดูเหนื่อยๆ

“เจ้าดูเหนื่อยนะ?”

“อือ เพราะการบ้านน่ะ ข้าต้องเตรียมสอบปลายเทอมแล้ว แย่แล้วล่ะ”

ช่างเป็นคำพูดที่เหมือนนักเรียน ผมมองยูเรียที่นั่งข้างอลิซ แต่เธอดูสดชื่นดี

ยูเรียเข้าใจสายตาของผมและหัวเราะส่วนดวงตาของยูเรียเปลี่ยนเป็นหดหู่

“อย่าเอาข้าไปเทียบกับยูเรีย นั่นเป็นเผ่าขี้โกงของโลกเวทมนตร์”

ยูเรียทำแก้มป่องใส่อลิซ “ถ้าพูดอย่างนั้นข้าไม่ช่วยเรื่องการบ้านนะ?”

อลิซจับแขนยูเรียอย่างสิ้นหวังมาก “ไม่นะ ขอร้องล่ะ!”

เห็นพวกคุยเล่นและเข้ากันได้ดีแล้วดีจัง แต่ว่า ผมไม่อยากไปทำงาน หวังว่าจะไม่มีคนขี้ข่มเหงในหน่วยงานนั้นนะ

***

การฝึกงานจะใช้เวลาทีละหนึ่งสัปดาห์ในหอคอยมนตรา, กิลด์นักผจญภัย, สมาพันธ์ทหารรับจ้าง, และหน่วยงานหนึ่งในพระราชวัง สุดท้ายแล้วผู้รับการฝึกจะสอบแล้วก็จะถูกส่งไปยังพื้นที่ต่างๆของจักรวรรดิตามเกรดที่ได้

เป้าหมายของผมคือเป็นข้าราชการส่วนนอก ไม่ใช่แบบต้องเดินทางไปทั่วจักรวรรดิหรือทำงานส่วนในเหมือนหน่วยงานในพระราชวัง ถ้าคิดตามเปอร์เซ็นต์ ผมต้องอยู่ต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นแรกและอยู่เหนือ 70 เปอร์เซ็นต์ 25 เปอร์เซ็นต์ของผู้รับการฝึกจะถูกส่งไปยังที่แบบที่ทำการเขตที่พวกเขาจะฝึกงานเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ คนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่เราจะคิดถึงเมื่อคิดถึงข้าราชการ ที่ผ่านมา ผมลอบเข้ากองคลังและศูนย์ฝึกเพื่อดูเกรดของผู้รับการฝึก ผมอยู่ที่ราวๆ 10 เปอร์เซ็นต์แรก 

สาเหตุมาจากถูกลดคะแนนไปเยอะจากการทำยาเสน่ห์ทุกครั้งในวิชาเวทมนตร์ ผมไม่ชอบศาสตราจารย์ขี้เหนียวคนนั้น แต่เพราะเขาจึงทำให้ผมเลี่ยงหน่วยงานในพระราชวังมาได้ ต้องขอบคุณเขาในเรื่องนั้น

ผมกำลังจะเข้าที่ทำการเขตเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยจากที่ไกลๆ มันมาจากทางศูนย์ฝึก

“โอ้! มาเร็วจังนะ!”

ใช่เลย เด็กหนุ่มหน้าแก่ที่กำลังโบกมือให้ผมคือแฟลม จะว่าไปแล้ว เขาเป็นหนึ่งในผู้รับการฝึกห้าคนที่จะฝึกงานที่เดียวกัน

บอกให้รู้ไว้ แฟลมอยู่ใน 20 เปอร์เซ็นต์แรก รักษาผลการฝึกได้ค่อนข้างยอดเยี่ยม ผมยังจำคำตอบของเขาในข้อสอบประวัติศาสตร์ที่เก็บไว้ในตู้เซฟของศูนย์ฝึกได้ว่ามีความเฉพาะตัวมาก

จะว่ายังไงดี? มุมมองของเขาค่อนข้างมาจากทางฝ่ายผู้แพ้ มุมมองเฉพาะตัวของเขาได้รับการประเมินอย่างสูงจากวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งไปช่วยที่ถูกตัดคะแนนจากวิชาเวทมนตร์จากการปรุงยาเสน่ห์กับผม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อ เขาก็จะได้ทำงานในเมืองหลวงเหมือนกัน

ผมรอเขาตรงทางเข้าที่ทำการเขต และเมื่อเขามาถึง ผมเข้าไปและพูด “เข้าไปกันเถอะ”

แฟลมตามเข้ามาและปัดหิมะออกจากเสื้อผ้าของเขา

“เกิดการจราจรติดขัดเพราะหิมะ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาหิมะตกต้องเอารถม้าออกมาด้วย”

ดูเหมือนเขาจะใช้ทางอ้อมมาที่นี่เพราะรถม้าไปติดบนถนน ทางจากศูนย์ฝึกมาที่นี่เป็นทางที่รถม้าใช้บ่อย วันแรกที่ผมมาถึงเมืองหลวงและถูกน้ำโคลนกระเซ็นใส่ก็อาจเป็นถนนเดียวกัน

พอคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก ต้องไปเยี่ยมมาร์ควิสบัลเธียนสักหน่อย หวังว่าเขาจะเก็บเงินได้เยอะแล้วนะ



สารบัญ                                                    บทที่ 79


เฮสเทียเรียกการส่งจดหมายทางนกของเดนเบอร์ว่าเป็นอุบายที่ง่ายและดุดันเพราะเดนเบอร์กวางยาไว้ที่นกไม่ให้ตามรอยได้ค่ะ มันจะอาละวาดเวลาถูกจับ และเผ่ากาต้องจ่ายค่าเสียหาย แบบนี้ทำให้เผ่ากาเข็ดไม่กล้าจับมัน ไม่งั้นก็ต้องจ่ายแพงอีก lol

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 77.3

 บทที่ 77.3

ชายชรานักเวทดำผู้ทำพิธีเบื้องหน้าแท่นพิธีรู้สึกถึงพลังของมัน เมื่อไม่มีคริสตัลคานีเลียนที่ใช้สะกดพลังของพฤกษาโลกและรักษาเสถียรภาพของพิธีกรรมเอาไว้ พลังมหาศาลจึงถูกใช้ไป

ชายชรากระทั่งใช้พลังเวทและวิญญาณของคนของเขาเป็นเครื่องบูชายัญเพื่อบังคับเริ่มพิธี แต่ตอนนี้มันมาถึงขีดจำกัด เห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปพิธีกรรมจะล้มเหลว

จากนั้นเขารู้สึกถึงฝีเท้ามาจากทางด้านหลัง

พวกนักเวทดำที่รออยู่ข้างนอกเหรอ?

ไม่ใช่ ถ้าเป็นนักเวทดำ พวกเขาต้องรู้สึกถึงพลังแข็งแกร่งจากแท่นพิธีและไม่เข้าใกล้ ดังนั้น เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาหมายถึงพวกพาลาดินกำลังมา

ชายชรากัดปาก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาบุกเข้ามาตอนไหนเพราะจดจ่อกับพิธีกรรม แต่การมาถึงตรงนี้แปลว่าพวกเขาจัดการกับนักเวทดำข้างนอกไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้พิธีกรรมต้องล้มเหลวแน่

ชายชราปัดความวิตกกังวลทิ้งไปและเลิกควบคุมพิธีกรรม

“ขอความรุ่งเรืองจงมาสู่ท่านผู้นั้น”

ชายชราสละตนเพื่อให้พิธีกรรมสำเร็จ พลังเวทจากแท่นพิธีรัดร่างของชายชราอย่างตะกละและกลืนเขาเข้าไป

แท่นพิธีเริ่มเปล่งแสงสีดำ

***

“หมอบลง!” เลชาร้องเมื่อรู้สึกว่าคลื่นพลังเวทรุนแรงขึ้นกะทันหัน

แลนซีลอตกับแมคหมอบลง

เลชาเสกเวทมนตร์ไม่ให้พวกเธอถูกคลื่นพลังเวทพัดปลิว เธอส่งเสียงหอบหลังจากต้านคลื่นพลังเวทนานนาที

“ฮ่า!”

เลชาผู้มีเหงื่อท่วมตัววิ่งไปยังต้นตอของพลังเวทโดยไม่แม้แต่หยุดพักปาดเหงื่อ ตึงเครียดจากพลังเวทดูไม่เป็นมงคล เธอเตรียมตัวพร้อม 

ในห้องลึกเข้าไปในวิหาร มีศพของพวกนักเวทดำ แท่นพิธี และชายชราคนหนึ่ง

ชายชรายืนเหม่อตรงแท่นพิธี จากนั้นหันแต่ศีรษะมามองพวกเธอ

เห็นชายชราหันศีรษะมาในมุมผิดธรรมชาติ พวกเธอตระหนักว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว

ตอนนั้นเอง แมคสะบัดดาบปล่อยรัศมีดาบใส่สัตว์ประหลาดในร่างชายชรา มันเป็นผลจากสัญชาติญาณที่รู้สึกไม่ดีและการตัดสินใจด้วยเหตุผลว่าสัตว์ประหลาดต้องถูกกำจัดทันที

สัตว์ประหลายยกมือและพยายามจะยิงพลังเวทดำออกมาหยุดรัศมีดาบ แต่แขนถูกฟันขาดก่อนจะเรียกพลังเวทดำออกมา

- (ร่างเหรอ?)

สัตว์ประหลาดสะบัดแขนด้วนพลางส่งเสียงฟังไม่ออกเหมือนพูดทวนจากหลังไปหน้า จากนั้นพลังเวทดำหุ้มแขนที่ถูกตัดออกและหันไปทางจุดที่ถูกตัด และในทันใดนั้น แขนที่ถูกตัดก็กลับไปติดที่ไหล่ตามเดิม

จากนั้นสัตว์ประหลาดมองเลชา

- (เจ้ามีคริสตัลคานีเลียน)

สัตว์ประหลาดส่งเสียงหัวเราะประหลาด

- (ขอบคุณ ข้าได้ร่างเพราะเจ้า)

เลชาไม่เข้าใจที่มันพูด แต่รู้สึกขนลุก เธอส่งพลังเวทจำนวนมากไปโจมตีมัน

- (มนุษย์ทำแบบนี้เมื่อได้ยินคำขอบคุณเหรอ? ข้ากำลังศึกษาเรื่องความคิดพื้นฐานของมนุษย์อยู่)

เลชาโจมตี แต่สัตว์ประหลาดฟื้นฟูบาดแผลอย่างรวดเร็ว

เลชาตัวสั่นจากการใช้พลังเวทมากเกินไป เธอรู้สึกเหมือนจะหมดสติเดี๋ยวนั้น แต่ยังสังเกตการฟื้นตัวของสัตว์ประหลาดอย่างใกล้ชิด

“แท่นพิธี...! แฮ่ก พลังเวทของสัตว์ประหลาดมาจากแท่นพิธีนั่น!”

เมื่อเลชาใช้มือสั่นระริกชี้ไปที่แท่นพิธี แมคพุ่งไปที่สัตว์ประหลาดโดยไม่พูดอะไร แลนซีลอตตามไป

สัตว์ประหลาดร้องเมื่อเห็นแลนซีลอตฟันดาบที่อาบด้วยรัศมีดาบใส่แท่นพิธี

- (เจ้าคิดจะทำอะไร?!)

สัตว์ประหลาดไม่สนใจแมคที่กำลังฟันร่างของมันและพยายามโจมตีแลนซีลอต แต่มันไล่ตามแลนซีลอตไม่ได้เพราะร่างของมันต้องฟื้นสภาพจากการถูกแมคฟันขาดครั้งแล้วครั้งเล่า

แท่นพิธีถูกรัศมีดาบของแลนซีลอต ทำให้เกิดรอยแตกและเริ่มพัง

- (ไม่! ข้าเพิ่งได้ร่างมา! ข้าจะตายแบบนี้ไม่ได้!)

แมคแทงดาบใส่ศีรษะของมัน สัตว์ประหลาดยิงพลังเวทออกมาอย่างสะเปะสะปะเพื่อกำจัดเขา

“เร็ว!”

รู้สึกถึงความเร่งด่วนทางด้านแมค แลนซีลอตโจมตีแท่นพิธีแรงกว่าเดิม

พลังเวทของสัตว์ประหลาดทำให้แมคลอยไปทางผนังห้อง สัตว์ประหลาดโจมตีใส่แลนซีลอต

กึง!

ขณะสัตว์ประหลาดจะโจมตีแลนซีลอต แท่นพิธีก็พังและแสงสีดำที่ปล่อยจากวงเวทบนแท่นพิธีเริ่มเลือนหาย พร้อมกันนั้น ร่างของสัตว์ประหลาดเปลี่ยนเป็นเถ้าโดยเริ่มจากส่วนปลาย พลังเวทของมันกระจายไป

- (ข้าแค่อยากได้ร่าง ข้าคงไม่ตายแบบนี้ถ้าข้าได้ร่างที่...)

เมื่อสัตว์ประหลาดหายไปอย่างหมดจด แลนซีลอตทรุดลงตรงนั้นหลังจากเห็นการโจมตีของมันที่มาหยุดตรงจมูกเขา

“เฮ้อ! น่ากลัวชะมัด” แลนซีลอตอยากจะร้องตรงนั้นด้วยความโล่งอกและหวาดกลัว

เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดหายไป เลชาที่พยายามรักษาสติเอาไว้ก็เป็นลม

“อุ๊บ!”

แมคถูกเหวี่ยงไปด้วยพลังรุนแรงขนาดทำลายผนังวิหารที่พลังของพฤกษาโลกค้ำจุนไว้ ถึงอย่างนั้นเขาก็วิ่งมารับร่างของเลชาไว้ทัน

“โอย ข้าปวดไปทั้งตัวเลย”

แมคค่อยๆวางร่างเลชาลงบนพื้นแล้วขยับตัว ซี่โครงเขาน่าจะหักไปสักสามซี่

แมคที่ซี่โครงหักไม่แค่หนึ่งหรือสองซี่ย่อมเอายาพิเศษของเมอร์ปาออกมาจากกระเป๋าที่เข็มขัดเป็นธรรมดา

“โอย แลนซีลอต เจ้าต้องแบกเธอเองแล้วล่ะ”

ขวดยาแตกไปตอนกระแทกกับผนัง

“ขาข้าขยับไม่ได้”

แลนซีลอตมองแมคน้ำตาคลอ แมคถอนหายใจ

***

เหล่าพาลาดินกำจัดนักเวทดำในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หมด พวกเขาสะบัดดาบให้เลือดหลุดออกและใส่ดาบคืนฝัก

“ขอบคุณท่านเซนต์ เพราะท่านช่วยสนับสนุน พวกเราเลยกำจัดพวกมันได้เร็ว”

มาริโอทัก ฮิลลิสยิ้มอย่างเมตตา “ไม่หรอก นั่นเพราะพลังของพาลาดิน ข้าต่างหากที่กลายเป็นภาระของพวกเจ้า ต้องขอโทษด้วย”

รอยยิ้มที่จริงใจและศักดิ์สิทธิ์กว่าใคร เหมือนจะชำระล้างจิตใจของเขา

มาริโอเชื่อว่าข่าวลือว่าเซนต์ใจดีกับทุกคนและเกลียดคนชั่วเป็นความจริง วิบริโอผู้เป็นคนรักและเพื่อนร่วมงานของเขา มักจะยิ้มอย่างอึดอัดใจทุกครั้งที่มีคนพูดถึงฮิลลิส เขาเชื่อว่าเธอยิ้มอย่างนั้นเพราะกังวลว่าเธอจะดูน่าขำถ้าอวดน้องตัวเอง

“แต่พาลาดินมาริโอ ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” อัลบาทอสถาม

มาริโอลังเลก่อนตอบ “ข้ามาตามคำสั่งของคาโด เฟอนันโด”

“พระคุณเจ้าคาดินัล เฟอนันโด?”

“ใช่ ท่านได้ข้อมูลว่ามีพวกนอกรีตที่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจักรวรรดิและให้พวกเรามาตรวจสอบ”

ในวิหาร เฟอนันโดเป็นผู้ยึดมั่นในศาสนา สมัยหนุ่มเขาเป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนพวกนอกรีต ถ้ามีข่าวลือเกี่ยวกับพวกนอกรีตก็ไม่แปลกที่เขาจะส่งพาลาดินของตนเองมาตรวจสอบ

“แต่ทำไมท่านเซนต์ถึง-”

เมื่อมาริโอถามก็เกิดพลังเวทชั่วร้ายพลุ่งขึ้น

“ยังมีนักเวทดำรอดอยู่!”

ฮิลลิสและเหล่าพาลาดินรุดไปทางต้นตอของพลังเวทด้วยความโกรธ ต้นตอมาจากด้านในวิหารใจกลางซาฮาราม เหล่าพาลาดินยิ่งโกรธเคืองเพราะเหตุนั้นและตรงเข้าไป

เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องที่อยู่ลึกที่สุดของวิหาร พวกเขาเห็นศพของพวกนักเวทดำ ผนังแตกหัก และแท่นพิธีที่ถูกทำลาย

“โอ้ มาแล้วเหรอ? เซนต์หญิง ขอโทษนะแต่ช่วยรักษาข้าทีได้ไหม?”

เมื่อแมคยกมือขึ้นท่ามกลางศพนักเวท ฮิลลิสช็อคและรักษาเขาอย่างรวดเร็ว

“อา ขอบคุณ”

เมื่อซี่โครงของเขาประสานกลับในทีเดียว แมคขยับตัวไปมา เขาไม่รู้สึกผิดปกติ ดูเหมือนมันได้ผลดีกว่ายาของเมอร์ปาเสียอีก

ฮิลลิสถามถึงพลังเวทชั่วร้ายที่ยังเหลืออยู่ในห้อง แมคตอบตามความจริง

“แท่นพิธีพังไปแล้วจริงๆ”

มาริโอตรวจสอบหน้าแท่นพิธี

หลังจากฟังคำบอกเล่าของแมค ฮิลลิสพูดขึ้น “พวกเจ้ามาเซนต์เพอซิวาลกับพวกเราได้ไหม? ข้าอยากจะมอบรางวัลให้จริงๆ”

แมคมองแลนซีลอต ซึ่งส่ายหน้าอยู่แล้ว

“เราต้องตรงไปที่เมืองหลวง ไม่มีเวลาไปเพอซิวาลหรอก”

มาริโอและลูกน้องของเขากำลังจะโกรธที่แลนซีลอตกล้าปฏิเสธข้อเสนอของฮิลลิส แต่ฮิลลิสขยับก่อน

เธอไปหาแลนซีลอตและพูด “เจ้าจะหาใครในเมืองหลวงเหรอ? เมืองหลวงกว้างมากนะ มีแค่เจ้าสามคนหาคงลำบาก แต่วิหารของเรามีสาวกเยอะมาก ถ้าข้าร่วมมือกับเจ้า หาคนหนึ่งคนในทั้งจักรวรรดิได้ไม่ยาก อย่าว่าแต่แค่ในเมืองหลวงเลย”

แลนซีลอตตอบทันที “เราจะไป เซนต์เพอซิวาล”

ถ้าพวกเขาได้ฮิลลิสช่วยหาเดนเบอร์ก อาจใช้เวลาน้อยลง

ในอดีต ผู้เปรื่องปราดเดนเบอร์กเคยบอกเขาให้ใช้ทุกอย่างที่ใช้ได้

***

ในเทือกเขาแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนขี่ม้ามาเยือนยังคฤหาสน์เก่าที่มีเถาวัลย์เกาะกำแพง

เมลเซีย ชายตาเดียว ขี่ม้าเป็นหลายวันโดยไม่ได้อาบน้ำ เขาผูกม้ากับต้นไม้แถวนั้นและตรงเข้าไปในคฤหาสน์

เขาเข้าคฤหาสน์โดยไม่เคาะประตูหรือเช็ดรองเท้าและตรงไปที่ชั้นสอง เขาหยุดสูดลมหายใจลึกหน้าห้องใหญ่ที่สุดในคฤหาสน์

ก๊อกๆ!

ประตูเปิดออกเอง

ในห้อง ชายชราใส่หน้ากากดำนั่งนิ่งบนเก้าอี้ กำลังมองไปข้างนอกหน้าต่าง

เมื่อเมลเซียเข้าห้อง ประตูปิดเอง เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงนั้น

“ข้าขอโทษ ข้าทำ ‘การทดลอง’ ที่ท่านสั่งไม่สำเร็จ”

ชายชราพูดอย่างสงบ “อย่างนั้นหรือ”

ปฏิกิริยาตอบรับแสดงว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนศักดิ์สิทธิ์ซาฮารามเป็นไปด้วยดี เมลเซียลังเลว่าจะถามถึงชื่อของชายชราไหม แต่คำถามนั้นไร้ประโยชน์

“ข้าต้องเตรียมการทดลองชิ้นต่อไป”

ชายชราหน้ากากดำลุกขึ้นและหยิบจดหมายบนโต๊ะ กระดาษมีรูปของกลุ่มดาว 12 ราศี และแกะตัวหนึ่ง



สารบัญ                                                   บทที่  78


จบบทนอกเรื่องจนได้ TwT บทหน้ากลับไปทางพระเอกแล้ว