วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 38

บทที่ 38 – การสอบเข้า (2)


“ลุง?”

ยูเรียกางกระดาษบนพื้นเพื่อวาดวงเวท เมื่อเห็นวิลเลียมก็เข้ามากอด

“โอ้! เจ้าตัวหนักขึ้นเยอะ”

“ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าพูดกับสุภาพสตรีว่าเธอตัวหนัก?”

ยูเรียทำแก้มป่อง วิลเลียมยกตัวขึ้นมาสบตากัน

“ใช่ๆ เจ้ายังตัวเบามาก กินให้เยอะๆและตั้งใจเรียนล่ะ”

“ค่ะ”

“อะแฮ่ม! วิลเลียม ไม่เห็นหน้านานเลยนะ”

วิลเลียมยิ้มและวางยูเรียลง

“พ่อ สบายดีไหม?”

“สบายดี ต้องขอบใจเจ้า”

ระหว่างวิลเลียมทักทายกับพ่อของเขา ยูเรียก็สนใจบลัดดี้ที่ยืนหลังลุงของเธอ

“คุณลุงเป็นใครคะ?”

“ข้าเหรอ?”

อัลฟอนโซแนะนำบลัดดี้ก่อนเขาแนะนำตัวเอง “คุณลุงคนนี้เป็นอัศวิน!”

“อัศวิน?” ยูเรียไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน

บลัดดี้ลูบศีรษะอัลฟอนโซและหัวเราะ

“ใช่ คุณลุงคนนี้เป็นอัศวินผู้กล้าหาญ”

ผู้อาวุโสสูงสุดมองบลัดดี้อย่างขำๆ

“เจ้ามาจากเผ่ากาใช่ไหม?”

“ครับ ข้าชื่อบลัดดี้ เบลด”

“ลูกชายหัวหน้าเผ่ากานี่เอง พ่อแม่สบายดีไหม?”

“ฮ่าๆๆ พ่อของข้าให้พี่ชายข้าสืบทอดตำแหน่ง ส่วนตัวท่านกำลังเดินทางท่องเที่ยว”

ผู้อาวุโสสูงสุดถอนหายใจอย่างอิจฉา “ข้าไม่รู้ว่าจะได้ลาออกจากตำแหน่งน่ารำคาญนี่เมื่อไหร่ น่าอิจฉาพ่อเจ้า”

วิลเลียมยิ้มเจื่อน “ฮ่าๆ พ่อยังแข็งแรงดีอยู่เลย”

“หยุดเลยเจ้าหนุ่ม ลูกผู้ชายถึงเวลาถอยก็ต้องรู้ตัว แล้วยัยผู้หญิงอารมณ์ร้ายนั่นเป็นยังไงบ้าง?”

บลัดดี้ฝืนยิ้มเพราะรู้ว่า ‘ผู้หญิงอารมณ์ร้าย’หมายถึงใคร

“มาดามเมอร์ปายังแข็งแรงดีครับ”

“ฮึ่ม น่าเสียดาย” ผู้อาวุโสพูดอย่างนั้นแต่ดูแอบดีใจ

เมอร์ปาเป็นคู่แข่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดมีอยู่น้อยนิด อายุปูนนี้แล้วยังมีคู่แข่งถือเป็นเรื่องน่ายินดี

วิลเลียมส่งยูเรียและอัลฟอนโซออกจากห้องขณะพ่อของเขากำลังอารมณ์ดี

“ยูเรีย อัลฟอนโซ ลุงมีเรื่องต้องคุยกับปู่ พวกเจ้าออกไปข้างนอกก่อนนะ”

ฝาแฝดพยักหน้าและเดินออกไป

“ออกมาทำไมจ๊ะ?”

เมื่อเลขานุการข้างนอกถาม ยูเรียส่ายศีรษะ

“ลุงบอกว่ามีเรื่องต้องคุยค่ะ”

“เหรอ? งั้นมาเล่นกันไหม?”

อัลฟอนโซพยักหน้าอย่างร่าเริงให้กับคำชวนของเลขานุการ

“ดี!”

เลขานุการเอาเก้าอี้มาให้เด็กๆนั่งและเริ่มพับกระดาษ ทันใดนั้น ประตูห้องทำงานของผู้อาวุโสสูงสุดก็ถูกกระแทกและบลัดดี้กลิ้งออกมา

***

ยูเรียหวนคิดถึงอดีตเสร็จก็ถามฝาแฝดของเธอ

“ว่าแต่ว่า เจ้ามาที่นี่เพื่อเรียกข้าใช่ไหม?”

“อ๊ะ จริงด้วย! ปู่เรียกพวกเราไปทำพิธีเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่”

ยูเรียดูนาฬิกาแล้วร้อง

“ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย?”

ยูเรียดึงไม้เท้ายาวสองเมตรกับอานสำหรับขี่ออกมาจากกระเป๋ามิติ เธอติดอานกับไม้เท้าและบอกอัลฟอนโซพร้อมกับนั่งลง “ขึ้นมาสิ”

“เขาไม่ให้เราบินนอกหมู่บ้านเพราะอันตรายนะ”

เมื่ออัลฟอนโซลังเล ยูเรียก็ลากเขามานั่งและกลับไปนั่งข้างหน้าใหม่ “ข้าไม่บินไปถึงหมู่บ้านหรอก ‘บิน’”

เมื่อยูเรียตะโกน สัญลักษณ์เวทมนตร์บนไม้เท้าก็ส่องแสง ไม้เท้าลอยขึ้น พริบตาเดียวก็พุ่งไปทางหมู่บ้าน

อัลฟอนโซที่นั่งข้างหลังร้อง

“เร็ว...ไป...แล้ว!”

“อะไรนะ?”

“เร็ว!”

“เร็วอีก? ก็ได้?”

อัลฟอนโซรู้สึกเหมือนจะเป็นลมเมื่อยูเรียเร่งความเร็ว ฝาแฝดมาลงใกล้หมู่บ้าน เมื่อถึงพื้น อัลฟอนโซก็ทรุดลงอาเจียน

“แหวะ”

จากนั้นเขาเอาหิมะกลบรอยอาเจียนและใช้หิมะบ้วนปาก

“ฮ่าๆ ขอโทษ ข้าไม่ได้บินมานานแล้วเลยควบคุมความเร็วไม่ค่อยเก่ง”

เจ้าเพิ่งจะบินไปบนยอดเขาเอเวอเรสท์! อัลฟอนโซตัดพ้อฝาแฝดขี้โกหกของเขา

“เจ้านี่... แหวะ!” เขาอาเจียนอีกรอบแล้วยืนขึ้นอย่างหมดแรง

ยูเรียลูบศีรษะอัลฟอนโซด้วยสีหน้ารู้สึกผิดและร่ายเวทมนตร์รักษา

“ฟื้นสภาพ!”

เมื่อแสงเรืองขึ้น อัลฟอนโซก็รู้สึกว่าอาการเวียนศีรษะหายไป อัลฟอนโซจะเอ่ยปากแต่ยูเรียคว้ามือเขาและวิ่งเข้าหมู่บ้าน

“คนที่บ้านรอเราอยู่ไม่ใช่เหรอ? ไปกันได้แล้ว!”

“อ๊ะ อืม”

ระหว่างถูกลากเดินไป อัลฟอนโซก็ตั้งใจมั่น

พิธีเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่นี้ นอกจากจะเป็นการยืนยันว่าผู้เข้าพิธีได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังเป็นตัวตัดสินว่าคนๆนั้นจะได้รับอนุญาตให้ไปเมืองหลวงหรือไม่ด้วย เพราะเผ่าผีเสื้อใช้เวทมนตร์เป็นหลัก การทดสอบในพิธีจึงดูจากความสามารถด้านเวทมนตร์ เนื้อหาการทดสอบไม่เหมือนกันทุกครั้ง แต่จะเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ไม่สามารถใช้ได้หากไม่เชี่ยวชาญจริง

การทดสอบบางครั้งก็เป็นให้เรียกไฟโลกันตร์ บางครั้งก็ให้สร้างน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิศูนย์องศาสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบครั้งไหนก็ไม่เคยง่ายทั้งนั้น บางคนอาจไม่ผ่านการทดสอบ และกว่าจะได้เป็นผู้ใหญ่ก็เมื่ออายุ 17 หรือ 18 ปีแทนที่จะเป็น 16 ปี

เทียบกับคนในเผ่าผีเสื้อ อัลฟอนโซไม่เก่งเวทมนตร์ ถึงอย่างนั้นเขาก็ตั้งใจมั่นที่จะผ่านการทดสอบและเข้าเรียนโรงเรียนอัศวินของเมืองหลวง

เมื่อเข้าหมู่บ้าน ฝาแฝดตรงไปที่สภาหมู่บ้านที่อยู่ใจกลางหมู่บ้าน เหมือนที่ในเผ่ากาจัดพิธีเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่หน้าศาลากลางหมู่บ้าน สถานที่ทำงานของหัวหน้าหมู่บ้านเผ่ากา เผ่าผีเสื้อก็จัดพิธีเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าสภาที่เหล่าผู้ปกครองทำงานอยู่

“ยูเรีย อัลฟอนโซ พวกเจ้ามาเกือบสายนะ”

ยูเรียและอัลฟอนโซค้อมศีรษะให้ผู้อาวุโสสูงสุดผู้เป็นหัวหน้าเผ่าผีเสื้อ

“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าขออภัย”

“ไม่เป็นไร ยูเรีย แล้วเรียกข้าว่าปู่เหมือนตอนอยู่บ้านก็ได้”

ผู้อาวุโสสูงสุดมองหลานสาวอย่างใจดี แต่ดูกังวลด้วย

ยูเรียนั้นไม่เป็นไรเพราะเธอแสดงว่ามีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์สูงมากมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่หลานชายของเขา อัลฟอนโซมีความสามารถด้านนี้น้อยกว่าคนวัยเดียวกัน ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่ได้ยินเจ้าหัวดำชื่อบลัดดี้อะไรนั่น อัลฟอนโซก็เริ่มฝึกฝนเป็นอัศวินด้วยการเหวี่ยงแท่งเหล็ก ละเลยการฝึกเวทมนตร์ไป จึงน่าเป็นห่วงมาก

ผู้อาวุโสสูงสุดเป็นห่วงอยู่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด

ถ้าอัลฟอนโซไม่ได้กลายเป็นผู้ใหญ่ ก็แปลว่าข้าไม่ต้องส่งทั้งคู่ไปเมืองหลวงไม่ใช่เหรอ?

ถึงจะไม่ชอบใจเสื้อสีดำ แต่อัลฟอนโซเป็นหลานชายที่เขาเอ็นดู ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้หลานชายอยู่ข้างกายจนกว่าจะลงโลง

อืม ข้าอยากให้เขาอยู่กับข้าอีกสัก 200 ปี

ผู้อาวุโสสูงสุดเพิ่งฝึกบรรลุไปอีกขั้น ทำให้อายุขัยยืนยาวขึ้นมาก ด้วยอายุขัยมากมายที่เหลืออยู่ แม้เขาจะไม่คิดว่าหลานชายจะตายก่อน แต่ก็หวังให้อัลฟอนโซทดสอบไม่ผ่าน

“เริ่มพิธีเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ได้ บททดสอบคือ สร้างกระเป๋ามิติ”

“เอ๋? ผู้อาวุโสสูงสุด ทีแรก-”

“ชู่ว!”

ผู้อาวุโสสูงสุดถลึงตาใส่ผู้ช่วยให้หุบปาก

ตอนแรกบททดสอบคือให้บินสูงขึ้น 1,000 เมตร แต่ผู้อาวุโสสูงสุดเปลี่ยนเป็นให้สร้างกระเป๋ามิติที่ยากกว่าหลายเท่า การสร้างกระเป๋ามิติเป็นสัญลักษณ์ของนักเวทขั้นสูง แต่มันยากจนแม้แต่นักเวทขั้นสูงก็ทำได้อย่างยากลำบาก

ยูเรียเริ่มสร้างกระเป๋ามิติทันที สำหรับเธอที่สร้างกระเป๋ามิติไว้แล้ว การสร้างใบใหม่แทนที่จะขยายใบเดิมนั้นเป็นเรื่องยากพอดู แต่ในเวลาไม่นานเธอก็สร้างกระเป๋าขนาดหนึ่งเมตรได้สำเร็จ

“ฮ่าๆ สมเป็นยูเรีย เจ้าจะแสดงกระเป๋ามิติใบเก่าที่ทำไว้ก็ได้ นี่เจ้าเล่นสร้างใบใหม่ขึ้นมาเลย ผ่าน”

“งั้นข้าลบใบนี้ทิ้งเลยได้ไหมคะ กระเป๋าอีกใบกำลังสั่นเพราะข้าต้องประคองพวกมันไว้พร้อมกัน”

“ลบไปเลย”

ยูเรียลบกระเป๋าใบใหม่อย่างไม่ลังเล ขนาดของกระเป๋ามิติสามารถขยายออกได้ตามพลังเวท จึงไม่จำเป็นต้องสร้างใบใหม่

“ต่อไป อัลฟอนโซ”

“ครับ!”

อัลฟอนโซเริ่มสร้างกระเป๋ามิติด้วยสีหน้ากระวนกระวาย เขาเหงื่อแตกและใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการสร้าง

“อัลฟอนโซ ถ้ามันยากเกินไป ครั้งหน้าค่อยลองใหม่ก็ได้”

อัลฟอนโซเหมือนตั้งสมาธิจนไม่ได้ยินเสียงผู้อาสุโสสูงสุด ในที่สุดก็สร้างกระเป๋ามิติยาว 10 ซม.ได้

“ข้า...ข้าทำได้แล้ว?”

หลังจากใช้พลังเวทและพลังกายไปจนหมด อัลฟอนโซผู้มีเหงื่อชุ่มตัวก็ทรุดลง

ยูเรียที่คิดว่าอัลฟอนโซจะไม่ผ่านการทดสอบเสียแล้วก็ปรบมือให้กับความมุ่งมั่นของอัลฟอนโซ

“ยินดีด้วย!”

ผู้อาวุโสสูงสุดตกตะลึง เขาคิดว่าด้วยความสามารถตอนนี้ อัลฟอนโซจะไม่ผ่านการทดสอบแน่ ผู้อาวุโสสูงสุดเป็นนักเวทที่เก่งที่สุดในหมู่บ้านจึงรู้ว่าอัลฟอนโซสร้างกระเป๋ามิติด้วยตัวเองและไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใคร ด้วยเหตุนี้เขาจึงประทับใจที่หลานชายเติบใหญ่แล้ว แต่ก็หลั่งน้ำตาที่ต้องจากลาทั้งอัลฟอนโซและยูเรีย

“เก่ง...มาก อัลฟอนโซ...หลานข้า”

“ปู่ครับ?”

อัลฟอนโซกับผู้อาวุโสสูงสุดกอดกันร้องไห้

“แต่เจ้าไม่ไปเมืองหลวงไม่ได้เหรอ? ตาแก่คนนี้คงเหงาถ้าไม่มีเจ้ากับยูเรีย”

“แต่ว่า ข้าอยากเป็นอัศวิน”

“งั้นข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็น! อัศวินหนึ่งเดียวผู้คุ้มครองหมู่บ้าน!”

ผู้ช่วยกับยูเรียส่ายหน้าถอนหายใจ

จะโอ๋หลานก็ให้พอดีบ้าง ตั้งตำแหน่งลอยๆให้เขาไม่ไปไหนนี่มันใช่เหรอ?

“แต่ว่า...”

ยูเรียพูดขึ้นแทนอัลฟอนโซที่กำลังร้องไห้

“ท่านผู้อาวุโสสูงสุดคะ ได้เวลาไปทำงานแล้ว! อัลฟอนโซก็ต้องกลับไปเตรียมเก็บของด้วยถ้าเขาจะออกเดินทางพรุ่งนี้”

เมื่อยูเรียดึงปู่ของเธอออกมาจากอัลฟอนโซ ผู้อาวุโสสูงสุดก็ยื่นมือไปหาอัลฟอนโซ

“อัล~ฟอน~โซ~”

“ปู่~คร้าบ~”

ดูละครที่ปู่หลานสร้าง ยูเรียส่งผู้อาวุโสสูงสุดให้ผู้ช่วย ดูเหมือนคืนนี้จะหนวกหูเพราะทั้งสองคนนี้

***

ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยเมื่อออกจากห้องสอบคัดเลือกข้าราชการ คำถามง่ายกว่าที่คิดมาก

ฉันอุตส่าห์เสียแรงมากมายเพื่อแอบดูข้อสอบไปทำไมกันนี่?

กลับมาถึงหอพัก ลิสบอนกำลังเหวี่ยงดาบอยู่ในสวน

“โอ๊ะ กลับมาแล้วเหรอ? สอบเป็นยังไงบ้าง?”

“ข้าว่าข้าทำได้ดี”

“จริงเหรอ? ก็ดีสิ”

ลิสบอนเดินมาหา เช็ดเหงื่อไปพลาง

“แล้วเจ้าล่ะ? อีกสองวันจะสอบแล้ว คิดว่าจะทำได้ไหม?”

คราวนี้ผมถามลิสบอน

เพราะเขาย้ายมาเข้าโรงเรียนอัศวินขั้นกลางเนื่องจากเหตุผลทางครอบครัว ข้อสอบจึงยากขึ้นสำหรับเขา ถ้าสอบไม่ผ่าน ลิสบอนต้องสอบอีกครั้งครึ่งปีให้หลัง มันเป็นการสอบเลือกนักเรียนเข้าเรียนเพิ่ม แต่ก็มีบางปีที่ไม่รับนักเรียนเพิ่ม ถ้าเป็นอย่างนั้นลิสบอนต้องรอไปหนึ่งไป ถ้ายังไม่ผ่านอีกก็เหมือนเขาต้องตัดใจจากโรงเรียนอัศวินไปโดยปริยาย

การเข้าโรงเรียนอัศวินไม่ใช่ทางเดียวในการเป็นอัศวิน แต่มันเป็นทางที่สะดวกและดั้งเดิมที่สุด แม้ลิสบอนจะไม่พูดแต่การสอบครั้งนี้สำคัญสำหรับเขามาก



สารบัญ                                            บทที่ 39



อย่าไปเลยบางกอก 2 lol คุณปู่กะจะให้อัลฟอนโซสอบตกไปอีก 200 ปี

เงอะ ผู้เฒ่าเมอร์ปาเป็นผู้หญิงล่ะ ตอนแปลนึกว่าเป็นผู้ชาย...


วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 37

บทที่ 37 – การสอบเข้า (1)


ภูเขาเอเวอเรสท์เป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับสามของทวีป มันสูงเกือบ 9,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลและปกคลุมด้วยหิมะ ในเทือกเขาแอลพ์ที่เป็นหนึ่งในสิบดินแดนต้องห้ามหรือที่รู้จักกันว่าเป็นสวรรค์ของสัตว์ประหลาดนั้น ภูเขาเอเวอเรสท์อันตรายเป็นพิเศษ

เด็กสาวผมเงินในชุดขาวถือร่มขาว ยืนเหนือยอดเขาและมองทิวทัศน์เบื้องล่างเหมือนพยายามเก็บภาพนั้นไว้

“ยูเรีย?”

ใต้ยอดเขา เด็กหนุ่มผมขาวในชุดดำล้วนถือร่มสีดำกำลังโบกมือวิ่งมาพลางเรียกชื่อเด็กสาว

ยูเรียมองแล้วถอนหายใจเบาๆ

“อัลฟอนโซ ถ้าล้มไปจะทำยังไง?”

พูดจบไม่ทันไรเด็กหนุ่มที่กำลังวิ่งก็สะดุดกองหิมะล้ม ยูเรียตกใจแล้ววิ่งไปทางฝาแฝดของเธอ โชคดีที่หิมะมีอยู่ทุกทีช่วยรับร่างเขาไว้

“อา...เจ็บ” อัลฟอนโซร้อง มองฝ่ามือที่เป็นแผลถลอก

ยูเรียถอนหายใจเบาๆและจับมือที่เป็นแผลของอัลฟอนโซ “ฮีล”

มือของเธอเรืองแสงและรอยถลอกหายไป

อัลฟอนโซกำแล้วแบมือเพื่อให้แน่ใจว่าแผลหายดี “ฮิๆ ขอบคุณ” ยิ้มอย่างไร้เดียงสาและขอบคุณ ขณะยูเรียยิ้มและลูบศีรษะเขา

“อัลฟอนโซ เจ้าฝันอยากเป็นอัศวิน แผลแค่นี้ก็ร้องไห้แล้วจะเป็นอัศวินได้เหรอ?”

อัลฟอนโซหน้าแดง

“ข้าเป็นได้!”

ยูเรียหัวเราะเมื่อน้องชายของเธอหันหน้าไปทางอื่น

“จ้าๆ เป็นได้ เพราะอย่างนี้เจ้าถึงจะไปเมืองหลวง”

อัลฟอนโซลุกขึ้นตะโกน “ใช่แล้ว! ข้าจะเป็นอัศวินและสู้กับเขตแดนปีศาจเหมือนลุงของข้า บลัดดี้ เบลด!”

ยูเรียยิ้มแต่ในใจทอดถอน

เหตุผลที่อัลฟอนโซอยากเป็นอัศวิน และใส่เสื้อสีดำแทนที่จะเป็นสีขาวซึ่งเป็นสีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าก็เพราะชายที่ชื่อ บลัดดี้ เบลด เผ่าผีเสื้อของฝาแฝดได้ส่งคนไปประจำในเมืองหลวงมารุ่นต่อรุ่นเพื่อรักษาอิทธิพลของเผ่า

วิลเลียมที่ถูกส่งไปประจำในเมืองหลวงเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งของเผ่าและเป็นลุงของพวกเธอ

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน วิลเลียมได้ชวนเพื่อนของเขา บลัดดี้ มาที่หมู่บ้านเผ่าผีเสื้อ

***

สี่ปีก่อน – ในหมู่บ้านเผ่าผีเสื้อ

วิลเลียมและบลัดดี้ออกมาจากประตูวาร์ปที่เชื่อมต่อกับเมืองหลวง

“โอ้? แบบนี้สะดวกดีนะ เจ้าไปติดประตูให้หมู่บ้านข้าด้วยได้ไหม?”

เมื่อบลัดดี้ถามวิลเลียม คนถูกถามก็ส่ายหน้าและตะโกน “ล้อข้าเล่นเรอะ? โอลิมปัสจะติดประตูวาร์ปได้ยังไง? ต่อให้ข้าติดได้ ตอนใช้ก็ไม่พ้นหลงทางในมิติอยู่ดี”

“อ้อเหรอ?”

บลัดดี้แค่ถามไปอย่างนั้นไม่ได้เอาจริง เขาหันไปมองรอบๆห้องวาร์ป

“แต่ไม่มีใครอยู่เลย ข้านึกว่าจะมีคนมาต้อนรับเจ้าเสียอีก”

“แน่นอน การย้ายมวลสารระยะไกลเป็นเวทมนตร์ที่ละเอียดอ่อน เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อกำจัดความคลาดเคลื่อนออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น ถ้ามีใครไปแตะอะไรผิดในห้องหรือใช้เวทมนตร์ คนที่กำลังผ่านประตูวาร์ปก็จบกัน”

บลัดดี้คิดตามคำอธิบายของวิลเลียมสามวินาที จากนั้นพูดอย่างเคร่งขรึมเหมือนได้ฟังว่าเซนเซอร์ตรวจจับการสะท้อนแสงด้วยอินฟราเรดทำงานอย่างไร

“ข้าว่าเว้นรายละเอียดที่เหลือไว้ดีกว่านะ”

“นั่นสิ เฮ้อ! ถึงอธิบายไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ”

วิลเลียมส่ายหน้าและเปิดประตู ข้างนอกปกคลุมไปด้วยหิมะ

บลัดดี้ตามหลังวิลเลียม ชื่นชมทิวทัศน์พลางให้ความเห็น

“สีขาวทั้งนั้น”

ไม่แค่หิมะ ผนังบ้าน หลังคา กระทั่งควันที่ลอยจากหลังคาก็เป็นสีขาว

“ไม่ใช่ นั่นมันไอน้ำ ที่นี่เราจะหาฟืนได้ยังไง? เรื่องทุกอย่างต้องใช้เวทมนตร์จัดการ”

เผ่าผีเสื้อตั้งอยู่ห่างจากยอดเขาเอเวอเรสท์ประมาณหนึ่งกิโลเมตร

“อ้อ ข้าก็นึกว่าพวกเจ้าเปลี่ยนควันเป็นสีขาวให้เข้ากับวิว”

“ทำเพื่อ... ไม่สิ จะเป็นไปได้ไหมนะ...?”

วิลเลียมจะปฏิเสธแต่เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าถ้าพวกเขาใช้ฟืนอาจจะเปลี่ยนควันเป็นสีขาวจริง

“ลุงวิลเลียม?”

เด็กชายคนหนึ่งวิ่งมาพลางโบกมือ เขามีผมสีขาว เสื้อและผ้าพันคอสีขาว

“อัลฟอนโซ?”

วิลเลียมอ้าแขนรอกอดหลาน แต่ร่างที่วิ่งมากลับล้มโครม

“อัลฟอนโซ?”

วิลเลียมเปลี่ยนเสียงและวิ่งไปหาเขา จากนั้นเช็ดน้ำตาให้อัลฟอนโซและร่ายเวทมนตร์รักษา

“เป็นยังไง? ยังเจ็บอยู่ไหม?”

“ไม่ครับ!”

อัลฟอนโซยิ้มสดใส วิลเลียมหัวเราะไปด้วย ที่ด้านหลังวิลเลียม บลัดดี้กำลังอ้าปากค้างเหมือนช็อกกับความต่างทางวัฒนธรรม

“มีอะไรเหรอ?”

“นั่นเขาเจ็บเพราะแค่ล้มเหรอ ร้องไห้ด้วย?”

วิลเลียมตำหนิบลัดดี้ที่ตกใจกับเรื่องธรรมดาแค่นี้และพูด “เวลาล้มแล้วเข่าถลอกไม่ใช่เรื่องแปลก อีกอย่าง เด็กเพิ่งสิบสองขวบ ถ้าเจ็บก็ร้องได้”

บลัดดี้สวนคำวิลเลียม “หลานๆข้าถูกโยนใส่มังกรตอนอายุสิบสอง พอคิดว่าเด็กแค่ล้มก็ร้องนี่...”

“อะไรนะ?”

วิลเลียมนึกว่าตัวเองหูฝาด การเปลี่ยนระดับที่สูงอย่างกะทันหันมักทำให้เกิดปัญหาการฟังเพราะความกดอากาศภายในร่างกับข้างนอกต่างกัน แม้ความกดอากาศในหมู่บ้านจะถูกควบคุมไว้ด้วยเวทมนตร์ แต่ความผิดพลาดของระบบยังดูน่าเชื่อกว่าที่บลัดดี้เพิ่งกล่าวไป

“หือ? อะไร?”

“เมื่อกี๊เจ้าพูดว่าอะไร!”

“โยนเด็กๆใส่มังกรตอนอายุสิบสอง?”

วิลเลียมได้ยินแล้วอดหวาดกลัวไม่ได้

“ใช้มนุษย์บูชายัญเหรอ? ขนาดเผ่ามังกรที่นับถือมังกรยังไม่ทำแบบนั้น!”

“ใครพูดว่าบูชายัญ? เราแค่ให้เด็กๆได้มีประสบการณ์กับมังกรไว้ก่อนตามปรัชญาการเรียนการสอนแบบเฉพาะของพี่ข้า แค่ทำให้พวกเขากลัวแล้วพาตัวกลับทันที”

“มหัศจรรย์แล้วที่พวกเขาไม่มีอาการ PTSD” วิลเลียมตำหนิพลางกอดอัลฟอนโซไว้

“พีอะไรนะ?”

“PTSD บาดแผลทางจิตใจ เหมือนที่บางทีเจ้าฝันร้ายเรื่องสู้กับพี่ชายของเจ้า”

บลัดดี้พอเข้าใจ จากนั้นก็บอกอัลฟอนโซที่อยู่ในอ้อมแขนของวิลเลียม

“เอาเถอะ เจ้าหนู ผู้ชายไม่ร้องไห้หรอก”

ดวงตาเปียกน้ำตาของอัลฟอนโซกว้างขึ้น “เอ๋? ทำไมล่ะ?”

“ก็...ข้าจะอธิบายยังไงดี... แบบว่า... อ้อ! ถ้าเจ้าร้องแบบนั้นจะเป็นอัศวินไม่ได้นะ” 

บลัดดี้พยายามหาคำตอบเมื่อถูกถามอย่างไม่ทันตั้งตัวและพูดสิ่งแรกที่คิดออก

“อัศวินคืออะไรครับ?”

บลัดดี้หัวเราะให้อัลฟอนโซที่มีดวงตาไร้เดียงสาเต็มไปด้วยน้ำตา

“อัศวินคือคนที่อยู่ฝ่ายคุณธรรม ปกป้องคนจากสัตว์ประหลาดและปีศาจที่ชั่วร้าย”

“ว้าว! ลุงก็เป็นอัศวินเหรอครับ?”

อัลฟอนโซมองวิลเลียมด้วยตาเป็นประกาย

“ฮ่าๆ ใช่ ข้าเป็นอัศวิน”

บอกว่าวิลเลียมเป็นอัศวินออกจะผิดไปหน่อย แต่งานที่เขาทำไม่ต่างกันมาก

“ว้าว?”

อัลฟอนโซดีใจและปรบมือ

“เด็กคนนี้นี่”

ทั้งวิลเลียมและบลัดดี้ไม่รู้เลยว่าคำพูดธรรมดาของพวกเขากลายเป็นความฝันใฝ่ของเด็ก

วิลเลียมอุ้มอัลฟอนโซและพยักหน้าไปทางกลางหมู่บ้าน

“มาถึงหมู่บ้านแล้ว ควรไปทักทายที่สภาหมู่บ้านสักหน่อย”

บลัดดี้พยักหน้า

“คุณลุง? เล่าเรื่องอัศวินให้ผมฟังหน่อยครับ!”

อัลฟอนโซที่ถูกวิลเลียมอุ้มถามบลัดดี้ บลัดดี้บอกเรื่องแรกที่เขานึกได้ตอนทำงาน

“อย่างแรก พวกเราใส่ชุดเกราะ”

“โอ้?”

อัลฟอนโซจินตนาการถึงชุดเกราะที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ในจินตนาการของเขา ชุดเกราะคือชุดที่เปล่งแสงเจิดจ้า

“และเราใช้ดาบ”

“ดาบ?”

อัลฟอนโซไม่เคยเห็นดาบ

“ลุงครับ ดาบคืออะไร?”

วิลเลียมอายกับคำถามของอัลฟอนโซ เผ่าผีเสื้อไม่มีแม้แต่มีดทำครัว อย่าว่าแต่ดาบ เพราะพวกเขาใช้เวทมนตร์จัดการเรื่องทุกอย่าง ของธรรมดาบางอย่างข้างนอกจึงไม่มีในหมู่บ้าน

“มันคือแท่งเหล็กที่มีด้านคม”

บลัดดี้หยิบดาบจากถุงผ้าเวทมนตร์ที่แขวนไว้ข้างเอว

“นี่คือดาบ”

“ว้าว!”

บลัดดี้ให้อัลฟอนโซลองถือดาบ

“เจ้า ข้าบอกแล้วว่าอย่าพกอาวุธมา”

บลัดดี้ยิ้มเมื่อวิลเลียมเริ่มตกใจ

“ไม่เป็นไรน่า ร่างกายข้าก็คืออาวุธอยู่แล้ว”

“เจ้านี่มัน”

บลัดดี้ตัดบทวิลเลียมที่กำลังจะบ่นใส่เขา

“และ ถ้าผู้นำเผ่าผีเสื้อคิดจะฆ่าข้า อย่างน้อยข้าควรขัดขืน”

วิลเลียมถอนหายใจหลังจากที่บลัดดี้ขยิบตาให้เขา

“ไม่ต้องกังวล พ่อข้าเป็นสุภาพบุรุษ”

“จริงเหรอ? ไม่เหมือนที่ข้าได้ยินมานะ”

“หา? ใครพูด?”

บลัดดี้ไม่ตอบคำถาม เขาเปิดประตูอาคารสภาหมู่บ้าน

“ข้าเก็บแล้วนะ”

บลัดดี้หยิบดาบจากมืออัลฟอนโซและเก็บใส่ถุงผ้าเวทมนตร์

“อา” อัลฟอนโซจ้องถุงผ้าอย่างเสียดาย บลัดดี้ลูบศีรษะอัลฟอนโซ

“เฮ้ ข้าถามว่าใครพูด?”

บลัดดี้ทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“ข้าได้ยินจากนักเวทที่ข้ารู้จัก รีบไปทักทายแล้วพักผ่อนเถอะ ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงข้าก็ไม่ได้พักเลย เหนื่อยแล้ว”

“เจ้าไปรู้จักนักเวทที่ไหน?”

วิลเลียมเลิกถามบลัดดี้และวางอัลฟอนโซลง

“เจ้ากลับบ้านไปก่อนไหม?”

อัลฟอนโซคิดแล้วส่ายหน้า

“ปู่บอกให้ข้าพาลุงมาด้วย”

“งั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกันไหม?”

วิลเลียมจูงมืออัลฟอนโซไปที่ห้องทำงานของพ่อเขา

“คุณวิลเลียม?”

เลขานุการคนหนึ่งที่นั่งตรงโต๊ะหน้าห้องทำงานลุกขึ้นต้อนรับทันที

“ไม่เจอกันนาน เป็นยังไงบ้าง?”

เลขานุการเขย่ามือกับวิลเลียมและยิ้มดีใจ

“ฮ่าๆๆ ข้าก็เหมือนเดิม คุณวิลเลียมต่างหากที่ลำบาก ได้ยินว่ากำลังจะไปที่อาณาเขตปีศาจเร็วๆนี้”

“ใช่ ไว้จะส่งเลือดปีศาจที่หาได้แต่ในอาณาเขตปีศาจมาให้นะ”

เลขานุการเริ่มน้ำลายไหล “จริงเหรอ?”

เลือดปีศาจที่เอามาทำดีๆจะสามารถใช้เป็นวัตถุเวทมนตร์ที่มีค่า ในเทือกเขาแอลพ์ พวกปีศาจล่าได้ยากเพราะมีจำนวนน้อยทั้งๆที่พวกสัตว์ประหลาดมีจำนวนมาก

“อืม เจ้าอุตส่าห์มายืนรอข้า”

เลขานุการเคาะประตูพลางดีใจที่จะได้เลือดปีศาจ

“ผู้อาวุโสสูงสุดคะ คุณวิลเลียมที่ถูกส่งไปเมืองหลวงมาค่ะ”

“เข้ามาได้”

เมื่อได้ยินดังนั้น วิลเลียมและบลัดดี้ก็เปิดประตูเข้าไป


สารบัญ                                    บทที่ 38



วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2564

แปลเพลง - All Good Things - Are You Coming Home (Silent Night)

ธันวาคม เดือนเทศกาล – คริสมาสต์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มีใครทำงาน/เรียนห่างบ้านแล้ววางแผนกลับบ้านบ้างคะ

มีคนนึงบ้านอยู่ต่างจังหวัด วางแผนจะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ตั้งแต่ปีใหม่ สงกรานต์ก็แล้วก็ยังไม่ได้กลับ แต่ปีนี้จะได้กลับจนได้ คนแปลก็ดีใจกับเค้าด้วย ^.^

เอาเพลงเกี่ยวกับคริสมาสต์มาแปล แต่เพลงนี้จะหดหู่หน่อย ไม่เข้ากับเทศกาลเราเลยเอามาลงเร็วหน่อย เผื่อใครฟังแล้วเปลี่ยนใจกลับบ้านดีกว่าก็คงดีนะ 


ลิงค์เพลงจากยูทูปค่ะ All Good Things - Are You Coming Home (Silent Night)


Staring at the sky and wondering where you are

We could be a world or two apart

A storm is coming in to cover up the stars

You're waiting and you're watching from a far

จ้องท้องฟ้าสงสัยว่าเธออยู่ไหน

เราอาจกลายเป็นโลกให้แก่กันหรือเราสองต้องห่างไกล

พายุกำลังมาบดบังเหล่าดวงดาว

เธอรออยู่และมองอยู่จากที่ไกลออกไป

Some never make it home, angels in the snow

You're scared for me to die but I'm prepared to go

I've got stay strong when I think of you

And all I've got to lose

บ้างไม่ได้กลับบ้าน เหล่าทูตสวรรค์ในหิมะ

เธอกลัวฉันตายแต่ฉันเตรียมจะไป

ฉันต้องเข้มแข็งเอาไว้เมื่อนึกถึงเธอ

และทุกอย่างที่มีที่อาจต้องเสียไป

When I finally talk to you

I know the damage it will do

Soon I'll have to tell the truth

And watch the lights flicker out on you

เมื่อในที่สุดก็ได้คุยกัน

ฉันรู้ว่ามันจะทำร้ายแค่ไหน

ไม่นานฉันต้องบอกความจริง

และมองแสงไฟในตัวเธอดับลง

Frost biting your flesh

The air is ice cold

It's far too quiet (quiet)

Still holding your breath

Holding out hope

But this night is silent

You're trying to stay strong

You'll never say the words

But you wanna cry it

Are you coming home?

Are you coming home?

Are you coming home?

น้ำแข็งกัดกินเนื้อของเธอ

อากาศหนาวเป็นน้ำแข็ง

มันเงียบเกินไป

เธอยังกลั้นหายใจ

ยังคงคาดหวัง

แต่คืนนี้เงียบงัน

เธอกำลังทำตัวเข้มแข็ง

และจะไม่เอ่ยอะไร

แต่เธออยากร้องถาม

เธอจะกลับบ้านไหม?

เธอจะกลับบ้านไหม?

เธอจะกลับบ้านไหม?

Can't believe another year has come and gone

Busy chasing money, chasing dreams

Trying to build a life and find where I belong

Now I know it's harder than it seemed

ไม่น่าเชื่ออีกปีผ่านมาและผ่านไป

ยุ่งกับการหาเงิน ไล่ตามความฝัน

พยายามสร้างชีวิตและหาที่ที่เป็นของฉัน

ตอนนี้รู้แล้วว่ามันยากกว่าที่เห็น

You called me in the fall, I promised I'd be there

But now they're singing christmas carols in the square

All I ever wanted was to make you proud

But I let you down again

เธอโทรมาก่อนหนาว ฉันสัญญาว่าจะไปหา

แต่ตอนนี้พวกเขาร้องเพลงฉลองคริสมาสต์ในลานกว้าง

ทั้งหมดที่ฉันหวังไว้คือทำให้เธอภูมิใจ

แต่ฉันทำให้เธอเสียใจอีกแล้ว 

When I finally talk to you

I know the damage it will do

Soon I'll have to tell the truth

And watch the lights flicker out on you

เมื่อในที่สุดก็ได้คุยกัน

ฉันรู้ว่ามันจะทำร้ายแค่ไหน

ไม่นานฉันต้องบอกความจริง

และมองแสงไฟในตัวเธอดับลง


Frost biting your flesh

The air is ice cold

It's far too quiet (quiet)

Still holding your breath

Holding out hope

But this night is silent

You're trying to stay strong

You'll never say the words

But you wanna cry it

Are you coming home?

Are you coming home?

Are you coming home?

น้ำแข็งกัดกินเนื้อของเธอ

อากาศหนาวเป็นน้ำแข็ง

มันเงียบเกินไป

เธอยังกลั้นหายใจ

ยังคงคาดหวัง

แต่คืนนี้เงียบงัน

เธอกำลังทำตัวเข้มแข็ง

และจะไม่เอ่ยอะไร

แต่เธออยากร้องถาม

เธอจะกลับบ้านไหม?

เธอจะกลับบ้านไหม?

เธอจะกลับบ้านไหม?

Silent Night

Holy Night

All is calm

All is bright

Are you coming home? (Silent Night)

Are you coming home? (Holy Night)

Are you coming home? (All is calm)

Are you coming home? (All is bright)

Are you coming home?

คืนสงบ

คืนศักดิ์สิทธิ์

ทุกอย่างเงียบสงบ

ทุกอย่างสว่างไสว

เธอจะกลับบ้านไหม?


Frost biting your flesh

The air is ice cold

It's far too quiet (quiet)

Still holding your breath

Holding out hope

But this night is silent

You're trying to stay strong

You'll never say the words

But you wanna cry it

Are you coming home?

Are you coming home?

Are you coming home?

น้ำแข็งกัดกินเนื้อของเธอ

อากาศหนาวเป็นน้ำแข็ง

มันเงียบเกินไป

เธอยังกลั้นหายใจ

ยังคงคาดหวัง

แต่คืนนี้เงียบงัน

เธอกำลังทำตัวเข้มแข็ง

และจะไม่เอ่ยอะไร

แต่เธออยากร้องถาม

เธอจะกลับบ้านไหม?

เธอจะกลับบ้านไหม?

เธอจะกลับบ้านไหม?


ชีวิตข้าฯ - บทที่ 36

 บทที่ 36 – ความเศร้าของเจ้าหญิง (6)


ผมกระโดดลงบนระเบียง เมื่อถึงพื้นผมจ้ององค์หญิงลำดับสามผู้มีรหัสผ่าน เธอสะดุ้งและหันมาเหมือนตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน

หือ? หน้าคุ้นๆ เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ?

“สวัสดี คุณผู้หญิง ยินดีที่ได้เจอกันอีก”

ผมจำไม่ได้แต่ก็ยิ้มทักทาย เคยเห็นหน้าเธอที่ไหนมาก่อนไม่สำคัญ เป้าหมายของผมคือทำให้เธอหลับ เอารหัสผ่านและตรงไปที่ห้องทำงานของจักรพรรดิ ผมใช้เวทสะกดให้เธอหลับ จากนั้นดีดนิ้วเพื่อดูว่าเวทมนตร์ได้ผลไหม

เป๊าะ!

องค์หญิงลำดับสามหันความสนใจมาที่ผมเมื่อได้ยินเสียงดัง จากนั้นโค้งน้อยๆเหมือนจิ้งจอกที่เจอได้ใน mid lane

“อ๊ะ สวัสดีค่ะ คุณลูแปง”

อะไร? เธอสลายเวทมนตร์ได้ยังไง? ต้องสลบไปแล้วสินอกจากว่าจะต้านเวทได้ มีของป้องกันเวทเหรอ? ไม่นะ ถ้ามีของแบบนั้นฉันก็ต้องเห็น

วัตถุเวทที่เจ้าหญิงมีคือสร้อยข้อมือมีรหัสผ่านที่อยู่บนแขนขวา สร้อยคอช่วยไม่ให้เหนื่อยล้า แหวนที่ทำให้สดชื่น ที่คาดผมป้องกันรังสียูวี และสร้อยข้อมือที่มีเวทมนตร์ป้องกันการโจมตีบนแขนซ้าย

แล้วเธอต้านทานเวทมนตร์ของฉันได้ยังไง?

ผมร่ายเวทใหม่ แต่ก็ยังไม่ได้ผล

เข้าใจล่ะ

เธอเป็นตัวต้านทานนักเวท ศัตรูตัวฉกาจของนักเวทนั่นเอง เธอมีร่างกายในตำนานที่ต้านทานเวทมนตร์ได้สูงมากซึ่งจะปรากฏเพียงหนึ่งในสิบล้านคน ผมไม่เคยเห็นกับตามาก่อน เคยอ่านในหนังสือว่าถ้าตัวต้านทานนักเวทเป็นนักรบก็จะกลายเป็นฝันร้ายของนักเวท

ผมปัดความสนใจเรื่องตัวต้านทานจอมเวทไปข้างๆ จับมือขวาของเจ้าหญิงที่มีผ้าคลุมไหล่คลุมและจูบหลังมือ

เป็นรหัสผ่านจริงๆด้วย!

ผมมองเจ้าหญิงอย่างสงบ จำได้แล้วว่าเคยเจอเธอที่ไหน ต้องเป็นคนที่ผมเจอตอนเข้ามาในวังครั้งแรกแน่

“ยินดีที่ได้เจอกันอีก อา...เรีย?”

ผมเกือบเรียกเธอว่าอารีเลียแต่เปลี่ยนทัน ตอนนั้นองค์หญิงสามบอกว่าเธอชื่ออาเรียแน่นอน

เจ้าหญิงของจักรวรรดิบอกชื่อจริงกับคนที่ไม่รู้จักเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายจริง เธอฉลาดน่าดู

“วันนี้เป็นวันที่งดงาม ว่าไหม?”

ผมเปลี่ยนเรื่องคุย จากนั้นจูงมือเธอมาที่ระเบียง จุดประสงค์คือปิดทางถอยและให้เธอรู้ว่ากำลังตกอยู่ในมือผม แบบนี้แล้วเจ้าหญิงจะได้ไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างกรีดร้อง

“ค่ะ”

องค์หญิงสามยิ้มตอบ

มั่นใจว่าอยู่ในวังไม่มีทางถูกทำร้ายเหรอ?

แต่ใบหน้าแดงน้อยๆของเธอบอกว่าในใจกำลังกระวนกระวาย คนธรรมดาถ้าทำร้ายเจ้าหญิงต้องไม่รอดแน่ แค่แตะต้องก็สามารถมองเป็นกบฏถูกประหารทั้งตระกูลได้แล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงมั่นใจว่าไม่มีใครทำร้ายเธอได้และยิ้มและยืนอย่างมั่นใจต่อหน้าชายปริศนา

แต่จู่ๆสีหน้าเธอก็หม่นลง เรื่องนี้เข้าใจได้เพราะผมเก่งพอเข้าวังมาโดยไม่มีใครรู้ตัวและไม่มีคนอยู่แถวนี้

เสียงร้องของเธอจะทำให้พวกยามรู้ตัว ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะทำยังไง?

ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็แค่หนี แต่ไม่รู้ว่าเจ้าหญิงจะคิดเหมือนกันไหม บางทีเธออาจกังวลว่าพวกทหารและคนรับใช้จะบาดเจ็บ

“กังวลเหรอ?” ผมถาม

เธอมองอย่างประหลาดใจ แสดงว่าผมเดาถูก

“ไม่ต้องกังวล จะไม่มีใครถูกทำร้าย”

เจ้าหญิงถามกลับเหมือนไม่เชื่อ

“ไม่มีใคร...?”

สีหน้าเธอหม่นหมองลง ดูเหมือนจะไม่เชื่อผม

“เจ้าต้องมีเรื่องกังวลมากมายแน่” 

ผมมั่นใจมากว่าสามารถหนีไปเงียบๆได้ แต่เจ้าหญิงส่ายหน้าและก้มมองไปที่วัง

“วังนี้คือกรงใหญ่ ใหญ่เกินกว่าจะหนีได้...”

กำลังจะบอกว่าฉันหนีไม่รอดหรอกเหรอ?

เจ้าหญิงดูมั่นใจในการรักษาความปลอดภัยของวังมาก เธอคิดว่าผมจะถูกจับได้อยู่ดี

“จริงเหรอ?”

ผมยิ้มซน

“มาดูกันไหมว่าจะหนีไม่ได้จริงๆ?”

ผมประคองเอวและมือเจ้าหญิง จากนั้นร่ายเวทมนตร์ลอยตัว เพราะเป็นตัวต้านทานเวทมนตร์ ผมต้องใช้พลังเวทมหาศาลเพื่อยกตัวเธอขึ้น แต่ก็ยังง่ายกว่าใช้เวทมนตร์ในป่าโอลิมปัส ที่จริงใช้เวทมนตร์ในหมู่บ้านของผมที่พลังเวทสงบยังยากกว่า

“ช้าๆ เจ้าแค่เดินทีละก้าว”

ผมประคองร่างเธอเพื่อไม่ให้ตกใจ เมื่อเธอก้าวเท้าผมก็ยกร่างเธอให้สูงขึ้น ไม่ลืมร่ายเวทล่องหนใส่พวกเรา

ท้องฟ้ากลางคืนแหวกออกขณะพวกเราลอยสูงขึ้น

ผมพูด กลั้นยิ้มไม่อยู่ “เป็นอย่างไร? ยังคิดว่าหนีไม่ได้อีกไหม?”

องค์หญิงสามตัวสั่นเหมือนกลัว

“ไม่?”

ยิ่งสูงขึ้นอุณหภูมิก็ต่ำลง ผมใช้เวทมนตร์ทำให้รอบตัวอบอุ่น

ว่าแต่ เธอตัวสั่นมากนะ เป็นปลาแซลมอนเหรอ?

ผมเทพลังเวทลงไปมากกว่าจะทำให้เจ้าหญิงหลับได้ เธอค่อยๆหลับไปสมเป็นตัวต้านทานนักเวท ถ้าเป็นคนปกติจะเหมือนถูกฉีดยาสลบและส่งเสียงเฮือกก่อนจะหลับไป

ผมกลับไปที่ระเบียงและดึงรหัสผ่านออกมาจากมือขวาของเจ้าหญิง สร้อยข้อมือมีเวทค่อนข้างซับซ้อนเกินกว่าจะเลียนแบบได้ทันที ดังนั้นผมจึงวางเธอให้พิงระเบียง ตั้งอุณหภูมิรอบๆที่ 25 องศาเซลเซียส ร่ายเวทรบกวนการมองเห็น เอาผ้าห่มจากกระเป๋ามิติมาห่มให้ และสุดท้ายก็กางบาเรีย แบบนี้เธอคงไม่เป็นหวัด

“ขอยืมก่อนนะ” ผมพูดกับเจ้าหญิงที่กำลังหลับและกระโดดกลับขึ้นไปบนหลังคา

ผมศึกษารหัสผ่านขณะมุ่งหน้าเข้าไปในวัง สิ่งนี้มีค่ากว่าที่ผมคิด มันสามารถถอดข้อห้ามเกือบทั้งหมดในวงเวท ถ้าให้ผมทำก่อนที่จะได้ศึกษามัน ผมคงต้องสร้างของที่ต้องห่อหุ้มทั้งตัวถึงจะมีความสามารถเท่าสร้อยข้อมือนี้

แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่สร้างสร้อยข้อมือเป็นนักเวทที่เก่งกว่าผม เวทมนตร์บนสร้อยมีก่อนวงเวทหลังเส้นดาบจะถูกแก้จนร้ายกาจ มันสงวนวงเวทตั้งต้นไว้ซึ่งแทบจะเรียกว่าเป็นโบราณวัตถุไปแล้ว ถ้านักเวทระดับผมได้ข้อมูลในสร้อยข้อมือนี้ก็สามารถลบวงเวททั้งวังได้อย่างเงียบเชียบ

แต่วงเวทมันเละเกินกว่าผมจะควบคุมมันได้อย่างใจ แน่นอนถ้าเป็นเผ่าผีเสื้อที่มีนักเวทเก่งกว่าผมอยู่เต็มคงทำได้ ถ้าสร้อยข้อมือตกอยู่ในมือของกลุ่มต่อต้านราชวงศ์ พวกเขาสามารถทำลายการป้องกันของวงเวทและโจมตีวัง มันเป็นของอันตราย แต่ผมสงสัยว่าจะมีกลุ่มที่มีอำนาจพอโจมตีวังได้ ถ้ามีพวกเขาคงมีอย่างน้อยนักเวทคนหนึ่งที่อยู่ระดับเดียวกับผม

ดูแผนที่ที่ได้จากการเจาะข้อมูลวงเวท ผมข้ามเส้นดาบและตรงไปที่ห้องทำงานจักรพรรดิ มีแผนที่นี่ดีจัง เมื่อย่องผ่านทหารยาม ผมเข้าไปในห้องทำงานและค้นโต๊ะ โชคดี คงเพราะมันถูกใช้บ่อยๆ ตราประทับอยู่ในลิ้นชักที่หยิบง่าย ผมเอาผงภูติออกมาและวางบนขี้ผึ้งที่อยู่กับตราประทับ

แสงอ่อนๆเรืองจากขี้ผึ้ง

ผมวางขี้ผึ้งบนช้อนที่ได้จากกองคลัง สร้างเปลวเทียนเพื่อละลายขี้ผึ้ง จากนั้นก็เอาซองเอกสารใส่ข้อสอบออกมาประทับใหม่

“เฮ่อ!”

ในที่สุดก็สบายใจได้เสียที ต่อไปก็กลับไปข้ามเส้นดาบ คืนสร้อยข้อมือให้เจ้าหญิง เอาซองข้อสอบไปคืนกองคลังก็จบ

ผมออกจากห้องทำงานจักรพรรดิไปเงียบๆ

***

♪ติ๊ง ติง ติง

กู๊ดมอนิ่ง

ติ๊ง ติง ติง

ปะ ปะ ป้าว ปาว ปะ ปะ ปะ ป้าว

กู๊ดมอนิ่ง

ปะ ปะ ป้าว ปาว ปะ ปะ ปะ ปาว

กู๊ดมอนิ่ง

ปะ ปะ ป้าว ปาว ปะ ปะ ปะ ป้าว

บิ๊วติฟูลเดย์

ปะ ปะ ปะ ปาว

อิทสะบิวติฟูลเดย์♪


อารีเลียตื่นเพราะเสียงประหลาด

เสียงน่าหนวกหูนี่มันอะไร?

เธอเตะผ้าห่มออกด้วยความรำคาญ

“หนวกหูจัง!”

บางอย่างลอยไปกับผ้าห่มและเสียงแตกดังขึ้น พร้อมกันนั้นเสียงเตือนก็หายไป

ว่าแต่ว่า ที่นี่ที่ไหน?

อารีเลียมองรอบๆอย่างง่วงๆ

ระเบียง? ทำไมข้ามานอนที่นี่?

อารีเลียสงสัยก่อนที่จะนึกขึ้นได้ถึงชายใส่หน้ากากเมื่อคืน

จริงด้วย ข้าเจอเขาอีกครั้งตอนมาที่ระเบียงเพราะความหงุดหงิด

อารีเลียรู้สึกดีใจ เธอหัวเราะเมื่อนึกถึงตอนลอยบนฟ้ากับเขา

แต่ผ้าห่มนี่คืออะไร ทำไมข้านอนที่นี่ ไม่ใช่ที่ห้องนอน?

อารีเลียพลันนึกได้ว่าความทรงจำของเธอหยุดตรงตอนพวกเขากำลังเต้นรำ

แปลว่าข้าหลับไปเหรอ?!

อารีเลียอายจนเอาผ้าห่มมาห่มแล้วกรี๊ด

“กรี๊ด ข้าจะทำยังไงดี!”

ข้าให้คนอื่นเห็นตอนหลับเหรอ?

“ข้าเป็นเจ้าสาวไม่ได้แล้ว!”

เธอตะโกนหน้าแดง

ผ้าห่มของลูแปงให้ความรู้สึกสาก เธอกอดผ้าห่มราคาถูกซื้อจากกรันเวลอย่างทะนุถนอม ของแข็งๆหล่นจากผ้าห่ม มันเหมือนกล่องที่พังแล้ว

มันเป็นของที่ถูกเตะไปกับผ้าห่ม

เมื่ออารีเลียเปิดกล่องก็เจอบัตรหนึ่งใบกับสร้อยคอทำจากพลอยสีม่วง

ข้าขอคืนสร้อยคอไพลินพันปีให้เจ้าของ บินออกจากกรงใหญ่...-ลูแปง

สร้อยคอเป็นของที่มาร์ควิสมากาเร็ตเสนอจะให้เป็นของขวัญของอารีเลียจริงๆ เธอแน่ใจเพราะไพลินพันปีไม่ใช่ของหาง่าย

ชายใส่หน้ากากรู้ตัวจริงของข้าอยู่แล้วเหรอ? ถึงอย่างนั้นก็ยังให้กำลังใจข้าให้ออกจากกรง?

เธอตื้นตันใจจนตาแดง เร็วไปหน่อยแต่เธอได้ของขวัญวันเกิดชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่สร้อย แต่เธอได้รับความกล้าที่จะเดินไปข้างหน้า อารีเลียสวมสร้อยคอและกลับห้อง คิดในใจท่ามกลางหญิงรับใช้ที่กำลังวุ่นวายหลังจากเจอตัวเธอ...

ข้าจะบอกพ่อตอนกินอาหารเช้า ข้าจะเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ตามที่นายพลวิลเลียมแนะนำ

ความเศร้าของเจ้าหญิงหายไปก่อนจะทันรู้ตัว อารีเลียเต็มไปด้วยความมั่นใจที่จะเดินไปข้างหน้า


สารบัญ                                            บทที่ 37




เดนกับเจ้าหญิงคุยคนละเรื่องเดียวกันเลย...

LG Good morning ringtone ถ้าเราได้ฟังเพลงนี้ตอนตื่นนอนคง...ก็คงตื่นแหละ นอนต่อไม่ไหว










ชีวิตข้าฯ - บทที่ 35

 บทที่ 35 – ความเศร้าของเจ้าหญิง (5)


แน่นอนว่าการตรวจหาแบบนี้ใช้ได้แต่กับสิ่งมีชีวิตไม่ใช่สิ่งก่อสร้างที่เป็นอนินทรีย์ แต่กับคนจำนวนมากขนาดนี้ ตัวตนของพวกเขาก็กลายเป็นแผนที่บอกทางได้

ผมมองไปกลางเขตพระราชฐานชั้นใน เป้าหมายคือตราประทับของจักรพรรดิ ถ้าเป็นที่ๆจักรพรรดิไปบ่อยๆ การรักษาความปลอดภัยก็ต้องแน่นหนาต่อให้เขาไม่อยู่ ผมมองหาที่ๆการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาที่สุด

โอ๊ย... ตาฉัน...

เมื่อเพ่งไปทางเขตพระราชฐานชั้นในผมก็รู้สึกเจ็บตามากจนเกือบร้องออกมา แต่แน่ใจว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่วรยุทธ์

ปัญหาอยู่ตรงไหน?

ผมหยุดใช้วรยุทธ์และมองไปทางเดิม ไม่รู้สึกเจ็บตาอีก คราวนี้ผมใส่พลังเวทที่ตาแล้วมองใหม่

เจ็บ...

ไม่มากเท่าครั้งแรก แต่ยังเจ็บ

อ๊ะเข้าใจแล้ว! เพราะมันใหญ่มากเลยไม่ทันสังเกต แต่ผมกำลังยืนในวงเวทขนาดใหญ่ ที่ได้รับบาดเจ็บจากวงเวทเพราะไปเข้าเงื่อนไขบางอย่าง อาจเกี่ยวกับอวัยวะที่ใช้รับข้อมูล อย่างการรวมพลังเวทไปที่หูหรือตาจะและหันไปทางพระราชฐานชั้นใน ต่อให้วรยุทธ์ตัดผมออกจากสภาพแวดล้อมภายนอกก็ไม่ได้เพราะผมอยู่ในวงเวทแล้ว

ก็เหมือนเราปิดกระจกรถเพราะกลิ่นขี้วัวแต่กลิ่นก็อยู่ในรถแล้ว สำหรับกรณีนี้ ผมต้องออกจากวงเวท ลบอิทธิพลของมันออกจากตัวแล้วใช้วรยุทธ์ก่อนจะเข้าในวงเวทใหม่ แต่วงเวทนี่ดูจะกว้างไปถึงวังชั้นนอก จะให้ทำอย่างนั้นก็ยุ่งยาก เอาแค่รบกวนวงเวทเพื่อสร้างช่องโหว่ดีกว่า

ผมสร้างบาเรียป้องกันไม่ให้พลังเวทรอบตัวกระจายออกไป หยิบไม้เท้าออกมาจากกระเป๋ามิติ ไม้เท้าทำจากกระดูกมังกร ความยาวรอบวง 4 เซนติเมตรและยาวหนึ่งเมตร ที่หัวมีพลอยเท่ากำปั้นลอยอยู่ มันทำจากหัวใจมังกรเจ็ดตัว

หัวใจมังกรลอยกลางอากาศและส่องแสงเจ็ดสีสวยงามสลับกัน จากนั้นก็มีแหวนขนาดต่างกันสามวงและผลึกปีศาจ 5 ชิ้นบีบอัดเป็นขนาดเท่าเล็บลอยรอบหัวใจมังกร มังกร 10 ตัวและปีศาจระดับเดียวกับมังกร 50 ตัวถูกสังหารเพื่อสร้างไม้เท้านี้ แต่มันของที่คู่ควรกับการเสี่ยง

ผมไม่ได้ใช้มันตอนออกจากหมู่บ้านเพราะมันใช้ในป่าไม่ได้ ป่าโอลิมปัสเป็นนรกของนักเวทที่ซึ่งพลังเวทพยศหนัก ถ้าใช้ไม้เท้านี้ ที่แค่ถือไว้เฉยๆก็ปล่อยพลังเวทมหาศาลออกมาแล้วจะทำให้ป่าครึ่งผืนกระจุย

มันเป็นไม้เท้าที่ผมแอบทำขึ้นในการเตรียมการออกจากหมู่บ้าน แต่เมื่อทำเสร็จถึงรู้ว่ามันทรงพลังเกินไปไม่เหมาะกับใช้สู้กับคนบ้านเดียวกัน ดังนั้นผมจึงไม่มีโอกาสใช้มัน ตอนนี้ออกจากป่าแล้ว ผมสามารถควบคุมมันได้

ผมใช้ไม้เท้าเคาะลงหลังคาเบาๆเพื่อติดต่อกับวงเวท ขณะอ่านผลของวงเวทและเงื่อนไขการแสดงผลผมก็สงสัยว่าข้อห้ามมากมายขนาดนี้คนในวังจะอยู่ไหวเหรอ

แน่นอนว่าข้อห้ามมากมายสร้างเพื่อปกป้องจักรวรรดิ จึงไม่แสดงผลนอกจากคนติดต่อหรือพยายามติดต่อจักรพรรดิ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครอยู่ในวังได้เพราะวงเวทห้ามกระทั่งพฤติกรรมปกติอย่างการเดิน การมอง กระทั่งการหายใจ ผมทึ่งเหล่าคนรับใช้ใกล้ชิดของจักรพรรดิที่ต้องทนกับข้อห้ามพวกนี้จริงๆ

ผมกลืนน้ำลายเมื่ออ่านเจอเส้นแบ่งเขตในวงเวทที่เรียกว่าเส้นดาบ คนที่ไม่ได้รับอนุญาตไม่สามารถผ่านเส้นนั้นได้ วงเวทในเส้นดาบคนละชั้นกับวงเวทที่ผมกำลังรบกวนอยู่ ผมไม่สามารถสร้างช่องว่างในวงเวทนั้นได้

ในรอบหลายสิบหรือร้อยปีนี้ ต้องแก้ ต้องเปลี่ยนวงเวทกันกี่รอบถึงมาถึงขั้นนี้ได้...

เหมือนเขียนบนกระดาษขาวแล้วเขียนทับลงไปอีกร้อยรอบ ขนาดผมที่เป็นชาติพันธุ์นักสู้ ถ้าคิดจะฝ่าวงเวทนี้ไปก็ตาย

วงเวทก็เหมือนด้าย จะคลี่คลายมันได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าจะหาเวทแรกที่ถูกเขียนไว้ได้หรือเปล่า วงเวทหลังเส้นดาบคือปมกอร์เดียนดีๆนี่เอง วิธีแก้คือต้องเป่าทั้งวังให้ราบอย่างอเล็กซานเดอร์มหาราช แต่ถ้าทำอย่างตราประทับก็ไม่เหลือ ผมต้องหาทางอื่น

ผมหาช่องโหว่ขณะแตะรอบๆวงเวท วงเวทก็เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ตราบใดที่เป็นของคนสร้างก็ต้องมีบั๊กและข้อผิดพลาด โดยเฉพาะกับวงเวทใหญ่ขนาดนี้และถูกวาดซ้ำและแก้ไขหลายรอบ

มันต้องมีมาสเตอร์คีย์หรือวิธีอื่นที่แก้ไขข้อผิดพลาดได้ เชื่อมต่อล้มเหลว, ไฟร์วอลล์, หลีก, เชื่อมต่อ, ล้มเหลว... มีหลายอย่างที่ต้องระวังระหว่างขุดข้อมูลของวงเวทโดยไม่ให้นักเวทในวังรู้ตัว

แต่ก็มีผลพลอยได้อย่างอื่นด้วย

ตอนวิเคราะห์วงเวทผมก็เจอข้อมูลแผนที่ของเขตพระราชฐานชั้นในด้วย ผมหยิบบัตรเล็กๆจากกระเป๋ามิติและวางข้างไม้เท้า บัตรใช้หลักการเดียวกับป้ายของธนาคารที่ใช้บันทึกเงินในบัญชี มันเหมือน SSD หรือ SD การ์ด

ผมเซฟแผนที่เสร็จแล้วตั้งใจวิเคราะห์วงเวทต่อ แม้จะไม่เจอมาสเตอร์คีย์ ผมก็พบว่ามีสร้อยข้อมือจำนวนหนึ่งที่มีรหัสผ่านเส้นดาบ มีหนึ่งอันที่กำลังอยู่นอกเส้นดาบ

เจ้าของรหัสผ่านคือ อารีเลีย วอน บาฮามุนท์ ดิ ออร์เลียง อีเลีย องค์หญิงลำดับสามของจักรวรรดิ

การเจาะวงเวทคงต้องใช้เวลาหลายวัน ขโมยรหัสผ่านน่าจะดีกว่า อย่างไรเสียผมก็เป็นโจร

***

อารีเลียรู้สึกมึนงงสงสัยเมื่อเห็นชายใส่หน้ากาก

เขามีตัวตนจริงๆเหรอ หรือภูติกำลังทำให้ข้าเห็นความฝัน?

ชายคนนั้นดีดนิ้วเมื่ออารีเลียมองเขาอย่างใจลอย

เป๊าะ!

เสียงทำให้เธอรู้สึกตัว อารีเลียจับกระโปรงขึ้นและโค้งน้อยๆตามมารยาทในวัง แก้มของเธอเป็นสีชมพูจางๆ

“อ๊ะ สวัสดีค่ะ คุณลูแปง”

ปากข้างล่างหน้ากากกลายเป็นรอยยิ้มบาง ลูแปงกระโดดเบาๆลงจากรั้วระเบียงและมาหาเธอ ยกมือขวาของเธอจูบที่หลังมือ

ดวงตาของลูแปงวาววามเล็กน้อย “ยินดีที่ได้เจอกันอีก อา...เรีย?”

อารีเลียพยักหน้าเมื่อลูแปงเรียกชื่อปลอมของเธออย่างไม่คล่องนัก อารมณ์ดีขึ้นเมื่อเขายังจำชื่อเธอได้ทั้งๆที่เจอกันครู่เดียวเมื่อสามวันก่อน

“วันนี้เป็นวันที่งดงาม ว่าไหม?”

ลูแปงกระตุกมืออารีเลียเบาๆเหมือนจะพาเธอไปที่ราวระเบียง เธอเดินตาม

“ค่ะ”

วันนี้ดวงจันทร์เต็มดวงส่องสว่าง

อารีเลียรู้สึกเหมือนแสงจันทร์ส่องลงมาให้เธอ สีหน้าหม่นมัวลงเมื่อเมฆเคลื่อนมาบังดวงจันทร์ เธอไม่ได้คาดหวัง เขาเป็นเหมือนภูติที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ เหนืออื่นใด เธอไม่ใช่คนที่สามารถเจอใครได้อย่างอิสระ

ใช่! ตื่นได้แล้ว

เธอต้องตื่นจากฝันปริศนาที่เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย เพื่อตัวเธอเองและเพื่อชายคนนี้ ขณะอารีเลียจะบอกลา ลูแปงก็ใช้นิ้วชี้วางบนปากของเธอ

“กังวลเหรอ?”

อารีเลียประหลาดใจ

เขารู้เรื่องที่ข้าคิดอยู่ได้ยังไง?

“ไม่ต้องกังวล จะไม่มีใครถูกทำร้าย”

คำพูดของลูแปงทำให้หัวใจเธอหวั่นไหว

“ไม่มีใคร...?”

เป็นไปไม่ได้ เธอเป็นเจ้าหญิงของจักรวรรดิ การพบกันแบบนี้ไม่มีทางได้รับอนุญาต...

“เจ้าต้องมีเรื่องกังวลมากมายแน่” ลูแปงยิ้ม

ดวงตาอารีเลียเศร้าลงพร้อมกัน

“วังนี้คือกรงใหญ่ ใหญ่เกินกว่าจะหนีได้...”

อารีเลียได้ยินเสียงตัวเองแล้วตกใจ เรียกที่นี่ว่ากรงขังเป็นความผิด ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทุกครั้งที่เธอเจอชายคนนี้ ความคิดในใจของเธอจะพยายามเปิดประตูออกมา

ลูแปงหัวเราะ “จริงเหรอ?”

อารีเลียเงยหน้าจ้องหน้ากาก ลูแปงโอบเอวเธอเบาด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างกุมมือเธอ

“มาดูกันไหมว่าจะหนีไม่ได้จริงๆ?”

และแล้วทั้งสองก็เริ่มลอยขึ้นช้าๆ อารีเลียทำตาโตอย่างประหลาดใจ ใต้หน้ากากขาวครึ่งหน้าเป็นรอยยิ้มซน

“ช้าๆ เจ้าแค่เดินทีละก้าว”

เมื่อเธอก้าวออกตามเขาพูด ร่างเธอก็ลอยเหมือนไม่สนใจแรงโน้มถ่วง เธอรู้สึกขัดแย้งขณะร่างลอยขึ้นแต่ความรู้สึกนั้นไม่แย่นัก ทั้งสองลอยขึ้นฟ้าเหมือนกำลังเต้นรำใต้จักรวาล อารีเลียรู้สึกงุนงงจากลมเย็นของฟ้ายามกลางคืน

“เป็นอย่างไร? ยังคิดว่าหนีไม่ได้อีกไหม?”

รอยยิ้มใต้หน้ากากสอดคล้องกับแสงจันทร์ กลายเป็นภาพแสนวิเศษ

อารีเลียยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ “ไม่?”

วอลทซ์บนฟ้าช่างยอดเยี่ยม แขนของเขารอบมือและเอวช่างอบอุ่น



สารบัญ                                           บทที่ 35


อาทิตย์ที่แล้วหยุดไปเพราะไม่สบาย (ชานมเป็นพิษ...) อาทิตย์นี้เลยลงสองตอนค่ะ ^.^


วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 34

บทที่ 34 – ความเศร้าของเจ้าหญิง (4)


ถ้าเป็นลุงที่ผมรู้จักเขาจะยิ้มและบอกให้ทำงานกับเขา แต่เชื่อแน่ว่าการทำงานกับลุงหมายถึงผมถูกส่งไปต่อยตีกับพวกปีศาจที่เขตแดนปีศาจ ถ้าอย่างนั้นแล้วผมจะหนีออกจากบ้านเพื่ออะไร? ผมอาจดูไม่มีความฝันแต่ผมยังมีเป้าหมายเป็นข้าราชการอยู่นะ

ผมแซะตราขี้ผึ้งที่ปิดซองอยู่ออก แผนคืออ่านข้อสอบแล้วค่อยปิดซองกลับด้วยการอุ่นตราขี้ผึ้ง

เอาล่ะ แสดงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าออกมา!

ขอดูข้างหลังหน่อย ข้างหลัง!

เวร!

ชิบหายแล้วกู!

ทันทีที่ผมดึงขี้ผึ้งออกมันก็กลายเป็นผงและสลายไปไม่เหลือร่องรอย

ใครใส่ผงภูติลงในตราขี้ผึ้งกัน?

เมื่อผสมผงภูติลงไปในของ เมื่อผงภูติถูกกระแทกจะทำให้ของหายไป ผมเคยได้ยินว่าวิธีนี้ใช้กับอาวุธลับหรือจดหมายลับ

สติยังดีอยู่ไหมเนี่ยที่ใช้ของแพงแบบนี้กับตราปิดซองเอกสาร?

คนสติดีต้องไม่ใช้ผงภูติแบบนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นต้องบ้าแน่ โชคดีที่ไม่มีเวทมนตร์ส่งสัญญาณเตือนตอนผมแกะผนึก หรือถ้ามีผมคงรู้ตัวและใช้เวทเคลื่อนย้ายเอกสารในซองออกมาอ่านก็เท่านั้น ผงภูติเป็นวัตถุดิบเวทมนตร์ ไม่ใช่เวทมนตร์ผมจึงไม่รู้ตัว

บ้าจริง ผงภูติราคาเท่าทองเลยนะ ใครมันคิดใช้กับตราขี้ผึ้งเนี่ย?

ตอนนี้เกิดปัญหาสองข้อ หนึ่ง ผมไม่มีตราขี้ผึ้งผสมผงภูติ สอง ผมไม่มีตราประทับลายเดียวกับที่ใช้ปิดซอง แม้ว่าในกระเป๋ามิติจะมีผงภูติอยู่เยอะก็ตาม

คิดสิ คิด อ่านข้อสอบก่อนแล้วกัน ไหนๆซองก็เปิดไปแล้ว

เอกสารในซองเป็นข้อสอบจริงๆ ต้นฉบับสดๆร้อนๆที่ยังไม่ได้ถูกส่งไปโรงพิมพ์

แล้วจะปิดตราแบบนั้นทำไมถ้ายังไม่ได้ส่งไปโรงพิมพ์ด้วยซ้ำ?

ก็เพื่อเก็บความลับนั่นแล แต่ผมก็ยังคิดอยู่ดีว่าทำเกินไป ผมต้องแก้ปัญหานี้ทันที นี่ไม่ใช่แค่การสอบจะถูกเลื่อนหรือยกเลิกแล้ว มีคนบุกรุกเข้ามาในกองคลังในเขตพระราชฐานชั้นในที่จักรพรรดิอาศัยอยู่ หัวหน้ารักษาความปลอดภัยต้องหัวหลุดจากบ่าแน่ถ้ามีคนรู้ ผมหมายความตามนั้นจริงๆ ประหารชัวร์ 100% ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเคานต์หรือมาร์ควิส

คิดตามสามัญสำนึกก็จะเห็นว่าการลอบเข้ามานั้นเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีคนทรยศคอยช่วย ไม่ว่าคนทรยศจะเป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัยหรือลูกน้อง หัวหน้ารักษาความปลอดภัยต้องถูกประหารอยู่แล้ว ควบคุมลูกน้องไม่ได้ไม่ใช่เรื่องตลกถ้ามีความปลอดภัยของจักรพรรดิเข้ามามีส่วนด้วย อีกอย่าง ถ้าเรื่องไปกันใหญ่แล้วหัวหน้าถูกตัดสินเป็นกบฏ ครอบครัวของเขาจะถูกประหารหรือขายเป็นทาส

สิ่งที่ผมเพิ่งทำสลายไปไม่ใช่ตราธรรมดาแต่เป็นศีรษะคนๆหนึ่งหรืออาจเป็นสิบ ผมต้องปิดตราใหม่ด้วยตราขี้ผึ้งผสมผงภูติก่อนพ้นคืนนี้

ผมพิจารณาตราบนเอกสารอย่างละเอียด ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งอันที่เหมือนกับตราที่ใช้ปิดซอง

ลายแบบไหนแล้วนะ...

เพราะความมืดและไม่ได้ตั้งใจดูด้วยเลยจำไม่ค่อยได้ แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นตราที่ประทับบนเอกสารใบสุดท้าย ตามปกติแล้ว ถ้าซองถูกเปิดออกและปิดใหม่ คนที่เปิดซองจะใช้ตราของเขาประทับ

ไหน ชื่อใต้ตราคือ...

จักรพรรดิ?

ซวยแล้วกู!

***

ยามดึก อารีเลียหลบหญิงรับใช้และหนีออกจากห้อง นี่เพราะจู่ๆเธอก็รู้สึกอึดอัดเมื่อคิดถึงชายใส่หน้ากาก

ความรู้สึกนี้มันคืออะไร?

เธอรู้สึกไม่อยากอาหารมาสามวัน ไม่มีแรงและไม่ต้องการอะไร (ยกเว้นของหวาน) นี่เป็นครั้งแรกชีวิต 16 ปีของเธอที่รู้สึกอย่างนี้ ความทรมานเหมือนอาหารไม่ย่อย หัวใจหนักอึ้งกำลังเต้นแรง แต่เธอกลับไม่รู้สึกรังเกียจหัวใจที่เต้นแรงหนักอึ้งนัก

ทำไมกันนะ?

อารีเลียเดินพลางครุ่นคิด เท้าของเธอมุ่งไปยังขอบนอกของพระราชฐานชั้นใน ทันใดนั้นเธอก็รู้ตัวว่ามาใกล้ตรงที่เธอเคยหลบหญิงรับใช้เมื่อสามวันก่อน

อารีเลียตรงไปที่ระเบียง สูดอากาศยามกลางคืนอันค่อนข้างเย็นอย่างสดชื่น คืนนี้ดวงจันทร์ก็ส่องแสงสว่างอีกแล้ว

***

ผมตัดสินใจหาขี้ผึ้งผสมผงภูติก่อน ตราจักรพรรดิอยู่แต่ในห้องทำงานของเขา แต่ขี้ผึ้งน่าจะมีที่อื่นด้วย

ผมค้นทุกโต๊ะในกองคลังและเจอขี้ผึ้ง แต่มันเป็นขี้ผึ้งธรรมดาไม่มีผงภูติ

ผงภูติมีลักษณะเด่นที่จะส่องแสงตอบรับกัน ดังนั้นถ้าขี้ผึ้งส่องแสงเมื่อผมเอาผงภูติไปใกล้ๆก็แสดงว่ามันผสมผงภูติ แต่ขี้ผึ้งที่ผมหาเจอไม่ส่องแสง

มาคิดดู ผงภูติเป็นของแพง กองคลังคงไม่ได้ใช้มันง่ายๆต่อให้ได้งบมาเท่าไหร่ก็เถอะ คนที่ใช้ได้ควรจะเป็นคนตำแหน่งสูง ดังนั้นมันน่าจะอยู่ในห้องทำงานของหัวหน้ากองคลังหรือนายกรัฐมนตรี

ห้องทำงานของนายกรัฐมนตรีกับจักรพรรดิไม่มีบนแผนที่ แผนที่วังแทบจะว่างเปล่า ซึ่งไม่แปลก ที่จริงการมีที่ตั้งของกองคลังและกระทรวงอื่นๆต่างหากที่น่าตกใจ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกคับแค้นใจต่อแผนที่ว่างเปล่า

ผมเดินรอบกองคลังและเจอห้องทำงานของหัวหน้ากองคลัง ผมเปิดประตูและเริ่มค้นโต๊ะของเขา ผมลองเปิดลิ้นชักแต่มันถูกล็อกไว้หมด

มาปลดล็อกมันก่อน

ลิ้นชักแรกใส่วัสดุสำนักงานและถุงใส่เหรียญทอง ผมคิดจะเอาไปเพราะน่าจะเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบแต่ก็ปล่อยไว้เพราะไม่มีหลักฐาน

ลิ้นชักที่สองมีบัญชีการฉ้อโกง น่าเสียดายที่ไม่ใช่การฉ้อโกงของหัวหน้ากองคลังแต่เป็นหลักฐานผูกมัดเคานต์คนหนึ่ง

ลิ้นชักที่สามมีพวกเอกสารและกุญแจ ถ้าผมกำลังเล่นเกมหนีออกจากห้องอยู่คงตื่นเต้น แต่ผมมีลวดไขได้ทุกอย่างอยู่แล้ว

ลิ้นชักสุดท้ายมีของหลายอย่าง มีขี้ผึ้งรวมอยู่ด้วย พอเอาผงภูติไปใกล้ๆมันก็ส่องแสงจางๆ

เจอแล้ว!

ผมใส่รังสีดาบบนเล็บและตัดขี้ผึ้งออกอย่างเรียบสนิท รอยตัดบนขี้ผึ้งดูเรียบกว่าของเดิม แต่ดูเป็นธรรมชาติเพราะไม่มีรอยกดเหลืออยู่

ด้วยปริมาณเท่านี้ เจ้าของจะแค่สงสัยว่าเขาเผลอใช้ขี้ผึ้งมากเกินไปโดยไม่สงสัยว่ามีใครมาตัดมัน

ผมใช้ช้อนเก็บขี้ผึ้งละลายแล้วออกจากกองคลัง

***

อารีเลียมองดาวอยู่นานจนตัวเริ่มเย็น เธอคงอยู่ข้างนอกนานเกินไปและตัดสินใจกลับ แต่เท้าเธอไม่ขยับตามความคิด

ความรู้สึกนี้คืออะไร? มันตื่นเต้นและมึนงง...

เธอรู้สึกกระตือรือร้นอย่างแปลกๆขณะยืนบนระเบียง มันเหมือนตอนเธอรอให้ถึงเวลาอาหารว่างแต่รุนแรงกว่าเล็กน้อย เหมือนตอนหญิงรับใช้ตอบว่า “บริออช” เมื่อเธอถามว่า “ของว่างวันนี้เป็นอะไร?” เธอรู้สึกเหมือนกันตอนที่ชายใส่หน้ากากปรากฏตัวและพูด “สวัสดีคุณผู้หญิง?”

อารีเลียหัวเราะอย่างหดหู่ ที่นี่ที่ไหน? มันคือวังหลวงสัญลักษณ์ของจักรวรรดิ สิ่งที่เกิดขึ้นคืนนั้นเป็นเพียงฝันกลางวัน ชายคนนั้นอาจทหารถูกจับได้และสังหารไปแล้ว วังหลวงคือที่แบบนั้น เธอแค่รู้สึกกังวลแทนชายคนนั้น เธอต้องลืมเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น

อารีเลียหันกลับอย่างเศร้าสร้อยเมื่อเข้าใจความจริง ตอนนั้นเอง...

ตุบ! 

เธอได้ยินเสียงบางสิ่งหล่นลงพื้นจากด้านหลัง

มันไม่ควรเกิดขึ้น!

แต่มันกำลังจะเกิด...

อารีเลียมองกลับไป หัวใจเต้นอย่างควบคุมไม่ได้ ชายใส่หน้ากากพูดขึ้น “สวัสดี คุณผู้หญิง?” และ “ดีใจที่ได้เจอกันอีก”

เขาอยู่ตรงนั้น...

***

เมื่อออกจากกองคลัง ผมตรงไปที่ส่วนในของวัง พูดตามตรงมันกว้างจนผมไม่รู้ว่ากำลังไปไหน

บางเวลาเมื่อทหารยามผ่านมา ผมจะหลบบนเพดานหรือในห้องว่าง ผมอยากสแกนทั้งวังด้วยเวทมนตร์และสร้างแผนที่สามมิติและตรงไปที่ห้องทำงานของจักรพรรดิเลยจริงๆ โชคร้าย ถ้าทำแบบนั้นนักเวทในวังคงจับได้

ว่าแต่ ฉันอยู่ที่ไหน?

แม้ผมจะใช้เวลาสามวันนี้ไปกับการเดินหารอบพระราชวังมันก็จำกัดอยู่แต่เขตกองคลัง เมื่อเดินอย่างไร้จุดหมายในวังกว้างใหญ่ก็เกิดหลงขึ้นมา ไม่ได้แล้ว ผมต้องหาให้ได้ก่อนว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในหรือชั้นนอก ผมออกไปที่ระเบียง กระโดดขึ้นไปบนหลังคาและปีนขึ้นไปยังยอดที่สูงที่สุด

เมื่อมองวังจากที่สูง ผมก็ตระหนักว่ายังอยู่ในขอบนอกของพระราชฐานชั้นใน ดูเหมือนตอนเดินในตัวอาคารผมจะเดินรอบขอบนอก ผมใช้วรยุทธ์ลับประสาทสัมผัสให้แหลมคมขึ้น

วรยุทธ์ของเผ่ากาเสริมทักษะกายภาพของผู้ใช้โดยการโคจรพลังเวทให้ไหลอยู่ในร่าง ผลคือภายในร่างของผู้ใช้ตัดจากสภาพแวดล้อมภายนอกและไม่มีการสูญเสียพลังเวท มันเป็นวิชาที่พัฒนาเพื่อการอยู่รอดในโอลิมปัส จึงไม่ควรมีนักเวทนอกป่าคนไหนจับพลังเวทของผมได้

ด้วยเหตุนี้เอง นักเวทและอัศวินในปราสาทจึงไม่รู้สึกผิดปกติแม้ผมจะกำลังโคจรพลังเวทในร่างอย่างรุนแรง


สารบัญ                                    บทที่ 35


 


วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 33

 บทที่ 33 – ความเศร้าของเจ้าหญิง (3)


มิลเปียพยักหน้า

“นี่เป็นเรื่องใหญ่ พักนี้พวกปีศาจกำลังอาละวาดในเขตแดนปีศาจ และเรายังมีกองกำลังปริศนาเคลื่อนไหวลับๆอีก”

พูดตามจริงแล้ว จักรวรรดิจะถูกทำลายไม่ส่งผลกับหน่วยงานข่าวของแม่ใหญ่ พวกนางทำงานในจักรวรรดิแต่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิ แต่จักรวรรดิเป็นโล่ป้องกันไม่ให้เขตแดนปีศาจขยายกว้างขึ้น

การช่วยจักรวรรดิคือการป้องกันไม่ให้มนุษย์สูญเสียดินแดนไปซึ่งจะทำให้พื้นที่ทำงานของพวกนางลดลง ในสายตาของหน่วยงาน ช่วยจักรวรรดิที่มีคนซื้อข่าวย่อมดีกว่าปีศาจและสัตว์ประหลาดที่สื่อสารกันไม่ได้

กลุ่มต่อต้านมีอยู่เสมอแต่จักรวรรดิมีอำนาจเข้มแข็งจนมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ตอนนี้กองทัพของจักรวรรดิส่วนใหญ่ไปอยู่ที่เขตแดนปีศาจ การเกิดกองกำลังต่อต้านใหม่จึงเป็นเรื่องอันตราย

“ขอบใจนะที่มารายงาน”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

มิลเปียตอบอย่างถ่อมตน แม่ใหญ่จึงลูบศีรษะเธอ

“ตอนนี้เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงไปก่อน ข้าจะส่งคนอื่นไปกรันเวลแทน”

“คะ? แต่ว่า-”

มิลเปียทำตาโตอย่างแปลกใจ แม่ใหญ่ยิ้ม

“มิลเปีย กรันเวลต้องปิดตัวลง เราปล่อยสาขาลับให้เปิดต่อไปไม่ได้เพราะมันถูกพบแล้ว มาอยู่ที่เมืองหลวงและช่วยงานข้าจนกว่าจะตั้งสาขาใหม่เถอะนะ”

มิลเปียผงกศีรษะรับ

“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำอะไรดี?”

แม่ใหญ่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “คนที่เราส่งไปแฝงตัวในโรงเรียนเวทมนตร์จะเรียนจบปีหน้า”

มิลเปียมีลางสังหรณ์ไม่ดีเมื่อแม่ใหญ่พูดเหมือนจะให้เธอทำหน้าที่นั้น

“แต่...นั่นเป็นงานของสมาชิกระดับธรรมดา”

แม่ใหญ่หัวเราะอย่างสนุก

“แต่ลูกคนอื่นของข้าไม่มีใครโตพอเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ได้ มิลเปีย เจ้าอายุครบสิบหกไปเมื่อไม่กี่วันก่อนใช่ไหม?”

มิลเปียกลอกตาพยายามหาข้อแก้ตัว

“เอ่อ ที่จริงข้าอาจอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดก็ได้”

มิลเปียหน้าแดงและตำหนิตัวเองที่หาข้ออ้างไม่ได้เรื่อง ต่อให้อายุของเธอสูงกว่าเกณฑ์จริงก็ปลอมข้อมูลได้

“มิลเปีย ถ้าข้าเจอเจ้าตอนอายุสองหรือสามขวบก็เป็นไปได้อยู่หรอก แต่ข้าเจอเจ้าถูกห่อในห่อผ้าอยู่ในกระเป๋าหน้าโบสถ์ ข้ารู้แน่นอนว่าเจ้าอายุเท่าไหร่” แม่ใหญ่ยิ้ม

มิลเปียพยายามหาข้ออ้างอื่นแต่ไม่สำเร็จ

มิลเปียจ้องตาแม่ใหญ่เพื่อถามว่าตั้งใจจะส่งเธอไปจริงเหรอ การสังเกตม่านตาเป็นเทคนิคจับโกหกอย่างหนึ่ง สำหรับคนอย่างแม่ใหญ่ นางสามารถควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและม่านตาได้ ครั้งนี้แม่ใหญ่สบตามิลเปียโดยไม่ควบคุมม่านตา ปล่อยให้มิลเปียรู้ว่านางตั้งใจจริง

“มีเหตุผลอะไรหรือเปล่าคะที่ข้าต้องเข้าโรงเรียนเวทมนตร์?”

แม่ใหญ่ควบคุมม่านตาให้ขยับ มิลเปียท้อใจเพราะมันหมายความว่านางบอกให้เธอหยุดถาม

“นี่คือคำสั่ง เข้าโรงเรียนและหาความรู้ให้มาก ข้าจะหาชื่อและตำแหน่งขุนนางให้เจ้า”

มิลเปียไม่มีทางอื่นนอกจากยอมรับชะตากรรม

แม่ใหญ่เตรียมตัวตนใหม่ให้มิลเปียโดยการใช้ตัวตนของขุนนางตกอับแทนที่จะทำบัตรปลอมแบบเดนเบอร์ก พวกนางไม่ต้องกลัวเรื่องถูกเปิดโปงเพราะข้อมูลของขุนนางเป็นของแม่ใหญ่อยู่แล้ว

มิลเปียถอนหายใจยาวเหมือนยอมแพ้

เธอกำลังจะมีชีวิตนักเรียนที่ไม่เคยมีมาก่อน

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”

แม่ใหญ่ร่วมแสดงความเสียใจแบบไม่ค่อยจริงใจนัก มิลเปียอยากพูดว่าถ้าจะแสดงความเสียใจแบบนี้อย่าพูดเลยดีกว่า

***

 “เฮ้อ” อารีเลียถอนหายใจ

เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจ บรรดาหญิงรับใช้ถามอย่างเป็นห่วง “เจ้าหญิง กลุ้มใจเรื่องอะไรคะ?”

อารีเลียส่ายศีรษะและเหม่อมองก้อนเมฆนอกหน้าต่าง ไม่รู้ทำไม หัวใจเธอเต้นแรงและเธอนอนไม่ค่อยหลับมาสามคืนแล้ว บางครั้งเธอก็รู้สึกแปลกๆ เศร้าและเหงาขึ้นมา

อา เมฆก้อนนั้นเหมือนหน้ากากของลูแปงเลย

อารีเลียตื่นเต้นเมื่อเห็นก้อนเมฆ และซึมลงอีกครั้งเมื่อเมฆถูกลมพัดกระจาย

“เฮ้อ”

บรรดาหญิงรับใช้ก็งงไปเพราะไม่เคยเห็นอารีเลียเป็นแบบนี้

“กินขนมไหมคะ?”

ยิ่งงานฉลองวันเกิดของอารีเลียใกล้เข้ามา ขนมหวานนอกจากเวลาอาหารว่างก็ถูกห้าม แต่หญิงรับใช้เสนอขึ้นมาเพราะอารีเลียแปลกไป

อาจเพราะความกดดันที่ต้องดูดีต่อหน้าจักรพรรดิในงานฉลองวันเกิด หรืออาจเพราะการที่บรรดาหญิงรับใช้พยายามเตรียมงานให้สมบูรณ์แบบที่สุดทำให้เธอเครียด อารีเลียพยักหน้าพลางเหม่อมองท้องฟ้า

กระวนกระวายใจก็ส่วนของกระวนกระวายใจ ขนมก็ส่วนของขนม ไม่ว่าอารีเลียจะหม่นหมองเพียงใดเธอจะไม่งดขนมหวาน

ปกติหญิงรับใช้จะเตรียมขนมหวานน้อยมากเพื่อควบคุมน้ำหนักของอารีเลีย ดังนั้นเธอจะไม่ปฏิเสธถ้ามันมาโดยเธอไม่ต้องขอ แน่นอน เธอตอบอย่างช้ามากและอ่อนแรงมาก

จากนั้นเธอพูดเสียงเซื่องซึมเพื่อไม่ให้หญิงรับใช้รู้สึกว่าถูกหลอก “บริออช”

“ทราบแล้วค่ะ”

หญิงรับใช้คนหนึ่งออกจากห้องและเอาขนมปังกลับมา อารีเลียอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเห็นมัน แต่เธอพยายามทำสีหน้าให้ว่างเปล่าที่สุดขณะหยิบขนมขึ้นมา

***

ผ่านไปสามวันแล้วนับแต่ผมค้นกองคลังในเขตพระราชฐานส่วนใน ข้อมูลที่นี่เป็นความลับมากกว่ากองคลังข้างนอก

ปัญหาคือผมยังไม่เจอข้อสอบข้าราชการเลย แน่นอน ยังมีตู้นิรภัยอีกมากกว่าครึ่งให้ค้น แต่อีกครึ่งเดือนก็ถึงวันสอบแล้ว ตอนนี้ผมควรจะได้อ่านและท่องจำข้อสอบ ผมเริ่มร้อนใจเพราะเท่าที่ผมได้อ่านคือผลการฝึกข้าราชการ

ผมใช้ความพยายามอีกหน่อยปลดล็อกตู้นิรภัยที่วางเวทมนตร์ไว้สามชั้น

ไหนดูซิ อันนี้เป็นรายงานเกี่ยวกับตลาดมืด อันนี้... โอ๊ะ รายงานเจาะลึกเกี่ยวกับผลกระทบของลูแปงต่อเศรษฐกิจ น่าจะอ่านไว้หน่อย

มันชัดเจนอยู่แล้วว่าการลักขโมยเป็นภัยต่อสังคม แต่ที่จริงแล้วมีผลลบต่อเศรษฐกิจน้อยมาก นั่นเพราะหัวขโมยเป็นแค่ปัจเจกบุคคล ผลกระทบที่พวกเขาสร้างในระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่จึงจำกัด ก็เหมือนโรยเกลือหนึ่งกำมือลงทะเลไม่ทำให้มันเค็มขึ้น

นี่เหมือนบทความที่เขียนอย่างรีบเร่งมากกว่ารายงาน ผมดูแล้วไม่เห็นตราประทับบนรายงาน แต่มีเขียนบนรายงานว่าสำหรับหนังสือพิมพ์องค์กร

ดูเหมือนกองคลังจะมีจดหมายข่าวของตัวเอง ซึ่งมีเหตุผลเพราะเป็นองค์กรขนาดใหญ่พอตัว อีกอย่างการปรากฏตัวของโจรที่สามารถทำให้ตลาดปั่นป่วนก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ปัญหาใหญ่ที่ลูแปงก่อคือเขาเปลี่ยนเงินทุนโปร่งใสของเหล่าขุนนางเป็นเงินที่คาดคะเนไม่ได้

เหตุผลที่มันเป็นปัญหาคือหนึ่ง พวกเขาคาดเดาไม่ได้ว่าเงินจะถูกใช้ทำอะไร เหตุผลข้อสองคือพวกเขาไม่รู้ว่าลูแปงขโมยไปเท่าไหร่

ปัญหาข้อแรกมีความเห็นหลายข้อ มีสามข้อที่เด่นที่สุด

หนึ่งคือลูแปงเป็นโจรคุณธรรมแบบในนิทาน สองคือนี่เป็นกลยุทธ์ทำให้ระบบเศรษฐกิจของจักรวรรดิปั่นป่วน ข้อสามคือเชื่อว่านี่คือการกระทำของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล

ปัญหาข้อที่สองเกิดเพราะพวกขุนนางที่ถูกขโมยไม่เปิดเผยว่าผมขโมยเงินไปเท่าไหร่ เมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าผมขโมยไปเท่าไหร่ก็ทำนายผลกระทบที่ผมมีต่อตลาดไม่ได้ ดูจากแผนภูมิและตารางในรายงานแล้วก็เห็นได้ว่าพวกเขายังไม่รู้จำนวนคร่าวๆอยู่ดี

แต่ถ้าดูจากกราฟนี่...

ผมอ่านรายงานคร่าวๆจนจบแล้ววางมันไว้ที่เดิม

รายงานกล่าวอย่างชัดเจนว่ากองคลังมองลูแปงอย่างไรและมีแผนรับมือต่อเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไร นี่จะเป็นประโยชน์ถ้าต่อไปผมต้องก่อกวนนายกรัฐมนตรีอีก นอกจากนั้นยังมีผู้ซื้อขายในตลาดมืดที่ถูกจับตามองซึ่งผมต้องหลีกเลี่ยง

ผมไล่ดูกองเอกสารไปเรื่อยและเจอซองเอกสารหนาที่ปิดตราขี้ผึ้งไว้ มุมซองเขียนว่า – ข้อสอบข้าราชการ XX

เจอ เจอจนได้เหรอ?

ผมแทบตะโกนด้วยความดีใจ

โอ๊ะ อันตราย

ผมอยู่ตรงหัวใจของจักรวรรดิที่คนจะถูกส่งไปประหารถ้าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต แน่ล่ะ ก่อนจะเป็นเช่นนั้นผมต้องถูกจับได้ก่อน แต่ถ้าลุงรู้ว่าผมคือเดนเบอร์ก เบลด ผลที่เลวร้ายที่สุดคือผมจะถูกพากลับบ้าน



สารบัญ                                 รอใส่บทที่ 34