บทที่ 15 - ดาบนี้คืนสนอง
“ฟู่ว เสร็จแล้ว”
ซุงกูปาดเหงื่อออกจากหน้าซีด
ชั้นสุดท้ายเป็นพื้นที่กว้างมากและมอนสเตอร์ก็อยู่กันเต็ม อ้อ
ซุงกูไม่ได้เหงื่อแตกเพราะสู้กับพวกมัน
“แงะออกมาหมดแล้วเหรอ?”
ซุงกูยกกองหินบลัดสโตนไปให้วูจินที่ถาม
“ทำไมอย่างลูกพี่ถึงเป็นแรงค์ F ได้ครับ?
อย่างน้อยก็ต้องแรงค์ D สิ แล้วลูกพี่มีพลังตั้งหลายอย่าง
เป็นแรงค์ C ยังได้”
“เดี๋ยวฉันก็เป็นเอง”
ซุงกูมองวูจินที่พูดอย่างไม่ยี่หระเหมือนเขาเป็นสัตว์ประหลาด
มอนสเตอร์ในชั้นสุดท้ายถูกวูจินกับอสูรของเขาฆ่าเรียบ
ซุงกูถูกมอบหมายงานชำแหละบลัดสโตนออกจากมอนสเตอร์ตัวที่วูจินชี้
งานของเขาคือเก็บกวาดดีๆนี่เอง
วูจินแข็งแกร่งพอจะล่ามอนสเตอร์ระดับ
1 หรือ 2 ดาวได้ด้วยตัวเอง เฉพาะความสามารถด้านการต่อสู้ของเขาก็พอๆกับเราส์แรงค์ D แล้ว
เมื่อรวมกับความสามารถรอบตัวอันหลากหลายทำให้ไม่ด้อยกว่าแรงค์ C เขาเรียกทหารโครงกระดูกได้ เขาระบุได้ว่าตรงไหนมีบลัดสโตน
ยิ่งกว่านั้นเขายังสามารถดึงพลังงานสีเทาจากศพมอนสเตอร์มาเติมพลังให้ตัวเอง
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าไม้กฤษณาส่งกลิ่นหอมตั้งแต่เริ่มแตกใบอ่อนใช่ไหม?
(TN-สำนวนเกาหลีมั้ง?
แปลว่าคนที่ฉายแววเก่งมาตั้งแต่เด็ก) ซุงกูมองวูจินซึ่งเพิ่งจะเป็นเราส์มาได้ 3
ชั่วโมง เขาเชื่อว่าลูกพี่เด็กใหม่คนนี้ต่อไปต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่แน่
“เอ๊ะ ลูกพี่ไม่ขายแต่จะเรียนเองเหรอ?”
“อืม ทำไม?”
วูจินปล่อยพลังเวทย์เข้าไปในม้วนคาถาที่ถืออยู่
เมื่อม้วนคาถาหายไป เขาก็ได้เวทย์ยิงกระแสไฟฟ้ามาใช้ เขาต้องประหยัดค่าความสำเร็จไว้เพราะยังมีอีกหลายทักษะที่ต้องเรียน
ดังนั้นเมื่อได้ม้วนคาถามาเขาเลยใช้เสีย
ถ้าเป็นคาถาที่ระดับสูงกว่านี้เขาจะเรียนได้แต่คาถาที่เกี่ยวข้องกับอาชีพเนโครแมนเซอร์
ส่วนยิงกระแสไฟฟ้านั้นมีประโยชน์สำหรับโจมตี ดังนั้นเรียนไว้ไม่เสียหลาย
“โห ลูกพี่มีความสามารถตั้งหลายอย่างแล้วยังจะเรียนอีกเหรอ?
ถ้าขายนี่ได้ตั้งร้อยล้านวอน...”
“...?”
วูจินฟังแล้วยืนทื่อ
ม้วนคาถาราคา 100 แต้มถึงกับขายได้ร้อยล้าน?
“...แพงขนาดนั้นเลย?”
“แหงสิครับ
ก็ได้ความสามารถเพิ่มนี่ แล้วก็ไม่เหมือนอาร์ติแฟคด้วย”
เวทย์มนตร์จากอาร์ติแฟคต้องมีอาร์ติแฟคเป็นตัวกลาง
ใส่พลังเวทย์เข้าไปในอาร์ติแฟคเวทย์มนตร์จึงจะทำงาน
แต่ม้วนคาถาทำให้เราส์จดจำเวทย์มนตร์ได้
เมื่อเรียนแล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าจะเสียมันไป และแม้แต่คาถาระดับต่ำก็ยังใช้วิจัยได้
ด้วยเหตุนี้มันจึงแพง
“หา
ทำไมของแพงขนาดนี้ถึงมาดรอปในดันเจี้ยนสองดาวกระจอกๆได้?”
“ไม่รู้สิครับ
ลูกพี่ต้องโชคดีสุดๆแน่ ถึงจะไม่ถึงขั้นไม่เคยเกิดมาก่อนแต่ก็ไม่ได้มีบ่อยๆ
แล้วมันเป็นเวทย์อะไรครับ?”
“ก็ที่นายโดนไปไง
ยิงกระแสไฟฟ้าที่ฮอบก็อบลินใช้”
“หูย
ลูกพี่คงได้ไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน...”
ร้อยล้าน
ร้อยล้านเว้ยเฮ้ย
“ฟู่ว”
ถ้าเขารู้ว่าม้วนคาถามันราคาร้อยล้านเขาคงใช้ร้อยแต้มเรียนยิงกระแสไฟฟ้าแทน
เขาอยากซื้อม้วนคาถาจากร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จมาขายต่อ
แต่หนังสือทักษะที่ซื้อจากร้านนั้นจะเปลี่ยนมือไม่ได้
มีแต่วูจินที่สามารถเรียนมันได้
วูจินเรียน ‘สกัดวิญญาณ’
เพื่อรักษาซุงกูที่อาการร่อแร่ ใช้ค่าความสำเร็จไป 50 แต้ม
แต่เขาไม่ลังเลเพราะถึงอย่างไรก็ต้องเรียนอยู่แล้ว
เมื่อมอนสเตอร์หรือมนุษย์ตาย
วิญญาณจะอยู่ใกล้ศพชั่วครู่หนึ่ง เขาจะสามารถสกัดวิญญาณมาใช้เป็นแหล่งพลังงาน
มันสามารถฟื้นฟูทั้งเวทย์,พลัง และความเหนื่อยอย่างละนิดละหน่อย
ถ้าวูจินส่งสารสกัดจากวิญญาณนั้นให้คนอื่นประสิทธิภาพจะน้อยกว่าให้ตัวเอง
ซุงกูนึกว่าวูจินใช้เวทมนตร์รักษา
แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ วูจินแย่งพลังชีวิตจากสิ่งอื่นมาแบ่งให้เขาต่างหาก
“ฮู่ว
แล้วไปแล้วก็ช่างมันเถอะ”
วูจินพยายามปลอบใจตัวเอง
ถ้าเขาขายม้วนคาถาก็ไม่ต้องลงดันเจี้ยนไปอีกนาน ไม่ๆ
ถ้าคิดถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ตกฮวบๆในโซล
เขาคงสามารถย้ายไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่...
อ่า เลิกคิดดีกว่า
“บลัดสโตนเท่านี้ฉันน่าจะได้สักเท่าไหร่?”
“อย่างน้อยน่าจะได้แถวๆ
800 หรือมากกว่านั้นนะครับ ไม่แน่ใจ...”
เขาลงทุนไปแสนวอน
ดังนั้นจึงได้กำไรเยอะพอดู ถ้าสมาชิกทีมคนอื่นไม่หนีไปเขาคงได้แค่ส่วนแบ่งของเขา
ล้านเดียว
“ไม่แบ่งนะ”
“น่ะ...แน่อยู่แล้วครับ”
“แล้วรีเทิร์นสโตน?”
“อยู่นี่ครับ”
“งั้นก็กลับกันเถอะ”
วูจินซุงกูโกยหินบลัดสโตนเข้ากระเป๋า
ขณะกำลังเดินขึ้นบันไดนั้นเอง
“ระวังถูกซุ่มโจมตี”
ทักษะตรวจจับของวูจินมีระดับต่ำแต่เขารู้สึกถึงจิตสังหารบางๆจึงเตือนซุงกู
วูจินหยุด ซุงกูก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
พวกเขาสังหารมอนสเตอร์ทั้งหมดแล้วและมอนสเตอร์จะไม่เกิดใหม่ถ้าไม่มีใครเข้าดันเจี้ยนใหม่
ถ้ามีการซุ่มโจมตีก็ต้องเป็นทีมของเบโดซู
“พวกนั้นคิดจะ PK เหรอ?”
เสียงซุงกูสั่นอย่างวิตก
วูจินถาม
“เรื่องแบบนี้มีบ่อยไหม?”
“มีเรื่อยๆครับ
แต่ไม่มีหลักฐาน เพราะอย่างนี้คนเลยไม่ร่วมทีมกับคนแปลกหน้า พอของอย่างม้วนคาถาหรืออาร์ติแฟคตกก็ไม่รู้ดีรู้ชั่วแล้ว”
“ถ้าเกิดสู้กันจะจัดการยังไง?”
“ไม่มีใครรู้ว่าในดันเจี้ยนเกิดอะไรขึ้น
ถ้าไม่มีหลักฐานชัดๆก็ไม่มีใครทำอะไรได้
มันเป็นกฎที่ไม่มีเขียนไว้แต่ทุกคนรู้ครับ”
“หึๆ
วิธีทำลายศพน่ะง่ายจะตาย”
วูจินยิ้มแล้วแหงนมองบันไดมืดมน
เขาหยุดเดินแล้วหันไปมองด้านหลัง มีศพมอนสเตอร์อยู่ทั่ว วูจินถอยห่างจากบันไดไปหลายก้าว
ซุงกูก็ทำตาม
“เฮ้ย
เลิกมุดหัวหลบได้แล้ว”
ไม่นานคำของวูจินก็มีการตอบรับ
ทีมของเบโดซูค่อยออกมายืนบนบันได หนึ่งในนั้นทำหน้าไม่ถูก อีกคนมีท่าทางรู้สึกผิด
แตกต่างกับคนที่เหลือ
“เกิดอะไรขึ้น
พวกนายจัดการหมดแล้ว?”
เบโดซูแสร้งถาม
วูจินพูดกับซุงกูเบาๆ
“ถ้ามันเข้ามาใกล้ฉันจะโจมตีแบบไม่ให้มันตั้งตัว”
“แล้วให้ผมทำไง?”
ซุงกูมองวูจินอย่างกังวล
วูจินยักไหล่
“พวกนายแม่งหนีไปแล้วยังกล้ากลับมาอีกนะ
ทำไมมาอยู่นี่ไม่รอแถวบาเรีย”
จู่ๆวูจินก็พูดไม่สุภาพใส่ทำให้เบโดซูกระตุกคิ้ว
แต่เขาหัวเราะแหะๆพยายามควบคุมอารมณ์
“ฮะๆๆ
ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ? เราทีมเดียวกันไม่ใช่เหรอ?
เราแค่ถอยไปตั้งหลักแล้วกลับมาจะเคลียร์ดันเจี้ยนก็แค่นั้นเอง แต่พอมาถึงมอนสเตอร์ก็ท่าทางจะถูกฆ่าหมดแล้ว
พวกนายทำได้ไง?”
เบโดซูงงจริงๆ
เราส์แรงค์ F สองคนจัดการมอนสเตอร์ได้หมด
เขาไม่เชื่อ เบโดซูแอบมองกระเป๋าที่ใส่บลัดสโตนจนตุง
วูจินหัวเราะ
คนพอถูกความโลภบังตาสติปัญญาก็ไปหมด
“เลิกพล่ามเถอะ
นายแค่กลับมาเอาหินรีเทิร์นสโตน แต่ตอนนี้อยากชุบมือเปิบแล้วสิท่า?”
วูจินโยนกระเป๋าใส่บลัดสโตนไปข้างหน้า
กลุก กลุก
หินบลัดสโตนไหลออกมาจากปากกระเป๋า
มันถูกโยนไปตกลงระหว่างฝั่งวูจินกับเบโดซู
“ถ้าอยากได้ก็ลองดู”
เบโดซูหน้าเคร่งเมื่อได้ยินคำพูดของวูจิน
“ท่าทางนายจะเข้าใจผิดนะ
คิดว่าพวกเราจะลอง PK คนที่ฆ่ามอนสเตอร์ที่เราฆ่าไม่ได้เหรอ?
เข้าใจผิดแล้ว เราไม่โง่ขนาดนั้น”
“ว่าต่อสิ”
“ฉันขอโทษที่ไม่ดูแลพวกนาย
แต่ทำไงได้เล่าตอนนั้นฉันก็แทบเอาตัวไม่รอด เราแค่กลับมาหาหินรีเทิร์นสโตน
และเพราะพวกนายเคลียร์ดันเจี้ยนได้เราเลยโชคดีเอาศพจองชูลกลับไปได้
เรื่องนี้ฉันก็ขอบคุณมากแล้ว”
ได้ยินคำของเบโดซู
วูจินรู้สึกว่าเขาคิดมากไปเอง ใช่แล้ว คนที่นี่ไม่เหมือนที่โลกอัลเฟนไปเสียหมด
บางทีที่พวกเขาหลบหลังราวบันไดเพราะกลัวจะเจอกับมอนสเตอร์
มองจากด้านพวกเขาย่อมไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นในชั้นล่างสุด
‘ฉันคงจะคิดมากไปเอง...’
ยี่สิบปี
เขาอยู่ในที่ๆคนหักหลังกันเพื่อเงินหนึ่งกำมือมายี่สิบปี ดังนั้นเขาจึงระวังตัวอยู่ตลอด
แต่ที่นี่คือโลก คือเมืองโซล
เป็นที่ๆสันติภาพและคุณธรรมยังไม่ตาย...
ฟู่วๆ
...กับผีสิ
วูจินปัดเปลวไฟที่จุดขึ้นบังสายตาเขา
“ตอนนี้ล่ะ”
เบโดซูตะโกน
คนถือธนูยิงธนูใส่ฮงซุงกู พลังยิงลูกไฟของซุงกูเป็นพลังที่ต้องถูกกำจัดทิ้งเป็นอันดับแรก
หลังจากเบโดซูหนีไป
เขาก็ตกลงกับคนในทีม
พวกเขาไม่มีความสามารถพอจะเข้าดันเจี้ยนสองดาวและตัดสินใจจะกลับไปหาเงินในดันเจี้ยนหนึ่งดาวเหมือนเดิม
แม้จะได้เงินไม่ดีเท่า
พวกเขากลับมาเพื่อหาหินรีเทิร์นสโตน
แต่มอนสเตอร์ตายหมดรวมถึงฮอบก็อบลิน เรื่องนี้ทำให้เขาหัวหมุน
แล้วความโลภก็เกิดขึ้น
พวกเขาค้นหากันอย่างหนักแต่ก็เจอเพียงศพของจองชูล
ไม่มีศพของวูจินและซุงกู นี่หมายความว่าทั้งสองเคลียร์ชั้นล่างสุดกันเอง
ถ้าสามารถล้มฮอบก็อบลินได้แสดงว่าวูจินหรือซุงกูเก็บความสามารถที่แท้จริงของตัวเองไว้เป็นความลับ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงเลือกซุ่มโจมตี แต่ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวเสียก่อน
เบโดซูพยายามทำให้วูจินคลายใจ
พร้อมกันนั้นก็พยายามคำนวณผลได้ผลเสียว่าคุ้มหรือเปล่าถ้าจะสังหารพวกเขา นัยน์ตาโดซูแทบถลนเมื่อเห็นกระเป๋าที่วูจินโยนมาใส่บลัดสโตนไว้เต็ม
คิดเป็นเงินแล้วมันเท่ากับหาเงินในดันเจี้ยนหนึ่งดาวทั้งเดือน
ท่าทางก้าวร้าวของวูจินทำให้เบโดซูแน่ใจว่าเขากำลังระแวง
‘มันระแวงพวกเราอยู่’
การที่วูจินระแวงหมายถึงเขาคิดว่าพวกเบโดซูทำอันตรายพวกเขาได้
เบโดซูไม่รู้ว่าพวกวูจินใช้วิธีไหนสังหารมอนสเตอร์ได้มากมาย แต่กับพวกเขา
พวกวูจินกลับระวังตัว
ด้วยเหตุนี้เบโดซูจึงตัดสินใจสู้
‘สู้’
เบโดซูส่งสัญญาณที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้
จากนั้นใช้พลังจุดไฟ
ใบหน้าของวูจินมีเปลวไฟลุกท่วมพร้อมกันนั้นลูกศรก็ปักใส่ไหล่ของซุงกู
“อึก”
สมาชิกในทีมโจมตีซุงกูที่ตกใจก่อนจะทันได้ใช้พลังสร้างลูกไฟ
อาวุธเสียบเนื้อมนุษย์ได้ง่ายกว่าหนังเหนียวของมอนสเตอร์มาก
“เฮ้อ อย่าแค้นกันล่ะ
เราส์ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?”
เบโดซูชัดมีดจากเข็มขัดแล้วแทงใส่วูจินที่กำลังยืนเซ
ฟึ่บ
ถึงเปลวไฟจะทำให้มองไม่เห็นแต่วูจินยังคว้ามือที่แทงมีดใส่ไว้ได้
วูจินคลายมือโยนเบโดซูล้ม เขามีพลังและความเร็วก็เร็วจนเบโดซูไม่มีโอกาสตอบโต้
ด้านพลังกายเขามีเท่าๆกับเราส์ที่มีความสามารถด้านร่างกาย
“ฟู่ว ร้อนไม่ใช่เล่น”
เปลวไฟดับ
วูจินยกมือลูบหน้า เขาจ้องพวกเบโดซูที่กำลังยืนตะลึง และมองซุงกูถูกลูกธนูปักบนบ่ากำลังมองวูจินด้วยดวงตาคลอน้ำตา
“โจมตีหน้าด้านๆเลยนะ”
ใบหน้าเขามีรอยแดงจางๆและรอยไหม้เล็กน้อย
แต่วูจินยิ้ม
“ฉันควรจะเดาได้อยู่แล้วสินะ?”
วูจินผายมือทั้งสอง
เปาะ เปาะ!
ซากศพมอนสเตอร์ที่อยู่กระจัดกระจายไปทั่วระเบิดออก
เศษเนื้อปลิวว่อน เป็นภาพอลังการงานสร้างที่ถ้าใครขวัญอ่อนหน่อยมาเห็นคงเป็นลม
“แค้นฉันสิ”
วูจินยิ้มกว้าง
แค้นไปก็เท่านั้น
“ฉันจะหัวเราะรับให้สะใจ”
เขาจะรับความแค้นของพวกอ่อนแอไว้ทั้งหมดเอง
คงใจร้ายเกินไปถ้าเรื่องแค่นี้เขายังปฏิเสธ ในเมื่อวิญญาณของพวกมันหลุดพ้นจากพระเมตตาและจะถูกกักขังไว้
มีดกระดูกของทหารโครงกระดูกไร้ทั้งความลังเลและเมตตา
“อ๊าก”
วูบเดียวทั้งปาร์ตี้ก็ถูกกำจัด
จากนั้นวูจินเดินไปหาเบโดซู เขากระตุก ท่าทางจะยังไม่ตาย
“รอ รอก่อน คุย...”
“รอให้พลังจุดไฟหมดช่วงคูลดาวน์เรอะ?”
ฉึก!
วูจินแทงมีดใส่หัวใจเบโดซูไม่รีรอลังเล
เบโดซูสั่นอยู่ครู่ก่อนจะแน่นิ่งไป วูจินมองเฉยๆพลางดึงกระเป๋าของเบโดซูมา
มันใส่บลัดสโตนที่ได้มาก่อนจะเจอฮอบก็อบลิน
แล้ววูจินก็สำรวจร่างเบโดซูและดึงกระเป๋าเงินออกมา เอาเงินสดทั้งหมดใส่กระเป๋าตัวเอง
วูจินฮัมเพลงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
‘เหลือเชื่อ...’
สี่ชีวิตล้มตายไปต่อหน้าต่อตาฮงซุงกูในพริบตาเดียว
เขาเอามือตะปบปากก่อนเสียงตัวเองจะเล็ดรอดออกไป
ซุงกูตกใจขนาดไม่รู้สึกถึงความเจ็บจากแผลลูกธนูเสียบบนบ่า
วูจินยังไปค้นกระเป๋าเงินของสมาชิกทีมคนอื่นและพึมพำว่า
“อย่างนี้แล้วไอ้พวกที่พยายามจะแทงข้างหลังฉันก็จะไม่ปากโป้งอีก”
วูจินกำลังเตือนเขาอ้อมๆใช่ไหม
ดวงตาของซุงกูสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
“ที่ฉันเกลียดที่สุดคือคนที่แทงคนอื่นข้างหลัง
นายก็เกลียดใช่ไหมซุงกู?”
วูจินหันหน้ามาจ้องตาซุงกู
เขาตกใจจนเกือบปัสสาวะราด วูจินเพิ่งฆ่าคนไปสี่คน แต่สีหน้าเขาราบเรียบมาก
ถ้าคนๆหนึ่งฆ่ามอนสเตอร์
หรือต่อให้เป็นสัตว์ตัวเล็กๆสักตัวก็ตาม คนๆนั้นจะรู้สึกตื่นเต้น
หรือไม่ก็รู้สึกผิด มันต้องมีความรู้สึกอะไรสักอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมา
แต่วูจินเหมือนเพิ่งถอนหญ้าจากข้างทางไปทั้งที่เพิ่งจะฆ่าคนพวกนี้ไป
ซุงกูไม่รู้สึกสักนิดว่าวูจินมีความรู้สึกอะไร
เหมือนวูจินเป็นอะไรมากกว่าฆาตกร
ความสงบนิ่งของวูจินสร้างความกลัวฝังลึกในตัวฮงซุงกู
“ทำไมไม่ตอบล่ะ?”
-------------------------
ธีมของบล็อกนี้เข้ากับนิยายเรื่องนี้ดีจริงๆ
XD ทุกอย่างซอฟท์ลงเมื่อเป็นพาสเทล
ชื่อตอนภาษาอังกฤษของตอนนี้กับตอนหน้า จะเป็น What Goes Around
Comes Around กับ You Reap What You Sow ค่ะ
เป็นสำนวนซึ่งถ้าเทียบกับสำนวนไทยคือ กงกำ กงเกวียน
กับหว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้น แปลว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เนื่องจากคนแปลงงว่า กงกำกงเกวียน(?) นี่เขียนยังไงแน่ ในเน็ตมีหลายเวอร์ชั่นมาก
กับหว่านพืชฯ ก็ยาวไป เลยเอาครึ่งบาทสุดท้ายของโคลงของท่านศรีปราชญ์มาใช้เป็นชื่อตอนแทนค่ะ
ส่วนตัวถูกใจชื่อตอนนี้นะ ให้อารมณ์โชกเลือดดี ^^
ใจจร๊๊า
ตอบลบพาสเทลแล้วก็ดูซอฟหนักมาก 555
ตอบลบ