วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2566

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 90

 บทที่ 90

เมื่อมาถึงที่คฤหาสน์ของมาร์ควิสบัลเธียน ผมก็แฝงตัวเข้าไปในคฤหาสน์โดยหลบบรรดายามและคนรับใช้ เป้าหมายคือหาเอกสารหรือของที่ใช้เป็นหลักฐานยืนยันการฉ้อโกงของมาร์ควิสบัลเธียนให้เจอก่อนตะวันตกดิน

พูดตามตรงแล้ว ผมกำลังสำนึกผิดอยู่ ก่อนหน้านี้ที่ปล้นบ้านเขา ผมก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคนเลว แค่ที่ไม่จ่ายค่าเสียหายที่ทำเสื้อผมเลอะก็รู้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นขยะขนาดเอาไปรีไซเคิลไม่ได้

ผมรู้สึกเหมือนทำหน้าที่ไม่ดีเพราะไม่รู้ถึงความเลวของเขาทั้งๆที่ปล้นบ้านเขาไปครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าผมขโมยหลักฐานตอนนั้นก็ไม่ต้องเข้าคุก และไม่ต้องอับอายเพราะถูกภาระเย้ยหยันฝีมือวาดรูป

ดังนั้นใช้โอกาสนี้ลบพวกที่มีใบลอเรลกับหมาป่าเงินบนตราประจำตระกูลให้หมดดีกว่า อย่างแรก ผมตัดสินใจขโมยไปทีละห้องและตรงไปที่ๆเคยมีเซฟตั้งอยู่

เพื่อไม่ให้ถูกรบกวน ผมทุบคนเฝ้าหน้าห้องใส่เซฟจนสลบ จากนั้นใช้เวทมนตร์ทำให้เขายืนเฝ้าหน้าห้องแล้วย่องเข้าไปในห้อง

“อุ๊ย?” คนที่อยู่ในห้องก่อนมองผมอย่างประหลาดใจ

อะไรกัน? ในห้องไม่มีสัญญาณว่ามีคนอยู่แน่นอน ทำไมถึงมีคนได้ล่ะ?!

ผมพูดกับผู้มาเยือนหน้ากากแดงโดยไม่แสดงความตกใจออกมา “โอ๊ะ ไม่รู้เลยว่ามีคนมาก่อน”

ผู้หญิงในหน้ากากแดงพูดโดยที่หูยังแนบกับตู้เซฟ “ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมาเหมือนกัน แปลว่าพวกเราเสมอกันสินะ?”

“ฮ่าๆ อย่างนั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ต่างคนต่างไปแล้วกัน” ผมยิ้มแต่ยังไม่คลายความระวังตัวจากผู้หญิงหน้ากากแดง ผมไม่เห็นหน้าเธอ แต่อ่านออกว่าเธอกำลังระแวงผม

“แต่ว่า ข้ามาก่อน ข้าจะกินมัน” เธอพูด

ผมยักไหล่ “จริงเหรอ? ข้ามาทวงหนี้มาร์ควิส ถ้าเจ้ากินไปข้าก็ลำบากสิ”

“เหรอ? จะทำยังไงกันดีล่ะ? ข้าก็มีหนี้ต้องเก็บจากมาร์ควิสเหมือนกัน” หน้ากากแดงมองผมด้วยสายตาเต็มไปด้วยความโลภจากใต้หน้ากาก ดูจากที่เธอเร่งรัศมีออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เธอกำลังเตรียมตัวต่อสู้

ไม่ใช่ผมไม่อยากสู้ แต่ผมไม่อยากให้คฤหาสน์ถล่มและหลักฐานถูกทำลาย

“ก็ได้ ที่นี่ข้ายอมให้ แต่ว่า!” ผมหยุด

“แต่ว่า?”

“ข้าจะกินที่อื่น” ผมยิ้มอย่างขี้เล่น หน้ากากแดงเข้าใจความหมายและยิ้มตอบ

“โอ๊ะ นี่คือการแข่งเหรอ?”

“เข้าใจเร็วดี ตกลงไหม?”

หน้ากากแดงใส่รหัสและเปิดตู้เซฟ พยักหน้าไปด้วย “เข้าท่า แต่ถ้าข้ามีของที่เจ้าอยากได้เจ้าจะทำยังไง?”

ผมลูบคางและตอบ “เราจะแลกกับของที่ข้ามี ถ้าข้ามีของที่เจ้าอยากได้ก็ทำเหมือนกัน”

“ชัดเจนดี”

ทันทีที่ตกลงกันได้ เราก็ตั้งกฎขึ้นมา

“เราจะกลับมาที่นี่ในอีกหนึ่งชั่วโมง ตู้เซฟเป็นของคนที่เข้าห้องก่อน”

“เราจะเจอกันที่นี่ และแน่นอน ต้องเอาทุกอย่างที่ได้มาออกมาให้ดู ใช่ไหม?”

หลังจากพยักหน้าพร้อมกันแล้ว หน้ากากแดงกับผมออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ผมเชื่อว่าจะไม่มีของที่ทั้งผมและเธอต้องการ ถ้ามีก็ต้องสู้กันแล้ว

ถ้าอย่างนั้น จากนี้ไปคือการแข่งขัน

***

ทหารบุกเข้ามาในห้องปรุงยาหลังจากแก๊สสลบหมดไปและลากคนร้ายบนพื้นออกไป

เพื่อทำตามขั้นตอน อัศวินกวางขาวพยายามมัดคนร้าย ไม่รู้ว่าเชือกทำจากอะไร แต่พวกเขาแก้มัดไม่ได้ จะตัดก็ตัดไม่ขาด เพราะอย่างนี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมัดมือด้วยไม้กระดานติดเหล็กทับลงไป

ผลคือ มือของคนค้ายากลายเป็นสีม่วง เพราะเลือดไม่ไหลผ่านมือ คนพวกนี้ยังไงก็ถูกประหารอยู่ดี จึงไม่มีใครสนว่าเลือดจะไหลเวียนดีหรือไม่

“อ่า!” รองหัวหน้าอัศวินที่นอนท่ามกลางทหารคนอื่นที่เข้ามาตอนมีแก๊สสลบในห้อง, ครางและตื่นขึ้น

“ตื่นแล้วเหรอ?”

“หะ...หัวหน้า?” รองหัวหน้าอัศวินกุมศีรษะเหมือนปวดหัวและพูดเสียงแหบเหมือนเพิ่งตื่น

“ใช่ ข้าเอง”

รองหัวหน้าอัศวินพยายามลุกขึ้นแล้วก็เห็นกระดาษและดอกไม้ติดที่มือซ้ายของเขา “เอ๊ะ ทำไมมันไม่หลุด?”

หัวหน้าอัศวินมองรองหัวหน้าอัศวินที่พยายามแกะดอกไม้กับกระดาษออก “นักเวทหลวงบอกว่ามีเวทมนตร์ป้องกันไม่ให้มันหลุดจากมือเจ้า”

“ครับ?” รองหัวหน้าอัศวินอึ้งและอ่านกระดาษ

“เวร ไม่เป็นมงคลเลย” 

เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความ ‘หลับใหลที่นี่ขณะสู้กับคนขายยาผิดกฎหมาย’

หัวหน้าอัศวินถอนหายใจ “นักเวทหลวงบอกว่ากระดาษมีเวทมนตร์ต้านแก๊สสลบครึ่งหนึ่ง ดอกไม้เป็นตัวเร่ง”

เดนต้านแก๊สสลบให้ครึ่งหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้รองหัวหน้าอัศวินสูดแก๊สเข้าไปมากเกินไป แต่ต้องไม่ให้เขาตื่นขึ้นมา

แน่นอน แค่สูตรเวทมนตร์ข้างหลังเท่านั้นที่มีความหมาย ข้อความข้างหน้าไม่เกี่ยวกับเวทมนตร์ แต่หัวหน้าอัศวินและรองหัวหน้าอัศวินไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อ เพราะคิดว่าข้อความนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเวทมนตร์ด้วย

“แต่ข้าอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ทำไมเจ้ามานอนอย่างนี้?”

หัวหน้าอัศวินมองอย่างเฉยชา รองหัวหน้าอัศวินหดตัวลงและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น

“...แล้วเจ้าเด็กฝึกขี้เหนียวก็ใส่หน้ากากกันแก๊สพิษคนเดียวและขว้างระเบิดแล้วหนีไป” รองหัวหน้าอัศวินบ่นว่าเขาขี้เหนียว แต่หัวหน้าอัศวินคิดไม่เหมือนกัน

แม้รองหัวหน้าอัศวินจะทำได้ดีในสถานการณ์ที่ถูกคนจำนวนมากกว่าล้อม แต่หัวหน้าอัศวินตัดสินว่าถ้าเขาต้องสู้ไปด้วยปกป้องเดนไปด้วยต้องบาดเจ็บหนักแน่ ในสถานการณ์เช่นนั้น ถ้ามีระเบิดยาสลบและมีหน้ากากเพียงใบเดียว วิธีที่ได้ผลที่สุดคือใส่หน้ากากให้ตัวเองและใช้ระเบิด

ในความคิดของเดน เขาคงคิดว่าเขายังเป็นผู้ต้องสงสัยและถ้าหาหลักฐานไม่ได้ก็จะถูกกล่าวหาเป็นอาชญากร ดังนั้นเขาคงเลือกเคลื่อนไหวด้วยตัวเองแทนที่จะเชื่อรองหัวหน้าอัศวินที่เพิ่งรู้จักวันนี้

ปัญหาคือการใช้ระเบิดยาสลบไม่อาจมองข้ามได้ ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุ ก็จะจบที่ถูกปรับ แต่ถ้าเป็นความจงใจมันจะเป็นปัญหาตามมา ซึ่งไม่ดีต่อเดนที่ตอนนี้เป็นผู้ต้องสงสัย

“เราจะถือว่าแก๊สสลบนี่เป็นอุบัติเหตุ”

“ครับ?” รองหัวหน้าอัศวินประหลาดใจ ปกติหัวหน้าอัศวินจะทำตามขั้นตอนอย่างเข้มงวด

นี่เป็นผลจากการหว่านล้อมและสะกดจิตของเดน

“ข้าต้องตอบแทนที่เขาช่วยชีวิตเพื่อนของข้า”

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีสำหรับเดน เพราะเขาวางแผนจะแก้ปัญหาด้วยการข่มขู่รองหัวหน้าอัศวิน (ทำยุทโธปกรณ์ของกองทัพเสียหายและสมรู้ร่วมคิดกับผู้อ้างตัวเป็นอัศวิน)

***

หลังจากหนึ่งชั่วโมงอันแสนยุ่ง ผมมาถึงห้องที่มีตู้เซฟที่เจอกับหน้ากากแดงครั้งแรก ผมขโมยตู้เซฟได้ 38 ตู้รวมถึงตู้ลับ หน้ากากแดงขโมยได้ 51 ตู้

ถึงผมจะแพ้ด้านจำนวน ผมไม่คิดว่าตัวเองแพ้ในด้านมูลค่า ไม่สิ น่าจะเหนือกว่าในด้านมูลค่าด้วยซ้ำ

“โอ ข้ารู้แค่ 64 ตู้ อีก 25 ตู้มาจากไหน?” หน้ากากแดงถาม

“อ้อ 25 ตู้นี้ไม่มีเวทมนตร์ติดอยู่ ข้าเลยต้องใช้เวลาหาอยู่นาน” ผมพูด

นี่คือเหตุผลว่าทำไมตู้เซฟบางตู้หลุดจากมือผมไปตอนเข้ามาขโมยครั้งก่อน ยังมีหลายอย่างต้องเรียนรู้อีกเยอะ ผมพลาดตู้เซฟพวกนี้เพราะมันตรงข้ามกับที่ผมคิด

“โฮ่ เป็นเจ้าแรคคูนโลภมากจริงๆด้วย” หน้ากากแดงกัดฟัน

ดูจากปฏิกิริยาของเธอ ตู้เซฟที่ไม่มีเวทมนตร์ติดอยู่คงเพื่อป้องกันเธอโดยเฉพาะ ที่จริง ของส่วนใหญ่ในตู้เซฟลับพวกนี้เป็นเอกสารที่ไม่มีมูลค่า ส่วนใหญ่เป็นหลักฐานการฉ้อโกงและอาชญากรรมที่มาร์ควิสบัลเธียนก่อ ดังนั้นผมจึงถือว่าผมบรรลุเป้าหมาย

“มาแลกเปลี่ยนกันเถอะ” หน้ากากแดงเอาทรัพย์สินที่เคยเป็นของมาร์ควิสบัลเธียนออกมาแลก

“ข้าไม่แน่ใจ? ไม่รู้ว่าจะมีของที่มีประโยชน์กับข้าหรือเปล่า” เมื่อผมปัดข้อเสนอของเธอ หน้ากากแดงก็เปิดกระเป๋ามิติและหยิบวัตถุดิบเวทมนตร์หายากต่างๆออกมา

วัตถุดิบจำนวนมากเป็นของที่ผมไม่มี ซึ่งของที่ผมไม่มีก็มีแค่วัตถุดิบที่หาได้แต่ในส่วนลึกของเขตแดนปีศาจหรือที่เผ่าภูติ หนึ่งในเผ่าของชาติพันธุ์นักสู้ที่อยู่ด้านใต้ของทวีปถือครองไว้โดยเฉพาะ

“อยากได้อะไรล่ะ คุณลูกค้า? บอกมาเลย โอกาสแบบนี้ไม่มีทุกวันนะ”

โอกาสแบบนี้ไม่มีบ่อยสำหรับผม ผมน้ำลายสอเมื่อเห็นวัตถุดิบหายาก ผมอยากได้ถึงขั้นต่อให้ต้องแลกกับเหรียญทองคำขาวทั้งหมดในกระเป๋ามิติของผมก็ยอม

เมื่อก่อน ผมเคยไปงานประมูลที่จัดโดยหอคอยเวทมนตร์โดยอ้างว่าเพื่อซื้อวัตถุดิบจำเป็นในชั้นเรียนเวทมนตร์ของศูนย์ฝึก แต่ทว่า มีน้อยมากที่เป็นวัตถุดิบหายาก ส่วนใหญ่เป็นของที่ผมมีในกระเป๋ามิติแทบล้นแล้ว ผมปลอมตัวและซื้อวัตถุดิบหายากจนมันก็แทบล้นแล้วตอนนี้

เมื่อผมถูมือและวางเอกสารลง หน้ากากแดงมองผมด้วยรอยยิ้มล้อเลียน แต่ไม่เป็นไร ต่อให้ไม่มีหลักฐาน การมาเยี่ยมสักเดือนละครั้งก็เพียงพอจะนำความพินาศให้มาร์ควิสแล้ว

“มีหนังสือชื่อ ‘เสียงร้องของดินแดนเหนือ’, ‘จุดจบของตระกูลศักดิ์สิทธิ์’, ‘คำทำนายของตระกูลศักดิ์สิทธิ์’, หรือ ‘ลมหายใจของตระกูลศักดิ์สิทธ์’ ไหม?” หน้ากากแดงถาม

“ขอดูก่อนนะ มีหนังสือชื่อ ‘เสียงร้องของดินแดนเหนือ’ กับเอกสารชื่อ ‘ลมหายใจของตระกูลศักดิ์สิทธ์’”

ทั้งสองเป็นเอกสารที่ดูจะเก่าแก่หลายร้อยปี

“มีอย่างอื่นไหม?”

ผมตอบโดยเลียนแบบพี่แมค “ฮ่าๆๆ ไม่มีแล้ว จะดูไหม?”

“ดู” หน้ากากแดงตอบทันทีและค้นกองเอกสาร

แต่ไม่เจอ เธอเหลือบมองผม “เจ้าคงไม่ได้ซ่อนมัน ใช่ไหม?”

“อ้าว! ข้าจะทำแบบนั้นได้ยังไง? นี่คือทั้งหมดแล้ว”

ผมตอบอย่างขี้เล่น หน้ากากแดงมือสั่น เหมือนรู้สึกเสียดาย และส่งทรัพย์สินทั้งหมดของมาร์ควิสบัลเธียนและวัตถุดิบเวทมนตร์ให้

“ว้าว ขอบคุณมาก!” เอกสารทั้งหมดนี้ถูกทำสำเนาไว้แล้ว

ผมไม่รู้ว่าเธอต้องการเอกสารไปทำไม แต่ผมตัดสินใจจะค่อยๆอ่านมัน ผมเก็บของใส่กระเป๋ามิติ อาจเพราะเขาสะสมทรัพย์สินเพิ่มไม่ได้มากตั้งแต่ตอนที่ผมขโมยครั้งก่อน ทรัพย์สินคราวนี้มีไม่เยอะเท่า

คราวนี้ มาใส่บัญชีฉ้อโกงคืนตู้เซฟและเอาสักส่วนหนึ่งส่งเป็นของขวัญให้นายกรัฐมนตรีกันดีกว่า

“เจ้ารู้ไหมว่านี้เป็นครั้งแรกที่มีคนเอาจากข้าไปเยอะขนาดนี้?” หน้ากากแดงที่กำลังจะออกไปทางหน้าต่าง หันกลับมาพูด

ผมตอบโดยการโบกมืออย่างจงใจและบอกลา “ถือเป็นเกียรติของข้า”

“คอยดูนะ โฮะๆๆ!” เสียงหัวเราะฟังไม่เข้าหู แต่จะให้ผมทำยังไงได้? กระเป๋ามิติก็เต็มแล้ว ได้เวลากลับแล้ว

***

ขากลับ ผมไปเก็บพ่อบ้านชราและคนร้ายตัวจริง กลับไปที่ห้องสอบสวน เมื่อมาถึง ภาระก็บ่นใส่ผม

แน่นอน ผมฟังหูซ้ายทะลุหูขวาพลางส่งคนร้ายตัวจริง, ผู้สมรู้ร่วมคิด, และหลักฐานให้หัวหน้าอัศวินและได้รับอิสระ... ได้อย่างนั้นก็คงดี แต่ผมต้องนอนในคุกวันนี้

หลักการของเจ้าบ้านั่น...

วันต่อมา ผมส่งพี่น้องขี้แยและพี่น้องเผ่าผีเสื้อที่มาเยี่ยมกลับไป จากนั้น ขณะผมกำลังนอนเล่นและสนุกกับชีวิตในคุกก็มีข่าวว่าหัวหน้าเพลแกรนท์ตื่นขึ้นมา หัวหน้าอัศวินพาผมออกจากคุกไปเยี่ยมหัวหน้าเพลแกรนท์ที่โรงพยาบาลของจักรพรรดิ

ผมไม่รู้ทำไมเขาพาผมมา แต่เมื่อผมเข้าไปในห้องก็เห็นหัวหน้าเพลแกรนท์ที่กำลังร้องไห้น้ำตานองหน้า

“ข้าขอโทษ ได้ยินว่าเจ้าต้องลำบากเพราะข้า” เขาพูด

ด้วยความตกใจ ผมยิ้มจอมปลอมอย่างเคย “ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกครับ อย่าโทษตัวเองเลย”

ทันใดนั้น เขาคว้ามือผมและพูดขอบคุณหลายๆครั้ง ผมคิดว่าเพราะเกือบตายเลยทำให้สมองเขาเพี้ยนไป แต่เพราะผมช่วยชีวิตเขาไว้ ผมรู้สึกว่าเขาน่าจะให้คะแนนผมผ่านเกณฑ์เฉลี่ย

แต่ทว่า เมื่อมาดูเกรด ผมได้คะแนนเต็ม ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะให้คะแนนเต็มเพราะช่วยชีวิตเขาไว้

เดี๋ยวนะ แบบนี้ก็แปลว่าเกรดของผมสูงเกินไปน่ะสิ เวร หาเรื่องใส่ตัวแล้วไง!



สารบัญ                                             รอใส่บทที่ 91


ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนเลยน้าเดน... ตอนหน้าขึ้นบทใหม่ค่ะ มี 9 ตอน (ถ้าจำไม่ผิดนะ)



วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2566

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 89

 บทที่ 89

ในทางกฎหมาย ข้าราชการคนของจักรพรรดิ เป็นมือและเท้าของเขา ดังนั้น การทำร้ายข้าราชการเปรียบเทียบได้กับทำร้ายร่างกายจักรพรรดิ พูดอีกอย่างคือ ถ้าโชคไม่ดีคนผิดอาจถูกลงโทษไปถึงสามชั่วรุ่นในฐานก่อกบฏ เพราะฉะนั้นแม้แต่ขุนนางตระกูลใหญ่ยังไม่อาจแตะคนอย่างหัวหน้าเพลแกรนท์ได้ง่ายๆ

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าราชการจะทำตัวหยิ่งผยองได้ จักรวรรดิเป็นประเทศที่ยอมรับระบบชนชั้นเป็นกฎหมาย ต่อให้เป็นข้าราชการ ถ้าไปทำให้ขุนนางโกรธ อาจเป็นเขาถูกตัดหัวแทน

ถ้าขุนนางรู้สึกว่าตัวเองถูกดูหมิ่นและขว้างถุงมือท้าประลอง ข้าราชการต้องใช้รายได้เล็กน้อยของเขาเพื่อหาตัวแทน ถ้าหาไม่ได้ ก็ต้องสู้เอง แต่ขุนนางมีอัศวินเป็นตัวแทนในการประลอง ข้าราชการที่ทำแต่งานเอกสารจะถูกฆ่าตรงนั้น

จะว่าไปแล้ว ถ้าผมรู้ว่าจะมีพ่อบ้านสารภาพเรื่องทั้งหมด ผมจะไม่ซื้อบันทึกการเคลื่อนไหวในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาของหัวหน้าเพลแกรนท์หรอก ไม่รู้ว่าถือเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่

ผมวางแผนไว้ว่าจะจับคนร้ายและตรวจสอบเรื่องเบื้องหลังด้วยการรวบรวมคำสารภาพของคนร้ายกับการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของหัวหน้าเพลแกรนท์ สุดท้ายก็เสียเงินเปล่า

ด้วยเหตุนั้น เหลือเลือดโทรลน้ำแข็งไว้เป็นหลักฐานสักนิดและเอาที่เหลือไปดีกว่า มันเป็นของมีค่าที่หาไม่ได้นอกจากในส่วนลึกของเขตแดนปีศาจ

ผู้เฒ่าเมอร์ปายังคอยบ่นให้รัฐมนตรีต่างประเทศหามา คิดแล้วผมก็รู้สึกภูมิใจที่เห็นมันเข้าไปในกระเป๋ามิติ มันเป็นของที่ถ้ามีโอกาสให้เก็บก็ต้องเก็บไว้เพราะไม่รู้ว่าจะจำเป็นต้องใช้เมื่อไหร่

จากนั้น ผมมัดชายชราและนักเล่นแร่แปรธาตุด้วยเชือกและใช้เวทมนตร์เสริมความทนทานมากกว่าสามเท่า พวกเขาคงไม่ตื่นไปอีกหลายชั่วโมง แต่เผื่อไว้ ผมกางบาเรียล่องหน ต่อให้มีคนเจอพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากคนมาจะเป็นนักเวทที่เก่งกว่าผม

จับคนร้ายได้แล้ว ถึงเวลาไปอัดพวกคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง โชคดีที่ผมรู้จักที่นั่นดีเพราะเคยไปปล้นมาก่อน

ผมเอาหน้ากากครึ่งหน้าสีขาวออกมาและบินผ่านท้องฟ้าสีฟ้าเหนือเมืองหลวง มันเป็นหน้ากากเวอร์ชั่นสอง ไม่เพียงอัพเกรดเวทมนตร์รบกวนการรับรู้ ผมยังใส่เลขสองแบบโรมันไว้ใต้ตาขวาเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นลูแปง

****

ในห้องทำงานของเขา มาร์ควิสบัลเธียนทำใจให้สงบได้ยากซึ่งเห็นได้จากการที่เขาคอยกัดเล็บ พ่อบ้านควรจะกลับมาได้ตั้งนานแล้ว แต่เขายังไม่กลับมา 

เกิดเหตุผิดพลาดหรือเปล่า?

เขารู้สึกไม่สงบและปัดกองหนังสือราคาแพงบนโต๊ะหล่นบนพื้น

“เวรเอ๊ย!” มาร์ควิสบัลเธียนด่าและขยี้ผมที่รุงรังของเขา

ไม่ สงบใจลงก่อน เขาพยายามเตือนตัวเองให้ใจเย็นลง แต่ทำไม่ได้ สำหรับคนที่ได้ทุกอย่างตั้งแต่เด็ก มันเหมือนการควบคุมจิตใจของเขาค่อยๆหมดไปแค่เพียงคิดว่าอาจมีอะไรผิดพลาด

“บ้าเอ๊ย แค่ให้มันไปฆ่าแมลงน่ารำคาญตัวเดียว” เขาพึมพำและบอกตัวเองว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้

มาร์ควิสบัลเธียนไม่อาจเข้าใจได้ว่าจะมีเหตุยุ่งยากอะไรที่ทำให้พ่อบ้านของเขา ที่ถูกส่งไปจัดการกับนักเล่นแร่แปรธาตุไม่สำคัญคนหนึ่งกลับมาช้า เขาไม่แม้แต่ต้องการเข้าใจ

รอให้มันกลับมาแล้วค่อยลงโทษมัน คิดอย่างนี้แล้วเขาก็เริ่มกัดเล็บอีก ลงโทษ ไม่ใช่ฆ่า มีพ่อบ้านไม่กี่คนที่ใช้การได้แบบนี้

คนหลายสิบคนตายด้วยมือเขาหลังจากถูกใช้เป็นเครื่องมือ แต่มาร์ควิสบัลเธียนไม่คิดถึงพวกเขา ที่จริงคือเขาคิดไม่ได้ แมลงไร้ค่าที่ตายไปหายไปจากความทรงจำของเขานานแล้ว

มาร์ควิสบัลเธียนกัดเล็บเพื่อบรรเทาความกระสับกระส่ายไม่หยุด เขาหมุนลูกโลกบนโต๊ะอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายและเปิดหนังสือไปมา

“คิก” 

เขาหันไป ตกใจกับเสียงหัวเราะกะทันหัน

บนโซฟาตัวใหญ่ ผู้หญิงใส่หน้ากากสีแดงกำลังนั่งไขว่ห้าง หัวเราะใส่มาร์ควิสบัลเธียน

“มาได้ยังไง? ไม่สิ ถ้าเป็นพิจิกก็ไม่แปลก” มาร์ควิสบัลเธียนพูดกับตัวเอง มองผู้หญิงหน้ากากแดงที่ฝ่าระบบรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์ของเขาเข้ามา 

พิจิกเลิกไขว่ห้างและลุกขึ้น ตรงมาที่มาร์ควิสบัลเธียนพลางลูบคางของหน้ากากแดงของเธอ “ข้าได้ยินว่าเรื่องไม่เป็นตามแผน ฮุๆ”

มาร์ควิสบัลเธียนโกรธกับเสียงไม่ตื่นเต้นตกใจของเธอ ขณะเดียวกัน เขาเคลิ้มไปกับเสียงชวนหลงใหล

“ดีแล้วที่มา ข้าจะบอกให้พวกเจ้าไปจัดการให้เรียบร้อย เพราะเจ้าเป็นคนทำเสียเรื่อง”

พิจิกหัวเราะลั่น “อุ๊ย ข้าจะทำทำไม?”

“อะไร? เจ้าหมายความว่ายังไง?!” มาร์ควิสบัลเธียนหงุดหงิด

ไม่นาน อารมณ์ของเขาก็กลายเป็นโมโห “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะพวกเจ้า!”

พิจิกเห็นมาร์ควิสบัลเธียนโมโหแล้วรู้สึกตลกและหัวเราะ “สงสัยจังว่าทำไมมันเป็นความผิดของข้า~?”

มาร์ควิสบัลเธียนยิ่งโกรธเพราะเสียงขี้เล่นของเธอ “เจ้าล้อเล่นเหรอ? ที่เป็นแบบนี้เพราะพวกนั้นจัดการหมาของนายกรัฐมนตรีที่ไล่ตามเจ้า?!"

“อุ๊ย อย่างนั้นเหรอ?”

ทันทีที่พิจิกร้องอย่างไม่จริงใจ มาร์ควิสบัลเธียนก็หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ “เจ้า เจ้า...!”

“เจ้าน่าจะเข้าใจผิดแล้ว เจ้าต่างหากเป็นคนทิ้งร่องรอยไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะความเลินเล่อของเจ้า นายกรัฐมนตรีผู้สูงศักดิ์ของเราจะได้กลิ่นและส่งสุนัขล่าเนื้อตามมาเหรอ?”

“อะไร เพราะอะไรถึงถูกจับได้! เพราะเราพยายามทำให้ได้ตามความต้องการที่มากเกินไปของเจ้า!”

คำตอบของพิจิกไม่ล้อเล่นอีกต่อไปแต่เปลี่ยนเป็นเย็นชา “เพราะอย่างนั้นเจ้าจึงต้องระวัง อีกอย่าง ข้าแน่ใจว่าที่เจ้าถูกจับไม่ใช่เพราะพยายามทำให้ได้ตามความต้องการของข้าอย่างเดียวใช่ไหม?”

“อึก!” มาร์ควิสบัลเธียนไม่มีคำตอบ

พิจิกกระซิบที่หูมาร์ควิสบัลเธียน “ถ้าเจ้าได้สนองความโลภเพราะข้า เจ้าควรรู้ดีกว่านี้”

“เจ้า เจ้าคนชั้นต่ำ!” มาร์ควิสบัลเธียนอึ้งไปเมื่อได้ยินจากพิจิกผู้โลภมาก

แต่พิจิกผละจากมาร์ควิสและยักไหล่เหมือนอ่านใจเขาออก “ข้าอาจไม่รู้ว่าขีดจำกัดความโลภของข้าอยู่ตรงไหน แต่ข้ามีพลังควบคุมมัน แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีไหม? โอ๊ะ สุนัขล่าเนื้อที่เจ้าพยายามฆ่าคงไม่กัดตอบตอนเขาตื่นขึ้นมา ใช่ไหมนะ?”

น้ำเสียงขี้เล่นกลับมา แต่มาร์ควิสบัลเธียนสงบลงแล้ว ถ้าเขาไม่ฆ่าเพลแกรนท์ตอนนี้ เพลแกรนท์อาจกล่าวหาเขาเป็นคนร้าย มันไม่มีหลักฐาน แต่มีหลักฐานแวดล้อมชี้ว่าเขาและพิจิกมีการติดต่อกัน

ในเมื่อเพลแกรนท์เกือบตาย มาร์ควิสบัลเธียนแน่ใจว่าในคำให้การ พวกเขาจะสร้างหลักฐานปลอมขึ้นมาโจมตีเขา นี่เป็นการต่อสู้ทางการเมืองอย่างหนึ่ง และฝ่ายไหนจะชนะขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนจะสร้างความถูกต้องได้ก่อน

ในการต่อสู้ที่ถ้าไม่กัดคอคนอื่นก่อนก็จะถูกคนอื่นกัดคอ มาร์ควิสบัลเธียนเป็นคนให้โอกาสสร้างความถูกต้อง การโจมตีก่อนเพื่อป้องกันตัวของเขานำไปสู่การตอบโต้เพราะเพลแกรนท์รอดตาย ไม่ว่าเขาจะเป็นลูกที่หัวดื้อเพียงใด สัญชาติญาณทางการเมืองที่เขาขัดเกลาจากการอยู่ในการเมืองหลายปีทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายคับขัน 

มาร์ควิสบัลเธียนหน้าซีด เขาขอร้องพิจิก “ขอร้องล่ะ! ฆ่าหมาตัวนั้น! ถ้าเป็นเจ้า ต้องทำได้โดยไม่มีใครรู้แน่!”

ตอนนี้ จะพูดว่าเพลแกรนท์ปลอดภัยกว่าอาร์คันทา นายกรัฐมนตรีก็ว่าได้ แน่นอนว่านายกรัฐมนตรีต้องปกป้องเพลแกรนท์ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเพราะเขาเป็นเพื่อนและอาวุธทางการเมืองที่สำคัญ

แน่นอน มาร์ควิสบัลเธียนย่อมไม่แม้แต่จะลองฝ่าการคุ้มกัน แต่ถ้าเป็นสัตว์ประหลาดที่สามารถประกาศในที่สาธารณะว่าอยากเห็นจักรวรรดิ ประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด ล่มสลาย ย่อมต่างจากเขา เธอสามารถลอบสังหารเพลแกรนท์และหยอกล้อกับระบบรักษาความปลอดภัยทุกขั้นตอน

“อืม ก็เป็นไปได้ เอ ข้าจะทำยังไงดีนะ?” เสียงหยอกเย้าของพิจิกทำให้มาร์ควิสบัลเธียนเดือดพล่านอยู่ข้างใน 

“ก็ได้ ถ้าเจ้าให้ของที่ตกลงว่าจะให้กับข้าก่อนหน้านี้”

“ก่อนหน้านี้? เจ้าพูดถึงอะไร?” มาร์ควิสบัลเธียนหงุดหงิด

“เอ๋ เจ้าก็รู้ พรเทวี” 

มาร์ควิสรู้สึกสิ้นหวังเมื่อได้ยินเสียงทำให้น่ารักของพิจิก “นั่น ข้าบอกแล้วนี่ว่าถ้าจับโจรได้จะให้”

พิจิกหัวเราะโดยไม่สนใจเสียงสิ้นหวังของมาร์ควิส “อุ๊ย เจ้ายังจับเขาไม่ได้อีกเหรอ?”

เสียงหัวเราะทำให้มาร์ควิสแน่ใจว่าเธอจงใจถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนี้กำลังล้อเขาเล่น

“ถ้าข้าถูกจับ เจ้าก็ไม่รอด! ทุกอย่าง! ข้าจะบอกทุกอย่างให้นายกรัฐมนตรีรู้! ที่ซ่อนของเจ้า! พลัง! ทุกอย่าง!”

มาร์ควิสพูดด้วยเสียงโกรธ พิจิกกลั้นไว้ไม่ไหวและหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆ!”

“หัวเราะอะไร?!”

“ฮ่าๆๆๆ! ฮ้า ไม่ได้หัวเราะขนาดนี้มานานแล้ว เจ้าเชื่อทุกอย่างที่ข้าบอกและแสดงให้ดูเลยเหรอ? ว้าว ไม่รู้เลยนะเนี่ย มาร์ควิสของเราเป็นคนใสซื่อจริงๆ”

“อะไร..?” มาร์ควิสหน้าซีดและมองพิจิกอย่างว่างเปล่า

พิจิกยิ้มทางตาผ่านหน้ากาก “คราวหน้า กรุณาเตรียมของที่ตอบสนองความต้องการของข้าได้เพื่อข้าจะได้ทำงานให้เจ้า ถ้ามีคราวหน้าน่ะนะ”

พูดจบ พิจิกหายไปจากสายตามาร์ควิส เหมือนเขาพูดกับความว่างเปล่าตั้งแต่แรก มาร์ควิสรู้สึกถึงการถูกตัดขาดและการทรยศจนตัวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

มันผิดพลาดไปตอนไหน? ตอนเขาพยายามจะฆ่าสุนัขล่าเนื้อของนายกรัฐมนตรีที่ขุดตามเขา? ตอนที่เขาร่วมมือกับแม่มดเพราะความโลภ? ไม่ใช่เลย ถ้าเขาไม่ฆ่าสุนัขล่าเนื้อ มันต้องกัดคอเขาแน่ และต่อให้ไม่ใช่แม่มดเขาก็จะร่วมมือกับคนอื่นเพื่อตอบสนองความโลภ

มาร์ควิสบัลเธียนพบต้นตอของความพินาศจากที่อื่น ลูแปง ใช่ ลูแปงคือต้นตอ ถ้าเขาไม่ขโมยพรเทวีไป พิจิกก็จะไม่เรียกร้องเรื่องยากเกินไปเหล่านั้น

ถ้าโจรลูแปงไม่ขโมยทรัพย์สินทั้งหมดในคฤหาสน์ของเขาไป ร่องรอยของเขาก็จะไม่ถูกจับได้เพราะจู่ๆก็ขาดเงินทุน ทุกอย่างเป็นเพราะโจรนั่น ลูแปง!

แต่ตอนนี้ ทุกอย่างมันไร้ความหมาย ตอนนี้ เขาแค่อยากให้พ่อบ้านกลับมาเร็วๆหลังจากจัดการกับนักเล่นแร่แปรธาตุเสร็จแล้ว




สารบัญ                                            บทที่ 90


วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

แปลเพลง Kathy Troccoli - Stubborn Love

 แปลเพลงกันดีกว่า

ที่จริงคนแปลกะจะหาเพลงรักเนื่องในโอกาสวันวาเลนไทน์นะ แต่ผัดวันประกันพรุ่งมาจนเกือบหมดเดือนแล้ว...

ว่าจะแปลเพลงโปรด Stubborn love ของ The lumineers แต่ตอนค้นหาเพื่อจะฟังเพลงโดนพาไปของ Kathy Troccoli ซะงั้น ฟังแล้วก็รู้สึกเพราะดีนะ 

ลิงค์ไปยูทูปมิวสิคค่ะ แถบข้างๆมีเนื้อเพลงให้ด้วย สะดวกดี 

Stubborn Love - Kathy Troccoli

Caught again, Your faithless friend

Don't You ever tire of hearing what a fool I've been?

Guess I should pray, but what can I say?

Oh, it hurts to know the hundred times I've caused You pain

Though "Forgive me" sounds so empty when I never change

Yet You stay and say, "I love You still"

Forgiving me time and time again

ถูกจับได้อีกแล้ว เพื่อนผู้ไร้สัจจะของคุณ

ไม่เหนื่อยบ้างเหรอกับการฟังว่าฉันโง่ขนาดไหน?

ฉันควรต้องสวดภาวนาสินะ แต่จะให้พูดยังไง?

โอ มันเจ็บเมื่อรู้ว่าฉันทำให้คุณปวดร้าวเป็นนับร้อยครั้ง

แต่คำว่า “ยกโทษให้ด้วย” ฟังว่างเปล่าเมื่อฉันไม่เคยเปลี่ยนแปลง

แต่คุณยังคงอยู่และพูดว่า “ฉันยังรักคุณ”

ยกโทษให้ฉันครั้งแล้วครั้งเล่า

It's Your stubborn love that never lets go of me

I don't understand how You can stay

Perfect love embracing the worst in me

How I long for Your stubborn love

มันคือรักดื้อรั้นของคุณที่ไม่เคยปล่อยวางจากฉัน

ไม่เข้าใจว่าคุณยังอยู่เคียงข้างได้ยังไง

ความรักเที่ยงแท้ โอบกอดส่วนที่เลวร้ายที่สุดของฉัน

ฉันโหยหาในรักดื้อรั้นของคุณมากเพียงใด

Funny me, just couldn't see

Even long before I knew You, You were loving me

Sometimes I cry, You must cry too

When You see the broken promises I've made to You

I keep saying that I'll trust You, though I seldom do

Yet You stay and say, "You love me still"

Knowing someday I'll be like You

ฉันมันน่าขำ ทำยังไงก็ไม่เคยเห็นเลย

ว่าตั้งแต่ก่อนจะได้รู้จักคุณ คุณก็รักฉันอยู่แล้ว

บางครั้งฉันร้องไห้ คุณก็ต้องร้องไห้เหมือนกันแน่

เมื่อคุณเห็นว่าฉันผิดสัญญาที่ให้ไว้กับคุณ

ฉันเอาแต่พูดว่าจะเชื่อคุณ แต่แทบไม่เคยทำเลย

แต่คุณยังอยู่และพูดว่า “คุณยังรักฉัน”

รู้ว่าสักวันฉันจะเป็นเหมือนคุณ

And Your stubborn love, it never lets go of me

I don't understand how You can stay

Perfect love embracing the worst in me

How I long for Your stubborn love

และความรักดื้อรั้นของคุณ ไม่เคยปล่อยวางจากฉัน

ไม่เข้าใจว่าคุณยังอยู่เคียงข้างได้ยังไง

ความรักเที่ยงแท้ โอบกอดส่วนที่เลวร้ายที่สุดของฉัน

ฉันโหยหาในรักดื้อรั้นของคุณมากเพียงใด

It's Your stubborn love that never lets go of me

I don't understand how You can stay

Perfect love embracing the worst in me

And You never let me go, I believe I finally know

I can't live without Your stubborn love

มันคือรักดื้อรั้นของคุณที่ไม่เคยปล่อยวางจากฉัน

ไม่เข้าใจว่าคุณยังอยู่เคียงข้างได้ยังไง

ความรักเที่ยงแท้ โอบกอดส่วนที่เลวร้ายที่สุดของฉัน

และคุณไม่เคยปล่อยฉันไป ฉันเชื่อว่าในที่สุดฉันรู้แล้ว

ฉันไม่อาจอยู่ได้ถ้าไม่มีรักดื้อรั้นของคุณ


----


เพลงนี้เป็นเพลงแนวที่เค้าเรียกว่า ป๊อบคริสเตียน ค่ะ

ความรัก แน่นอน ว่าคือรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์

เพราะถ้าเป็นความรักของคนรักกัน สำหรับเรานะ เลิกแน่นอน คนหนึ่งถล่มตัวซะ มองอีกคนอยู่สูงเกิน ความสัมพันธ์มันไม่บาลานซ์ ต่อให้อีกฝ่ายดียังไง ถ้าเรามองว่าเราไม่คู่ควรกับเค้า ความนับถือตัวเองมันทำให้ไม่มีความสุข ยิ่งไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเองด้วย

คิดว่าเพราะเป็นความรักที่ยากจะเป็นไปได้แบบนี้แหละค่ะ เราถึงรู้สึกว่ามันเพราะ และเสียงคนร้องก็เพราะด้วย ชอบๆ

จบอีกหนึ่งเพลง ไว้เจอกันใหม่เพลงหน้าค่ะ ^^//


ชีวิตข้าฯ - บทที่ 88

 บทที่ 88

ผมยืนหน้าห้องปรุงยาของผู้ต้องสงสัยรายที่สาม และเอากุญแจไขได้ทุกอย่างออกมา ประตูถูกล็อกซึ่งเป็นเรื่องปกติ ผมบรรจงเสียบอโลโฮโมราเข้าไปในรูกุญแจและหมุน

คลิก!

ล็อกถูกปลดทำให้ประตูเหวี่ยงเปิดออก ผมเข้าไปโดยไม่พูดอะไร ผมรู้สึกถึงคนกำลังวุ่นวายอยู่ในห้องปรุงยา จึงตัดสินใจเดินไปทางพวกเขา

ชายคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าของห้องปรุงยา เขากำลังเก็บกระเป๋าอย่างรีบร้อนและพูดกับอีกคน “บ้าเอ๊ย! เจ้าไม่เคยบอกว่าเราต้องหนี!”

เจ้าของห้องปรุงยาใส่เสื้อขาว แสดงว่าเป็นนักแปรธาตุ กำลังพูดกับชายชราผมหงอกใส่เทลโค้ตเหมือนพ่อบ้าน

ชายชราตำหนิเจ้าของห้องปรุงยา “เจ้าพูดอะไร? ที่เป็นอย่างนี้เพราะเจ้าทำงานไม่ได้เรื่อง!”

เจ้าของห้องปรุงยาเถียงคำตำหนิที่ไม่ยุติธรรม “ข้าทำถูกแล้ว! ข้าทำให้เขาตายตามคำสั่งของเจ้า!”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมเขายังอยู่ล่ะ?”

เมื่อชายชราเริ่มโกรธ อีกคนก็ทึ้งผมตัวเอง “ไม่รู้! บ้าจริง นอกจากจะมีคนล้างท้องเขาทันทีที่พิษกำเริบ!”

“ยังไงก็ตาม เขารอด และเศษฮอร์นก็ถูกส่งไปให้นักเวทหลวง อาจต้องใช้เวลาตรวจส่วนผสมของมัน แต่หนีก่อนดีกว่า” ชายชราพูด

ฮอร์น! รอดไป ผมห่วงว่าจะตามหาคนร้ายผิดทาง แต่พวกเขาพูดออกมาหมด

“เวรเอ๊ย ถ้าตรวจหาพิษเสร็จ ข้าก็ไม่พ้นตกเป็นผู้ต้องสงสัย! ถ้าหนีตอนนี้ข้าคงถูกทำให้เป็นคนร้าย!”

“ไม่หรอก โชคดีอย่างที่ข้าได้ยินว่าผู้เข้ารับการฝึกเป็นข้าราชการถูกจับ ถ้าไปได้สวย เด็กฝึกคนนั้นน่าจะถูกกล่าวหาเป็นคนร้าย”

นักเล่นแร่แปรธาตุดีใจ “จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นทำไมเราต้องหนีด้วย?”

ชายชราถอนหายใจ “เผื่อไว้ก่อน เจ้าไม่ชอบเหรอปลอดภัยไว้ก่อนน่ะ? ต้องคิดเผื่อเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดด้วย”

“ก็จริง แต่...” นักเล่นแร่แปรธาตุทอดเสียง เหมือนไม่ชอบใจที่ต้องหนี

ชายชราพูด “ต่อให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา นายท่านบอกว่าจะให้ตัวตนใหม่แก่เจ้า ดังนั้นอย่ากังวลเกินไปนักและเก็บของให้เสร็จ”

สีหน้าของนักเล่นแร่แปรธาตุดีขึ้น ผมก็ยิ้มด้วย ไม่ต้องหา ผมก็เห็นเลือดโทรลน้ำแข็ง สารสกัดจากหม้อข้าวหม้อแกงลิงยักษ์ และฮอร์นถูกใส่ลงไปในกระเป๋าของเขา

วัตถุดิบพวกนั้นเป็นของแพงและหายาก เลือดโทรลน้ำแข็งหายากขนาดแม้แต่ผมเองยังไม่มี ไม่จำเป็นต้องฟังต่อแล้ว ผมกระโจนเข้าไปตีท้ายทอยนักเล่นแร่แปรธาตุโดยไม่ปล่อยให้เขามีเวลาตอบโต้

“อั่ก!” นักเล่นแร่แปรธาตุสลบ

ชายชราตื่นกลัวกับการมาอย่างกะทันหันของผม “เจ้า เจ้าเป็นใคร!”

ผมยิ้มให้ชายชราที่ตั้งท่าสู้แทนที่จะหนี สองคนนี้ตลกจริงๆ คิดจะสู้กับใคร?

“หึๆๆ แค่คนที่เจ้าพยายามจะใส่ร้ายให้เป็นอาชญากร?” ผมพุ่งเข้าไปตรงระหว่างแขนของชายชราและต่อยเขาเบาๆที่ท้อง

“แค่ก!” ท่าตั้งรับและกล้ามท้องของชายชราแข็งแรง เหมือนฝึกมาไม่น้อย

เขาควรจะหนีทันทีที่เห็นผม อาจเพราะรูปร่างหน้าตาของผมทำให้เขาไม่ระวัง นึกว่าจะข่มผมได้

ผมกระชากคอเสื้อของชายชราที่กำลังทรุดและดึงเขาขึ้นมา

ผมยกชายชราขึ้นมาจนสบตาเขาที่กำลังเบลอด้วยความเจ็บ และยิ้มอย่างใจดี “ไม่ต้องห่วง เจ้าจะจำข้าไม่ได้เพราะความทรงจำจะหายไปหมด”

มีวิธีลบความทรงจำหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้แรง เวทมนตร์ หรือยา

ชายชราจ้องผมอย่างระแวง “อะไร...!”

ได้เวลาปิดม่านสอบสวนแล้ว หรือพูดอีกอย่างคือ ได้เวลาทำให้เขาเสียใจที่มาหาเรื่องผม ฮ่าๆๆ

***

เมื่อหัวหน้าหน่วยอัศวินกวางขาวมาถึงสถานที่ที่ได้รับรายงาน อาคารถูกล้อมด้วยเชือก ‘ห้ามเข้า’ มองจากที่ไกลๆเห็นแต่ควันจางๆลอยจากอาคาร เพราะมันผ่านมาสักพักแล้ว

เมื่อเขาข้ามเชือก’ห้ามเข้า’เข้าไป คนเฝ้าคนหนึ่งก็ทำความเคารพเขา “เคารพ!”

หัวหน้าอัศวินยกมือและตรงไปที่เต้นท์หน้าอาคาร

เมื่อเขาเข้าไป อัศวินใต้บังคับบัญชาสองคนก็ทำความเคารพ “เคารพ!”

“เกิดอะไรขึ้น?”

อัศวินคนหนึ่งอธิบาย “ครับ! เราสงสัยว่าเกิดอุบัติเหตุระหว่างการเล่นแร่แปรธาตุ ตอนนี้กำลังสืบสวน”

“ข้าได้ยินว่ามีพยานเห็นรองหัวหน้าเข้าไป จริงหรือเปล่า?”

“เรื่องนั้น ขอโทษครับ ควันยังไม่หมด ถ้าจะเข้าไปจะลำบาก”

คำตอบทำให้หัวหน้าอัศวินโกรธ แต่เขากดมันไว้และพูดต่อ “ข้าได้ยินว่ามีคนสลบตอนที่พยายามจะเข้าไป พวกเขาเป็นยังไงบ้าง?”

ถ้าควันเป็นควันพิษ การให้ทหารและอัศวินเข้าไปจะเป็นอันตรายต่อพวกเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นห่วงรองหัวหน้าอัศวินแค่ไหนก็ตาม

“ครับ ข้าไม่มั่นใจเพราะนักเวทหลวงกับนักบวชยังไม่มา แต่ข้าเชื่อว่าพวกเขาแค่หลับ”

“หลับ? ได้ยินจากรายงานว่ามันอาจมีพิษ”

อัศวินตอบอย่างยุ่งยากใจ “นั่นเป็นพวกเราคิดเอาเองตอนกำลังตกใจครับ แต่ข้าลองใช้เวทมนตร์ตรวจร่างกายพวกเขา เพราะเห็นพวกเขาพูดเหมือนกำลังละเมอ”

หัวหน้าอัศวินถลึงตาใส่ลูกน้อง “เจ้ากำลังบอกว่ารายงานไปทั้งๆที่ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน”

“ขอโทษครับ”

“ไม่ ดีแล้วที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่” เขาพูด ออกจากเต้นท์ไปยืนหน้าอาคารที่ควันยังคงลอดออกมา

“หัวหน้า! มันอันตราย!”

“ไม่เป็นไร” หัวหน้าอัศวินให้ลูกน้องของเขาถอยไปและชักดาบ

หัวหน้าอัศวินสูดลมหายใจลึก ส่งพลังเวทไปที่ดาบและฟันไปทางทางเข้าอาคาร ลมจากดาบเข้าไปในอาคารและผ่านข้างในอาคาร แก๊สสลบที่ยังเหลือในอาคารถูกพัดออก

“อา!” อัศวินและทหารที่อยู่ใกล้ๆถอยหลบ หัวหน้าอัศวินวิ่งเข้าไปในอาคารพร้อมกับกลั้นหายใจ

ในอาคาร เหมือนห้องปรุงยาของนักเล่นแร่แปรธาตุ ตรงกลางเป็นที่ว่างขนาดใหญ่และห้องเล็กๆอีกหลายห้องที่ใช้เก็บวัตถุดิบ หัวหน้าอัศวินตรงไปที่ต้นตอของควัน

ที่นั่นมีคนสลบหลายคน มีชายที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของห้องปรุงยา, กลุ่มคนที่เหมือนอันธพาล, และรองหัวหน้าอัศวิน

รองหัวหน้าอัศวินกำลังนอนมือประสานกัน ท่ามกลางกระสอบเหมือนกำลังค้นหาอะไรอยู่ หัวหน้าอัศวินจะขยับรองหัวหน้าอัศวินแต่เห็นกระดาษที่มีข้อความเขียนไว้และดอกไม้ในมือรองหัวหน้าอัศวิน

-หลับใหลที่นี่ขณะสู้กับคนขายยาผิดกฎหมาย 

ตกใจกับข้อความ, เขาตรวจรองหัวหน้าอัศวินว่ายังหายใจอยู่หรือเปล่า และโล่งใจที่เห็นว่ายังหายใจเป็นปกติ คำว่าหลับใหลไม่ใช่คำอุปมา มันแปลตรงตามตัวอักษรว่าเขาหลับอยู่

หัวหน้าอัศวินกังวลกับคำว่า คนขายยาผิดกฎหมาย คิดไปคิดมาขณะแบกรองหัวหน้าอัศวินบนหลัง อย่างไม่แน่ใจ, เขาเปิดกระสอบและเห็นผงสีขาวข้างใน

แม้ข้อความจะอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่มันไม่มีเหตุผลเลย อันธพาลที่สลบรอบรองหัวหน้าอัศวินคือคนขายยา และรองหัวหน้าอัศวินสู้กับพวกเขา

รองหัวหน้าอัศวินถูกมอบหมายหน้าที่ให้ตามผู้รับการฝึกไปจับคนร้ายวางยาพิษเพลแกรนท์ แล้วทำไมจู่ๆเขามาสู้กับกลุ่มคนขายยา? ทำไมเขาไม่เห็นผู้รับการฝึกอยู่กับรองหัวหน้าอัศวิน?

เขาควรจะได้ยินเรื่องทั้งหมดเมื่อรองหัวหน้าอัศวินตื่น หัวหน้าอัศวินรีบออกจากอาคารเมื่อรู้สึกว่ากำลังจะกลั้นหายใจต่อไม่ไหวแล้ว

***

หลังจากสอบสวนชายชรา ผมวางเขานอนข้างนักเล่นแร่แปรธาตุบนพื้น ชายชราไม่มีร่องรอยบาดแผลภายนอก แต่จิตใจเขาขาดรุ่งริ่ง เอาเถอะ ความทรงจำของเขาถูกลบไปอย่างเรียบร้อย ดังนั้นผมแน่ใจว่าจะไม่มีผลกับชีวิตประจำวันของเขา แต่ถ้าเขาเห็นหน้าผม มีโอกาสสูงที่จะเกิดอาการชัก

มันเป็นการสืบสวนที่เข้มข้น แต่ผมไม่รู้สึกผิดเมื่อคิดถึงสิ่งที่ชายชราทำลงไป ตรงข้ามผมเสียดายที่ไม่ทำให้หนักกว่านี้ ชายชราคือคนที่ทำน้ำโคลนเลอะผมเมื่อคราวก่อน เขาเป็นพ่อบ้านของมาร์ควิสบัลเธียน ผู้ถูกใช้จัดการกับงานสกปรก

กฎหมายห้ามเรื่องการรค้าทาส ชายชราถูกมอบหมายให้หาคนมาเป็นเครื่องสังเวยให้แม่มดคนหนึ่งผู้ร่วมมือกับมาร์ควิส นอกจากนี้ ชายชรายังเคยหาเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายเพื่อสนองตัณหาของมาร์ควิสด้วย

มาร์ควิสบัลเธียนเป็นขยะตาเฒ่าตัณหากลับ แต่พ่อบ้านที่ทนเขาได้ก็ขยะเหมือนกัน โดยส่วนตัวแล้วผมเกลียดคนอย่างพ่อบ้าน พวกเสียชาติเกิด

ผมหยิบกระดาษเขียนคำสารภาพที่ประทับรอยนิ้วโป้งแทนลายเซ็น และกระเป๋าตังค์ของชายชราออกมา จากนั้นหันไปหานักเล่นแร่แปรธาตุ หมอนี่ก็ตลกเหมือนกัน ตามที่ชายชราสารภาพ นักเล่นแร่แปรธาตุจะถูกกำจัดตอนหนี

ต่อให้ถ้าหัวหน้าเพลแกรนท์สงสัยมาร์ควิสบัลเธียน  ก็ต้องมีคนร้ายมายืนยัน นักเล่นแร่แปรธาตุเป็นคนแรกที่สมควรเป็นผู้ต้องสงสัย ดังนั้น ชายชราตัดสินใจจะกำจัดเขาเสีย

พูดอีกอย่างคือก่อนหน้านี้เป็นแค่การแสดง นักเล่นแร่แปรธาตุทำงานให้มาร์ควิสบัลเธียนมากเกินไป ซึ่งแปลว่าเขารู้ความลับมากเกินไป การกำจัดเขาเป็นสิ่งเลี่ยงไม่ได้ แค่มันมาเกิดเอาตอนนี้

ตอนแรกเขาถูกบังคับเพราะต้องการเงิน แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่ชอบวางยาพิษคนบริสุทธิ์ ดังนั้นผมจึงไม่มีความเห็นใจให้เขา

ผมยกมือของนักเล่นแร่แปรธาตุที่สลบอยู่และกดนิ้วโป้งข้างใต้คำสารภาพของชายชรา คราวนี้เขาก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในทุกอย่างที่ชายชราสารภาพ

ถึงเขาจะไม่เกี่ยวกับการค้าทาสและถูกตัดสินประหารชีวิต มันไม่ใช่เรื่องของผม ไม่ว่าอย่างไร การวางยาพิษหัวหน้าเพลแกรนท์เองก็พอให้โดนโทษประหารชีวิตแล้ว



สารบัญ                                           บทที่ 89


วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 87

บทที่ 87

ขณะพวกเราเดินทางไปยังผู้ต้องสงสัยรายที่สอง ภาระยื่นมือมาทางผมและพูด “เอามา!

“เอาอะไร?”

สีหน้าท่าทางของเขาให้อารมณ์แบบอันธพาลขู่กรรโชกทรัพย์ “ตรา! เฮ้! เมื่อกี๊แกแอบอ้างเป็นอัศวินนะ! มันเป็นอาชญากรรม! อยากกินข้าวโอ๊ตไปตลอดชีวิตเหรอ?”

สำนวนกินข้าวโอ๊ตที่นี่ก็เหมือนกินข้าวคลุกถั่วในชาติก่อนของผม เพราะแม้แต่ในสลัมยังไม่กินข้าวโอ๊ตกัน แต่มันเป็นอาหารหลักในคุกหลวง

ผมเดาะลิ้น “ชิ เอาไป”

ภาระคำรามขณะรับตรา “กลับไปเจ้าโดนแน่”

ผมทำเสียงหึ “เอาสิ ข้าจะบอกว่าเจ้าสมรู้ร่วมคิด”

“...อะไรนะ?”

ผมมองภาระที่ทำหน้าอึ้ง และยิ้มอย่างผู้ชนะ “คิดดูสิ หัวหน้าอัศวินต้องเชื่อแน่ว่าข้าราชการอ่อนแออย่างข้าขโมยตราจากรองหัวหน้าอัศวินได้”

“เอ่อ นั่น-”

“ต่อให้เขาเชื่อ เจ้าลำบากแน่ที่ปล่อยให้ข้าราชการอ่อนแออย่างข้าขโมยตราไปได้”

ภาระจนคำพูด

“ถ้ายังไงก็ถูกลงโทษอยู่ดี เงียบไว้ไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเราไม่พูด ใครจะรู้? โอ๊ะ เจ้าของห้องปรุงยาคนเมื่อกี๊? ถ้าเราพูดเหมือนกัน ก็ฝังคำให้การนั้นได้ ฮุๆๆ” ผมรู้สึกเหมือนเป็นปีศาจลากเขาสู่ทางบาป แต่ช่างมันเถอะ

ภาระตะโกนด้วยความรู้สึกขัดแย้ง “ดูที่เจ้าทำสิ! ถ้าหมอนั่นร้องเรียน ข้าจะถูกลงโทษทางวินัย!

การร้องเรียนที่ภาระพูดถึงไม่ใช่การแอบอ้างแต่เป็นการบุกรุก มาคิดดูแล้วก็จริง เราพังประตู กล่าวหาเขาว่าค้ายาโดยไม่มีหลักฐาน จากนั้นค้นบ้านโดยที่เขาไม่ยินยอมและเจอหนังสือลับเข้าให้ ถ้าเป็นผม ผมก็จะร้องเรียน

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องของข้า” ผมยักไหล่ ภาระทำหน้าโกรธ กำหมัดแน่นแต่แล้วก็คลายออก

ถ้าเขาจะต่อยผมจริงๆ ผมจะได้ตะโกน “จะตีข้าเหรอ?” และ “ใครก็ได้!” น่าเสียดาย

ภาระตะโกนเหมือนเพิ่งรู้ “ไม่จริงน่า! เจ้ายังโกรธที่ข้าล้อเรื่องแผนที่เหรอ?!

ภาระมองผมด้วยความช็อก

“ฮ่าๆๆ! ไม่มีทาง” ผมหัวเราะและเตะประตูห้องปรุงยาของผู้ต้องสงสัยรายที่สอง

โครม!

เหมือนคราวที่แล้ว ประตูหลุดจากกรอบปลิวไป

“ออกมา!

“ดูสิ เจ้าโกรธ!

บอกว่าไม่ไง แหม ภาระไม่ค่อยเชื่อที่คนอื่นพูดเลย แต่เขามีลางสังหรณ์ดีอย่างกับนักสืบ ไม่ได้ช่วยเลย

ผมคว้าคอเสื้อของผู้ต้องสงสัยรายที่สอง ผู้กำลังหนีเหมือนรายแรก

“คุณดาเวนใช่ไหม?”

จู่ๆก็ถูกคว้าคอเสื้อก่อนจะทันได้พูด, ผู้ต้องสงสัยรายที่สองพยักหน้าอย่างลนลาน “ปล่อย ปล่อยมือได้ไหม?”

ผมเมินและพูด “มีรายงานว่าเจ้าผลิตและขายยาที่นี่ ถ้ายอมให้ค้นดีๆจะไม่มีความรุนแรง”

“อะไรวะ!” ผู้ต้องสงสัยรายที่สองหน้าซีด และภาระขมวดคิ้วเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้

ที่ผมออกตัวแรงกว่าครั้งแรกเพราะภาระเอาตราอัศวินกวางขาวคืนไป ผมขยิบตาให้ภาระ เขาถอนหายใจแล้วแสดงตราออกมา

ผมปล่อยคอเสื้อของผู้ต้องสงสัยรายที่สองและเดินเข้าไปข้างในอย่างไม่รอช้า

“ดะ เดี๋ยว!” ผู้ต้องสงสัยรายที่สองพยายามจับผม แต่ผมหลบอย่างง่ายดายและเริ่มค้นห้องปรุงยา

การจัดวางในห้องปรุงยาคล้ายกับของผู้ต้องสงสัยคนแรก นี่คงเป็นสไตล์ห้องปรุงยาที่เป็นที่นิยมในเมืองหลวง ถ้าต่อไปยูเรียอยากเรียนการเล่นแร่แปรธาตุอย่างจริงจัง ห้องแบบนี้คงมีประโยชน์ ถึงอย่างไรผมก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบตามเทรนด์

น่าเสียดาย ในห้องปรุงยานี้ มีสารสกัดจากหม้อข้าวหม้อแกงลิง แต่ไม่มีเลือดโทรลน้ำแข็ง น่าเศร้าที่ผู้ต้องสงสัยรายที่สองไม่ใช่คนร้าย ผมเริ่มลนลานเล็กน้อยว่ามาผิดทางหรือเปล่า แต่จะเปลี่ยนวิธีก็สายไปแล้ว

ผมมองหาช่องลับ พื้น เพดาน ผนัง เป็นสามแห่งที่มีพลังเวทรวมกันอย่างหยาบๆ ผมเดินไปยังช่องลับในผนัง ซึ่งมีพลังเวทรวมไว้มากที่สุด และฉีกกระดาษปิดผนังออก

“ไม่!” ผู้ต้องสงสัยรายที่สองตะโกน แต่ภาระขวางเขา

เปลือกนอกนี่คือการตรวจค้นยา ภาระมีสีหน้าไม่เต็มใจ แต่ไม่ว่าจะเพื่อผมหรือเพื่อจับอาชญากร เขาทำได้ดี

“ออกมานะ หนังสือโป๊!” ผมร่ายคาถาและสลายเวทมนตร์บนผนัง ผมเปิดประตูช่องลับ หวังว่าจะได้เห็นสวรรค์อีก

“นี่อะไร?” ช่องลับเต็มไปด้วยกระสอบใส่ผงสีขาว

“ไอ้เวรนี่ดันเป็นคนขายยาจริงๆ”

ผู้ต้องสงสัยรายที่สองถอยจากภาระเมื่อผมหยิบกระสอบใส่ยาออกมา

“ฮึ่ม! ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้ได้ยังไง แต่พลาดไปแล้วเถอะที่มากันแค่สองคน!” ผู้ต้องสงสัยรายที่สองใช้บทพูดตัวโกงทั่วไป และพวกอันธพาลก็ปีนขึ้นมาจากช่องลับที่พื้น

เมื่อถูกล้อม ภาระเข้ามายืนบังหน้าผมเป็นการปกป้องและชักดาบออกมา “เวร ข้าไม่น่ามาเกี่ยวข้องกับคนอย่างเจ้าเลย!

แม้จะดูเหมือนเขาเสียใจจริงๆ เจตนาปกป้องผมอย่างอัศวินก็ยังน่านับถือ

“ข้าต้องให้พวกเจ้าคายออกมาว่ารู้เรื่องนี้มาจากไหน”

ผู้ต้องสงสัยรายที่สองตะโกนอย่างมีชัย เห็นแล้วน่าหัวเราะดี

“พยายามอยู่ข้างหลังข้า กับคนเยอะขนาดนี้ข้าไม่แน่ใจว่าจะปกป้องเจ้าได้” ผมถอนหายใจและพูดต่อ “พอตื่นมาเรื่องก็จบแล้ว”

“อะไรนะ?”

ผมแอบโชว์หน้ากากกันแก๊สพิษให้ภาระเห็นเมื่อเขาหันมา จากนั้นเอาระเบิดแก๊สสลบที่ผมทำตอนอยู่ในหมู่บ้านจากกระเป๋ามิติและเขย่าให้ดู

“เจ้า! เดี๋ยวก่อน!” ทันทีที่ภาระรู้สึกสังหรณ์ร้ายและจะพูดอะไรออกมา ผมโยนระเบิดใส่พื้น

“ลองชิมระเบิดของข้าดู!

ระเบิดแก๊สสลบชนพื้นและส่งเสียงบึ้มเบาๆ แล้วปล่อยแก๊สสลบมา

“อะไร นั่นอะไร?!” พวกอันธพาลตื่นตระหนก แต่สายไปแล้ว

แก๊สลอยเต็มห้องในทันที ทำให้ทุกคนในห้องปรุงยาสลบไปยกเว้นผม

“ดี ไปได้สวย”

ที่จริงผมทำระเบิดแก๊สสลบเพื่อใช้ตอนหนีออกจากบ้าน แต่พอทำเสร็จถึงเพิ่งรู้ว่าถ้าจะหนีได้ผมต้องไปข้างนอก และระเบิดแบบนี้ใช้ได้ดีในที่ปิด ใช้ไม่ดีนักในที่เปิด ยิ่งกว่านั้น แก๊สสลบต้องถูกสูดหายใจเข้าไปจึงจะได้ผล แต่ดูจากความจุของปอดของพวกคนในหมู่บ้าน มันเปล่าประโยชน์ จริงๆนะ ผมไม่รู้ว่าทำไปทำไม

นอกจากระเบิดแก๊สสลบ ผมมีระเบิดแสง,แก๊สน้ำตา,และระเบิดควันอีกหลายแบบ แต่ถ้าคิดสักนิด ผมคงรู้ว่าของพวกนั้นไม่ช่วยในการหนี สมัยนั้นอาจเพราะยังเด็ก ผมจึงสร้างของไร้ประโยชน์ขึ้นมามากมาย

ผมเอาเชือกที่ซื้อจากกรันเวลมามัดแขนขาของพวกค้ายา ผมใช้เวทมนตร์เพิ่มความเหนียวของเชือกเผื่อไว้ และเอาแผนที่จากภาระที่กำลังนอนน้ำลายยืด

“ขอยืมก่อนนะ”

อา ในที่สุดก็ได้ทิ้งภาระนี้สักที เพื่อให้แน่ใจ เอาแผนที่ไปด้วยดีกว่าเพื่อไม่ให้เขาตาม ผมเลือกระเบิดแก๊สสลบเพราะอยากซ่อนพลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกอย่าง มันทำให้ทิ้งภาระได้ง่ายกว่าด้วย

เมื่อจับคนร้ายได้ ผมต้องสอบสวนเขา ถ้าเขาเกิดจะรักความถูกต้องขึ้นมาระหว่างพวกเรากำลังรีดไถข้อมูลคงน่ารำคาญ ผมออกจากห้องปรุงยาก่อนจะมีคนร้องเรียนและพวกอัศวินมา

***

หัวหน้าหน่วยอัศวินกวางขาวกำลังเขียนรายงานส่งให้ผู้ใหญ่เกี่ยวกับการวางยาพิษเพลแกรนท์ แม้หัวหน้าอัศวินจะเป็นตำแหน่งสูงสุดในการรักษาความปลอดภัยของเมืองหลวง เพลแกรนท์เป็นสมาชิกอาวุโสขององค์กรข่าวลับของนายกรัฐมนตรีอาร์คันทา และขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี พูดอีกอย่างคือ รายงานที่เขาเขียนอยู่นี้เขียนให้อาร์คันทา

หัวหน้าอัศวินหยุดมือและถอนหายใจ “ทำไมข้าปล่อยเขา?”

เขาหมายถึงเดน ชายที่ถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ เมื่อเดนบอกว่าเขารู้จักองค์กรข่าวแม่ใหญ่ หัวหน้าอัศวินก็รู้สึกเชื่อถือขึ้นมา จึงให้คนสนิทที่เขาเชื่อใจที่สุดตามไป เขานับถือความฉลาดพูดของเดน เพราะปกติเขาไม่มีทางอนุญาต

ในขณะเดียวกัน เขาเริ่มกังวลว่าจะเขียนอย่างไรในรายงาน หัวหน้าอัศวินไม่รู้ตัว แต่ที่เขาเชื่อใจเดนเพราะถูกเวทมนตร์สะกดจิต ตอนนี้ไม่เหลือเวทมนตร์แม้แต่เศษเสี้ยวไว้เป็นหลักฐาน แต่ความเชื่อใจยังคงอยู่

ความรู้สึกขอบคุณที่ช่วยชีวิตเพลแกรนท์เป็นตัวขยายความรู้สึกเชื่อใจ แต่มันจะจางไปในอีกไม่กี่วัน แต่เมื่อเขาจะเขียนถึงเดน เขาไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไร

ขณะที่เขาถอนหายใจอีก ลูกน้องก็เข้ามาตะโกนเสียงร้อนรน “หัวหน้า! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!

“มีอะไร?”

“มีควันลอยในเมืองหลวง น่าสงสัยว่าเป็นแก๊สพิษ!

“จัดการกันยังไงแล้ว?” แม้เสียงของอัศวินจะสงบเหมือนปกติ ใจเขาไม่สงบเท่า

“คนที่สูดเข้าไปแค่นิดเดียวจะสลบทุกคน จึงจัดการอะไรไม่ได้ตอนนี้ แต่มีพยานบอกว่าเห็นรองหัวหน้าเข้าไปที่นั่นก่อนเกิดควัน”

“อะไรนะ! ที่ไหน?” หัวหน้าอัศวินรีบถาม

ลูกน้องของเขารายงานว่าควันเกิดที่ห้องปรุงยาของดาเวน ทันทีที่ได้ยิน หัวหน้าอัศวินรีบตรงไปยังที่เกิดเหตุและเริ่มปวดศีรษะขึ้นมา คนที่เขาให้ตามเดนไปจับคนร้ายได้ไปที่ห้องปรุงยานั้น

ดังนั้น คนในห้องปรุงยาถ้าไม่เป็นคนร้ายก็ผู้ต้องสงสัย พูดอีกอย่างคือแก๊สน่าสงสัยอาจเป็นการก่อการร้ายมากกว่าอุบัติเหตุในห้องปรุงยา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน เขาหวังว่ารองหัวหน้าอัศวินจะปลอดภัย

 

 

สารบัญ                                                บทที่ 88

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2566

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 86

 บทที่ – 86

ขณะเดิน ผมเอาแผนที่เมืองหลวงจากในเสื้อคลุมออกมาและวาดเส้นทางเคลื่อนไหวของหัวหน้าเพลแกรนท์ทับลงไป

“รูปเขียนเล่นอะไร?” รองหัวหน้าอัศวินถาม แรงใจในการเมินภาระน่าหนวกหูของผมใกล้ถึงขีดจำกัด

“มันคือแผนที่เมืองหลวง”

ผมมองภาระเหมือนจะถามว่า ‘แค่นี้ก็ไม่รู้เหรอ?’ แต่ภาระหัวเราะใส่ผมเสียงดัง ‘ปู้ด’

“นั่นแผนที่? เด็กยังวาดได้ดีกว่านั้นเลย”

กล้าดียังไงถึงพ่นคำเหลวไหลขนาดนั้นออกมา? แผนที่นี้ลอกอย่างบรรจงจากอันที่ซื้อมาจากร้านขายข่าวแม่ใหญ่นะ นึกว่าตัวเองมีชีวิตเหลือพอเหรอ?

เห็นแผนที่หน้าตาแบบนี้ แต่ผมคิดอย่างภูมิใจว่าฝีมือผมดีกว่าลุงบลัดดี้ ชายผู้เป็นนักวาดที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน กล้าดียังไงมาทำลายศักดิ์ศรีผม? ยิ่งเป็นแค่ตัวถ่วงด้วย

“หุ โกรธเหรอ? แต่มันเกินไปนะ แผนที่อย่างน้อยควรดูเหมือนแบบนี้” พูดแล้วภาระก็ดึงกระดาษออกจากอก

ถึงผมจะโกรธ แต่มองแวบเดียวก็บอกได้ว่ามันเป็นแผนที่ที่ดูดีกว่าอันที่ผมวาด เทียบ ถึงจะไม่เท่ากับอันที่ผมซื้อจากร้านขายข่าว แต่มันมีรายละเอียดเช่นถนนสายเล็ก มันเป็นแผนที่ใช้ในการทหาร

ผมฉกแผนที่จากมือภาระ เขาช็อกไปอย่างน่าดูชม คงไม่คิดว่ามันจะถูกแย่งไป

“เฮ้ นั่นให้เฉพาะระดับผู้จัดการ!” ภาระพยายามแย่งแผนที่คืน แต่แน่นอน มันเป็นไปไม่ได้

ชายคนนี้อ่อนแอกว่าพี่สาวคนโตของผมผู้อ่อนแอที่สุดในหมู่บ้าน คิดจะแย่งแผนที่นั้นเร็วไปร้อยปี อย่างน้อยเขาต้องมีแรงเท่าพี่ชายใหญ่ของผมหรือเร็วเท่าพี่ชายรองถึงจะทำได้

ยิ่งไปกว่านั้น แผนที่นี้ต้องเป็นยุทโธปกรณ์ของกองทัพจริงๆ ถ้าผมบอกหัวหน้าอัศวินว่าผมเอาแผนที่ของรองหัวหน้าอัศวินไป แม้จะไม่ถึงขั้นถูกขังแต่น่าจะพอให้โดนลดขั้น ดังนั้นมาใช้มันอย่างขอบคุณดีกว่า ผมวาดเส้นทางเคลื่อนไหวของเพลแกรนท์ทับลงไป

“อ๊า! ข้าบอกแล้วไงว่ามันเป็นของกองทัพ! เวรเอ๊ย! ทำยุทโธปกรณ์เสียหายหรือสูญหายจะถูกลงโทษให้เดินทัพ 40 กิโลเมตรแบบไม่ใช้เวทมนตร์นะ!”

เหมือนมีเสียงกรีดร้องดังจากที่ไหน แต่ผมคงหูฝาด ถึงไม่ฝาดก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ยุทโธปกรณ์เลอะด้วยหมึกดำแล้ว ฮ่าๆๆ! รู้สึกดีมาก! เหมือนได้เดินบนหิมะที่ไม่เคยถูกใครเหยียบมาก่อน!

เพื่อเป็นข้อมูล การเดินทัพของจักรวรรดิใส่เกราะอาวุธครบ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนบอกมาแบบนี้ตอนสอนการเก็บยุทโธปกรณ์ในวิชาการใช้อาวุธ

ผมลอกเส้นทางเคลื่อนไหวของหัวหน้าเพลแกรนท์แล้ววาดวงกลมรัศมี 500 เมตรรอบมัน

“อ๊า! ไม่นะ!”

วาดเสร็จ ผมทิ้งภาระที่หัวเสียมากไว้ข้างหลังและอ่านรายชื่อคนที่ใช้ฮอร์นได้ วงกลมคือบริเวณที่พวกเขาสามารถพาฮอร์นไปได้ เวทที่ใช้ผนึกฤทธิ์ของฮอร์นนั้นคงอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น คงเป็นไปไม่ได้ถ้าจะใช้เวทก่อนแล้วค่อยขนส่งฮอร์นออกมา 

ฮอร์นมีพิษสูงมาก ถ้าไม่ใช่นักเล่นแร่แปรธาตุระดับผู้เฒ่าเมอร์ปา หรือคนที่เคลื่อนไหวได้เร็วเท่าชาติพันธุ์นักสู้ เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่นอกวงกลม ส่วนเรื่องเวลา รถม้าช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะถนนของเมืองหลวงไม่ใช่ถนนลาดยางแต่เป็นหินขรุขระ

ถ้าเวทที่ร่ายบนฮอร์นหลุดเพราะรถม้าโคลงเคลงก็ยิ่งแย่ เวทพิเศษนี้ไม่ยอมให้ขวดบรรจุสั่น

ไหนดูหน่อย ในสามสิบหกคนที่เข้าข่าย มียี่สิบคนเป็นนักเวทหลวงและอาศัยในพระราชฐานชั้นนอก สองคนหายสาบสูญและถือว่าเสียชีวิตไปแล้ว สี่คนออกนอกเมืองไปหาวัตถุดิบสำหรับทำยา ที่เหลือสิบคน เจ็ดคนอยู่ไกลเกินไป ดังนั้น ผู้ต้องสงสัยจึงเหลือสามคน 

ถ้าผมรู้ว่าหัวหน้าเพลแกรนท์กินยาพิษเข้าไปที่ไหนก็รู้ตัวคนร้ายทันที แต่โชคร้ายที่ผมไม่มีอาเจียนของเขามาตรวจสอบ 

น่าเสียดาย แต่ต่อให้มี ผมว่าระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจสอบกับระยะเวลาไปหาเรื่องผู้ต้องสงสัยสามคนที่ห้องปรุงยาของพวกเขาก็เท่ากัน

ผมส่งแผนที่ที่เขียนชื่อและวงที่อยู่ของผู้ต้องสงสัยสามคนเอาไว้ให้ภาระ ภาระหัวเสียอีกรอบเมื่อเห็นแผนที่เปรอะเปื้อน

“เฮ้ ไม่ใช่เวลาลนลานนะ เราต้องรีบไปอัด แฮ่ม! ไปจับตัวคนร้ายกันเถอะ”

พูดถึงยุทโธปกรณ์ พวกมันเป็นของที่ต่อให้ตัดไปก็ยังโผล่มาได้อยู่ดี เป็นรองหัวหน้าอัศวินแต่มาร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ ถือว่าจิตใจอ่อนแออย่างหาที่เปรียบไม่ได้

“ฮึ่ม! หัวหน้าบอกจะฆ่าข้าถ้าทำของกองทัพพังอีก!”

โอ้ แบบนั้นก็ควรลนลานจริงๆ หัวหน้าอัศวินดูเป็นคนเวลาโกรธแล้วน่ากลัว

ผมยิ้มและยื่นมือให้ “คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็แล้วกัน”

เหมือนโบราณว่าไว้ ยอมแพ้สบายกว่า ถ้าเขาไม่ล้อแผนที่ของผมก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก แต่ต้องขอบคุณเขา ผมจึงไม่ต้องเทียบแผนที่ในหัวกับแผนที่ที่ผมวาด ซึ่งทำให้สะดวกขึ้นเยอะ

ภาระไม่จับมือที่ผมยื่นให้แต่ดูยิ่งหมดหวังกว่าเดิม มองเขาแล้วผมก็คิด : ตัวถ่วงจริงๆ

 “ลุกขึ้นสิท่านผู้กล้า!” จำการควบคุมแรงที่ฝึกมาจากตอนจับหัวอัลฟอนโซ ผมเตะก้นภาระเบาๆ

“แอ๊ก!”

ในที่สุดผมก็มั่นใจเมื่อเห็นภาระกุมก้นของเขา ผมคุมแรงตัวเองได้แล้ว! เขาไม่ตาย และไม่รู้สึกว่ากระดูกหัก ผมแค่รู้สึกว่าเตะเขาได้ดี

“ไปกันเถอะ!” ผมพ่นลมทางจมูกอย่างภูมิใจและลากคอภาระ

รีบไปทรมานพวกผู้ต้องสงสัยกันเถอะ!

***

ผมถีบประตูห้องปรุงยา ซึ่งใช้เป็นที่พักของผู้ต้องสงสัยคนแรก และตะโกน “ออกมา!”

ตึง!

อาจเพราะแรงถีบ ประตูเปิดออกอย่างง่ายดายและปลิวไป

“ประตูเปิดแล้ว เข้าไปกันเถอะ” ผมพูด

“เฮ้ แบบนี้คนเขาไม่เรียกว่าเปิดนะ”

เมินเด็กขี้แยที่ยังลูบก้นตัวเองไม่เลิก ผมเข้าไปในห้องปรุงยา เมื่อเข้ามาในบ้าน ชายคนหนึ่งที่คงจะเป็นเจ้าของรีบวิ่งออกมา

“อะไร นี่มันอะไรกัน?” เขาตกใจและมองสลับระหว่างประตูกับพวกเรา ก่อนจะชี้ไปที่ภาระข้างตัวผม

“เจ้าทำอะไร! ทำไมมาพังประตูบ้านคนอื่น!”

จู่ๆก็ถูกกล่าวหา ภาระมองผมด้วยน้ำตาคลอ ระหว่างคนผอมและดูไร้เดียงสาอย่างผม คนร่างบึกเหมือนอันธพาลอย่างเขาน่าสงสัยกว่าจริงๆ 

ผมพยักหน้า “ใช่แล้ว! อยู่ดีๆก็พังประตูมันเกินไป!”

“ไม่ใช่! เจ้า...!” ภาระสำลักคำพูดตัวเอง

ผมยิ้มให้ภาระและเข้าใกล้ชายที่เหมือนจะเป็นเจ้าของบ้าน “เจ้า ใช่คุณคาปอลหรือเปล่า?”

“ใช่ ข้าคาปอล แต่...” 

ผมแสดงตราทำจากแผ่นโลหะรูปสัญลักษณ์ของอัศวินกวางขาว “เรามาจากที่นี่”

ตราที่เหมือนตราตำรวจนี้ เป็นของภาระข้างหลังผม

“หา? หา?!” เมื่อผมแสดงตรา เขาตื่นตระหนกและล้วงกระเป๋า แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เพราะตราของเขาอยู่ในมือผม

ตอนผมคืนแผนที่ ผมแอบล้วงตราของเขาออกมา เห็นเขาเพิ่งจะรู้ตัวตอนนี้ ผมไม่ค่อยแน่ใจว่ามีอัศวินทื่อขนาดนี้อยู่เมืองหลวงจะปลอดภัยหรือเปล่า

“พวกเจ้าจากกองอัศวินกวางขาวมาที่นี่เพื่ออะไร?” นักเล่นแร่มองพวกเราอย่างค่อนข้างระแวง

“มีรายงานว่าห้องปรุงยาของเจ้าผลิตและจำหน่ายยาผิดกฎหมาย ยอมให้ค้นเสียดีๆ จะได้ไม่ต้องใช้ความรุนแรง” ผมพูด

ผู้ต้องสงสัยคนแรกและภาระต่างมองผมด้วยความช็อก ผมเข้าใจ แต่เรื่องมันยุ่งยากเกินกว่าจะอธิบายและมันใช้เวลานาน พูดตรงๆ มันน่ารำคาญ

“กล่าวหากันชัดๆ! ห้องปรุงยาของข้าไม่มีความผิด!”

ผมตบบ่าผู้ต้องสงสัยที่ตะโกนหน้าดำหน้าแดง “ไว้พวกเราเห็นข้างในแล้วก็รู้เอง รองหัวหน้า ค้น!”

ภาระมองผมเหมือนเรื่องมันบ้าไปกันใหญ่แล้วและกระซิบ “เฮ้ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าการค้ายาจะถูกลงโทษยังไง ขู่เขาแบบนี้?”

“แน่นอนข้ารู้ ที่ศูนย์ฝึก ข้าเป็นที่หนึ่งในวิชากฎหมายจักรวรรดิ ผู้กระทำความผิดครั้งแรกต้องโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 10 ปีหรือประหารชีวิต กระทำความผิดซ้ำจำคุก 30 ปีหรือประหารชีวิต”

เพื่อเป็นข้อมูล กฎหมายนี้สำหรับชนชั้นสูง คนธรรมดามีแต่ประหารชีวิต ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกหรือครั้งที่สอง จักรวรรดิเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กฎหมายสำหรับคนธรรมดากับชนชั้นสูงจึงต่างกัน สำหรับความผิดค้ายา คนขายถูกลงโทษเหมือนกัน ยกเว้นชนชั้นสูงที่มีอำนาจมาก

พูดอีกอย่างคือ การก่อกบฏที่นี่หมายถึงถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขายยาและถูกส่งไปแท่นประหาร ในประเทศโบราณเช่นนี้ พิจารณาตัดสินโทษโดยเชื่อก่อนว่าผู้ต้องสงสัยเป็นผู้กระทำผิด ไม่ใช่เชื่อก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ พอมาคิดดูแล้ว ผมดีใจจริงๆที่ช่วยหัวหน้าเพลแกรนท์ไว้ได้

ถ้าเพลแกรนท์ตาย ผมจะออกมาหาคนร้ายเองไม่ได้ แต่ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในคุก ทางเลือกอื่นคือทิ้งตำแหน่งผู้รับการฝึกเป็นข้าราชการและหนีไป

“ข้าต้องทำอย่างนี้เพื่อให้เขาร่วมมือง่ายขึ้น” ผมยิ้มสดใส

ภาระทำหน้าเหนื่อยใจ แต่ถ้าผู้ต้องสงสัยไม่ใช่คนที่ผมตามหาก็ไม่เป็นอะไรหรอก ยาคงไม่โผล่ออกมาตอนค้นจริงๆหรอก ใช่ไหม?

ผมเข้าไปในห้องปรุงยาและสังเกตการตกแต่งภายใน กลางห้องมีหม้อใหญ่หม้อหนึ่ง ถัดจากหม้อเป็นโต๊ะตัวหนึ่ง มีสารต่างๆวางอยู่

“ไหนดูซิ” มองคร่าวๆแล้ว ผมเห็นสารที่ใช้ในการระงับฤทธิ์ของฮอร์น รวมถึงสารที่ไม่ใช่ด้วย

ผมเขย่งเท้าดูข้างในหม้อ มันว่างเปล่า แต่มีกลิ่นตกค้าง ผมตั้งสมาธิไปที่กลิ่น

“หญ้าแสงจันทร์, สารสกัดจากคางคกจันทร์, หญ้าเอนดรา, กลีบดอกแมนดราโกกลีบที่หก...”

ผมท่องชื่อสมุนไพรจากกลิ่นในหม้อ เจ้าของห้องปรุงยามองผมอย่างประหลาดใจ การระบุกลิ่นแบบนี้เป็นเรื่องปกติหลังจากถูกฝึกโดยผู้เฒ่าเมอร์ปา

“...เลือดสุนัขนรก, หืม ไม่รู้, ไม่รู้, ผงภูติ, ไม่รู้...”

สิ่งที่ผมไม่รู้คือมันไร้กลิ่น หรือผ่านไปสามวันแล้วและกลิ่นจางไปจนเกือบหมด

ในการผนึกพิษของฮอร์น น้ำสกัดเข้มข้นจากหม้อข้าวหม้อแกงลิงยักษ์กับเลือดโทรลน้ำแข็งเป็นสิ่งจำเป็น แต่ห้องปรุงยานี้ไม่มีกลิ่นของพวกมัน

ต่อให้พวกมันถูกเก็บไว้ในตู้เซฟหรือห้องลับ ถ้าพวกเขาใช้มันผนึกฮอร์นวันนี้ย่อมไม่มีทางไม่มีกลิ่น

โชคไม่ดี ผู้ต้องสงสัยคนแรกไม่ใช่คนร้าย เพื่อเป็นการเผื่อเอาไว้ก่อน ผมตัดสินใจเปิดช่องลับใต้ดินที่ถูกป้องกันด้วยเวทมนตร์ เวทมนตร์ที่ทับถูกสร้างขึ้นอย่างลวกๆเหมือนจะบอกว่า “ข้าอยู่นี่” แบบนั้นแล้วจะไม่ดูสักหน่อยก็เสียมารยาท

“ท่านรองหัวหน้า ช่วยดันหม้อนี่ออกให้ได้ไหม?”

“ทำไม?”

“ทำตามที่ข้าพูดเถอะ ท่านตามข้ามาเพื่อทำหน้าที่ออกแรงไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่ใช่ ข้ามาเฝ้า...”

“ชู่ว!” ผมเบิกตากว้าง

ภาระแตะหม้อและบ่นงึมงำ “ทำไมต้องเป็นข้าด้วย?” 

เจ้าของห้องปรุงยาร้อนรนขึ้นมาทันทีและห้ามภาระ “ขอโทษนะ! ตำแหน่งของหม้อสำคัญและมีความหมายทางเวท-”

“ไม่มีหรอก ผลักเลย” ผมตัดบทและเร่งภาระให้รีบผลัก

คิดว่ากำลังหลอกใครอยู่? หลังจากผลักหม้อแล้ว ประตูเล็กๆก็เห็นอยู่ข้างใต้

“เปิดกันเถอะ”

ผมหยิบเหล็กเสียบที่อยู่บนพื้นใกล้ๆและแทงใส่รอยแยกตรงประตู ผมขยับเหล็กเสียบไปรอบๆเพื่อทำให้คริสตัลที่เป็นใจกลางของเวทมนตร์แตก เวทมนตร์สลายเพราะเหล็กเสียบเหรอ... จะด้อยคุณภาพไปถึงไหน

ประตูยกขึ้นเมื่อเวทมนตร์สลายและสิ่งที่อยู่ข้างในคือสวรรค์

“...รสนิยมรุนแรงนะ”

หนังสือผู้ใหญ่หลากหลายเล่มภายในน่าสนใจขนาดทำให้ผมอยากอ่านสักรอบ

เจ้าของห้องปรุงยาตะโกนหน้าแดงก่ำ “ออกไป...! ออกไปเดี๋ยวนี้!”

ผมกับภาระถูกไล่ออกจากห้องปรุงยาไปอย่างนั้น อยากอ่านสักหน่อยจัง น่าเสียดาย




สารบัญ                                                        บทที่ 87

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2566

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 85

 บทที่ 85

เมื่อผมรับเอกสารที่ขอและยืนขึ้น คนขายข่าวถาม “โอ้ ขอถามได้ไหม”

“อะไร?”

“เจ้าได้รหัสของร้านขายข่าวแม่ใหญ่มายังไง?”

ผมลนลานเมื่อได้ยินคำถาม รหัสนี้ได้มาตอนผมปลอมตัวในกรันเวลระหว่างเดินทางมาเมืองหลวง ถ้ามันเป็นรหัสเฉพาะ เธออาจเชื่อมโยงผมกับชายวัยกลางคนตอนนั้น

ถึงอย่างนั้น ถ้ามองผ่านๆก็ไม่เหมือนจะมีปัญหา ผมตอนปลอมตัวกับผมตอนนี้ดูต่างกันมาก เธอไม่มีทางคิดว่าจะเป็นคนเดียวกัน แต่สำหรับคนที่ทำงานกับข้อมูล เบาะแสนี้อาจนำไปใช้สรุปว่าผมเป็นเดนเบอร์ก

ตอนนั้นผมเดินแบกกระเป๋าหนัก 500 กิโลกรัมอย่างสบาย เรื่องนั้นเรื่องเดียวพวกเขาก็อาจสรุปได้แล้วว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของชาติพันธุ์นักสู้ รหัสนี้อาจเชื่อมโยงผมกับชายวัยกลางคนที่มีแผลที่หน้าและนำไปสู่การค้นพบตัวจริงของผม ในที่สุด ความระแวงของผมก็นำปัญหามาจนได้

ไม่เหมือนในใจ ผมตอบด้วยเสียงไม่สนใจ “คำถามนี้เจ้าจะจ่ายเท่าไหร่?”

“ขอโทษ?”

“นี่เป็นที่ขายข้อมูล เพราะฉะนั้นข้าก็ขายมันได้เหมือนกัน ใช่ไหม?”

คนขายข่าวไม่มีปฏิกิริยา เพราะผ้าคลุมหน้าผมจึงบอกไม่ได้ว่าเธออึ้งหรือกำลังสนุก

“ก็จริง เจ้าจะขายเท่าไหร่?” เธอถาม

ผมมองไปที่เหรียญทองสองเหรียญตรงหน้าเธอ

“สองเหรียญทอง? แพงจังนะ”

“จะซื้อไหม?”

คนขายข่าวหัวเราะลั่น “ฮ่าๆ ไม่ ถึงอย่างไรเราก็เป็นร้านขายข่าว เราจะหาคำตอบเอง”

“ก็ลองดู” ผมส่งยิ้มบางๆขณะเดินออกจากห้อง ภาระเดินตามผม

บ้าจริง ผมต้องระวังตัวไปสักพัก

***

เมื่อลูกค้าออกจากห้อง มิลเปียถอนหายใจอย่างโล่งอกและปลดผ้าคลุมหน้า “เฮ้อ ข้าไม่ถูกจับได้”

ไม่รู้ว่าเดนจะบุกเข้ามา มิลเปียลดเสียงให้ต่ำและพยายามอำพรางตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เธอไปหอพักของคุณนายอาร์ซิลลาบ่อยๆเพื่อหาข้อมูลจากยูเรียโดยใช้ฐานะเพื่อนสนิท ที่นั่นบางครั้งเธอก็เจอเดน ซึ่งทำให้เธอประหม่ามาก

เดน เป็นคนหัวไวอย่างประหลาดและตัดสินสถานการณ์ได้เร็ว เธอจึงเชื่อว่าจะถูกจับได้ ถ้าเธอถูกจับได้ที่นี่ มิตรภาพระหว่างเธอกับยูเรียอาจไม่เป็นอะไร แต่กับอารีเลียคงจบสิ้น

ข้อมูลเกี่ยวกับราชวงศ์ได้มายาก ถ้าเธอถูกจับได้ ผลจะไม่ใช่แค่ขาดแหล่งข้อมูล การที่เธอเข้าหาเจ้าหญิงนั้นมากพอจะถูกข้อหากบฏ ทำให้เธอต้องหนีออกจากเมืองหลวง

มันจะกลายเป็นการลดตำแหน่งจริงๆถ้าต้องไปต่างเมืองหลังจากได้เลื่อนตำแหน่งแบบนี้ ตำแหน่งในตอนนี้มีค่ามากสำหรับมิลเปียเพราะเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เธอถูกลดตำแหน่งไปเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามและชีวิตต้องเสี่ยงอันตราย

ขณะมิลเปียจินตนาการถึงความเป็นไปได้ต่างๆและเริ่มเหงื่อตก ภาพขนาดใหญ่ที่แขวนบนผนังด้านขวาก็เลื่อนขึ้น และแม่ใหญ่ ผู้นำขององค์กรข้อมูลแม่ใหญ่ก็เดินออกมาอย่างระวัง

“ทำได้ดี”

มิลเปียยืนขึ้นและก้มหัวรับคำชมของแม่ใหญ่ “ไม่หรอกค่ะ มันเป็นงานของข้า”

“แหม ข้าบอกแล้วนะว่าไม่ต้องสุภาพนัก” แม่ใหญ่ยิ้มและนั่งตรงข้ามมิลเปีย มิลเปียนั่งตามและเริ่มต้มน้ำด้วยการส่งพลังเวทเข้าไปในกาต้มน้ำเวทมนตร์บนโต๊ะ

“แล้ว เจ้าคิดว่ายังไง?”

แม้แม่ใหญ่จะถามอย่างกะทันหัน แต่มิลเปียไม่ตื่นตระหนกและเข้าใจคำถาม “ข้าคิดว่าเขาเป็นผู้สืบทอดของเพลแกรนท์ วอน โบโลญนีโอ สายสืบที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของจักรวรรดิ์”

มิลเปียรู้ว่าคำถามของแม่ใหญ่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเดน เพราะเขามากับรองหัวหน้าหน่วยอัศวินกวางขาว ความเข้าใจของเธอไม่ผิด ที่จริงแล้วแม่ใหญ่ถามว่าเธอคิดอย่างไรกับเดน

“เหตุผลที่เจ้าคิดอย่างนั้นคือ?”

“มีสามข้อที่ทำให้ข้าเชื่ออย่างนั้นค่ะ” มิลเปียพูดพลางชงชา

แม่ใหญ่ถามพลางรับน้ำชา “ขอฟังหน่อยสิ”

“ค่ะ ข้อแรก เขาถูกจับเพราะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่า ‘วางยาพิษข้าราชการ’ แต่ถูกปล่อยตัวภายในไม่กี่ชั่วโมง ข้าคิดว่าเพราะพวกเขาเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนร้าย”

แม่ใหญ่พยักหน้าช้าๆ “และ?”

“และเขาร่วมทางมากับอัศวินคนหนึ่ง อัศวินคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจักรวรรดิ เพิ่มจากทำงานเป็นรองหัวหน้าหน่วยอัศวินกวางขาว ถ้าต้องการจับตามองเขา แค่อัศวินธรรมดาก็พอแล้ว ดูจากการใช้เจ้าหน้าที่ระดับสูง ข้าตัดสินว่าไม่ใช่แค่เพื่อการจับตามองแต่เพื่อปกป้องเขาจากศัตรูของเพลแกรนท์, นายกรัฐมนตรี, หรือจักรพรรดิ”

แม่ใหญ่ดื่มน้ำชาช้าๆ รอเหตุผลข้อสุดท้ายของมิลเปีย

มิลเปียพูดอย่างจริงจัง “สุดท้าย เขารู้ว่าเพลแกรนท์มาซื้อข้อมูลเมื่อคืน เราสรุปแล้วว่าเพลแกรนท์ไม่ใช่คนที่จะเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับงาน ไม่ว่าเขาจะสนิทกับคนนั้นแค่ไหน แปลว่าเขาไม่ได้ไม่เกี่ยวข้องกับงานของเพลแกรนท์ เมื่อรวมกับอายุและจังหวะเวลาที่เขาถูกส่งไปฝึกงานกับเพลแกรนท์ เราสรุปว่าเขาเป็นผู้สืบทอดหรืออย่างน้อยก็เป็นศิษย์ของเขา”

หลังการอธิบายยาว มิลเปียดื่มน้ำชาให้หายคอแห้งและพูดต่อ “แต่ มีอย่างหนึ่งที่รบกวนใจข้า”

“อะไร?” แม่ใหญ่มองมิลเปียเหมือนกำลังประเมินเธอ

มิลเปียรู้สึกกลัวเล็กน้อยแต่พูดถึงสิ่งที่เธอสงสัยออกมา “เขาใช้รหัสติดต่อธรรมดา ไม่ใช่รหัสที่ตกลงกับราชวงศ์หรือนายกรัฐมนตรีอาคันทา”

ตรงข้ามกับที่เดนกังวล มิลเปียให้รหัสติดต่อแบบปกติกับเขา นั่นเพราะพวกเขาคิดว่ารหัสเฉพาะจะทำให้องค์กรของชายวัยกลางคนระวังตัวขึ้นมา นั่นเป็นเรื่องไม่พึงประสงค์เนื่องจากพลังในการรวบรวมข้อมูลมหาศาลที่พวกเขาเชื่อว่าองค์กรครอบครองเอาไว้

เดนเจอองค์กรข้อมูลแม่ใหญ่โดยบังเอิญ เขาไม่มีทางรู้ว่ารหัสที่ได้มาเป็นรหัสพิเศษหรือปกติ แต่มิลเปียไม่คิดเช่นนั้น เธอคิดว่าอีกฝ่ายมาจากองค์กรขนาดใหญ่ เพราะเห็นเขาเดินเข้ามาในฐานสำคัญที่สุดขององค์กรข้อมูลแม่ใหญ่อย่างมั่นใจ และซื้อข้อมูลไปจำนวนมหาศาล

มิลเปียสรุปว่าถ้าองค์กรรู้ว่าฐานขององค์กรข้อมูลแม่ใหญ่ที่สำคัญและลับที่สุดอยู่ที่ไหน เขาย่อมรู้รหัสติดต่อแบบปกติ

ด้วยเหตุนั้น ถ้ามิลเปียให้รหัสที่ต่างจากปกติโดยไม่แจ้งก่อน อีกฝ่ายจะคิดอย่างไร? มิลเปียเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องระวังตัว

สิ่งสำคัญสำหรับองค์กรข้อมูลคือการไม่เป็นศัตรูกับกลุ่มใด แม้พวกเขาจะถูกโจมตีถ้าเผยจุดอ่อนออกมา พวกเขาต้องเลี่ยงการสร้างศัตรูแบบไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ แม้องค์กรข้อมูลแม่ใหญ่จะมีความตื่นตัว รอบคอบ ระวังตัว แต่ศัตรูอาจไม่ใช่ นี่เป็นกฎการอยู่รอดและการทำธุรกิจขององค์กรข้อมูลแม่ใหญ่

“ข้าคิดว่าเพลแกรนท์ปิดกั้นเขาไม่ให้เข้าใกล้ ‘พิจิก’ ที่เขาไล่ตามอยู่ มันสมเหตุสมผลถ้าดูจากการตายของเด็กฝึกงานคนก่อนของเขาที่สร้างแผลใจให้เขาจนทำให้เขาถอนตัวจากแนวหน้า เพลแกรนท์คงไม่บอกเขาถึงวิธีติดต่อกับเรา แสดงว่าเขาหาวิธีนี้เจอด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้รหัสที่ตกลงกันไว้”

มิลเปียให้คำตอบที่เป็นไปได้กับคำถามของเธอและพูดต่อ “ดังนั้นข้าจึงอยากตรวจสอบว่าเขาหาวิธีติดต่อเราเจอได้ยังไง”

ที่มิลเปียพูดอย่างนั้นเป็นเรื่องธรรมดา รหัสติดต่อขององค์กรข้อมูลแม่ใหญ่เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด จะบอกว่าเป็นเส้นชีวิตของพวกเขาก็ไม่เกินไป การที่เดนรู้วิธีติดต่อองค์กรข้อมูลแม่ใหญ่หมายความว่าต่อไปจะมีลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญมาอีก ปัญหาคือไม่มีอะไรรับรองว่าลูกค้าคนนั้นจะไม่ประสงค์ร้ายกับพวกเขา

แต่แม่ใหญ่ส่ายหน้า “ไม่ อย่ายุ่งกับเขา”

มิลเปียตะลึง แต่ไม่แสดงออกมา

“ถามได้ไหมคะว่าทำไม?” มิลเปียถามอย่างระวัง แต่แม่ใหญ่เพียงยิ้ม ไม่ตอบ

“นี่เป็นคำสั่ง อีกอย่าง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเขาก็ห้ามรวบรวม”

มิลเปียมีสีหน้าแข็งค้าง เธอพยายามทบทวนว่ามองข้ามอะไรไป แต่หลังจากทบทวนหลายครั้งก็ยังรู้สึกว่าเหตุผลของเธอถูกต้องและไม่มีความเสี่ยง

ถึงอย่างนั้น มิลเปียไม่มีทางอื่นนอกจากพูดว่า “รับทราบค่ะ”

การขัดขืนมีแต่ความตายที่รออยู่

แม่ใหญ่ลุกขึ้นด้วยสายตาไร้ความรู้สึก แต่มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อย มิลเปียพลาดจุดนั้นไปขณะพยายามเรียบเรียงความคิดว้าวุ่น

***

ทันทีที่ผมออกจากร้านเหล้าก็เปิดข้อมูลที่ซื้อมา อย่างแรก ผมดูประวัติการเคลื่อนไหวของเพลแกรนท์ในหนึ่งเดือนมานี้ พูดจริงๆแล้ว ผมไม่ได้คาดหวังมากเมื่อถามถึงข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก

ถ้าเป็นการขอให้ตามสืบความเคลื่อนไหวภายหน้าก็ว่าไปอย่าง แต่เป็นเรื่องธรรมดาถ้าร้านขายข่าวจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของบุคคลไม่สำคัญ การให้ข้อมูลนี้ได้จึงหมายความว่าหัวหน้าเพลแกรนท์กำลังทำงานสำคัญคู่ควรให้องค์กรข้อมูลติดตาม

เมื่อได้ข้อมูล ผมคิดว่าต่อให้มีแค่เขาเคยไปเจอกับใครบ้างก็ยอมรับได้ แต่มันมีการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขาละเอียดเป็นนาที

อะไรนี่? แอบไปเจอกับนายกรัฐมนตรีด้วยเหรอ? ความรู้สึกไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยยิ่งเพิ่มขึ้น ทำไมตอนนั้นผมต้องเสิร์ฟน้ำชานะ? เรื่องมันยุ่งยากขึ้นมาแล้ว

ทั้งหมดนี่เพราะเจ้าคนที่บังคับให้ผมชงชานั่นเลย ขอให้เขาไม่ออกข้างนอกตอนกลางคืนแล้วกัน โชคร้ายจะเกิดขึ้นตอนไหนเราก็ไม่รู้ ผมอ่านเอกสารพลางจินตนาการว่าใช้หินทุบหัวผู้ช่วยที่อยากได้ชา

การเคลื่อนไหวของหัวหน้าเริ่มละเอียดหลังจากเขาเจอกับนายกรัฐมนตรีเมื่อสิบวันก่อน ก่อนนั้น มีบันทึกแค่เรื่องปกติเช่นไปที่ไหนมาบ้าง

แทนที่จะบอกว่าหัวหน้าเพลแกรนท์เป็นคนสำคัญจนต้องถูกติดตาม มันเหมือนเขาเริ่มอะไรที่ทำให้องค์กรข้อมูลแม่ใหญ่สนใจหลังจากเจอกับนายกรัฐมนตรีมากกว่า

ผมแค่เดา แต่การวางยาพิษอาจเกี่ยวกับมันด้วย ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ผมน่าจะรู้ได้ถ้าดูจากข้อมูลที่เขาซื้อไปจากที่นี่ แต่เรื่องเกี่ยวกับคนที่เกี่ยวข้องกับหญ้าฮอร์นต้องมาก่อน

ผมคิดเสร็จและกำลังจะดึงเอกสารเกี่ยวกับคนที่เกี่ยวข้องกับหญ้าฮอร์นออกมาเมื่อภาระตะโกน “เฮ้ย! สนใจข้าหน่อย!”

“ครับ?”

เมื่อผมหันไปหาภาระด้วยสีหน้าว่า ‘พูดบ้าอะไร’ เขาพูดด้วยเสียงหงุดหงิด “อะไร? ทำไมทำหน้าแบบนั้น? ข้าพูดกับเจ้าตั้งหลายรอบ!”

“โอ้ ข้ากำลังคิดอยู่” ผมไม่ได้ฟังที่ภาระพูด ก็คงถามถึงเรื่องที่เกิดในร้านขายข่าวนั่นแล

“งั้นที่ข้าถาม...”

“ไปกันเถอะ พวกเรากำลังรีบ” ผมพูดและเดินต่ออย่างรวดเร็ว ภาระตะโกนบางอย่างไล่หลัง ผมไม่สนใจและอ่านเอกสารต่อ


สารบัญ                                         บทที่ 86