เนื้อย่างหมดไปอย่างรวดเร็ว เหล้าก็ถูกเติมไปหลายรอบ หลายคนเมาหน้าแดง
โดยเฉพาะวูซุงฮุน เขาเมาเร็วกว่าใคร ดวงตาปรือ “อือ ท่านประธานคอแข็งจัง”
วูซุงฮุนโม้ไว้ว่าสมัยหนุ่มๆเคยเที่ยวมาเยอะกลับเมาก่อน เขาหันไปทางวูจิน วูจินดื่มเหล้าโซจูในแก้ว สีหน้าไม่เปลี่ยนเลย
วูจินยิ้ม
เทียบกับเหล้าของอัลเฟน โซจูนี่ไม่ต่างกับน้ำเปล่า
“ฮึก ท่านประธานดื่มเก่ง แล้วตีผมทำไม??”
“เฮ้ อย่าทำตัวแบบนี้สิครับ”
ซุงกูกับเฮมินพยายามห้ามวูซุงฮุนพลางสังเกตวูจิน
“เจ็บนะ ผมขายโทรศัพท์แพงแล้วทำไม? ไม่เห็นเป็นไรเลย! ฮึก”
“...”
ควรจะเสียใจดีไหมที่ไม่ฆ่าหมอนี่?
ซุงกูกับเฮมินเห็นวูจินหน้าบูด พวกเขาจึงรีบจับวูซุงฮุนเข้าไปในรถ ซุงฮุนพอหลังพิงเบาะก็หลับผล็อย
“เฮ้อ”
ซุงกูพาซุงฮุนไปนอนเสร็จแล้ว เขาถือจังหวะกำลังเมาถามวูจิน
“ลูกพี่ครับ”
“อะไร?”
“ผมเห็นลูกพี่ไม่ค่อยสนใจสาธารณชนเลย น่าเป็นห่วงนะครับ...”
วูจินยิ้ม
“ทำไมต้องสนด้วย?”
“อืม ไม่รำคาญเหรอครับ นักข่าวจะเข้ามารุม...”
“ฉันชินแล้วล่ะ”
“นั่น...”
ซุงกูพูดให้วูจินเข้าใจเขาไม่ได้ เขารู้สึกอึดอัด จุงมินชานที่ฟังอยู่ข้างๆเข้าใจว่าซุงกูพยายามจะพูดอะไร จึงช่วยพูดให้
“มันอาจจะมีปัญหาทางกฎหมายนะ แล้วก็ต้องห่วงเรื่องถูกสังคมกีดกันด้วย ท่านประธานจะสร้างศัตรูไปทำไม”
“ฉันสร้างศัตรูเหรอ...”
วูจินลูบคาง เขาดื่มอีกแก้วแล้วมองซุงกู มินชานและเฮมิน ทุกคนเป็นสมาชิกกิลด์อลันดาล ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องรู้เรื่องนี้
“เมื่อก่อน ฉันก็เหมือนพวกนาย ห่วงเรื่องประเทศอื่น กลัวถูกคนเกลียด กังวลว่าคนอื่นมองฉันยังไง”
เกิดอะไรขึ้นที่อลันดาลจึงทำให้เขาเป็นคนไร้เหตุผลแบบตอนนี้?
“ที่ตอนนี้มีกฎหมายเพราะมีประเทศ พวกนายคิดว่าจะมันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”
“อะไรนะครับ?”
ทุกคนถูกคำถามประหลาดของวูจินดึงความสนใจ
“ดันเจี้ยนหลายๆแห่งจะระเบิด ในอีกไม่นานนักหรอก”
เขาไม่มีหลักฐานยืนยันคำพูด แต่เขารู้สึก ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดในไม่ช้า ซ้ำยังเป็นการระเบิดในหลายๆที่
“ลองคิดสิว่าจะเป็นยังไงถ้าดันเจี้ยนทุกแห่งบนโลกระเบิดพร้อมกัน”
“...”
จุดจบของโลก
มันน่ากลัวจนไม่กล้าคิด ไม่มีใครเอ่ยปาก แทบจะสร่างเมากันหมด
“แต่พวกเรามีกองทัพ คงป้องกันได้”
วูจินแค่นเสียง
“ถ้าแค่มอนสเตอร์ 6 ดาวก็ป้องกันได้ แต่ถ้าเป็นมอนสเตอร์ระดับสูงกว่านั้นล่ะ?”
“หา?”
“คิดว่านี่เป็นช่วงท้ายของเกมเหรอ? อืม มอนสเตอร์ 6 ดาวก็เหมือนหมาบ้าน อีกไม่นานพวกเสือสิงห์กระทิงแรดจะแห่กันออกมา ถ้ายังไม่พอก็อาจมีมังกรตามมาด้วย”
“...”
คำพูดของเขาเชื่อถือได้หรือเปล่า?
“ถ้าพวกสเป็คเตอร์ออกมาตอนนี้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็หมดประโยชน์ พวกนายจะกันมันยังไง? โจมตีมันเหรอ? ไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย ถ้าโลกล่มสลาย เขตแดนที่แบ่งแยกประเทศก็หมดความหมาย ศีลธรรมจะทรุดโทรม เหลือแต่ความคิดเอาตัวรอด มันเป็นสัญชาติญาณของพวกเรา”
“...”
ซุงกูตัวสั่นนิดๆ
วูจินพูดอย่างสงบ
“ทั้งโลกจะเข้าสู่ภาวะสับสน รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น? พวกบ้าๆจะโผล่ออกมา การข่มขืนกับปล้นกลายเป็นเรื่องปกติ สัตว์ประหลาดน่ากลัว คนสิอ่อนแอ คนเลยหันมาแย่งชิงกันเอง”
“ผมเชื่อว่าคนแบบที่ท่านประธานว่าต้องมี แต่ผมก็แน่ใจว่าเราจะรวมพลังกันสู้”
ใช่ มีคนที่ทำแบบนั้นเหมือนกัน ผู้กล้า นักรบ อัศวินศักดิ์สิทธิ์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ มีจอมเวทย์ในหอคอย พระราชาในอาณาจักรที่เป็นมิตรต่อกัน อัศวิน ทหาร...
“เปล่าประโยชน์ พวกเขาจะพยายามต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว สุดท้ายก็แพ้ไป มนุษย์ถูกกระตุ้นให้หันหลังให้เผ่าเดียวกัน”
มีหลายเผ่าที่ยอมขึ้นต่อทราห์เน็ตและกลายเป็นทาส พวกก็อบลินและโคบอลด์ล้วนเป็นทาสของทราห์เน็ต
“ถ้าอย่างนั้น... ทำยังไงดีครับ? ต้องมีใครหยุด...”
ซุงกูพูดไปได้ครึ่งเดียวก็หันไปมองวูจิน คนๆนั้นอาจเป็นวูจิน? จะว่าไป ไม่มีใครเคยพิชิตดันเจี้ยน 6 ดาวด้วยตัวคนเดียวมาก่อน
“เพราะงั้นเราถึงต้องเตรียมตัว”
โลกเป็นบ้านของวูจิน แม่และน้องสาวและเพื่อนของเขาอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงพยายามปกป้องที่แห่งนี้
“นายอยากให้ฉันสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง? ข่าวด้านลบจากสื่อมวลชน?หมายเรียกจากตำรวจ? เปล่าประโยชน์ ฉันต้องทำให้ทุกคนรู้ต่างหาก”
เขาอยากให้ทุกคนรู้ว่าอะไร?
“ฉันอยากให้ทุกคนรู้ว่าฉันโหดเหี้ยม บ้าอำนาจขนาดไหน...”
เขาไม่สนว่าเมื่อโลกเพ่งความสนใจมาที่เขาแล้วโลกจะพูดถึงเขาอย่างไร ส่วนใหญ่แล้ววูจินไม่มีความคิดเรื่องความยุติธรรมหรือมโนธรรม 20 ปีที่ผ่านมามันโหดเกินกว่าอุดมคติแบบนั้นจะเหลือรอดอยู่ในตัวเขา
“ฉันไม่สนว่าโลกจะว่าฉันยังไง ฉันไม่คิดจะเป็นฮีโร่”
ราชาที่ทรงพลังต่างหาก
“ในอลันดาล ไม่มีใครหนี คนที่สู้อย่างกล้าหาญจะมีที่พักพิง คนที่หนีจะถูกทำให้เป็นผีดิบแล้วเดินทัพเข้าสู้กับศัตรู”
วูจินยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของทุกคน
“อย่างน้อย ในอลันดาลมนุษย์ไม่สู้กันเอง ถ้าทำแบบนั้น ราชาจะเปลี่ยนพวกเขาเป็นทหารที่ไม่มีวันตาย พวกเขารู้ดีว่าราชาโหดเหี้ยมเด็ดขาดขนาดไหน”
ซุงกูกลืนน้ำลาย
“หรือว่า... ประเทศที่เรียกว่าอลันดาลนี่เกี่ยวข้องกับกิลด์พวกเรา...”
วูจินยิ้ม
“แหงสิ ฉันเคยเป็นราชาของอลันดาล”
ถึงว่าเขาฮัมเพลงไปพลางฆ่าเบโดซูทั้งปาร์ตี้ได้
“...”
มินชาน ซุงกูกับเฮมินหุบปากเงียบ ใบหน้าเคร่งเครียด
มินชานถามอย่างระวัง
“ท่านประธานจะไม่ประกาศเรื่องนี้และขอความช่วยเหลือเหรอ?”
“ฮ่า”
วูจินหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
“ใครจะช่วยล่ะ? คนในโลกนี้เหรอ? ให้ฉันบอกทุกคนให้ฝึกฝนไว้และเตรียมตัวให้พร้อม เพราะทั้งโลกจะเต็มไปด้วยมอนสเตอร์เหรอ?”
“แบบนั้นจะรอบคอบกว่าไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันแน่ใจว่าพวกนั้นไม่ทำอะไรหรอก”
“ถ้าพวกเขารู้สึกถึงอันตราย ผมแน่ใจว่าเราจะร่วมมือกันได้”
วูจินคีบเนื้อใส่ปากเคี้ยว อ่า ยังไม่สุก
เขาคายเนื้อใส่จานเปล่า จากนั้นดื่มเหล้าล้างปาก
“ขนาดรู้ว่ามันเป็นการทำลายธรรมชาติพวกเราก็ยังขุดหาแร่เชื้อเพลิง”
แต่นี่เป็นปัญหาที่เร่งด่วนกว่าธรรมชาติถูกทำลายนะ มนุษย์กำลังจะสูญพันธ์
“มินชาน นายคิดว่ามนุษย์จะหยุดใช้พลังงานจากแร่เชื้อเพลิงไหม ถ้าพูดแค่ว่า มาปกป้องโลกกันเถอะ”
“...”
วูจินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาวางบนโต๊ะ
“ทันทีที่เห็นเจ้านี่ฉันก็เลิกคิด”
“มือถือมันเกี่ยวอะไร...”
เครซี่เรด
นี่คือเครื่องมือสมัยใหม่ที่ใช้บลัดสโตนเป็นต้นกำเนิดพลังงาน
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าจู่ๆฉันห้ามไม่ให้ทุกคนขุดบลัดสโตนจากดันเจี้ยน เคลียร์ดันเจี้ยนได้ แต่ห้ามเอาอะไรออกมา”
“...”
ถ้าไม่ได้อะไรจากการเข้าดันเจี้ยน ไม่มีใครยอมเสี่ยงตายเข้าไปหรอก
“ต่อให้หยุดขุดบลัดสโตน ปริมาณมานาบนโลกก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันช่วยทำให้เกิดดันเจี้ยนเบรกช้าลง ช่วยให้คนมีเวลาเตรียมพร้อม คิดว่าไง มีเหตุผลใช่ไหม? แล้วคิดว่าคนจะทำตามหรือเปล่า?”
“...”
มินชานจนคำพูด
ไม่หยุดหรอก ไม่มีทาง
ธุรกิจดันเจี้ยนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีโลกไปแล้ว ผู้ปกครองและคนมีฐานะต้องการทรัพยากรที่เรียกว่าบลัดสโตน
รถไฟที่ขนระเบิดเต็มคันรถออกจากสถานีแล้ว
“ถะ...ถ้าอย่างนั้นเราจะทำยังไงดี?”
คำพูดของวูจินมีความเป็นไปได้สูงมาก ดังนั้นแม้แต่คนมีเหตุผลอย่างมินชานยังร้อนรน ราวกับจู่ๆภัยอันตรายก็คืบคลานมาทางเขา
วูจินยิ้ม
“ทำไง? เราดื่มเหล้าแบบนี้ แล้วก็เพิ่มพลังให้ตัวเองด้วยการเคลียร์ดันเจี้ยน”
ได้ยินเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้วพวกเขาจะดื่มต่อได้อย่างไร? ฤทธิ์แอลกอฮอล์หายไปจากทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว
“ฮ้า”
วูจินดื่มอีกแก้วจนหมด จากนั้นเคี้ยวเนื้อกรุบกรอบ
คนทั้งสามมองวูจินอย่างเคร่งเครียด
“หือ?อะไรล่ะ?พวกนายจะให้ฉันทำยังไง?”
ต่อให้เขาขอให้ทุกคนปกป้องโลกก็ไม่มีใครฟังหรอก
มนุษยชาติไม่ร่วมมือกันเพราะตกอยู่ในอันตราย พวกเราร่วมมือกันเพราะผลประโยชน์
“ตายก็ตาย รอดก็รอด ใครจะสู้ก็สู้ไป...”
“...”
ขนาดนักปรัชญายังพูดได้ไม่สงบเท่านี้
“ยังมีหวังอยู่ บลัดสโตนนำมอนสเตอร์มา แต่มันก็ทำให้เราส์มีพลังมากขึ้น”
นี่เป็นความหวังแรกที่วูจินเอ่ยปากออกมา ทุกคนมองอย่างคาดหวัง
ฝ่ายเราและฝ่ายศัตรูต่างก็เพิ่มพลังขึ้นเรื่อยๆ
ผลแพ้ชนะขึ้นอยู่กับฝ่ายไหนจะใช้พลังได้มีประสิทธิภาพกว่า
“เพราะงี้ฉันถึงทำตัวรุนแรงไงล่ะ”
เขาอยากกลับมาที่โลกตลอดเวลาที่ผ่านมา สถานการณ์ที่นี่ต่างจากที่อัลเฟน ที่นี่คือโลก เป็นที่ๆวูจินจะต้องปกป้องให้ได้ เขาไม่ต้องการเห็นลูกน้องของทราห์เน็ตเข้ามาเดินลอยชาย
“ฉันอาจจะเจอเรื่องยุ่งยากอีก ฉันไม่เคยละเมิดกฎที่ตัวเองที่ตั้ง”
การกระทำของเขาเป็นไปตามกฎของอลันดาล
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ห้ามแสดงความอ่อนแอออกมา
คนที่แทงข้างหลังเขาต้องชดใช้
กฎของวูจินเป็นบรรทัดฐานที่เขาทำตามก่อนกฎหมายของโลก ในที่ๆซึ่งกฎระเบียบและคุณธรรมหมดไป กฎของเขาจะฟื้นฟูความเป็นระเบียบขึ้นมาใหม่
เมื่อความโกลาหลมาถึง คนจะหาและไปรวมตัวรอบๆคนที่เป็นแกนหลัก วูจินกำลังเตรียมตัวให้พร้อมกับการเป็นแกนหลักนั้น
ต่อให้กลายเป็นปีศาจที่โหดเหี้ยมเขาก็จะทำ
“ก็อย่างนั้นล่ะนะ พวกนายก็ทนฉันให้ได้แล้วกัน”
“...”
คำสั่งประหลาดเจาะจงมาที่หน่วยสนับสนุนของกิลด์อลันดาล
แต่พวกเขารู้สึกถึงหน้าที่อันหนักหนาไม่เหมือนเมื่อก่อน
“ถ้ามาหาเรื่องฉัน พวกมันต้องโดน เรื่องนี้ฉันต้องทำให้ทุกคนรู้ซึ้ง”
นี่คือแผนการของวูจิน เขาได้ตั้งพรมแดนกิลด์อลันดาลขึ้นมาแล้ว
***
สำนักงานใหญ่กิลด์ฮวาราง ห้องประธานกิลด์
มือที่แตะเมาส์เลื่อนสครอลลงมาเรื่อยๆ
ลีซังโฮขบฟัน
ยิ่งเห็นบทความเกี่ยวกับคังวูจินเขายิ่งโมโหขึ้นเรื่อยๆ
“เชี่ย เป็นไปได้ยังไง?”
[วีรบุรุษผู้ช่วยเกาหลีเหนือจากวิกฤติภัย]
[ปฐมบทความร่วมมือเราส์เหนือ-ใต้? คังวูจินเป็นผู้มีความดีความชอบมากที่สุด]
[ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือใต้เร่งรุดพัฒนา เตรียมจัดงานพบปะครอบครัวครั้งที่ 20 ] (TN – เป็นงานที่จัดตรงพรมแดนให้ครอบครัวที่พลัดพรากจากกันหลังสิ้นสุดสงครามเกาหลีได้เจอกัน งานนี้จัดนานๆครั้งและขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ด้วย สงครามสิ้นสุด คศ.1953 จัดงานนี้ครั้งแรก 1988 ครั้งล่าสุดจัดตอนปี 2014)
[ผู้พิชิตดันเจี้ยน เราส์แรงค์ AA คังวูจิน ทั้งโลกสนใจเขา]
[มีคังวูจิน ไม่มีอีกแล้วดันเจี้ยนเบรก]
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ ยกย่องคนบ้าเลือดพรรค์นั้นเป็นฮีโร่ เฮอะ เจริญล่ะเกาหลีใต้!”
คังวูจินยังไม่หลุดข้อหาทำร้ายร่างกายแต่ในข่าวไม่พูดถึงเรื่องนี้แม้แต่บรรทัดเดียว
ลีซังโฮเดือดจัดและหาวิธีทำให้เย็นลงไม่ได้
ตี๊ดๆ
เสียงอินเตอร์โฟนดังขึ้น เขากดปุ่มรับอย่างหงุดหงิด
“มีอะไร”
[ท่านประธานคะ ท่านอธิบดีกรมตำรวจกำลังรอสายค่ะ]
“อ้อ?ส่งมาสิ”
อธิบดีกรมตำรวจเป็นคนใหญ่คนโต ลีซังโฮเคยพบเขาแค่ครั้งเดียว เขาพยายามเข้าใกล้คนนั้นซึ่งไม่ง่ายเลย ไม่น่าเชื่อว่าคนระดับนั้นจะโทรหาเขาก่อน
“ประธานกิลด์ฮวาราง ลีซังโฮพูดครับ”
[ผมลีชุลดง]
“ครับ ท่านลี เราเคยเจอกันเมื่องานวันเกิดครบรอบ 60 ปีของผู้แทนเช”
[ผมไม่อ้อมค้อมนะ เรื่องคุณคังวูจินให้มันจบไปเถอะ]
“อะไรนะครับ เรื่องนั้นถูกถ่ายทอดสดไปทั้งประเทศนะครับ ประชาชน 50 ล้านกว่าคนเห็น แต่ท่านจะปล่อยมันไปเหรอครับ?”
[เบื้องบนสั่งมา ผมรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมกับคุณ แต่ปล่อยมันไปเถอะ]
“...ไม่มีเหตุผลเลย”
[ผมบอกคุณแล้ว ถือว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ แค่นี้ล่ะ]
ตู๊ดๆ
“ท่านครับ ท่าน?”
เส้นเลือดตรงหน้าผากลีซังโฮปูดขึ้น เขาขว้างโทรศัพท์ในมือทิ้ง สายอินเตอร์โฟนกระชากทั้งเครื่องลงไปกระแทกพื้น
“ไอ้พวกทุเรศ!”
บ้ากันหมดแล้ว
“เจริญ! ประเทศนี้แม่งไม่มีสิทธิส่วนบุคคลกันแล้วเหรอวะ?”
หลังจากอาละวาดอยู่นาน ลีซังโฮเปิดเซฟที่ซ่อนในกำแพง เขาหยิบกระดาษจดเก่าๆออกมา จากนั้นถ่ายรูป่รายการโอนเงินบนกระดาษ
“เฮอะ ดูซิว่ามันยังไม่ยอมโทรมาได้อีกไหม”
ประธานคิมไม่รับโทรศัพท์เขามาหลายสัปดาห์แล้ว ลีซังโฮจึงส่งรูปนี้ไปให้ ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ลีซังโฮยิ้มเยาะแล้วกดปุ่มสนทนา
[คุณจะเอาอย่างนั้นเหรอ? นี่คุณกำลังขู่จะฆ่าตัวตายไปด้วยกันอยู่ใช่ไหม!]
“ถ้าท่านยอมทำตามคำขอของผม ผมจะทำลายบัญชีนี้ทิ้ง”
[จะเอาอะไร?]
“ผมรู้เรื่องที่ท่านติดต่อกับตะวันออกกลาง ติดต่อให้ผมด้วยครับ”
[...]
หลังจากเงียบไปนาน ประธานคิมไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำขอ ถ้าบัญชีนั้นถูกเปิดเผยออกมาเขาจะตกที่นั่งลำบาก
[ก็ได้ มาเจอกัน คุณเอาบัญชีมาด้วย]
“ครับท่าน”
กดเลิกการสนทนา ลีซังโฮแสยะยิ้ม
“กล้าทำร้ายฉันงั้นเหรอ?”
มันหาเรื่องผิดคนแล้ว กล้าลงมือกับหัวหน้ากิลด์ฮวาราง ลีซังโฮ
สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง ^^