วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 61

บทที่ 61 – เสียงตะโกนจากพย็องยัง


คาเฟ่แองเจิล แองเจิล สถานีซาดาง

“เอ๋?”

แม้แต่โดจีวอนยังคิดว่าตัวเองหูฝาด

“นายจะไปไหนนะ?”

“พย็องยัง”

“...เกาหลีเหนือ?”

“ใช่แล้ว พอถล่มดันเจี้ยนเสร็จฉันถึงจะกลับ เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เราไปแนะนำตัวกับที่บ้านดีไหม?”

“เอ๋?”

ไปพย็องยังกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญไปได้อย่างไร แล้วเขาอยากพาเธอไปรู้จักกับที่บ้าน...

จีวอนสับสนว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ดี

“แค่กินข้าวก็พอ ได้ยินว่าเธอออกจากงานแล้ว?”

“อ๊ะใช่ ฉันใช้หนี้คืนไปเกือบหมดแล้ว...”

“เธอมีหนี้ด้วยเหรอ?”

“ค่ารักษาตอนฉันเข้าโรงพยาบาลน่ะ”

ดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรกเมื่อเธออายุ 19 ปี พ่อแม่เสียชีวิต ตัวเธอบาดเจ็บหนัก... เธอยังไม่รู้ประสีประสาจึงไปสร้างหนี้จากหลายๆที่ ถ้าใบหน้าเธอไม่เสียหายคงหาเงินได้ง่ายกว่านี้ แต่ก็คงถูกชักนำไปในทางที่เลวร้าย

“อ้อ แล้วคิดจะทำอะไรต่อ? จะมาทำงานที่กิลด์ฉันไหม? แล้วฉันก็ว่าจะตั้งคาเฟ่สักที่ สนใจไหม?”

“เอ๋ คาเฟ่เหรอ?”

วูจินเป็นเราส์ที่ดังที่สุดในตอนนี้ แต่จู่ๆเขาอยากจะทำร้านกาแฟ? แค่เขาเข้าดันเจี้ยนแรงค์ต่ำยังทำเงินได้มากกว่าเลย

“แม่ฉันดูเบื่อๆน่ะ”

“อ๋อ ไม่เป็นไร ฉันมีเรื่องที่อยากทำหลังจากใช้หนี้หมดแล้วอยู่”

“อะไรเหรอ?”

“ฉันอยากเป็นนักเขียนนิยายรัก”

“หา?”

เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจนวูจินพูดไม่ออกไปชั่วครู่ จีวอนหน้าแดง

“แค่...แค่อยากลองเป็นงานอดิเรกน่ะ”

“เท่ดีนะ”

“เอ๋?”

“เท่ดีนี่ ฉันจะรออ่าน”

จีวอนยิ่งหน้าแดงกว่าเดิม เธอเปลี่ยนเรื่อง

“อ้อ สมาคมศิษย์เก่าเพิ่งโทรหาฉัน... เขาขอเบอร์นาย แต่ฉันยังไม่ได้บอกไป”

หลังจากจีวอนเสียโฉมจากอุบัติเหตุก็ถูกกีดกันออกจากวงเพื่อน พอรักษาตัวหายเธอก็เริ่มทำงาน จึงไม่ได้เจอกันอีก

แต่หลังจากปรากฏในโทรทัศน์วูจินก็กลายเป็นมีชื่อเสียง เมื่อวูจินกับจีวอนกลายเป็นข่าวทั้งคู่ เพื่อนร่วมรุ่นของเธอคงรู้ข่าว

เด็กหนุ่มที่หายสาบสูญ เด็กสาวที่เป็นสัตว์ประหลาดแปลงร่างเป็นคนหล่อสวย เพื่อนร่วมรุ่นของเธอบางคนคงเห็นรูปพวกเธอผ่านทางอินเตอร์เน็ต

“งั้นเหรอ? ฉันจะไปแล้วกัน โหย ไม่ได้เจอตั้งนานไม่แน่ใจว่าจะจำชื่อพวกนั้นได้หรือเปล่า ไว้กลับจากพย็องยังฉันจะติดต่อไป”

เขาคงมีเวลาว่างก่อนจะไปอเมริกา

จีวอนแปลกใจ

“เอ๋? อยากไปด้วยกันจริงๆเหรอ?”

“ไปสิ ทำไม?”

วูจินจะได้เจอเพื่อนหลังจากไม่ได้เจอกัน 20 ปี เขาจำชื่อกับหน้าบางคนได้รางๆ แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

นานน้อยกว่าวูจิน แต่จีวอนจะได้เจอเพื่อนหลังจากไม่ได้เจอกัน 5 ปี เหตุผลที่เธอหวั่นไหวแตกต่างไปจากวูจินเล็กน้อย

“ไม่มีอะไรหรอก ไปด้วยกันก็ได้”

จีวอนเคยมีเพื่อนสนิทหลายคน ไม่ใช่ เธอเคยคิดว่ามีเพื่อนสนิทหลายคน ความสวยของเธอเป็นจุดสนใจ รอบตัวเธอจึงมีคนมากมาย

เมื่อเสียโฉม เพื่อนของเธอก็จากไปทีละคนสองคน หลายๆคนมองเธอด้วยสายตาสงสาร ดังนั้นเธอจึงเลิกติดต่อพวกเขา

เมื่อมองกลับไปสมัยเรียนมัธยมปลาย เธอก็ตระหนักว่าเธอไม่ได้สนิทกับใครจริงๆ ตอนนี้มีแต่วูจินที่อยู่เคียงข้าง เขาจึงเป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้เธอพบว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ

“นายคงยุ่ง ไปเถอะ”

วูจินมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ 11 โมงแล้ว เขามีนัดตอนเที่ยงจึงควรเริ่มออกเดินทางได้แล้ว

“อยากได้อะไรไหม”

“หา?”

“ฉันจะไปพย็องยัง อย่างน้อยก็น่าจะซื้อของฝากมาบ้าง”

“คิก”

จีวอนอดหัวเราะไม่ได้

ถ้าใครได้ยินวูจินพูดคงนึกว่าการไปครั้งนี้เป็นเรื่องง่าย แม้จะใกล้กันขนาดไหน แต่สำหรับคนเกาหลีใต้แล้วเกาหลีเหนือเป็นที่ๆห่างไกลกันมาก

“พย็องยังนี่ดังเรื่องอะไรนะ...”

วูจินพยายามนึก แต่เขาจำอะไรไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนของเขาหรือของดีเมืองพย็องยัง

“ปลอดภัยกลับมานะ”

จีวอนลูบหน้าวูจิน แผลเขาหายสนิทแล้ว

“แค่รอยข่วนเอง งั้นถ้าไปเห็นอะไรก็จะซื้อมาฝากแล้วกัน”

อาจเพราะวูจินชินกับการรอดตายและรับบาดเจ็บมากเกินไป เขาจึงไม่สนใจเรื่องเจ็บตัว

***

ร้อยโทเชฮีซอลแห่งกองกำลังต่อสู้พิเศษเป็นผู้มาพบกับวูจินอีกครั้ง เธอทักทายเขาอย่างยินดี

“เป็นเกียรติที่ได้พบคุณอีกครั้งค่ะ ฉันจะเป็นคนนำทางตลอดการเดินทางไปพย็องยัง”

“อืม ผมก็ดีใจที่ได้เจอคนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนแล้ว”

ฮีซอลยิ้ม

คังวูจินเป็นชื่อที่ติดอันดับคำที่ถูกค้นหามากที่สุด นิสัยติดดินของชายคนนี้น่าประทับใจ ทำให้เธอสงสัยว่าเป็นคนเดียวกับคนในข่าวจริงหรือ

“ฉันจะอธิบายกำหนดการคร่าวๆนะคะ หลังกินอาหารเที่ยงเราจะผ่านพันมุนจอมเข้าไปในพย็องยัง คงถึงที่นั่นประมาณช่วงเย็น หลังจากพักผ่อนคุณจะเข้าดันเจี้ยนในตอนเช้า” (TN - พันมุนจอม - ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้จะมีพรมแดนพาดยาวเป็นเขต DMZ Demilitarized Zone ห้ามทหารและพลเรือนเข้าออก ใจกลางเขต DMZ จะมีเขต JSA Jointed Secutiry Area สำหรับสองประเทศติดต่อกันเมื่อจำเป็น Panmunjom เป็นจุดสำคัญที่สุดใน JSA)

“เท่านั้นเหรอ?”

วูจินนึกว่าการเข้าเกาหลีเหนือจะมีขั้นตอนยุ่งยากกว่านี้เสียอีก

“เราได้รับอนุญาตให้เข้าไปจากตัวแทนของเกาหลีเหนือแล้วค่ะ พรุ่งนี้เราจะไปถึงพย็องยัง ถ้าคุณวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จ จะเกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ”

เนื้อหาในการต่อรองจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าวูจินจะเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จหรือไม่

“คุณจัดการเรื่องยากๆไปเถอะ จะว่าอะไรไหมถ้าผมเข้าดันเจี้ยนทันทีที่ไปถึง”

เขาไม่คิดว่าการนอนที่เกาหลีเหนือเป็นเรื่องจำเป็น

พูดตรงๆ นอนในดันเจี้ยนยังรู้สึกปลอดภัยกว่านอนที่เกาหลีเหนือเสียอีก

“คิมจองอึนต้องการพบคุณนะคะ...”

“ไม่สนใจ”

“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คุณยอมรับ...”

เชฮีซอลเห็นในข่าวแล้ว ลูกเตะรุนแรงของวูจินกับการตบตีที่เขาแสดงให้ดู

เธอกังวลอยู่หลายครั้งว่านิสัยห่ามๆของเขาจะทำให้ทุกคนตกที่นั่งลำบาก ไม่ใช่เขาลำบากคนเดียว คนรอบข้างเขาด้วย

“อืม ไปที่นั่นก่อนค่อยว่ากันเถอะ”

“...”

วูจินกับฮีซอลเข้าไปในรถที่เตรียมไว้ รถขับไปทางพันมุนจอม สภาพแวดล้อมที่นั่นไม่คุ้นเคย ดังนั้นเมื่อรถวิ่งไปบนพื้นดินของเกาหลีเหนือ วูจินรู้สึกกระสับกระส่าย

“หืม นึกว่าที่นี่จะมีทหารกับของที่ใช้ในกองทัพเยอะๆซะอีก ไม่ค่อยมีอะไรเลยแฮะ”

วูจินพึมพำกับตัวเองพลางมองท้องนาที่ถูกเก็บเกี่ยวแล้ว

รถที่พวกเขานั่งมีรถขับประกบหน้าหลัง ถ้ามองผ่านพวกทหาร ทิวทัศน์ที่นี่ก็คือบ้านนอกดีๆนี่เอง

เชฮีซอลที่นั่งอยู่ข้างๆหัวเราะ

“เกาหลีเหนือมีพื้นที่ๆพัฒนาไม่กี่แห่ง นอกนั้นจะเหมือนกำลังมองประเทศของเราเมื่อ 70 ปีก่อน มันล้าหลังมากขนาดสถานีใต้ดินยังมีแต่ในพย็องยัง...”

“ถ้ามีสถานีน้อยขนาดนั้นทำไมไม่แก้ปัญหากันเอง มาขอความช่วยเหลือทำไม เกาหลีเหนือไม่มีเราส์เลยเหรอ?”

เขาไม่สนใจจริงๆหรอก เขาได้โอกาสเคลียร์ดันเจี้ยน ได้ยึดค่าประสบการณ์กับค่าความสำเร็จไว้เอง เขาแค่สงสัย

“เราส์ที่เกาหลีเหนือถือว่าค่อนข้างน้อย การจัดทีมที่มีเราส์แรงค์ A ถือว่ายาก อีกอย่างอัตราการเสียชีวิตก็สูง...”

เขาไม่สงสัยว่าทำไมอัตราการเสียชีวิตจึงสูง เขาถามต่อ

“งั้นเวลาดันเจี้ยนเบรกพวกเขาทำยังไง?”

ถ้ามีความสามารถไม่พอ ทำไมถึงยังอยู่ได้นานขนาดนี้ ตั้งแต่เกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรกก็ผ่านมา 5 ปีแล้ว ถ้าดันเจี้ยน 6 ดาวไม่รีเซ็ทเลยคงแปลก

“เท่าที่รู้มา ดันเจี้ยน 6 ดาวรีเซ็ท 6 ครั้ง ระเบิด 2 ครั้ง ทั้งหมดนั้นจีนเป็นฝ่ายแก้ไข”

“แปลว่าคราวนี้จีนรับมือไม่ไหว ใช้หินเปิดมิติกลับมาครบ 3 ครั้งแล้ว? เพราะงั้นเลยขอให้เกาหลีใต้ช่วย?”

“เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ เกาหลีเหนือพยายามจัดการปัญหาด้วยตัวเองแต่ล้มเหลว จีนตั้งใจจะให้กลายเป็นบทเรียนเลยดูอยู่เฉยๆ กลายเป็นกระตุ้นให้เกาหลีเหนือประกาศรวบรวมเราส์ผ่านองค์กรผู้มีพลังพิเศษโลก”

“อย่างนี้นี่เอง”

บลัดสโตนที่มาจากดันเจี้ยนเป็นพลังงานใหม่สำหรับการเติบโตไปอีกขั้น

ช่องว่างระหว่างประเทศโลกที่ 3 ที่ไม่มีสถานีใต้ดินกับประเทศที่มียิ่งห่างขึ้นมากแม้เวลาจะผ่านไปเพียง 5 ปี

เกาหลีเหนือ ถึงจะน้อย แต่มีสถานีใต้ดินอยู่บ้าง เมื่อขอความช่วยเหลือจากจีน เกาหลีเหนือต้องมอบสิทธิประโยชน์จากดันเจี้ยนทั้งหมดเป็นการตอบแทน

เกาหลีเหนือมองว่านี่ไม่ยุติธรรม จึงพยายามเคลียร์ดันเจี้ยนด้วยตัวเองแต่ล้มเหลว

จีนโกรธที่เกาหลีเหนือแสดงท่าทีต่อต้าน ดังนั้นจึงไม่เข้ามาช่วย ทำให้เกาหลีเหนือเดือดร้อนต้องขอความช่วยเหลือจากเราส์ทั่วโลก

และจุงมินชานก็มาเจอประกาศนี้เข้าพอดี

“อืม รีบทำรีบเสร็จเถอะ ช่วยรักษาสัญญาเรื่องให้เวลาผม 15 วันด้วยนะ”

“ค่ะ เราจะยึดตามเงื่อนไขนั้นเป็นหลัก”

วูจินต้องเคลียร์ดันเจี้ยนในเกาหลีเหนือ

การเคลียร์ดันเจี้ยนในเกาหลีเหนือด้วยความช่วยเหลือจากเกาหลีใต้เป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อกิลด์ของวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จ สองประเทศต้องเจรจาเรื่องแบ่งดันเจี้ยน

วูจินมีเงื่อนไขง่ายๆข้อหนึ่ง หลังเคลียร์ดันเจี้ยนได้ เขาจะได้สิทธิ์ครอบครองดันเจี้ยนนั้นเป็นเวลา 15 วัน
นอกจากเงื่อนไขข้อนี้แล้วก็ไม่มีข้ออื่น

คนแรกที่เคลียร์ดันเจี้ยนได้จะเป็นผู้ได้ผลประโยชน์สูงสุด วูจินมีสิทธิ์ในการขอสัมปทาน จึงถือว่าโชคดีแล้วที่เขาตั้งเงื่อนไขไว้แค่นี้

แต่การเจรจาของเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือยังไม่เริ่มขึ้นเลย

เกาหลีเหนือจะได้ลดการพึ่งพาจีนในเรื่องดันเจี้ยนแรงค์สูง และได้พุ่งเป้าไปที่การเก็บบลัดสโตน
เกาหลีใต้ต้องการผลประโยชน์ทางการทูตบางอย่าง การเจรจาตกลงระหว่างเกาหลีเหนือและใต้จะเริ่มหลังจากพวกเขาไปถึงพย็องยังหนึ่งวัน

แต่ตอนนี้วูจินจะเคลียร์ดันเจี้ยนได้หรือไม่เป็นเรื่องสำคัญกว่า

ถ้าวูจินพลาดเขาจะตายในดันเจี้ยน แต่ร้อยโทเชฮีซอลที่มาด้วยจะตกที่นั่งลำบาก

ถ้าดันเจี้ยนระเบิด พย็องยังส่วนหนึ่งจะถูกทำลาย เกาหลีเหนือจะได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนัก

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณวูจิน”

วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเชฮีซอลพูดอย่างเคร่งเครียด

***

วังสุริยะคึมซูซัน

ที่แห่งนี้ถูกเรียกมากกว่าในชื่อวังอนุสรณ์ เมื่อเข้าไปข้างในวูจินรู้สึกประทับใจ

เขาประทับใจในความกว้างของสถานที่ ยิ่งประหลาดใจกว่าเมื่อที่นี่เต็มไปด้วยอาวุธและทหาร ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่ขบวนสวนสนามที่มักจะเห็นในโทรทัศน์

พวกเขาถือปืนของจริง ยังมีปืนกลกับรถถัง พวกเขายืนด้วยท่ายืนดั้งเดิมเพื่อเตรียมพร้อมรับดันเจี้ยนเบรก
ร้อยโทชีเฮซอลก็แปลกใจเช่นกัน เธอกลับมาหลังจากคุยกับพนักงานของกองทัพเกาหลีเหนือคนหนึ่ง

เธอบอกวูจินด้วยท่าทางจริงจัง

“ดันเจี้ยนที่ถูกรีเซ็ทชื่อดันเจี้ยนสถานีกวางมย็อง ไม่ว่าจะยังไงก็ตามต้องหยุดการระเบิดไว้ให้ได้ ดิฉันเข้าใจแล้วว่าพวกเขารู้สึกยังไง”

ถ้าสถานีที่ว่าระเบิด วังอนุสรณ์จะตกอยู่ในอันตราย วังแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของเกาหลีเหนือ และเพื่อปกป้องที่นี่ พวกเขาต้องหยุดดันเจี้ยนเบรกให้ได้

“สหาย ตามพวกเรามา”

ทหารคนหนึ่งนำทางวูจินกับเฮซอลไปที่ห้องประชุมแห่งหนึ่ง ในนั้นมีที่นั่งจัดสำหรับอาหารเย็น ทหารจำนวนหนึ่งกำลังนั่งอยู่แล้ว

วูจินนั่งตรงที่ๆถูกเตรียมไว้ให้เขาด้วยสีหน้าเฉื่อยชา เฮซอลนั่งตรงที่นั่งของเธอด้วยท่าทางแข็งๆ ในห้องมีนักข่าวกำลังบันทึกภาพเหตุการณ์

“คุณวูจินไม่กังวลเลยเหรอคะ?”

“ทำไมผมต้องกังวลล่ะ?”

วูจินตอบไม่ยินดียินร้าย นี่เป็นวิธีการที่นักการเมืองทำเป็นปกติ เจ้าของงานจะจงใจมาช้าเพื่อให้แขกรู้สึกอึดอัด

เป็นวิธีที่เขาชอบใช้ตอนอยู่อัลเฟน

แต่ก็นะ มันไม่ทำให้เขามีสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับแขกได้

ตอนที่วูจินยกมือเท้าคางอย่างเบื่อๆนั่นเอง

“...ท่านประธานคณะกรรมการป้องกันประเทศมาถึงแล้ว”

นักข่าวที่กำลังพักหันมากดชัดเตอร์รัวๆ วูจินรู้สึกตลกเมื่อเห็นชายคนหนึ่งเข้ามา

ชายผู้มีทรงผมที่ไม่มีใครเทียบเท่า นี่เป็นครั้งแรกที่วูจินได้เจอกับเผด็จการรุ่นที่สาม





สารบัญ                                  บทที่ 62

ทรงผมเขาเท่จริงๆนะ :3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น