วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 60

บทที่ 60 – ความหมายของคำว่าครอบครัว (3)


วันนี้เป็นวันที่ 4 ที่บิบิต้องเฝ้าบ้านโดยไม่มีเจ้านายอยู่ด้วย เธอถอนหายใจ

เด็กน้อยเอาแต่กวนให้เธอเล่นด้วย เจ้านายแวะมาทิ้งหมาไว้ตัวหนึ่งแล้วก็ไม่กลับบ้านมาสองวันแล้ว

เด็กน้อยร้องไห้ว่าหมามันตัวใหญ่ไป แล้วก็กลับมาแกว่งพ้อยท์เตอร์กับเบ็ดใส่บิบิเหมือนเดิม

แต่ช่วงกลางวันบิบิจะว่าง เพราะเด็กน้อยไปโรงเรียน วันนี้ท่านแม่ของเจ้านายออกไปข้างนอก บิบิจึงไม่ต้องแกล้งทำตัวเป็นแมว

เธอดูเหมือนแมว แต่ไม่ต้องทำตัวเหมือนแมว บิบิเปิดตู้เย็นเอาปลาแซลมอนออกมาตัวหนึ่ง

เพราะเปลี่ยนร่างกายเป็นแบบนี้ รสนิยมด้านการกินกับพฤติกรรมก็กระเดียดมาทางแมว

บิบิกำลังฉีกห่อปลาแซลมอนออก แล้วเจ้าหมาก็เข้ามาใกล้

“กรร โฮ่งๆ”

“เฮ้อ ไปห่างๆเลยนะเมี้ยว” บิบิไล่

มันเป็นตัวน่ารำคาญ เป็นแค่หมาแท้ๆแต่ตัวใหญ่กว่าเธอ ดูเหมือนเด็กน้อยจะอยากได้หมาตัวเล็ก

“โฮ่ง”

“ชิ่วๆ นูรุงอา”

เจ้านายตั้งชื่อหมาตัวนี้ส่งๆว่า นูรุงกิ มันมองบิบิพลางเห่าไม่หยุด

บิบิตัวเล็ก มีของน่ากินอยู่กับตัว มันมองว่าเธอรังแกง่าย และตั้งใจจะแย่งปลาไปจากเธอ

บิบิส่งเสียงฮึ

“แกปีนขึ้นมาไม่ได้หรอกเมี้ยว”

“โฮ่งๆ”

นูรุงกิเห่าไม่เลิก เห็นอย่างนั้นบิบิก็ถอนหายใจ เธอถูกหมามองว่ารังแกได้ง่าย ตกต่ำลงขนาดนี้ได้อย่างไร?

“ไปซะ ระหว่างที่ฉันยังพูดดีๆนะเมี้ยว”

บิบิเหวี่ยงอุ้งเท้าสีชมพูทุบหัวนูรุงกิ

ปุก!

“เอ๋งๆ”

นูรุงกิตกใจวิ่งหนีไป

“เฮ้อ เมื่อไหร่เจ้านายจะกลับมาซะที?”

ทุกครั้งที่เจ้านายกลับมาจากดันเจี้ยน เลเวลของเจ้านายก็เพิ่มขึ้นมาก บิบิก็อยากเพิ่มเลเวลเร็วๆแข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย

เวลาผ่านไป เธอยิ่งเศร้าใจ

อีกไม่นานเด็กน้อยก็จะกลับจากโรงเรียน

***

ตึกกิลด์อลันดาล

[คุณใช้คริสตัลเวทย์มนตร์]

วูจินกินหินเพิ่มพลังที่ช่วยเพิ่มค่าสถานะให้เขาเข้าไป กินเอาๆจนกระทั่งอัตราการดูดซึมช้าลง

ซุงกูนั่งตรงข้ามวูจิน กินหินเพิ่มพลังที่วูจินยกให้ เขามีบาดแผลตามตัวรู้สึกได้ถึงพลังป่าเถื่อนจากตัวเขา

ทุกครั้งที่วูจินจองดันเจี้ยน 5 หรือ 6 ดาว เขาให้ซุงกูได้สู้กับมอนสเตอร์หลายๆชนิด แต่วูจินก็เป็นคนจัดการกับมอนสเตอร์เกือบทั้งหมดอยู่ดี ซุงกูแค่สู้กับมอนสเตอร์ส่วนน้อย แต่ต่อให้เป็นส่วนน้อยก็สำคัญมาก

ซุงกูล่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนดาวสูงได้ เขาเป็นนักเวทย์ระดับวงแหวนที่ 4 เราส์แรงค์ C เต็มตัว ซุงกูใช้ความสามารถในสถานการณ์คับขันเป็นตายดังนั้นจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ก๊อกๆ

“เข้ามา”

จุงมินชานอุ้มกล่องใบหนึ่งเข้ามาในห้อง

“นี่เป็นตำราทักษะที่ท่านประธานพูดถึงน่ะ”

“ซื้อมาแล้วเหรอ”

เมื่อได้กล่องมาวูจินก็ทำหน้าสงสัย เขาบอกให้มินชานซื้อไอเทมมา 3 อย่าง แต่ในนี้มีเพียง 2 อย่าง

“อีกอันล่ะ?”

“ทักษะระดับวงแหวนที่ 4 แพงมาก อีกอย่างเรายังไม่หยุดซื้อหินเพิ่มพลัง เงินทุนทั้งหมดของกิลด์ใช้ไปกับการซื้อของ”

“เงินไม่พอเหรอ?”

“ใช่ แต่ยังไม่ถึงขั้นติดตัวแดง แค่ต้องใช้เวลานานหน่อยถึงจะซื้อได้”

พวกเขามีดันเจี้ยน 5 ดาวกับ 6 ดาวอย่างละหนึ่งแห่ง ดังนั้นจึงมีรายได้เยอะ แต่เงินที่มีไม่ได้มากมาย พวกเขาเอาแต่จ่ายกับจ่าย ทุนที่สะสมไว้ตอนแรกก็พร่องลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อก่อนพวกเขาต้องซื้อหินเพิ่มพลังให้วูจิน ตอนนี้ต้องซื้อของเพิ่มพลังให้ซุงกูอีก นี่เป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมาก

ทุนของกิลด์มาจากดันเจี้ยน

เพื่อเพิ่มเงินทุน กิลด์ต้องเพิ่มจำนวนดันเจี้ยนที่ครอบครอง หรือไม่ก็เพิ่มจำนวนเราส์เอาไว้เข้าดันเจี้ยน

“มีดันเจี้ยนที่กำลังรีเซ็ทอยู่หรือเปล่า?”

“ช่วงนี้โชคไม่ดี กิลด์เราเพิ่งตั้งจะไปถึงดันเจี้ยนก่อนกิลด์อื่นก็ยาก...”

ตอนดันเจี้ยนสถานีมหาวิทยาลัยโซลรีเซ็ท วูจินไปอยู่ตรงนั้นพอดี ไม่อย่างนั้นฮวารางก็คงได้ไป

ดันเจี้ยนรีเซ็ทเกิดไม่บ่อย ดันเจี้ยนเกิดใหม่ก็หาไม่ง่าย

เมืองนี้มีกิลด์ขนาดใหญ่ถึงกลางตั้งถิ่นฐานอย่างมั่นคงแล้ว กิลด์อลันดาลจะไปแข่งขันด้วยจึงไม่ง่าย

ขนาดสถานีซาดางอยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ยังมีกิลด์ใหญ่อย่างกิลด์แฮมเมอร์เพื่อนบ้านเฝ้าอยู่ จะให้ไปเฝ้าสถานีอื่นคนก็ไม่พอ

“หาดันเจี้ยน 6 ดาวที่ใกล้ระเบิดแล้วสิ”

การฝึกซุงกูให้ผลคุ้มค่า แต่วูจินก็ต้องเพิ่มเลเวลให้ตัวเองด้วย ยิ่งเลเวลเพิ่มขึ้นค่าประสบการณ์ที่ได้ก็ยิ่งน้อยลง แต่ดันเจี้ยน 6 ดาวก็ยังให้ค่าประสบการณ์มากพอสมควร

“เข้าใจแล้ว ผมจะลองหาดู”

“ดี แล้วเรื่องกิลด์ฮวารางเป็นไงบ้าง?”

“ยังเจรจาอยู่ครับ เชื่อว่าอีกไม่นานคงเรียบร้อย”

“ไม่ต้องใจดีกับพวกมันนักหรอก ถ้าคุยกันไม่ได้ก็ขยี้มันเลย”

จุงมินชานเสียวสันหลังวูบ วูจินเห็นท่าทางกังวลของเขาแล้วยิ้ม

“ล้อเล่นน่า ล้อเล่น...”

“ฮะๆ ผมจะรีบจัดการอย่างเร็วเลย ท่านประธานไม่ต้องกังวลหรอก...”

ฟังไม่เหมือนล้อเล่นเลย มินชานตัดสินใจแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ต่อให้ต้องเสียเปรียบไปบ้างก็ตาม

“ถ้าได้เรื่องแล้วก็ติดต่อฉันทันทีเลยนะ”

“ครับ แต่ดันเจี้ยน 6 ดาวจะมีกระทรวงกลาโหมเข้ามาเกี่ยวด้วย เป็นไปได้สูงว่าจะมีเรื่องส่วนแบ่ง”

ถ้าไม่มีใครเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวก็จะเกิดดันเจี้ยนเบรก ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าทำไมกระทรวงกลาโหมจึงมีหน้าที่ดูแลดันเจี้ยนเหล่านี้

“ยิ่งดี ฉันจะได้เคลียร์เงื่อนไขเกณฑ์ทหารไปด้วย”

ถึงจะได้เงินน้อยลง แต่วูจินยังได้ยึดค่าประสบการณ์ไว้คนเดียว อีกอย่างเขาก็ยังได้ส่วนแบ่งมากกว่า
ถ้ามีโอกาสได้เคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวก็ไม่มีทางเสียหรอก

“ครับ ผมจะหาข้อมูลเรื่องดันเจี้ยนให้เร็วที่สุด อ้อ แล้วท่านประธานจะจ้างเราส์คนใหม่เมื่อไหร่?”

“เรื่องนั้นเหรอ?ไว้หลังฉันกลับจากอเมริกาแล้วกัน”

วูจินมีแผนจะปั้นซุงกูเป็นแรงค์ A ก่อน เขาจะยัดความรู้เรื่องมอนสเตอร์ทั้งหมดให้ซุงกู แล้วให้ซุงกูไปฝึกเราส์คนใหม่ต่อเอง

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว”

“อืม ไปทำงานเถอะ”

มินชานออกจากห้องประธานไป เหลือแต่วูจินกับซุงกู ซุงกูพูดหน้าเจื่อน

“ลูกพี่ ลงทุนกับผมขนาดนี้จะคุ้มเหรอ...”

ซุงกูได้รับการฝึกและสนับสนุนเหมือนเราส์เก่งๆในกิลด์ใหญ่ เป็นสภาพแวดล้อมที่น่าอิจฉา วูจินตอบไม่ลังเล

“ถ้ากรรมการฝ่ายแบกหามเก่งขึ้นฉันก็สบายขึ้นด้วย”

อ้อ งานแบกหามนะ...

“เงินมันก็แค่เครื่องมือ”

เขาแค่ใช้เงินเพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้นเพราะฉะนั้นจะเก็บเงินไปทำไม? ถ้ายังมีคนลงดันเจี้ยนเงินก็จะยังไหลเข้ามาเรื่อยๆ

“อย่าให้ความสำคัญกับเงินเกินไป นายคิดแค่ว่าจะรอดตายได้ยังไงก็พอแล้ว ฉันฝึกนายมาขนาดนี้ถ้าตายไปนี่สิถึงจะเปลืองสุดๆ ถ้าเป็นงั้นนายก็มีประโยชน์แค่เป็นสื่อเรียกทหารโครงกระดูก”

“นะ...นั่นสินะครับ”

วูจินพูดเรื่องน่ากลัวหน้าตาเฉย ซุงกูเลยได้แต่เกาหัวแกรกๆ วูจินเห็นแล้วยิ้ม

“นายจองเวลาลงดันเจี้ยน 3 ดาวไว้กี่โมง?”

“6 โมงครับ ผมใกล้จะไปแล้ว”

“ดี ไปเถอะ”

“ครับ”

นี่เป็นครั้งแรกที่ซุงกูเข้าดันเจี้ยน 3 ดาวคนเดียว เขาเคยเข้าดันเจี้ยนที่ดาวสูงกว่าแต่ที่นั่นมีวูจินอยู่ด้วย เมื่อไม่มีวูจินก็ไม่มีคนรับรองความปลอดภัยให้ มันต่างกันมาก

ช่วยไม่ได้ที่ซุงกูจะวิตก

“มั่นใจหน่อยสิเจ้าหนู”

“ครับ”

ซุงกูเป็นเราส์แรงค์ C คนหนึ่ง

ดันเจี้ยน 3 ดาวกลายเป็นมาตรฐานไปแล้ว ทำไมเขาจะเคลียร์เองไม่ไหวล่ะ ซุงกูคิดแล้วนึกได้ว่าเขาควรจะมั่นใจในความสามารถของตัวเองให้มากกว่านี้ เขาน่าจะมีดีกว่าที่ตัวเองคิด

“พยายามเข้า”

“ครับ ลูกพี่ก็พักผ่อนกับครอบครัวนะครับ...”

“อืม”

แยกจากซุงกูกับพรรคพวกในกิลด์แล้ววูจินก็กลับบ้าน เขาสัญญากับคนที่บ้านว่าจะกินข้าวเย็นด้วย ไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานแล้ว

วูจินกลับมาที่โลกเพราะคิดถึงบ้าน แต่เหมือนเยาะเย้ยกัน เพราะต้องเก็บเลเวลต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องครอบครัวจึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัว

เขาต้องเตรียมพร้อมรับอนาคตที่มืดมน แต่เขาก็ไม่ควรละเลยปัจจุบัน ทุกนาทีสำคัญสำหรับวูจิน เขาตามหาเวลานี้มา 20 ปี

เมื่อวูจินมาถึงบ้าน โซอาเป็นคนแรกที่มาต้อนรับเขาเช่นเคย

“พี่จ๋า!”

“โอ้โห โซอารอพี่ชายอยู่เหรอ?”

“อื้อ เฮะๆ”

เพราะเป็นเด็กหรือเปล่านะ โซอาปรับตัวกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้เธอมีบ้านหลังใหญ่ ได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนใกล้ๆที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี เพราะเป็นเด็กเธอจึงหาเพื่อนได้เร็วและรู้สึกสนุกทุกวัน

ไม่เหมือนแม่เขา เมื่อก่อนแม่เขาอยู่อย่างยากลำบาก เมื่อลูกชายกลับมาและสิ่งต่างๆเปลี่ยนไปมากแม่ก็ยังไม่ชิน เขาบอกให้แม่ออกจากงาน แต่ดูเหมือนแม่จะยังไปช่วยงานที่ร้านอาหารซุงมีอยู่

ไม่เกี่ยวกับเงิน นางแค่รู้สึกไม่ดีถ้าไม่ได้ทำอะไร

วูจินคิดว่าเขาต้องรีบตั้งร้านให้แม่เร็วๆ

“ลูกไปอาบน้ำล้างตัวเถอะ ข้าวจะเสร็จแล้ว”

“ครับผม”

เอาเถอะ ไว้คุยเรื่องนี้ตอนกินข้าวแล้วกัน

วูจินจะเข้าห้องน้ำ แต่ถูกขวางไว้

บิบิกำลังกอดขาวูจินแน่น

“มีอะไร?”

บิบิมองซ้ายมองขวา จากนั้นกระโดดขึ้นบนไหล่วูจินแล้วกระซิบ

“เจ้านาย พาเราไปด้วยนะเมี้ยว”

“ไปไหน?”

“เราเบื่อจะตายแล้วเมี้ยว อยากไปสู้ด้วยกันกับโดลเซจิงเมี้ยว”

วูจินยิ้ม เธอคงเบื่อมากที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่กับบ้าน บิบิยังไงก็เป็นอสูร เธอคิดถึงสนามรบ

“โซอาเป็นไงบ้าง”

“ไม่ต้องพูดเลยเมี้ยว เจ้านายเอาหมาอะไรไม่รู้มาเธอเลยไม่สนใจ เอาแต่กวนเราอยู่นั่นเมี้ยว”

โซอาบอกว่าไม่ชอบแมว แต่ดูท่าจะชอบเล่นกับบิบิ

“บิบิ!อยู่ไหนน่ะ?”

เมื่อได้ยินเสียงจากห้องนั่งเล่น บิบิน้ำตาร่วง

“นะๆ เจ้านาย บอกว่าเราหนีออกจากบ้านก็ได้เมี้ยว”

ถ้าอย่างนั้นเขาก็นอนที่บ้านไม่ได้สิ

“อืม ฉันจะหาทางดู”

“สัญญาแล้วนะเมี้ยว เอาเราไปสู้ด้วยนะเมี้ยว”

เห็นวูจินพยักหน้า บิบิรู้สึกโล่งใจ เธอกระโดดลง

“บิบิ พี่สาวหาอยู่นะ ไปอยู่ไหนน่ะ?”

“เมี้ยว”

วูจินที่กำลังอาบน้ำแอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงจากห้องนั่งเล่น

ไม่นานอาหารก็วางบนโต๊ะเรียบร้อย คนสามคนนั่งล้อมโต๊ะ

“วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรเหรอ?”

“แม่อยากให้ลูกกินเยอะๆ เหนื่อยมามากแล้ว...”

ลีซุกยุงมองวูจินอย่างขอบใจและโล่งใจ

“วันนี้แม่ไปที่ร้านซุงมี พวกเขาว่าลูกทำเรื่องยิ่งใหญ่กว่าที่แม่คิด?”

แม่ไม่ค่อยดูโทรทัศน์ ดังนั้นจึงตามข่าวไม่ค่อยทัน ดูเหมือนเพื่อนที่ร้านซุงมีจะบอกอะไร

วูจินเดาได้ว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไร

“หึ ไม่อันตรายหรอก แม่ไม่ต้องห่วง”

ลีซุกยุงกุมมือวูจินแน่น

“แม่ไม่ได้หูหนวกนะ แม่รู้ว่างานลูกอันตรายแค่ไหน...”

“เอ่อ นั่น...”

“ไม่เป็นไร ลูกกำลังทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ แม่จะไปเห็นแก่ตัวห้ามลูกได้ยังไง เรื่องแม่ไม่ต้องห่วง”

“แม่...”

วูจินกุมมือลีซุกยุง

จู่ๆแม่เขาก็พูดขึ้น

“อีกอย่าง ได้ยินว่าลูกมีแฟนแล้ว...”

อ่า นั่นก็รู้ด้วยเหรอ

“ลูกก็ไม่เด็กแล้ว รีบๆแต่งงานมีลูกมีหลานได้แล้ว”

วูจินหัวเราะเจื่อนกับคำพูดตรงๆของแม่

แม่คิดไกลไปแล้ว

วูจินคิดว่าเขาควรจะพาจีวอนมาหาแม่สักครั้ง

ขณะกินอาหารเย็นอย่างมีความสุข เสียงโทรศัพท์ของวูจินก็ดังขึ้น

วูจินยิ้มเมื่อเห็นชื่อของจุงมินชาน

[ท่านประธาน ผมเจอดันเจี้ยนที่ไม่มีคนรอเข้า]

ถ้าเป็นดันเจี้ยนที่ไม่มีคนรอเข้าไปเคลียร์ แปลว่ากำลังรอให้ดันเจี้ยนนั้นระเบิด สำหรับวูจินนี่ไม่ต่างกับการบอกว่ามีค่าประสบการณ์กับอาร์ติแฟคให้เขาไปเอา

“ที่ไหน?”

[พย็องยัง]

วูจินตากระตุก ฟังผิดหรือเปล่า?

“เกาหลีเหนือ?”

[ครับ]

วูจินหัวเราะอย่างเหลือเชื่อ

เขาเคยพูดเรื่องพย็องยัง คราวนี้ดูท่าจะได้ไปจริงๆ





สารบัญ                                                       บทที่ 61

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น