วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 77.1

 บทที่ 77.1

ช่วงเวลามืดที่สุดก่อนรุ่งสาง แลนซีลอตมองท้องฟ้า ฟ้าที่นี่ไม่ต่างกับฟ้าที่บ้านเกิดของเขา ดวงดาวทอดยาวบนท้องฟ้าเหมือนแม่น้ำและดวงเดือนเรืองแสงเหมือนพลอย

ที่เดนอยู่ฟ้าจะสวยเหมือนที่นี่ไหม? เขากำลังแหงนหน้ามองฟ้าเหมือนกันหรือเปล่า? แลนซีลอตคิดแล้วหัวเราะคิก

เดนเคยบอกว่าเขาชอบฟ้าตอนกลางคืน เขาบอกว่าหลังจากมองฟ้าที่ไม่มีดาว พอมาเห็นภาพสวยงามแบบนี้แล้วประทับใจจนน้ำตาไหล

แลนซีลอตกลัวเล็กน้อยเมื่อคิดว่าเขาไม่เคยเห็นฟ้าตอนกลางคืนที่ไม่มีดาว มันคงมืดมากและเหงามาก

แต่เดนไปเห็นฟ้าที่ชวนเหงาแบบนั้นตอนไหน?

แลนซีลอตตอบตัวเอง เดนเป็นนักเวท เขาเห็นและได้ยินทุกอย่าง

“อยากอยู่กับเจ้าจัง”

แลนซีลอตปล่อยให้คำพูดหลุดจากปาก คิดว่าเดนอาจได้ยิน แต่มันทำให้เหงายิ่งขึ้น เหมือนฟ้าไร้ดาวเข้ามาอยู่ในใจของเขา

“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้?”

แลนซีลอตกำลังมองท้องฟ้าอยู่หน้ากองไฟ เลชาออกจากเกวียนมาถาม

“เปล่า ข้าแค่มองฟ้า”

เลชาหยิบหม้อออกมาจากกระเป๋ามิติ เสกน้ำใส่หม้อ และเอาไปต้มเหนือกองไฟ

“เอ่อ ในนั้นไม่มีเลือดใช่ไหม?”

เห็นความลังเลของแลนซีลอตแล้วเลชาก็ขยี้หัวของเขา

“ไม่หรอก คราวที่แล้วข้ารีบเลยเอาน้ำเท่าที่มีรอบตัวมา แต่คราวนี้ข้าดึงจากพลังเวทน้ำ ไม่ต้องห่วง” เลชาโบกหินสีออกน้ำเงินให้ดู

หินที่เลชาถืออยู่คือหินพลังเวทธรรมชาติที่มีธาตุเดียว ไม่เหมือนชิ้นส่วนจากมอนสเตอร์ มันมีชื่อว่า ‘หินธรรมชาติ’ เพราะเกิดจากธรรมชาติ และมีชื่อว่า ‘หินวิญญาณ’ ด้วยเพราะใช้สำหรับเวทวิญญาณ

ป่าโอลิมปัสเป็นสภาพแวดล้อมที่วิญญาณอยู่ไม่ได้ เลชาจึงไม่เคยเรียนเวทวิญญาณ ถึงอย่างนั้นก็ตาม หินวิญญาณใช้ในเวทประเภทอื่นได้เช่นกัน

“ได้ยินอย่างนั้นข้าก็โล่งใจ”

เห็นแลนซีลอตโล่งอก เลชาก็หัวเราะและหยิบบางอย่างจากกระเป๋ามิติใส่ลงไปในน้ำร้อน “เจ้าจะดื่มอะไร? มีกลีบดอกแมนดราโก, ผลฟรากาช, กับน้ำผึ้งพันปี”

ทั้งหมดนี้มีราคามหาศาลในตลาด แต่ในป่าโอลิมปัส พวกมันคืออาหารและวัตถุดิบที่กระจัดกระจายบนพื้นไม่ไกลจากหมู่บ้าน

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอดอกแมนดราโกกลีบที่ห้า”

ดอกแมนดราโกแต่ละกลีบมีกลิ่นต่างกันไม่มาก แต่ถ้าเอาไปต้มด้วยน้ำบริสุทธิ์ 83 องศากลิ่นจะเด่นชัดขึ้น

“เอาน้ำผึ้งกี่ช้อน?”

“สามช้อนครับ”

“เดี๋ยวก็ฟันผุหรอก” เลชาหยอกพลางใส่น้ำผึ้งสามช้อนกับกลีบดอกแมนดราโกลงในถ้วย เอาหม้อใส่น้ำเดือดลงมาและทำให้มันเย็นลงจนถึง 83 องศาด้วยเวทมนตร์ จากนั้นเทน้ำร้อนใส่ถ้วยและร่ายเวทมนตร์ไม่ให้อุณหภูมิลดลง

“ขอบคุณ” แลนซีลอตรับถ้วยและรอให้เวทมนตร์หายไป

ประมาณสามนาทีต่อมา เวทมนตร์ค่อยๆหายไปและอุณหภูมิลดลงเรื่อยๆ เวลาสามนาทีพอให้รสของกลีบดอกออกมา

“โอ้! ขอข้าด้วยสิ?” แมคที่กำลังเดินลาดตระเวนได้กลิ่นหวานจึงเข้ามาหา

เลชาพยักหน้า

“ข้าขอกลีบที่สาม โอ้ น้ำผึ้งไม่ต้องก็ได้ ข้าไม่ค่อยชอบหวาน”

“ได้ๆ”

เลชาใส่กลีบแมนดราโกกลีบที่สามในถ้วยแล้วยื่นให้แมค

แมครับถ้วยพร้อมกับเอาหม้อที่เย็นลงเล็กน้อยตั้งไฟ ก่อนน้ำจะเดือดก็เทใส่ถ้วยและหุ้มมันด้วยพลังเวทเพื่อรักษาอุณหภูมิ สามนาทีต่อมากลิ่นหอมก็ลอยฟุ้ง

“ว้าว เจ้ากะอุณหภูมิได้แม่นขนาดนั้นได้ยังไง?” เลชาแลบลิ้นแล้วถาม

แมคยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าอยากจีบผู้หญิง การชงชาเก่งเป็นเรื่องพื้นฐาน”

เลชาทำเสียงฮึ่ม เขาพูดแบบนั้นแต่เธอไม่เคยเห็นแมคอยู่กับผู้หญิง

“แหม กลิ่นหอมจังเลย”

ฮิลลิสพูดด้วยเสียงเหนื่อยตอนเดินยืดเส้นยืดสายออกมา เลชาต้มน้ำอีกเยอะ เมื่อเหล่าพาลาดินมุดออกจากกระโจมทีละคนๆ เธอก็ส่งชาให้ทุกคน

“ขอบคุณนะ คุณหนูเผ่ากา!”

“ว้าว! ข้าว่าชากลิ่นหอมขนาดนี้แม้แต่ในเพอซิวาลยังไม่มีเลยนะ”

เหล่าพาลาดินไล่ความหนาวของทะเลทรายตอนกลางคืนออกจากตัวแล้วทำการอบอุ่นร่างกายเหมือนจะไปสู้เดี๋ยวนี้

“เอาล่ะ มาแบ่งคนอยู่ปกป้องท่านเซนต์กับคนไปจัดการกับพวกนักเวทดำกันเถอะ”

ฮิลลิสส่ายหน้าให้อัลบาทอส “ไม่ ข้าจะไปด้วย”

“ท่านเซนต์”

“ไม่ได้นะ! มันอันตราย!”

พาลาดินทักท้วง แต่ฮิลลิสตั้งใจไว้แล้ว

“พลังของพฤกษาโลกในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนยาพิษสำหรับนักเวทดำ ข้าจะไม่เป็นไร”

เธอมองไปทางซาฮาราม แม้จะยังห่างไปแต่เธอรู้สึกถึงพลังของพฤกษาโลกที่เต็มซาฮาราม คนอื่นไม่รู้ แต่พลังของพฤกษาโลกกำลังต้อนรับเธอ ฮิลลิสไม่รู้ว่าทำไมแต่เธอรู้สึกได้

เธอรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวจากพลังนั้น

“แต่ในซาฮารามไม่ได้มีแต่นักเวทดำ ท่านต้องคิดถึงราชาทหารรับจ้าง ไม่ใช่สิ อัศวินดำด้วย”

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังของนักเวทดำถูกลดลงอย่างมาก แต่เมลเซียกับคนของเขาเป็นทหารและไม่เกี่ยวข้องกับเวทดำ

แต่ฮิลลิสมั่นใจ “ไม่เป็นไร เพราะถ้าเป็นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครทำอันตรายข้าได้”

นี่ไม่ใช่ความโอหังแต่เป็นความแน่ใจ มันเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ แต่เหมือนญาณบ่งบอกที่ฮิลลิสรู้สึกเพราะเธอเป็นเซนต์

“แล้วไม่ใช่พวกเจ้าบอกเหรอว่าตอนเฝ้ายาม เห็นพวกอัศวินดำออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์?”

เหล่าพาลาดินส่ายหน้า

“เพราะอย่างนั้นถึงได้อันตราย อาจเป็นแผนของศัตรูทำให้เราสับสน”

“ต่อให้มีแต่นักเวท ก็ยังอันตรายอยู่ดี”

ฮิลลิสเริ่มลังเลเมื่อเหล่าพาลาดินคัดค้านอย่างหนัก

แลนซีลอตถามขึ้น “ถ้าพวกอัศวินดำออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้างนอกจะไม่อันตรายเหรอ?”

“เจ้าหมายความว่ายังไง?” เหล่าพาลาดินมองแลนซีลอตอย่างสงสัย

แลนซีลอตสะดุ้งไปเพราะจู่ๆก็ได้ตกเป็นเป้าสายตา จากนั้นก็พูดด้วยความกล้าเพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ “ไม่จริงเหรอ? ถ้าแบ่งคนออก คนที่คุ้มครองเซนต์ก็จะลดลง ไม่คิดเหรอว่ากองกำลังที่ออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์อาจโจมตีเซนต์?”

เหล่าพาลาดินนิ่ง มันมีความเป็นไปได้

ถึงอย่างนั้นก็ตาม อัลบาทอสส่ายหน้า “ถ้าคนที่อยู่ได้พรจากเซนต์ พวกเขาสามารถต้านคนจู่โจมได้” เขาพูดโดยนึกถึงคนห้าคนสู้ได้เท่าเทียมกับกองทหาร

แลนซีลอตถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้น ไม่ว่าเซนต์จะเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ไม่ต่างกัน”

“แต่คาดถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น กับกระโจนเข้าไปในถิ่นของศัตรูมันต่างกัน” อัลบาทอสพูด

“ใช่ แต่อันตรายที่อาจเกิดขึ้นมันบังคับให้เจ้าเพิ่มจำนวนคนคุ้มกันเซนต์ ใช่ไหม?”

อัลบาทอสพยักหน้า สิ่งแรกคือต้องแน่ใจว่าฮิลลิสปลอดภัย

“ถ้าอย่างนั้น ถ้าคนเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์น้อยลง จะยึดมันคืนได้เหรอ? ถ้าเรายึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนไม่ได้ ก็เป็นไปได้ว่าเซนต์กับคนที่รอข้างนอกจะยิ่งมีอันตราย”

“นั่น...” อัลบาทอสลังเล

“หรือจะถอยกัน กลับไปเอากำลังเสริมแล้วค่อยมายึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์”

เหล่าพาลาดินเงียบเมื่อได้ยินข้อเสนอของแลนซีลอต แลนซีลอตไม่สนใจว่าพวกเขาจะโจมตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ เขาแค่อยากไปเมืองหลวงและตามหาเดนเบอร์กให้เร็วที่สุด

ฮิลลิสมองแลนซีลอตแล้วประกาศ “ไม่ เราถอยไม่ได้”

“ทำไม?” แลนซีลอตจ้องตาเธอ

เมื่อแลนซีลอตที่กลัวเธอมาตลอด มองเธอตรงๆ ฮิลลิสรู้สึกช็อกเล็กน้อย

“นั่น-” ฮิลลิสหาเหตุผล เราต้องไม่ถอยไปแบบนี้ ทำไม?

คิดตามเหตุผลแล้ว การถอยแบบที่แลนซีลอตพูดก็ถูก แต่พวกเขาทำไม่ได้ เพราะคำสอนทางศาสนาเหรอ?

ไม่ ฮิลลิสคิดว่าชีวิตสำคัญกว่าประโยคที่ถูกเขียนขึ้นมามาก

ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่ถอย?

มาคิดดูแล้ว ทำไมเธอออกแสวงบุญไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์นอกกำหนดการ? เพราะเธอคิดว่ามากับผู้คุ้มกันเยอะๆเป็นเรื่องน่ารำคาญเหรอ?

ไม่ ไม่ใช่ นั่นเป็นแค่เหตุผลที่เธอสร้างตามหลัง แม้เธอจะคิดจริงๆว่าผู้คุ้มกันเป็นเรื่องน่ารำคาญก็ตาม

แต่การแสวงบุญนอกกำหนดการเกิดจากแรงดลใจ ทำไม?

ฮิลลิสใคร่ครวญแล้วรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

ไม่ใช่ นี่คือความกระวนกระวาย?

ใช่แล้ว มันคือความกระวนกระวาย ที่เป็นต้นเหตุของการกระทำของฮิลลิส เพราะความกระวนกระวายทำให้เธอออกแสวงบุญอย่างไม่มีกำหนดการล่วงหน้า ด้วยจำนวนคนน้อยที่สุดเพื่อไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้เร็ว

ความกระวนกระวายนี้อาจเป็นสัญญาณจากการมองเห็นล่วงหน้าที่มีแต่เซนต์ที่รู้ หรืออาจเป็นสัญญาณจากพฤกษาโลก หรือความคิดทางศาสนาที่เธอถูกสอนตั้งแต่เด็กครอบงำเธอก็อาจเป็นไปได้

ความรู้สึกซับซ้อนในหัวฮิลลิสส่งผ่านทางสีหน้า

เหล่าพาลาดินตกใจเมื่อเห็นฮิลลิสสับสน เธอไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาง่ายๆ เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ พาลาดินก็พูดแทรก

“ไม่เป็นไร ท่านเซนต์ พวกเราจะทำตามความต้องการของท่าน”

“ใช่ ถ้าท่านอยากไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับพวกเรา เราจะทำตาม ดังนั้น-”

“ได้โปรดอย่าทำหน้าอย่างนั้น”

เหล่าพาลาดินคุกเข่าลง พวกเขารู้สึกผิดเมื่อเห็นฮิลลิสต่างไปจากตัวเธอตอนปกติที่สดใสร่าเริง

ฮิลลิสหลับตา “ขอบใจ” เธอแน่ใจว่าคนที่ได้รับพรคือเธอต่างหาก เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกเติมเต็มด้วยเหตุผลแค่มีคนเป็นห่วงเธอจากใจจริง

“ทุกคน ไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์กันเถอะ”

“ได้!”

เหล่าพาลาดินตะโกนตอบ

แลนซีลอตพยักหน้าและถอยไปเมื่อเส้นทางถูกกำหนดแน่แล้ว พวกเขาจะสู้หรือถอยก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้ไปเมืองหลวงเร็วๆ

ฮิลลิสขอบคุณแลนซีลอตในใจและมองไปทางซาฮาราม

เธอพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น “ข้าไม่รู้ว่านักเวทดำวางแผนอะไร แต่ไปสั่งสอนพวกนั้นกันเถอะว่าการอยู่ในซาฮารามเป็นเรื่องโง่แค่ไหน”

***

ชายชราท่องคาถาตรงหน้าแท่นบูชาอย่างดื้อดึง การเตรียมการไม่พร้อมและของสำคัญที่สุด คริสตัลคานีเลียน ก็ไม่มี แต่สามารถชดเชยช่องโหว่ได้ด้วยเนื้อและวิญญาณของเหล่านักเวทดำที่เขาฆ่าไป

พลังเวท ที่ควรจะมีหนาแน่น กลับถักทออย่างหลวมๆเข้าไปในแท่นบูชา ถึงอย่างนั้นพิธีกรรมก็ดำเนินต่อ เขารู้สึกเหมือนเดินบนเชือกขึงตึง สมาธิของชายชราไม่วอกแวกแม้เขาจะเหงื่อท่วมตัว

“แย่แล้ว! พวกพาลาดิน เฮือก!”

นักเวทดำที่รีบเข้ามาในห้องสะดุ้งเมื่อเห็นภาพพิธีกรรม

ชายชรา หัวหน้านักเวทดำ กำลังพยายามควบคุมพลังเวทหน้าแท่นบูชา ปัญหาคือภาพของนักเวทดำที่กลายเป็นศพและถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย

ดูเผินๆแล้วการใช้มนุษย์เป็นเครื่องสังเวยเป็นความเสียสติ แต่กระทั่งในสายตานักเวทดำมันก็ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรทำ พวกเขามีความรู้มากกว่าทำให้เข้าใจมากกว่าว่ามันเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวเพียงใด

นักเวทดำที่เข้ามาบอกข่าว ถอยไปเผชิญกับทางเลือก ตอนนี้ เซนต์มาถึงและเริ่มการสังหารหมู่ และต่อหน้าเขา หัวหน้าของเขากำลังทำพิธีกรรมที่ฝ่าฝืนข้อห้ามสูงสุด

นักเวทดำหันหลังออกจากวิหาร ถ้าเขาสู้ตายข้างนอกหรือถูกจับและส่งไปให้ผู้สอบสวนคนนอกรีต อย่างน้อยวิญญาณเขายังปลอดภัย

ในทางเลือกที่เลวร้าย เขาเลือกทางที่ดูจะแย่น้อยที่สุด


สารบัญ                                                   บทที่ 77.2


วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

แปลเพลงของ Iron & Wine - The Trapeze Swinger

แปลเพลงเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ช่วงนี้เริ่มชอบแนวโฟล์กซอง เอา  The Trapeze Swinger ของ Iron and Wine มาฝากค่ะ นักร้องเสียงนุ่มแท้

ลิงค์ไปฟังยูทูปค่ะ The Trapeze Swinger – Iron & Wine

เวอร์ชั่น cover ก็เพราะนะ ^.^ ลิงค์ไป Gregory Alan Isakov covers "The Trapeze Swinger"


Please, remember me happily
By the rosebush laughing
With bruises on my chin
The time when we counted every black car passing

Your house beneath the hill and up until
Someone caught us in the kitchen
With maps, a mountain range, a piggy bank
A vision too removed to mention

But please, remember me fondly
I heard from someone you're still pretty
And then they went on to say that the pearly gates
Had some eloquent graffiti

Like "We'll meet again" and "Fuck the man"
And "Tell my mother not to worry"
And angels with their gray handshakes
Were always done in such a hurry

And please, remember me at Halloween
Making fools of all the neighbors
Our faces painted white by midnight
We'd forgotten one another

And when the morning came, I was ashamed
Only now it seems so silly
That season left the world and then returned
But now you're lit up by the city

So please, remember me mistakenly
In the window of the tallest tower call
Then pass us by but much too high
To see the empty road at happy hour

Gleam and resonate just like the gates
Around the holy kingdom
With words like "Lost and found" and "Don't look down"
And "Someone save temptation"

And please, remember me as in the dream
We had as rug-burned babies
Among the fallen trees and fast asleep
Beside the lions and the ladies

That called you what you like and even might
Give a gift for your behavior
A fleeting chance to see a trapeze
Swinger high as any savior

But please, remember me, my misery
And how it lost me all I wanted
Those dogs that love the rain and chasing trains
The colored birds above their running

In circles 'round the well and where it spells
On the wall behind St. Peter's
So bright on cinder gray and spray paint
"Who the hell can see forever?"

And please, remember me seldomly
In the car behind the carnival
My hand between your knees, you turn from me
And said the trapeze act was wonderful

But never meant to last, the clowns that passed
Saw me just come up with anger
When it filled with circus dogs, the parking lot
Had an element of danger

So please, remember me, finally
And all my uphill clawing, my dear
But if I make the pearly gates
Do my best to make a drawing

Of God and Lucifer, a boy and girl
An angel kissing on a sinner
A monkey and a man, a marching band
All around the frightened trapeze swingers

Na-na-na, na-na-na, na-na, na-na, na-na-na-na-na
Na-na-na, na-na-na, na-na, na-na, na-na-na-na-na
Na-na-na, na-na-na, na-na, na-na, na-na-na-na-na
Na-na-na, na-na-na, na-na, na-na, na-na-na-na-na

--- 

ต่อไปเป็นแปลค่ะ

โปรด คิดถึงฉัน อยากสุขสันต์

หัวเราะร่าข้างกอกุหลาบ แก้มนั้น

มีรอยแผล

ตอนเรานับรถสีดำทุกคันที่วิ่งผ่าน

บ้านของเธอใต้เนินเขา ไม่หลับนอนจน

คนเจอเราในห้องครัว

กับแผนที่ภูเขา กระปุกออมสิน

ภาพเลือนรางแทบจำไม่ไหว

แต่ขอให้ คิดถึงฉันอย่างใฝ่ฝันหา

ได้ยินจากคนอื่นว่าเธอยังน่ารัก

แล้วพวกเขาพูดต่อว่าที่ประตูไข่มุกมี

ข้อความบนผนังอันคมคาย

อย่าง “เราจะได้เจอกันอีก” อย่าง “ไอ้ผู้ชายบ้า”

อย่าง “บอกแม่ว่าอย่าเป็นห่วง”

และผองนางฟ้ากับการจับมือสีเทา

ซึ่งมักจะทำด้วยความรีบเร่ง

และโปรด จำฉันในวันฮัลโลวีน

หลอกเพื่อนบ้านไปทั่ว

เราทาหน้าเป็นสีขาว จนเที่ยงคืน

เราลืมกันและกัน

และเมื่อเช้าขึ้นมา ฉันอาย

ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้สึกว่ามันตลกดี

ฤดูกาลนั้นผันผ่านไปและเวียนมาใหม่

แต่เธอไปกลายเป็นแสงไฟให้เมือง

จึงขอให้ คิดถึงฉัน ผิดพลาดไป

เรียกจากหน้าต่างของหอคอยสูงสุด

ผ่านเราไป แต่สูงเกินไป

จนมองไม่เห็นถนนเปล่าในชั่วโมงหรรษา

เปล่งแสงเรืองรองเหมือนประตูรั้ว

รอบนครศักดิ์สิทธิ์

ด้วยคำ อย่าง “หายและพบ” อย่าง “อย่ามองข้างล่าง”

อย่าง “คนจงระงับสิ่งล่อใจ”

และโปรด คิดถึงฉัน เหมือนในฝัน

เราเป็นทารกถูกห่อด้วยพรมไหม้

ท่ามกลางไม้ล้ม หลับสนิทข้าง

สิงโตและสตรี

เรียกพวกเราด้วยคำที่เราชอบ กระทั่งให้

ของขวัญชมเชยที่ทำดี

โอกาสได้เห็นนักกายกรรมห้อยโหน

สูงเท่าทูตสวรรค์ผ่านไปรวดเร็ว

แต่โปรด คิดถึงฉัน ความทุกข์ยากของฉัน

ที่เสียทุกอย่างที่ต้องการไป

หมาพวกนั้นที่รักสายฝน วิ่งไล่รถไฟ

นกสีสดใสบินบน

วิ่งวนบ่อน้ำและคำเขียน

บนผนังเบื้องหลังเซนต์ปีเตอร์

สีพ่นเจิดจ้าบนถ่านเทา

“ใครมันจะมองได้ตลอดไปวะ?”

และโปรด คิดถึงฉัน บ้างบางเวลา

ในรถจอดหลังงานเทศกาล

มือของฉันที่หว่างขาของเธอ เธอหันหลบ

และบอกว่ากายกรรมกลางอากาศนั้นงดงามแต่

ไม่ได้หมายให้มีตลอดไป ตัวตลกที่ผ่านมา

เห็นฉันขึ้นเสียงด้วยความโกรธ

เมื่อเต็มไปด้วยหมาของคณะละครสัตว์ ที่จอดรถนั้น

ก็ให้ความรู้สึกอันตราย

ดังนั้นได้โปรด คิดถึงฉัน จนถึงที่สุด

ความพยายามไต่ขึ้นภูเขา ที่รักเอย

แต่ถ้าฉันสร้างประตูไข่มุก

จะวาดให้ดี รูปของ

พระเจ้ากับลูซิเฟอร์ เด็กชายกับเด็กหญิง

เทวดาจูบบนคนบาป

ลิงกับคน ขบวนพาเหรด

ล้อมนักกายกรรมห้อยโหนที่ตกใจกลัว

----

โน๊ต – holy kingdom = สวรรค์ / pearly gates = ประตูสวรรค์ / St. Peter = เชื่อว่าเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้เฝ้าประตูสวรรค์

เพลงนี้แปลว่าอะไร – สำหรับคนแปลมองว่าตัวเอกได้ตายไปแล้วและรำลึกถึงเรื่องต่างๆในชีวิตของเขาค่ะ (ไม่น่าจะยืนยาวเท่าไหร่) มันมีทั้งดีและไม่ดี ซึ่งเขาจะคิดถึงคนรักเป็นพิเศษและไม่อยากให้เธอลืมเขา เขาคิดว่าตัวเองทำผิดพลาดและไม่ดีพอสำหรับผ่านประตูสวรรค์ได้ แต่ก็หวังว่าสวรรค์คงไม่คัดคนเคร่งครัดนัก (คนแปลชอบที่ประตูไข่มุกเขียนคำได้ติดดินซะ อย่างกับที่พ่นสเปรย์กันแถวสะพานลอย 55+ กับเซนต์ปีเตอร์ที่มีคนมาบ่นให้ว่าใครจะเฝ้าประตูได้ทั้งวัน) จึงเลือกที่จะเดินทางไปยังประตูไข่มุก ถ้าถึงที่นั่นได้ก็ตั้งใจจะวาดรูปเพื่อส่งข้อความถึงคนที่เขารักที่จะมาถึงที่นี่ในสักวัน

จบไปหนึ่งเพลงโปรด ไว้เจอกันใหม่เพลงหน้าค่ะ ^^//

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 76.2

 บทที่ 76.2

กร๊อบ!

เมลเซียหักคอนักเวทดำที่พยายามหาข้ออ้าง เหวี่ยงศพเขาไปอีกทางและมองรอบๆ จากนั้นเขาตรงไปที่นักเวทดำที่มีทรายติดเสื้อเหมือนเพื่อนนักเวทที่ตายไปแล้วของเขา

“ไม่! ไม่ใช่ข้า!”

เมลเซียตะครุบปากไม่ให้ข้ออ้างหลุดออกมา จากนั้นจับไหล่แล้วผลักแรงจนคอหัก

“เจ้าบ้า! ทำอะไรของเจ้า?!” ชายชราตะโกนและถลึงตาใส่เมลเซีย แต่เขาเพียงมองคนทั้งหมดด้วยสายตาเย็นชา 

“ทหารสำคัญ 90 คนตายเพื่อปกป้องหนอนแมลงพวกนี้ อย่าทำให้ข้าผิดหวังมากไปกว่านี้”

“บังอาจ! เจ้าสิหนอน นักดาบไร้พลัง อย่าทำให้ผิดหวังอะไร? คิดว่าจะพูดอะไรก็ได้เพราะเป็นคนโปรดของท่านผู้นั้นเหรอ?!”

เมลเซียหลับตาลงครู่หนึ่งแล้วลืมขึ้นใหม่ เขาพูดเสียงต่ำ “ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำให้ผิดหวัง?”

นักเวทดำคนหนึ่งลุกขึ้นแล้วร้อง “ฮะ แล้วยังไง? เจ้าจะทำอะไร?”

นักเวทดำคนอื่นร่วมด้วย

“เจ้ามันบ้า! บังอาจฆ่านักเวท!”

“อยากตายล่ะสิ!”

เมลเซียหัวเราะที่นักเวทที่ไม่กล้าสบตากับเขาเวลาอยู่ตามลำพังกำลังตะโกนและจ้องเขาเขม็ง

“ข้าไม่คุยด้วยแล้ว ไปล่ะ”

นักเวทดำสะดุ้ง

ตอนนี้เซนต์และพาลาดิน ศัตรูของนักเวทดำใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเมลเซียไม่อยู่ปกป้องระหว่างช่วงทำพิธี ไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องตายไปกี่คน

เมลเซียหันและเดินจากไปเมื่อชายชราผู้เฝ้าแท่นบูชาเรียก

“คานีเลียน เจ้าเจอคริสตัลคานีเลียนหรือไม่?!”

เมลเซียหยุด

“ไม่”

คำตอบของเมลเซียทำให้สีหน้านักเวทดีขึ้น นี่มีเหตุผลพอรั้งเมลเซียเอาไว้

ชายชราพูดเสียงแจ่มใส “ถ้าอย่างนั้น ที่นี่-”

เมลเซียตัดบทก่อนชายชราจะพูดจบโดยไม่หันไปมอง “ไปคุยกับคนผู้นั้นเอง”

พูดเสร็จ เขาออกจากห้อง

***

ฮิลลิสประชุมกับเหล่าพาลาดิน หัวข้อ แน่นอน คือจะทำอย่างไรกับพวกนักเวทที่ดูเหมือนจะยึดแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้

“เราต้องบุกเข้าไปเดี๋ยวนี้! จะปล่อยให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกนักเวทดำสกปรกยึดได้ยังไง!”

พาลาดินคนหนึ่งพูด แต่อีกคนส่ายหน้า

“ไม่ได้ ข้าเข้าใจความรู้สึก แต่ก่อนอื่นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของท่านเซนต์ ถ้าเราบุกเข้าไป ใครจะปกป้องท่าน?”

พาลาดินอีกคนกอดอกพูด “ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งส่วนหนึ่งไว้ปกป้องท่านเซนต์และที่เหลือโจมตี”

เหล่าพาลาดินเริ่มส่งเสียงดัง

“เงียบ! เราอยู่ต่อหน้าเซนต์นะ!” อัลบาทอสคำราม

เหล่าพาลาดินหุบปากและมองฮิลลิส นั่นเพราะ ถึงพวกเขาจะเถียงกันขนาดไหน การตัดสินใจของฮิลลิสต่างหากที่เป็นตัวตัดสิน

ขณะคิดใคร่ครวญ ฮิลลิสเหลือบมองพวกแลนซีลอตและถาม “พวกเจ้าคิดยังไง?”

ความเห็นของพาลาดินเป็นสิ่งที่เธอคาดการณ์ได้อยู่แล้ว ดังนั้น ได้ฟังความเห็นของคนที่มุมมองต่างกันก็ไม่เลว

“เอ่อ ไม่รู้สิ ข้าไม่เคยเรียนพวกยุทธศาสตร์” เลชาพูด 

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่อยากฟังความเห็นของคนนอกวิหาร” ฮิลลิสยิ้มขี้เล่น ตอนนี้ไม่ใช่คำถามว่าจะสู้อย่างไรแต่เป็นควรสู้หรือเปล่า เรื่องกลยุทธ์ไว้กำหนดทีหลังก็ได้

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอพูดได้ไหม ท่านเซนต์”

ฮิลลิสพยักหน้าให้แมค “แน่นอน”

“ถ้าจะโจมตี ข้าอยากไปเอง”

“หืม?” 

แมครู้ว่าเขาพูดไม่ละเอียด จึงอธิบายต่อ “ข้าหมายถึงข้าอยากให้กลุ่มของเซนต์กับกลุ่มของข้าโจมตีจากคนละทาง”

เมื่อฮิลลิสเข้าใจแล้ว เธอก็ส่ายหน้า “ไม่ นี่เป็นงานของพวกข้า จะให้พวกเจ้าตกอยู่ในอันตรายเพราะเรื่องของพวกข้าไม่ได้” เธอรู้สึกผิดอยู่แล้วที่ทำให้พวกเขาพัวพันกับนักเวทดำ จึงไม่ต้องการให้พวกเขาสู้ด้วย

แต่แมคยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แต่พวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ไปด้วยกันเถอะ” เขาจะพลาดเรื่องสนุกแบบนี้ไม่ได้ และเขาอยากสู้กับเมลเซียอีก ราชาทหารรับจ้างสู้ได้น่ารำคาญ แต่มาคิดอีกดูแล้ว แมครู้สึกว่าน่าสนุก

ถึงจะใช้วิธีน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่กระทั่งในหมู่บ้านเผ่ากา มีไม่กี่คนที่สู้กับแมคได้นานแบบนั้น

“แล้วท่านทูตล่ะ? อยากสู้ไหม?”

“ข้าไม่-”

แมคเหวี่ยงแขนไปโอบบ่าแลนซีลอตแล้วตัดบท

“เฮ้ ท่านทูตบอกว่าเขาอยากสู้ด้วย”

“มู่!” แลนซีลอตปฏิเสธแต่พูดได้ไม่ชัดเพราะแก้มถูกเบียดด้วยแขนของแมค

เลชาใช้คทานักเวทตีหัวแมคแรงๆ

“โอ๊ย! เจ็บนะ! ตีข้าทำไม?”

แมคลูบหัวแล้วมองเลชา เธอเตรียมจะโบกคทาอีกรอบ “เจ้าพูดใช่ไหมหรือไม่ได้พูดว่าจะทำตามความเห็นของแลน?”

“โอ้ ฮ่าๆ ข้าพูด แต่-” แมคทำหน้าเศร้ามองแลนซีลอต

แลนซีลอตถอนหายใจเมื่อเห็นแมคทำหน้าเหมือนลูกหมาถูกทิ้ง “เฮ้อ ถ้าพวกเขาตัดสินใจสู้ก็สู้กับเขาแล้วกัน”

“ฮ่าๆๆ ขอบใจ!” แมคกอดแลนซีลอตเหมือนในที่สุดก็ได้ของขวัญที่อยากได้

แลนซีลอตพูดด้วยเสียง ‘พ่อกับแม่ซื้อลูกหมาให้แล้วนะ แต่ลูกต้องเป็นคนรับผิดชอบพามันไปเดินเล่น’ “ถ้าพวกเขาตัดสินใจไม่สู้ เราก็ต้องเดินทางต่อนะ”

“แน่นอน!” แมคยิ้ม

“จะดีเหรอ?” เลชาถามด้วยความกังวล

“ไม่เป็นไร จะทางไหนเราก็ช้าทั้งนั้น ถ้าแยกกัน เราก็ต้องกลับไปหาคนนำทางที่หมู่บ้านโอเอซิสอยู่ดี”

แลนซีลอตอยากรีบไปเมืองหลวงและหาเดนเบอร์ก เขาไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้

“แล้วท่านเซนต์ต้องการแบบไหน? เราช่วยแนะนำเรื่องการต่อสู้ได้ แต่คงพูดไม่ได้ว่าควรสู้หรือเปล่าเพราะเราไม่รู้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์สำคัญขนาดไหนสำหรับท่านเซนต์และพาลาดิน”

สำหรับเผ่ากา ถ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ซาฮารามเป็นเหมือนดูมสโตนหรือเดนเบอร์กผู้สืบทอดตำแหน่ง เผ่ากาจะส่งทุกคนไม่ว่าอ่อนแอหรือเข้มแข็งไปปกป้องไม่ว่าจะต้องตายไปเท่าไหร่

ฮิลลิสลังเล

“ข้า...อยากปกป้องแดนศักดิ์สิทธิ์”

อาจเป็นแค่ความเห็นแก่ตัว แต่นี่เป็นสิ่งที่ฮิลลิสต้องการจริงๆ เธอไม่อยากเห็นแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของพวกต่ำช้าแม้แต่ขณะเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมือของนักเวทดำผู้ชั่วร้าย

เหล่าพาลาดินตอบรับความต้องการของฮิลลิส “ดาบของพวกเราจะตอบรับความปรารถนาของเซนต์ ตลอดไป” พวกเขาชักดาบออกมาพร้อมกันและทำความเคารพให้ฮิลลิส

ฮิลลิสพูดด้วยสีหน้าเข้มแข็งขึ้น “ตอนนี้พักผ่อนก่อน เก็บแรงของพวกเจ้าไว้ เราจะโจมตีตอนเช้า” จากนั้นเธอก้มหัวไปทางพวกแลนซีลอต “พวกเราขอรับความช่วยเหลือจากพวกเจ้าด้วยความขอบคุณ”

***

“ท่านจะปล่อยเขาไปแบบนั้นเองเหรอ?” นักเวทดำคนหนึ่งถามชายชราผู้เฝ้าแท่นบูชา

ชายชราขบกราม เขาเป็นคนเดียวที่สามารถหยุดเมลเซียได้ แต่พลังเวททั้งหมดของเขาผูกกับแท่นบูชา เขามองนักเวทดำรอบตัวแล้วถอนหายใจ

นักเวทเหล่านี้ไม่มีความสามารถ ต่อให้ออกไปจับเมลเซีย นักเวทเหล่านี้จะสู้กับทหารเขาได้หรือเปล่า อย่าว่าแต่เมลเซียเองเลย?

ไม่ ชายชราไม่เชื่อในตัวนักเวทเหล่านี้ ถ้าที่นี่ไม่ใช่ซาฮาราม การปราบทหารเป็นเรื่องง่ายและเขาจะทำให้เมลเซียคลานลอดหว่างขาเขาก็ยังได้

แต่ซาฮารามเป็นที่ซึ่งวิหารเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังของพฤกษาโลกที่มีเต็มซาฮารามเป็นอันตรายต่อเหล่านักเวทดำ

ชายชราลูบอก ตรงนั้นมีสร้อยที่เหมือนสร้อยของเมลเซียแขวนอยู่

พลังของท่านผู้นั้น จอมเวท ไม่แพ้พลังของพฤกษาโลก ที่จริงมันสามารถข่มพลังของพฤกษาโลกได้ด้วย

ชายชราไม่สงสัยในความเชื่อของเขา พิธีกรรมจะสร้างอนาคตใหม่ให้กับเหล่านักเวทดำ มันจะทำให้นังนั่นและสาวกของนางที่ข่มขู่พวกเขาต้องคุกเข่าให้พวกเขา

ในใจของชายชรา ท่านผู้นั้นกลายเป็นความเชื่อความศรัทธา เป็นความจริง

ชายชราหลับตาและกวาดมือไปตามแท่นบูชา สูตรอันงดงามนี้คือเส้นทางให้เราเชื่อและเดินตาม มันเป็นเป้าหมายของการยกย่อง เขาลืมตาและพูดเสียงต่ำ “เริ่มพิธีเดี๋ยวนี้เลย”

นักเวทดำคนอื่นกระสับกระส่าย

“ไม่ การเตรียมการยังไม่พร้อม!”

“ถึงพร้อมแล้วก็เถอะ แล้วคริสตัลคานีเลี่ยนที่ต้องใช้ในพิธีล่ะ?”

ชายชราเดินผ่านเหล่านักเวทดำไปยังศพสองศพที่นอนบนพื้น เขาวางมือบนหน้าอกของศพหนึ่งและสูบพลังเวท

“คึๆ ความโลภคือแก่นแท้ของมนุษย์”

เหล่านักเวทดำหน้าซีดและพยายามวิ่งหนี สิ่งที่ชายชราทำเป็นข้อห้ามแม้แต่ในเหล่านักเวทดำ

“บังอาจ! ที่นี่มีความมืดอันยิ่งใหญ่อาศัยอยู่ ทุกคนห้ามขยับ!”

ชายชราร่ายเวท ความมืดเข้ามาปกคลุมทุกสิ่งยกเว้นแท่นบูชาและนักเวทดำ

เหล่านักเวทดำรู้สึกสิ้นหวังเมื่อพวกเขาถูกล้อมด้วยความมืด พวกเขาอยากตัวสั่นด้วยความกลัว แต่กระทั่งการกระทำที่เป็นตามสัญชาติญาณยังทำไม่ได้ในความมืดนี้

“คึๆ ข้าจะให้เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเร่ง”

ชายชรารู้สึกว่าเมื่อพลังเวทถูกสูบออกมาก็จะถูกดูดเข้าไปในแท่นบูชาอย่างรวดเร็ว เขามองแท่นบูชาอย่างตามใจแล้วเดินไปหาเหล่านักเวทอย่างช้าๆ 

พวกเขาอยากตะโกน “ไปห่างๆข้านะ!” แต่ขยับตัวไม่ได้เหมือนเวลาหยุดนิ่ง เหล่านักเวทดำถูกสูบพลังเวทไปและตายเหมือนซากศพแห้ง โดยไม่อาจแม้แต่กระพริบตา

เมื่อนักเวทดำตายหมด ชายชราสูบความมืดทั้งหมดหายไป

เขาตะโกนด้วยเสียงร่าเริง “เริ่มพิธีกรรม!”

เหมือนตอบรับเสียงตะโกน แท่นบูชาสั่นและเริ่มส่งแสงจากสูตรเวทที่มีเต็มแท่นบูชา




สารบัญ                                                            บทที่ 77.1

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 76.1

 บทที่ 76.1

แมคหลบไม่ทันและต้องจับด้ามหอกด้วยมือซ้าย เขาไม่ชอบการใช้แรงเข้าว่าแต่ที่สุดแล้วก็ตัดสินใจยกเมลเซียไปกับหอกและเหวี่ยงเขา

แต่เมลเซียมีประสบการณ์ในสนามรบลึกล้ำ เขาปล่อยหอกและถอยอย่างรู้จังหวะ

เมื่อแรงถ่วงจากเมลเซียหายไป แมคก็เซถอยหลัง และลูกธนูพุ่งมาทางเขาพอดี

เช้ง! เช้ง!

แมครีบตั้งตัวและฟันลูกธนู หลบดาบของเมลเซียที่ตั้งใจจะรีบฟันแล้วถอย แมคก้มตัวลงและฟันท้องเมลเซีย ซึ่งฝ่ายหลังหลบอย่างรวดเร็ว ส่งพลังเวทไปที่ทรายแล้วเตะมันใส่หน้าแมค

แมคยกแขนซ้ายขึ้นกันหน้า รวบรวมพลังเวทป้องกัน จากนั้นกลิ้งตัวไปตามพื้นหนึ่งตลบก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่สู้กับเมลเซีย พื้นที่ทะเลทรายก็เริ่มสร้างความรำคาญให้เขา

“ว้าว ไม่ได้เห็นใครสู้ได้ขี้ขลาดขนาดนี้มาตั้งแต่นายน้อยไม่อยู่แล้วนะ”

“ฮ่าๆ แสดงว่านายน้อยคนนั้นสู้เป็น”

เมลเซียโต้ตอบแมคที่กำลังกรุ่นๆ ไม่รู้ทำไมแต่ขนาดวิธีพูดยังคล้ายกัน มันทำให้แมครำคาญ

“เอ่อ มันไม่ขี้ขลาดเกินไปสำหรับคนที่ถูกเรียกว่าราชาทหารรับจ้างเหรอ?”

“ราชาทหารรับจ้างเป็นตำแหน่งที่ถ้าไม่ขี้ขลาดก็รอดยาก”

“ไหนใครบอกว่าให้เรียกอัศวินดำ?”

“ไม่รู้สิ? อย่างน้อยเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” เมลเซียพูดเหลวไหลต่อ

“ข้าคิดว่าเป็นคนตรงหน้าข้า สงสัยจะเข้าใจผิด”

“วันนี้เป็นคนหนึ่ง พรุ่งนี้ถือเป็นคนอื่น ว่าไหมว่าเจ้าโชคดีที่ได้รู้ซึ้งถึงข้อนี้?”

เมื่อเห็นการวางท่าสั่งสอน แมคตัดสินใจสู้เต็มที่

จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้เอาจริง แต่ตัดสินใจสู้เต็มที่แล้ว

ไม่สิ ฆ่าเลยดีกว่า

“หึๆ ตายซะเถอะ นายน้อย!”

รัศมีดาบน่าเกรงขามออกจากดาบของแมคและพุ่งใส่เมลเซีย มันเป็นรัศมีที่เหมือนต้องการกำจัดทุกอย่าง เหล่าพาลาดิน, คนพันผ้าโพกศีรษะ, กระทั่งเมลเซียต่างก็ล้มกลิ้ง

“ฮ่าๆๆ รู้ไหมข้าถูกหัวหน้าอัดน่วมแค่ไหนที่แพ้นายน้อย!!”

แมคปลดปล่อยรัศมีดาบเหมือนระบายอารมณ์ทั้งหมดออกมา

“อ้า! แมคบ้าไปแล้ว!” อัลบาทอสร้องด้วยความกลัว

เป้าหมายคือเมลเซียแน่นอน แต่ผลกระทบจากรัศมีดาบของเขาส่งไปทุกที่ ขณะเดียวกัน เมลเซียผู้เป็นเป้าหมาย หนีจากรัศมีดาบต่อพร้อมความรู้สึกว่ากำลังถูกใส่ร้าย

“ถอย! ทุกคนถอย!” เมลเซียร้อง

คนของเขาหนี ทหารรอบๆถอยไปหมดแล้ว เหลือแต่เมลเซียกับคนของเขา จึงไม่ต้องถ่วงเวลา

เมลเซียกับคนของเขารีบขึ้นอูฐและขี่ไปทางแดนศักดิ์สิทธิ์ ซาฮาราม

แมคไม่ไล่ตาม เขาดูโล่งใจแปลกๆ ไม่ใช่เพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องสู้กับศัตรูที่กำลังหนี แต่เขารู้สึกพอใจที่ได้ปลดปล่อยความเครียดออกมาหมดมากกว่า อีกอย่าง ถ้าไล่ตามไปและหลงทางกลับไปหาแลนซีลอตกับเลชาไม่ได้คงกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก

อัลบาทอสคิดว่าแมคแกล้งคลั่งเพื่อไล่ศัตรูไป ถึงจะเป็นแมค คนเผ่ากา ก็ต้องเหนื่อยถ้าปล่อยรัศมีดาบออกมาขนาดนั้น

แม้แต่พาลาดินที่ฮิลลิสคอยสนับสนุนยังรู้สึกเหนื่อยจากการรบที่ได้บาดแผลมาเป็นพัน ดังนั้นเขาย่อมคิดว่าแมคต้องเหนื่อยกว่าเพราะไม่ได้รับการสนับสนุน

“พวกเรากลับไปหาเซนต์”

ตรงที่เกวียนของฮิลลิสจอดอยู่ มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ถูกลูกธนูปักเหมือนกระบองเพชร ใต้ต้นไม้ เลชากำลังทำสมาธิ

ฮิลลิสเตะประตูและเดินออกมา ถอนหายใจยาว เหงื่อท่วมตัว

“โอ๊ย จะตายแล้ว เหนื่อยมาก! น้ำ!”

“ขอบคุณค่ะ เหนื่อยหน่อยนะคะ! นี่ค่ะน้ำ”

ฮิลลิสรับน้ำจากหญิงรับใช้แล้วนั่งลง

เธอใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ให้พาลาดินเป็นเวลานาน รักษาบาดแผลของเหล่าพาลาดินที่ไปสู้กับนักเวทดำรวม 3,796 ครั้ง ถ้าเป็นนักบวชธรรมดา เพียง 10 นาทีก็ถึงขีดจำกัดแล้ว

ทันทีที่เห็นคนทั้ง 5 กลับมา เธอถามแมคก่อน “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” การสนับสนุนและการรักษาของฮิลลิสถูกตั้งให้ตอบรับกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของพาลาดิน แมคจึงไม่ได้รับอะไรเลย

“อย่างที่เห็น ข้าสบายดี”

เห็นแมคกางแขนให้ดู ฮิลลิสโล่งใจและบ่นใส่พาลาดิน “ข้าบอกไปแล้วนะว่าอย่าเจ็บบ่อยๆเพราะมันทำให้ข้าเหนื่อย”

“ขอโทษครับ”

เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของพาลาดินแล้วฮิลลิสก็ถอนหายใจ “เฮ้อ ยกโทษให้ก็ได้เพราะพวกเจ้ารอดชีวิตกลับมา”

เหล่าพาลาดินที่หดหู่เพราะคำบ่นของเธอ เงยหน้ามองด้วยความซึ้ง

“เตรียมตั้งแคมป์ ข้าเหนื่อย”

พาลาดินที่อยู่ปกป้องฮิลลิสตั้งแคมป์ทันที โชคดีที่มีต้นไม้ของเลชาจึงมีฟืนเหลือเฟือ แต่ปัญหาคือนักเวทดำและกองทหารที่หนีไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ซาฮาราม

***

เมลเซียและคนของเขากระตุ้นอูฐที่วิ่งจนเหนื่อยไปยังซาฮาราม เมื่อเขามองไปเห็นต้นไม้ใหญ่แม้ยังเป็นเวลากลางคืน เมลเซียก็ขี่อูฐช้าลง

ต้นไม้นั้นคือเหตุผลที่ทำให้ซาฮารามถูกเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์

เมื่อเขาใกล้ต้นไม้ หมู่บ้านที่เหมือนโบราณสถานก็เข้าสู่สายตา หมู่บ้านนั้นคือซาฮาราม แดนศักดิ์สิทธิ์

ตอนกลางคืนทำให้มองไม่ค่อยเห็น แต่ต้นไม้มีขนาดใหญ่จนสามารถปกคลุมทั่วทั้งซาฮาราม

มันเงียบสนิทเมื่อเมลเซียเข้ามา ไม่เหมือนชื่อ ที่นี่คือหมู่บ้านรกร้างที่ไม่ให้ความรู้สึกถึงชีวิตชีวา แต่ที่นี่เป็นที่ๆไม่มีใครคาดคิดว่าจะอยู่ในทะเลทราย

ซากปรักหักพังถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์ และตรงกลางของซาฮาราม มีต้นไม้ใหญ่ที่ปล่อยพลังชีวิตออกมาเข้มข้น ยืนต้นสูงจนทำให้ชวนสงสัยว่ามันโตแบบนี้ได้อย่างไรในทะเลทราย

โบราณสถานที่ดูเหมือนอยู่ในป่าลึกแต่กลับมาอยู่กลางทะเลทราย

ต้นไม้ถูกเรียกว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หรือพฤกษาโลกและมีพลังพิเศษ พลังนั้นทำให้ไม่เพียงแต่มนุษย์แต่กระทั่งแมลงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เพราะเหตุนี้ กระทั่งวิหารที่ดูแลมันยังไม่สามารถอยู่ที่นี่ ได้แต่เดินทางจากหมู่บ้านโอเอซิสมาคุ้มครองมัน

ที่จริงแล้ว ซาฮารารามเป็นที่ที่ไม่ต้องการการคุ้มครองเลย พลังของพฤกษาโลกหุ้มซาฮารามไว้ จึงไม่มีทางทำลายที่นี่ได้ มันยังทำให้เหมือนเวลาหยุดนิ่ง

เมื่อเมลเซียเข้าซาฮาราม พลังก็มาครอบคลุมเขาไว้ตามที่เป็นเสมอ มันทำให้เขารู้สึกกังวล เขาคลำหน้าอกตนเอง สร้อยคอเวทมนตร์ที่อกเขาเปล่งพลังทำให้พวกเขาอยู่ที่นี่ได้นาน

สร้อยคอที่ทหารส่วนใหญ่มีเป็นของทำลวกๆจากนักเวทดำซึ่งอยู่ได้ไม่เกิน 15 วัน แต่สร้อยคอของเมลเซียให้ผลเกือบตลอดกาล และเขาได้รับมอบมาเป็นพิเศษจากคนที่เขารับใช้

เดินลึกเข้าไป เมลเซียมาถึงรั้วไม้ เขาขมวดคิ้ว

ตอนเขาออกไปเมื่อเช้า รั้วนี้ยังไม่มี เหตุผลเดียวที่รั้วนี้ถูกตั้งขึ้นคือพวกเขากำลังทำพิธีกรรม

“หยุด! ไม่อย่างนั้นข้าจะยิง!”

บนรั้วไม้ ธนูเล็งมาทางเมลเซียกับพวก นั่นเพราะมันเป็นกลางดึกและพวกของเมลเซียไม่มีคบไฟ

และที่พวกเขาไม่มีคบไฟเพราะมันถูกใช้ในสนามรบ แต่สุดท้ายก็ถอยโดยไม่ทันได้เอาคบไฟกลับ

เมื่อเมลเซียกับพวกหยุด ทหารบนรั้วไม้ถาม “ใคร!”

“กัปตันกองกำลังพิเศษ เมลเซีย!”

พวกทหารที่ป้องกันรั้วลังเล ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เก็บธนู

“ดำ!”

“แสงดาว!”

“13!”

“37!”

ขานรหัสลับเสร็จ ทหารลงจากรั้วไม้ “ข้าจะเริ่มขั้นตอนยืนยันตัวตน โปรดรอสักครู่!” ทหารถือคบไฟ ลงมาเปิดประตูรั้วไม้และเดินออกมา “เอ่อ ขอโทษด้วยครับ!”

เมลเซียตบบ่าทหารที่กำลังกระวนกระวาย “ไม่หรอก ทำได้ดีแล้ว แต่คราวหน้าแค่โยนคบไฟลงมาดูหน้าก็พอ ถ้าข้าเป็นศัตรู ชีวิตเจ้าจะมีอันตราย”

“ขอบคุณครับ!” ทหารทำความเคารพ เขาดูซาบซึ้ง

เมลเซียยิ้มบางแล้วเข้ารั้ว

ในรั้วไม้มีกระโจมจำนวนหนึ่งซึ่งตอนแรกตั้งอยู่นอกซาฮาราม เมลเซียกัดฟันเมื่อเห็น ทหารพวกนี้ไม่มีสร้อยคอทำจากนักเวทดำเหมือนเมลเซียกับคนของเขา ส่งทหารธรรมดาที่ใช้พลังเวทยังไม่ได้เข้ามาในซาฮารามก็เหมือนทำให้พวกเขาอายุสั้นลง

แน่นอน ถ้าแค่วันเดียวก็ไม่เป็นอะไร แต่ที่พวกเขามาประจำที่นี่ตลอดช่วงพิธีกรรมแสดงว่าทหารพวกนี้ไม่มีความสำคัญ

ขณะที่เมลเซียมองกระโจมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเห็นผู้บัญชาการในทหารกำลังถือค้อนตั้งกระโจม

ค้อนถูกห่อหุ้มด้วยพลังเวทออกสีน้ำเงิน แต่ถ้าจะให้เข็มปักลงในดินแดนที่มีพลังของพฤกษาโลก ค้อนและเข็มจะต้องมีรัศมีดาบปกคลุม

“ขยันจังนะ”

“กัปตันเมลเซีย! ดีจริงที่เห็นท่านไม่เป็นอะไร”

ผู้บัญชาการเพิ่งเห็นเมลเซียเมื่อเขาพูดขึ้น แต่ดูโล่งใจที่เห็นเขาพลางปาดเหงื่อ เขารู้สึกผิดที่ทิ้งเมลเซียและนำแต่คนของเขาถอนกำลัง แม้นั่นจะเป็นการตัดสินใจเพื่อรักษาชีวิตทหารก็ตาม

เมลเซียอ่านใจออก เขาตบหลังผู้บัญชาการ “เจ้าคิดว่าข้าจะตายเพราะคนแค่ห้าคนเหรอ?” เขาพูดอย่างไม่กดดันและยิ้มให้ด้วย

แต่ผู้บัญชาการห่อไหล่เมื่อเห็นสายตาของเมลเซียเปี่ยมด้วยอันตราย เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังตะโกน “ข้าดูอ่อนแอขนาดนั้นเหรอ?”

“อา เปล่า ข้าขอโทษ”

เมลเซียรู้สึกหดหู่ขึ้นมา เวลาเขาพูดเล่นทีไรจะได้ปฏิกิริยาแบบนี้กลับมาทุกที ทอดถอนในใจ เมลเซียกระซิบบอกผู้บัญชาการว่าเขาพูดเล่นพลางตบไหล่เบาๆ

“เตรียมตัวให้พร้อมออกจากที่นี่ทุกเวลา”

“ครับ? แต่-”

ผู้บัญชาการมองอย่างสงสัย แต่เมลเซียส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม จากนั้น เขาตรงไปที่แท่นบูชา

***

แท่นบูชาอยู่ในสิ่งก่อสร้างใหญ่ที่สุดตรงกลางซาฮาราม เมื่อก่อนมันอาจเป็นวิหารเพราะมีรัศมีศักดิ์สิทธิ์แทรกซึมอยู่

เมลเซียไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมเหล่านักเวทดำทำการทดลองมนตร์ดำในที่แบบนี้ แต่คนที่เตรียมพิธีกรรมมีความตั้งใจจริง

แท่นบูชาอยู่ในห้องลึกที่สุดของวิหาร ใน 300 คนที่อยู่ที่นี่ นักเวทดำมี 20 คนและที่เหลือคือ ‘สามัญชน’ ที่คอยทำตามคำสั่งของนักเวทดำระดับสูง

เมลเซียต่อสู้มานับไม่ถ้วน สำหรับเขา คนที่นี่หรือข้างนอกไม่ถือเป็นนักเวท เขาจึงไม่ชอบที่คนพวกนี้ทำตัวเหมือนนักเวท

“อ้อ มาแล้วเหรอ?” หนึ่งในนักเวทดำลุกจากที่แล้วเดินมาหาเมลเซีย

เมลเซียคว้าคอของเขาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วยกขึ้น

“แค่ก! อะไร...ทำไม!”

“เจ้าทำอะไร?” ชายชราที่ควบคุมพิธีและอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของนักเวทโกรธ แต่เมลเซียไม่สนใจเขา

“เจ้าใช่ไหม? คนที่ปฏิเสธคำขอใช้เวทมนตร์?”

นักเวทดำที่ถูกรัดคอเพิ่งรู้ว่าเป็นเพราะเขาไม่ยอมสร้างแสงสว่างตามคำขอของผู้บัญชาการตอนจู่โจมเซนต์

“ไม่...ไม่...ข้า!”


สารบัญ                                                  บทที่ 76.2

เผื่อลืม แมคเรียกเดนว่านายน้อย เรียกดูมสโตนว่าเจ้านายค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 75.2

 บทที่ 75.2


แมคก้าวไปข้างหน้าและเหวี่ยงดาบ อูฐที่เขาขี่ตายด้วยหอกของศัตรู แมคไม่เคยวิ่งบนทรายมาก่อนและอูฐวิ่งเร็วกว่า เขาจึงรู้สึกเสียดายที่เสียมันไป

อัลบาทอส หัวหน้ากลุ่มพาลาดิน ก็เสียอูฐของเขาเช่นกันและเสียดายไปกับแมค เขาภาวนาให้อูฐที่ตัวยังอุ่นๆ ได้ไปสู่อ้อมแขนของพระเจ้าและได้อยู่กับอูฐของเขา

ไอ้พวกที่ขายวิญญาณให้นักเวทดำไม่ได้ไปอยู่ข้างพระเจ้า แต่พระเจ้าก็สร้างนรกเช่นกัน เขาคิดว่าอย่างน้อยควรจะส่งมันไปที่นั่น

“ทำอะไรกัน? ศัตรูมีแค่ 5 คน! รุมพวกมันสิ!”

แม้จะเป็นคำสั่งของผู้บัญชาการแต่พวกทหารก็ลังเล พลังของศัตรู 5 คนที่ฝ่าเข้ามาดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นไม่ลดลง

“อึ่ก! พวกมันไม่เหนื่อยกันเลยเหรอ?”

แผลของพาลาดินหายทันทีที่พลหอกแทงพวกเขา พลังฟื้นฟูเทียบเท่ากับของโทรล มอนสเตอร์หายากแม้แต่ในภูเขาแอลป์อันเป็นสวรรค์ของมอนสเตอร์ หรืออาจจะเหนือกว่า

“ไอ้พวกแมลงสาบ”

การจู่โจมเพิ่งผ่านไป 20 นาที แต่กลุ่ม 5 คนนี้ฆ่าทหารไป 60 คนแล้ว ไม่ใช่ ควรจะบอกว่าตายไปน้อยกว่าที่คิดมากกว่า เพราะถึงอย่างไร พวกเขาคือพาลาดินที่ได้รับการอวยพรจากเซนต์

สาเหตุที่คนตายน้อยก็เพราะ ศพของคนที่ตายหลังจากกินน้ำยาจะถูกพวกนักเวทดำใช้เป็นโล่ต่อต้านศัตรู ถ้าเป้าหมายของพวกเขาคือใช้ทหารธรรมดาถ่วงเวลา ก็ถือว่าใช้ทหารพวกนั้นอย่างคุ้มค่า

ผู้บัญชาการปลอบใจตัวเองและมองฟ้า การจู่โจมเริ่มตอนเย็น และตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน

เราต้องสู้กับสัตว์ประหลาดพวกนี้ในความมืดเหรอ?

ความคิดนี้ขู่ขวัญผู้บัญชาการ ต่อให้รอบด้านมืดสนิท พวกพาลาดินก็ยังสามารถเห็นได้เหมือนเป็นเวลากลางวันด้วยการอวยพรจากฮิลลิส เพื่อให้เสมอกัน ผู้บัญชาการสงสัยว่านักเวทในกองทัพจะสามารถใช้เวทมนตร์แบบเดียวกันให้ทหารแต่ละคนได้หรือไม่ ตอนนั้นเอง เขาก็เกิดความคิดหนึ่ง

ถ้าใช้เวทมนตร์ให้ทหารทุกคนไม่ได้ แล้วการส่องแสงให้ทั้งสนามรบล่ะ?

“กลับไปขอให้นักเวทใช้เวทแสง” ผู้บัญชาการออกคำสั่งให้ผู้ช่วยของเขากลับไปแนวหลัง

ที่เป็นการขอไม่ใช่คำสั่งเพราะนักเวทด้านหลังไม่ได้อยู่ใต้คำสั่งของเขา แม้จะไม่รับคำสั่ง แต่ตามหลักการแล้วเขาเป็นหัวหน้า

มองฟ้าสีแดง ผู้บัญชาการรอให้แสงมา แต่จนดวงอาทิตย์หลบหลังเนินทรายเกือบหมดแล้ว แสงก็ยังไม่มา เมื่อความกระสับกระส่ายของผู้บัญชาการเกือบถึงขีดสุด ผู้ช่วยก็รีบกลับมาถึง

“ผู้บัญชาการ พวกเขาบอกว่าใช้เวทมนตร์ไม่ได้!”

“อะไรของมัน?!” ผู้บัญชาการสบถกับคำตอบเหลวไหลที่ผู้ช่วยนำมา

“พวกเขาบอกว่า เราต้องเก็บพลังเวทไว้เพื่อรับมือกับนักเวทของฝ่ายเซนต์...”

“เวร! นั่นพูดหรือตดวะ! ถ้าแมลงสาบพวกนั้นฝ่ามาได้ พวกนักเวทจะตายก่อน!”

ผู้ช่วยสะดุ้งเมื่อเจอกับความโกรธของผู้บัญชาการ

“ไฟ! จุดคบไฟทั้งหมด!”

“คะ ครับ!”

คำสั่งใหม่ทำให้ทหารที่มีมือว่างจุดคบไฟ แต่คบไฟที่เตรียมมามีจำกัด จึงไม่สามารถทำให้สนามรบสว่างเหมือนกลางวันได้ ถึงอย่างนั้น แค่ทำให้ทหารมองเห็นได้ก็พอ

“บ้าจริง ถ้ากัปตันเมลเซียอยู่ด้วยก็ดีสิ!” ผู้บัญชาการกัดฟัน 

ถ้ามีอย่างน้อยสักคนที่สามารถรับมือกับพวกที่ฝ่ามาเพื่อฆ่าพวกนักเวทดำ เขาจะส่งทหารไปที่เซนต์หญิงได้ แต่ตอนนี้ ถ้าเขาส่งทหารไป การป้องกันตรงนี้จะพังลง

เขาอยากจับดาบสู้กับพวกพาลาดินตอนนี้เลย แต่ในฐานะผู้บัญชาการ เขาไม่อาจทำบุ่มบ่ามได้ ถ้านี่เป็นการประลองเขาจะไปสู้ทันที

ตอนนั้นเอง คบไฟหนึ่งส่องแสงในความมืดของทะเลทรายห่างออกไป จากนั้นแสงไฟก็ตรงมาทางพวกเขา ผู้บัญชาการหวั่นวิตก เชื่อว่ามีพาลาดินมาเป็นกำลังเสริม ถัดจากคนถือคบไฟเป็นคนถือธงขี่อูฐ เมื่อเห็นตราบนธงแล้วผู้บัญชาการก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา

“เปิดทาง! กัปตันเมลเซียมาแล้ว!”

ทหารโห่ร้องอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงของผู้บัญชาการ

“เปิดทาง!”

***

เมลเซียเร่งขี่อูฐฝ่าเข้ามาในท่ามกลางสนามรบ โชคดีที่ทหารเห็นธงและหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว

พริบตาเดียวเขาก็มาถึงเหล่าพาลาดิน เขากระโดดลงจากอูฐและโจมตี พาลาดินที่รับรัศมีดาบสีแดงเข้มของเมลเซียรู้สึกถึงเท้าของเขาจมทรายจากแรงกระแทกมหาศาล ข้อมือของเขาชาและส่งเสียงคราง “อึ่ก!”

เมลเซียลงพื้นอย่างง่ายดายและตรงไปที่พาลาดินที่ถูกโจมตีจนชะงักไปชั่วขณะ เขาแทงดาบเข้าไปในรอยต่อระหว่างเกราะที่ไหล่ขวา ตั้งใจจะตัดแขนขวาเพื่อให้ศัตรูอ่อนแรงลง เซนต์หญิงต่อแขนที่ขาดได้ แต่ให้มันงอกใหม่นั้นแทบเป็นไปไม่ได้

ทันใดนั้น ดาบหนึ่งก็ตีดาบของเมลเซียจากข้างล่างและดันขึ้น ดาบของเขาจึงได้แต่สร้างรอยบาดที่ไหล่พาลาดิน

พาลาดินร้องด้วยความเจ็บ “อ๊าก!”

แต่แสงสีขาวก็รักษาไหล่ของพาลาดินอย่างรวดเร็ว เมลเซียอึ้งไปเมื่อเห็นอย่างนั้น เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมกองทหารจึงต่อสู้กับคนแค่ห้าคนอย่างยากลำบาก

“ขอบ ขอบใจ แมค” ความเจ็บของพาลาดินไม่หายไป เหงื่อไหลจากร่างของเขา แต่เขายังขอบใจแมค

แมคเล็งดาบไปที่เมลเซีย “ไว้เลี้ยงเบียร์ข้าทีหลัง”

“ข้าจะเลี้ยงทั้งถังเลย!”

ถึงแม้แมคจะมีท่าทางไม่จริงจัง แต่พลังจากดาบของเขาทำให้เมลเซียรู้ว่าเขาไม่ธรรมดา

“โอ้! เจ้าเก่งนี่ เป็นใครเหรอ?” แมคถามอย่างขี้เล่นแต่มีความระวังในกลุ่มชายโพกผ้าพันศีรษะที่ล้อมเขาและเหล่าพาลาดิน

แมคออกจากโอลิมปัสไม่นานก็จริง แต่เมลเซียแข็งแกร่งที่สุดในคนที่เขาเคยพบมา ถ้าหนึ่งต่อหนึ่ง เขาแน่ใจว่าชนะได้ แต่ในการต่อสู้เป็นกลุ่มกับพาลาดินที่เขาไม่เคยร่วมสู้ด้วยคงไม่ง่าย

เมลเซียหัวเราะ “ดูเหมือนข้ายังต้องพยายามอีกมากถ้ายังถูกถามว่าเป็นใครแบบนี้”

มันไม่ใช่การตอบคำถามของแมค แต่ที่ตลกคือพาลาดินเป็นคนตอบคำถามเอง

“อัศวินดำเมลเซีย!”

“ราชานักรบรับจ้าง!”

พาลาดินตะโกน และทหารที่ล้อมรอบพวกเขาส่งเสียงโห่ร้อง เป็นเสียงที่มาจากความภูมิใจและโล่งอกที่คนแข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกัน

“ฮะ ได้ยินคำว่า ‘ราชานักรบรับจ้าง’ จากปากของชาวจักรวรรดิ แปลกดี” เมลเซียพูดแต่เขาชอบฉายาราชาทหารรับจ้าง

ปกติแล้ว ชื่อ ‘ราชานักรบรับจ้าง’ ในจักรวรรดิหมายถึงหัวหน้าสหพันธ์นักรบรับจ้าง เพราะเหตุนี้เมื่อถูกเรียกด้วยชื่อนั้นจากประชาชนในจักรวรรดิแปลว่าเขาได้รับการยอมรับถึงความเก่งกาจ ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นชื่อที่ได้จากสงครามระหว่างจักรวรรดิ

“นี่ไม่ใช่สงครามที่ข้าจงใจเริ่ม ข้าอยากถูกเรียกว่าอัศวินดำมากกว่า” เมลเซียพูด

“สมญามันสำคัญเหรอ? มาสู้กัน” แมคพูด รู้สึกคันไม้คันมือพลางเรียกพลังยุทธ์ขึ้นมา

“ดี!” เมลเซียตะโกนและโจมตีก่อน พร้อมกันนั้น คนของเมลเซียและเหล่าพาลาดินเริ่มสู้

รัศมีดาบของเมลเซียพุ่งไปที่อัลบาทอส เขาทำตากร้าวและรับดาบของเมลเซียและพยายามดันกลับด้วยแรงหนุนจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของฮิลลิส

ชายโพกผ้าคนหนึ่งเล็งด้านหลังคอของอัลบาทอส “เฮ้! เล่นกับข้าด้วยสิ!”

แคร้ง!

แมคโยนหอกหักที่อยู่ข้างเท้าไปช่วยอัลบาทอส ชายโพกผ้าเกือบทำดาบหลุดมือเมื่อถูกหอกที่โยนมาเหมือนเบาๆกระแทกใส่

เมลเซียถอยก่อนดาบของอัลบาทอสจะเติมเต็มด้วยพลังของฮิลลิส ชายโพกผ้าสองคนเข้ามาสู้ติดพันหัวหน้าพาลาดิน อัลบาทอสต้องตั้งสมาธิกับดาบที่โจมตีเข้ามาไม่หยุดจนไม่มีเวลาขอบใจแมค

แมคไม่ปล่อยโอกาสหลุดไปและเหวี่ยงดาบใส่เมลเซีย มุ่งที่หัวใจ เมลเซีย ตัดสินว่าดาบที่คมและแม่นยำถึงขั้นอำมหิตเช่นนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขณะเดียวกันก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

ดาบนี้เหมือนดาบที่ฆ่าลูกน้องของเขาที่มีหน้าที่ขนสิ่งของ เมลเซียตระหนักว่านี่คือคนร้ายที่เขาตามหา

เมลเซียเติมพลังเวทลงในดาบและหมุน ดาบของแมคถูกปัดขึ้นด้วยพลังเวทของเมลเซีย เมลเซียเอี้ยวตัวหลบดาบที่เล็งหัวใจเขาไปได้อย่างเฉียดฉิว แต่โชคร้าย ดาบที่เขาใช้สร้างช่องว่างหักเป็นสองท่อน

“ดาบ!”

ทหารคนหนึ่งโยนดาบให้ตามเสียงตวาดของเมลเซีย แมคฟันดาบที่ลอยมาทันทีแทนที่จะเอาชีวิตเมลเซีย เมลเซียโยนดาบหักใส่แมคอย่างไม่ลังเล ไม่ว่าจะรับดาบได้หรือไม่ เมลเซียก็เล็งฟันให้ศีรษะแมคหลุดกระเด็น

แมคปัดดาบหักที่ลอยตรงมาที่คอ เมลเซียไม่ฉวยโอกาสจู่โจมต่อแต่หนีห่าง เป็นการตัดสินใจที่ฉลาด

ปฏิกิริยาของแมคเร็วกว่าที่เมลเซียคาดไว้มาก คงฆ่าเขาได้ยาก ต่อให้เมลเซียและลูกน้องทั้งหมดรุมจู่โจม

เมลเซียอยากฆ่าแมคมากกว่าพาลาดิน แต่ขนาดฝ่ายของเขามีมากกว่าก็ยังทำได้แค่สู้อย่างสูสีกับพาลาดินที่ได้รับพลังจากเซนต์หญิง

พาลาดินแข็งแกร่งขึ้นเพราะฮิลลิส แต่พวกเขาไม่ชินกับพลังที่ได้จึงเกิดช่องโหว่ เพราะอย่างนี้คนของเมลเซียจึงสู้กับพาลาดินได้ แต่แมคเป็นสัตว์ประหลาดที่กระทบสมดุลของการรบ

นั่นคือเมลเซียต้องสู้กับแมคเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายของเขาแพ้

“ข้าจะบ้า”

เมลเซียคิดว่าที่นี่อาจกลายเป็นสุสานของเขาอย่างคาดไม่ถึง

ถอยจากสนามรบพร้อมกับเสียงหัวเราะ เมลเซียฉวยหอกจากทหารมาจำนวนหนึ่งแล้วขว้างใส่แมค

“ไม่ต้องสนใจข้า ยิงเขา!” พูดจบ เมลเซียพุ่งใส่แมคอีกครั้ง

ผู้บัญชาการชะงักไปก่อนจะสั่งพลธนู “พยายามเล็งให้โดนศัตรู”

“แต่กัปตันเมลเซียอาจถูกยิง” นักธนูคนหนึ่งพูด

“...เชื่อเขา เหมือนที่ข้าจะเชื่อด้วย”

นักธนูพยักหน้า

นักธนูที่ยิงใส่เกวียนของฮิลลิส ส่วนหนึ่งเปลี่ยนเป้าหมาย

“ไปแอบเตรียมถอยทัพ”

ผู้ช่วยพยักหน้า

โอกาสมีน้อย แต่เผื่อว่าพาลาดินที่คุ้มกันฮิลลิสเข้าสู่สนามรบ การให้ทหารสู้ต่อก็บ้าระห่ำเกินไป อีกอย่างยังมีความเป็นไปได้ว่าพาลาดินคนอื่นกำลังเดินทางมาด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้น กลับไปตั้งรับที่แดนศักดิ์สิทธิ์ซาฮารามจะปลอดภัยกว่า อย่างน้อยที่นั่น ทหารจะสามารถมองเห็นได้ชัด

ผู้บัญชาการมองเหล่าพาลาดินและทหารที่สู้อย่างยากเย็นเงียบๆ

แมคปัดธนูที่ลอยมาแล้วหัวเราะยาว “ฮ่าๆๆๆ!”

แมคปัดดาบของเมลเซียที่เล็งคอของเขา ขณะจะฟันลง ธนูก็ลอยมาทางเขา เมลเซียก็ต้องหลบธนูเช่นกัน แต่ส่วนมากมันลอยมาทางแมค

ขณะแมคฟันลูกธนู เมลเซียหยิบหอกที่กลิ้งบนพื้นและแทงสีข้างแมค แมคหมุนเท้าหลบ แต่เท้าของเขาจมลงในทราย




สารบัญ                                                    บทที่ 76.1

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 75.1

 บทที่ 75.1

“ถ้าไม่ได้แล้วเจ้าทำได้ยังไง?”

“ฮุๆ ข้ามีวิธี ที่จริงคือ การแสวงบุญครั้งนี้ตัดสินขึ้นกะทันหัน”

แลนซีลอตและเลชาเอียงคอ ถ้าไม่อยากมีกองอัศวินมาด้วย แค่ไม่ออกแสวงบุญก็ได้นี่? เมื่อแลนซีลอต คนที่ว่ากันว่ามีสามัญสำนึกที่สุด และเลชา เอียงคอ ฮิลลิสก็ตระหนักว่าเธออธิบายไม่ชัดเจน 

“โอ๊ะ ในวิหารของเรา นักบวชขั้นสูงที่มีตำแหน่งพอสมควรต้องออกเดินทางแสวงบุญอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ปกติจะไปก่อนกลายเป็นนักบวชขั้นสูงหรือไม่ก็เมื่อแก่มากแล้ว แต่ข้ายังอายุน้อยเกินไป”

แม้แลนซีลอตจะเรียนมาเยอะจากกระทรวงต่างประเทศ เขาไม่รู้กฎยิบย่อยพวกนี้

ฮิลลิสอวดต่อ “ดังนั้นข้าเลยคิดว่า ทำยังไงถึงจะทิ้งอัศวินน่ารำคาญพวกนี้ไปได้นะ?”

ที่จริง ถ้ามีคนมากับเธอมากๆ การเดินทางก็จะยิ่งสะดวกขึ้น แต่ฮิลลิสรักอิสระมากจนถ้ามีคนรับใช้หลายคนแล้วเธอจะรู้สึกอึดอัด

ยกเว้นคนสนิทของฮิลลิสแล้ว คนอื่นจะคิดว่าฮิลลิสมีนิสัยแบบเซนต์ ดังนั้นเธอจึงต้องระวังเรื่องการใช้คำพูดและกิริยา ฮิลลิสเป็นเซนต์แน่นอน แต่นิสัยของเธอห่างไกลจากเซนต์ในความคิดของคนอื่นมาก

“หลังจากคิดอยู่นาน วิธีที่ดีที่สุดคือประกาศว่าข้าจะออกแสวงบุญ เรียกรวมตัวอัศวินแล้วหนีก่อนการกำหนดแผนการเดินทาง”

ฟังดูง่าย แต่ในความเป็นจริง มันสำเร็จหลังจากชนะการโต้เถียงอย่างเร่าร้อนกับโป๊บและนักบวชขั้นสูงคนอื่นๆ

ขณะเล่าเรื่องของเธอ ฮิลลิสเปิดหน้าต่าง “เอาล่ะ อีกไม่นาน แดนศักดิ์สิทธิ์ซาฮา-”

ตูม!!

เสียงระเบิดกลบเสียงของฮิลลิส เกวียนหยุดกะทันหันทำให้คนข้างในเสียหลักล้มไปข้างหน้า

ฮิลลิสได้สติแล้วรีบถามผ่านหน้าต่าง “เกิดอะไรขึ้น?”

“เราถูกโจมตี! เซนต์ อย่าออกมานะครับ!”

ได้ยินเสียงพาลาดินข้างนอก เลชากับแลนซีลอตหยิบอาวุธและลงจากเกวียน

“อันตราย!” ฮิลลิสพยายามหยุดแต่นึกขึ้นได้ว่าพวกเขาเป็นคนเผ่ากา

เธอลืมเรื่องนี้เพราะพวกเขาดูต่างจากที่เธอจินตนาการไว้มาก

เพราะทำอะไรไม่ได้ ฮิลลิสจึงคุกเข่าลงและภาวนา “พระแม่หนึ่งเดียวของข้า โปรดเมตตาช่วยและรักษาบาดแผลให้ลูกของท่าน-”

ด้วยคำภาวนา ร่างกายของฮิลลิสส่องแสงและส่งพรให้พาลาดินนอกเกวียน พรและเวทมนตร์รักษาวนรอบร่างพาลาดิน พวกเขาชักดาบและตะโกน

“พระเจ้าอยู่กับพวกเรา!”

“โอ้!”

มันคือกำเนิดของแมลงสาบ

***

การโจมตีเกิดขึ้นเมื่อขบวนแสวงบุญเกือบถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เหล่าพาลาดินหยุดและมองรอบๆ กองกำลังที่มาจู่โจมดูเหมือนจะเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ประกอบด้วยนักเวทหลายคน เหล่าพาลาดินกัดฟันเมื่อเห็นนักเวทอยู่บนเนินทราย มองที่ชุดที่พวกนักเวทสวมอยู่เป็นพิเศษ

“ไอ้พวกนักเวทดำ!”

หลายยุคสมัยแล้ว นักเวทดำถือเป็นศัตรูของศาสนาส่วนใหญ่

จากบันทึกทางศาสนาเช่นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ นักเวทดำคือลูกหลานของผู้ทำบาปขับไล่พระเจ้าไปจากโลก เพื่อพลังแล้ว พวกเขาทรยศพระเจ้าผู้สร้างโลกและอยู่ร่วมกับพวกเขา 

แน่นอนว่า ไม่รู้ว่าบันทึกทางศาสนาเป็นความจริงหรือไม่ แต่ถ้าไม่นับเรื่องนี้ พวกเขาคือกลุ่มที่ใช้มนุษย์เป็นเครื่องบูชายัญและสร้างอันเดด การเหยียดหยามชีวิตแบบนี้ทำให้นักเวทดำเป็นศัตรูของโลก 

เหล่าพาลาดินปลุกพลังเวทและจ้องศัตรูด้วยเลือดเดือดพล่าน แมครู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเหล่าพาลาดแล้วรู้สึกตื่นเต้น พลังของเหล่าพาลาดินต่างจากเมื่อคืนอย่างสิ้นเชิง เขาสะกดความต้องการต่อสู้กับเหล่าพาลาดินและปัดเวทที่ลอยมาทางเขา 

พลังของเหล่าพาลาดินขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากนักบวช ดูจากพวกวิบริโอที่สามารถถ่วงเวลาบลัดดี้กับวิลเลียมเมื่อได้รับการสนับสนุนจากเฟอนันโด และเมื่อคิดว่าฮิลลิสมีพลังศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าโป๊บ พาลาดินเหล่านี้ถือว่าทัดเทียมกับชาติพันธุ์นักสู้

“พวกเราคือ!”

หัวหน้าพาลาดินเริ่ม ที่เหลือพูดต่อ

“ผู้แข็งแกร่ง! ผู้ไม่แพ้!”

หัวหน้าพาลาดินออกคำสั่ง “หน่วย 1,2 กับ 3 อยู่ที่นี่ ที่เหลือไปกับข้า!”

“ครับ!”

ในสิบสามคน พาลาดินเก้าคนอยู่ อีกสี่คนขี่อูฐตรงไปยังกลุ่มที่ยิงเวทบนเนินทราย ปกติแล้วคนเพียงสี่คนเป็นกำลังรบอ่อนแอ แต่เพราะฮิลลิสเน้นสนับสนุนสี่คนนี้ พวกเขากลายเป็นกำลังรบที่ไม่อาจมองข้าม

แมคกระตุ้นอูฐที่เขาขี่ไปกับพวกพาลาดิน “ข้าไปด้วย! แลนซีลอต ฝากดูแลคุณหนูด้วย!”

“ครับ!”

แลนซีลอตชักดาบ เขายามถือดาบดูอ่อนแอไม่น่าพึ่งได้ แต่แลนซีลอตโตมากับเดน เพื่อเล่นกับเดนเขาถูกบังคับให้อดทนกับการเรียนการสอนแบบดูมสโตน ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งอย่างน้อยก็เท่ากับปกติของคนเผ่ากา

กองพันกับคนห้าคนปะทะกัน แม้จะสู้กับคนจำนวนน้อยนิด นักเวทดำก็ไม่ดูถูกพวกพาลาดิน ทุกครั้งที่เหล่าพาลาดินตวัดดาบ คนสองสามคนก็เสียเลือดล้มจึงไม่มีทางดูถูกเหล่าพาลาดินได้

“ทุกคนใช้ยาเพิ่มพลัง!” หัวหน้ากองพันร้องสั่ง ทหารดื่มยาพร้อมกัน จากนั้นพลังเวทสีดำก็ค่อยๆไหลจากร่างทหาร

ยาที่พวกเขาดื่มทำให้พลังเวททะลักล้น แต่เมื่อประสิทธิภาพของยาหมดลงพวกเขาจะเจ็บปวดไปหนึ่งสัปดาห์ ความเจ็บปวดมันมากพอทำให้ฆ่าตัวตายได้ ถึงอย่างนั้น ถ้าไม่ใช้ตอนนี้พวกทหารคงถูกเหล่าพาลาดินฆ่า

“พลหอก!”

แม้จะให้ทหารใช้ยาแล้ว หัวหน้ากองพันยังไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้เหล่าพาลาดินและแทงจากที่ไกล อย่างไรเสียยาก็มีผล 3 วัน

“พลธนู!” ทหารถือธนูบนเนินทรายขึ้นศร

“ยิง!” หัวหน้าออกคำสั่ง คนถือธงโบกธงแดง ธนูลอยพุ่งพร้อมกันไปยังเกวียนที่ฮิลลิสนั่ง

เหล่าพาลาดินกัดฟัน ตอนนี้พวกเขาต้องเชื่อในพาลาดินที่คุ้มกันฮิลลิสและฝ่าไปจัดการพลธนูและนักเวทดำ

“รีบฝ่าไปเร็ว!”

ขณะเดียวกัน เหล่าพาลาดินที่คุ้มกันฮิลลิสหัวเราะใส่ธนูที่พุ่งมา มันเป็นยิ้มที่มีแต่คนเตรียมใจตายแล้วที่ทำได้ พวกเขาตั้งใจปกป้องฮิลลิสต่อให้ตัวเองกลายเป็นเถ้าถ่าน

“กลุ่ม1! ขึ้นไปบนหลังคาเกวียน! กลุ่ม2 กับกลุ่ม3 ไปข้างหน้า!”

พาลาดินกลุ่ม1 ปีนขึ้นไปบนหลังคาเกวียนและยกโล่ ต่อให้ถูกยิงจนพรุนพวกเขาก็ไม่ตายหากไม่ขาดจากการสนับสนุนของฮิลลิส พวกเขาหลับตาและเร่งพลังเวทขึ้นเตรียมรับห่าธนู

ตอนนั้นเอง เสียงร้องดังขึ้นจากในเกวียน “ป้องกัน! ป้องกัน! ป้องกัน!”

เลชาชูไม้เท้าที่ซื้อจากวาแรนท์และกางโล่สามชั้นรอบเกวียนและพาลาดิน ธนูถูกโล่แล้วกระเด้งออก

“โอ้! คุณหนูกา!” เหล่าพาลาดินร้องอย่างดีใจ

แต่ท่ามกลางเสียงร้องดีใจ ลูกธนูก็สร้างรอยแตกในโล่ เวทถูกใช้โดยไม่มีการเตรียมและร่ายคาถาจึงไม่เสถียร เลชารู้ดีจึงสร้างโล่ไว้สามชั้น

เมื่อลูกธนูแรกสร้างรอยแตกได้ ลูกธนูที่เหลือก็ตามมา และโล่ชั้นแรกก็แตกลงพร้อมเสียงแหลม

เลชาหยิบน้ำยาและเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋ามิติและโยนไปพลางร่ายคาถา “ลมหายใจของชีวิตนั้นเปี่ยมเมตตา! จงโต!”

เมล็ดพืชที่ถูกโยนกลายเป็นหน่อพืชกลางอากาศ ขวดน้ำยาที่ถูกโยนพ้นโล่ถูกลูกธนูยิงแตก น้ำยาหกใส่หน่อพืชและทำให้มันโตขึ้นทันที พริบตาเดียว หน่อพืชกลายเป็นต้นไม้และถูกลูกธนูยิงใส่ ถึงกระนั้นมันก็ยังโตต่อไปและหล่นพื้นอย่างหนัก

“ต้นกำเนิดแห่งชีวิต อาบมัน!”

ไม้เท้าของเลชาดึงน้ำจากรอบๆมาทั้งหมด แอ่งน้ำเป็นสีแดงอ่อนเหมือนเอาเลือดของนักเวทดำและทหารที่กำลังต่อสู้มาด้วย 

เลชาโบกไม้เท้า แอ่งน้ำพุ่งใส่ต้นไม้ที่กำลังขยายรากในทะเลทราย น้ำบริสุทธิ์ย่อมดีที่สุด แต่ดูจากสภาพแวดล้อมของต้นไม้แล้ว น้ำที่มีสิ่งปนเปื้อนก็พอใช้ได้

น้ำแห้งซึมลงพื้นอย่างรวดเร็ว ต้นไม้ที่เลชาสร้างขึ้นดูดมันอย่างรวดเร็วและเติบโตขึ้น ในพริบตาเดียว ต้นไม้ก็ใหญ่พอแทนที่โล่ของเลชาและรับลูกธนูแทน

เห็นต้นไม้ใหญ่จนบดบังไม่เห็นลูกธนู เหล่าพาลาดินส่งเสียงเชียร์

“ว้าว!”

“คุณหนู! คุณหนู!”

เหล่าพาลาดินเรียกเลชาว่าคุณหนูเหมือนแมค

“อย่าเรียกข้าว่าคุณหนูนะ!” เลชาขมวดคิ้ว อยากให้เรียกด้วยชื่ออย่างธรรมดามากกว่า แต่เหล่าพาลาดินไม่ฟังเลย

เชื่อว่าพวกเขาเรียกเธออย่างนี้เพราะแมค เลชาสาบานว่าถ้าเขากลับมาเมื่อไหร่จะเตะหน้าแข้งเขา

เหมือนรู้สึกถึงคำสาบานของเลชา แมคที่กำลังสู้อย่างแข็งขันจาม

“ฮัดเช้ย!”

“เป็นหวัดเหรอ พี่กา?” หัวหน้าพาลาดินที่เพิ่งสังหารทหารไปสองคนในทีเดียวถาม

“เปล่า ทรายคงเข้าจมูกน่ะ” แมคตอบสบายๆก่อนจะปาดคอทหารสามคนในทันที

“ดีแล้ว ขนาดสุนัขยังไม่เป็นหวัดหน้าร้อนเลย” หัวหน้าพาลาดินพูด

“ฮ่าๆๆ งั้นถ้าข้าเป็นหวัดก็แย่กว่าสุนัขอีกน่ะสิ ท่านพาลาดิน”

พวกเขาคุยเล่นในระหว่างสังหารศัตรู

“ข้าอัลบาทอส พี่กา”

“เรียกข้าแมคเถอะ ท่านพาลาดิน”



สารบัญ                                            บทที่ 75.1


คนแปลคิดว่าใช้คำว่ารถม้าแต่อูฐลากมันแปลกๆเลยเปลี่ยนเป็นเกวียน แต่ใช้คำว่าเกวียนก็แปลกพอกันแฮะ @A@

การสอนสไตล์ดูมสโตน แลนซีลอตก็ต้องไปสู้กับมังกรเหมือนกันสินะ