บทที่ 77.1
ช่วงเวลามืดที่สุดก่อนรุ่งสาง แลนซีลอตมองท้องฟ้า ฟ้าที่นี่ไม่ต่างกับฟ้าที่บ้านเกิดของเขา ดวงดาวทอดยาวบนท้องฟ้าเหมือนแม่น้ำและดวงเดือนเรืองแสงเหมือนพลอย
ที่เดนอยู่ฟ้าจะสวยเหมือนที่นี่ไหม? เขากำลังแหงนหน้ามองฟ้าเหมือนกันหรือเปล่า? แลนซีลอตคิดแล้วหัวเราะคิก
เดนเคยบอกว่าเขาชอบฟ้าตอนกลางคืน เขาบอกว่าหลังจากมองฟ้าที่ไม่มีดาว พอมาเห็นภาพสวยงามแบบนี้แล้วประทับใจจนน้ำตาไหล
แลนซีลอตกลัวเล็กน้อยเมื่อคิดว่าเขาไม่เคยเห็นฟ้าตอนกลางคืนที่ไม่มีดาว มันคงมืดมากและเหงามาก
แต่เดนไปเห็นฟ้าที่ชวนเหงาแบบนั้นตอนไหน?
แลนซีลอตตอบตัวเอง เดนเป็นนักเวท เขาเห็นและได้ยินทุกอย่าง
“อยากอยู่กับเจ้าจัง”
แลนซีลอตปล่อยให้คำพูดหลุดจากปาก คิดว่าเดนอาจได้ยิน แต่มันทำให้เหงายิ่งขึ้น เหมือนฟ้าไร้ดาวเข้ามาอยู่ในใจของเขา
“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้?”
แลนซีลอตกำลังมองท้องฟ้าอยู่หน้ากองไฟ เลชาออกจากเกวียนมาถาม
“เปล่า ข้าแค่มองฟ้า”
เลชาหยิบหม้อออกมาจากกระเป๋ามิติ เสกน้ำใส่หม้อ และเอาไปต้มเหนือกองไฟ
“เอ่อ ในนั้นไม่มีเลือดใช่ไหม?”
เห็นความลังเลของแลนซีลอตแล้วเลชาก็ขยี้หัวของเขา
“ไม่หรอก คราวที่แล้วข้ารีบเลยเอาน้ำเท่าที่มีรอบตัวมา แต่คราวนี้ข้าดึงจากพลังเวทน้ำ ไม่ต้องห่วง” เลชาโบกหินสีออกน้ำเงินให้ดู
หินที่เลชาถืออยู่คือหินพลังเวทธรรมชาติที่มีธาตุเดียว ไม่เหมือนชิ้นส่วนจากมอนสเตอร์ มันมีชื่อว่า ‘หินธรรมชาติ’ เพราะเกิดจากธรรมชาติ และมีชื่อว่า ‘หินวิญญาณ’ ด้วยเพราะใช้สำหรับเวทวิญญาณ
ป่าโอลิมปัสเป็นสภาพแวดล้อมที่วิญญาณอยู่ไม่ได้ เลชาจึงไม่เคยเรียนเวทวิญญาณ ถึงอย่างนั้นก็ตาม หินวิญญาณใช้ในเวทประเภทอื่นได้เช่นกัน
“ได้ยินอย่างนั้นข้าก็โล่งใจ”
เห็นแลนซีลอตโล่งอก เลชาก็หัวเราะและหยิบบางอย่างจากกระเป๋ามิติใส่ลงไปในน้ำร้อน “เจ้าจะดื่มอะไร? มีกลีบดอกแมนดราโก, ผลฟรากาช, กับน้ำผึ้งพันปี”
ทั้งหมดนี้มีราคามหาศาลในตลาด แต่ในป่าโอลิมปัส พวกมันคืออาหารและวัตถุดิบที่กระจัดกระจายบนพื้นไม่ไกลจากหมู่บ้าน
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอดอกแมนดราโกกลีบที่ห้า”
ดอกแมนดราโกแต่ละกลีบมีกลิ่นต่างกันไม่มาก แต่ถ้าเอาไปต้มด้วยน้ำบริสุทธิ์ 83 องศากลิ่นจะเด่นชัดขึ้น
“เอาน้ำผึ้งกี่ช้อน?”
“สามช้อนครับ”
“เดี๋ยวก็ฟันผุหรอก” เลชาหยอกพลางใส่น้ำผึ้งสามช้อนกับกลีบดอกแมนดราโกลงในถ้วย เอาหม้อใส่น้ำเดือดลงมาและทำให้มันเย็นลงจนถึง 83 องศาด้วยเวทมนตร์ จากนั้นเทน้ำร้อนใส่ถ้วยและร่ายเวทมนตร์ไม่ให้อุณหภูมิลดลง
“ขอบคุณ” แลนซีลอตรับถ้วยและรอให้เวทมนตร์หายไป
ประมาณสามนาทีต่อมา เวทมนตร์ค่อยๆหายไปและอุณหภูมิลดลงเรื่อยๆ เวลาสามนาทีพอให้รสของกลีบดอกออกมา
“โอ้! ขอข้าด้วยสิ?” แมคที่กำลังเดินลาดตระเวนได้กลิ่นหวานจึงเข้ามาหา
เลชาพยักหน้า
“ข้าขอกลีบที่สาม โอ้ น้ำผึ้งไม่ต้องก็ได้ ข้าไม่ค่อยชอบหวาน”
“ได้ๆ”
เลชาใส่กลีบแมนดราโกกลีบที่สามในถ้วยแล้วยื่นให้แมค
แมครับถ้วยพร้อมกับเอาหม้อที่เย็นลงเล็กน้อยตั้งไฟ ก่อนน้ำจะเดือดก็เทใส่ถ้วยและหุ้มมันด้วยพลังเวทเพื่อรักษาอุณหภูมิ สามนาทีต่อมากลิ่นหอมก็ลอยฟุ้ง
“ว้าว เจ้ากะอุณหภูมิได้แม่นขนาดนั้นได้ยังไง?” เลชาแลบลิ้นแล้วถาม
แมคยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าอยากจีบผู้หญิง การชงชาเก่งเป็นเรื่องพื้นฐาน”
เลชาทำเสียงฮึ่ม เขาพูดแบบนั้นแต่เธอไม่เคยเห็นแมคอยู่กับผู้หญิง
“แหม กลิ่นหอมจังเลย”
ฮิลลิสพูดด้วยเสียงเหนื่อยตอนเดินยืดเส้นยืดสายออกมา เลชาต้มน้ำอีกเยอะ เมื่อเหล่าพาลาดินมุดออกจากกระโจมทีละคนๆ เธอก็ส่งชาให้ทุกคน
“ขอบคุณนะ คุณหนูเผ่ากา!”
“ว้าว! ข้าว่าชากลิ่นหอมขนาดนี้แม้แต่ในเพอซิวาลยังไม่มีเลยนะ”
เหล่าพาลาดินไล่ความหนาวของทะเลทรายตอนกลางคืนออกจากตัวแล้วทำการอบอุ่นร่างกายเหมือนจะไปสู้เดี๋ยวนี้
“เอาล่ะ มาแบ่งคนอยู่ปกป้องท่านเซนต์กับคนไปจัดการกับพวกนักเวทดำกันเถอะ”
ฮิลลิสส่ายหน้าให้อัลบาทอส “ไม่ ข้าจะไปด้วย”
“ท่านเซนต์”
“ไม่ได้นะ! มันอันตราย!”
พาลาดินทักท้วง แต่ฮิลลิสตั้งใจไว้แล้ว
“พลังของพฤกษาโลกในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนยาพิษสำหรับนักเวทดำ ข้าจะไม่เป็นไร”
เธอมองไปทางซาฮาราม แม้จะยังห่างไปแต่เธอรู้สึกถึงพลังของพฤกษาโลกที่เต็มซาฮาราม คนอื่นไม่รู้ แต่พลังของพฤกษาโลกกำลังต้อนรับเธอ ฮิลลิสไม่รู้ว่าทำไมแต่เธอรู้สึกได้
เธอรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวจากพลังนั้น
“แต่ในซาฮารามไม่ได้มีแต่นักเวทดำ ท่านต้องคิดถึงราชาทหารรับจ้าง ไม่ใช่สิ อัศวินดำด้วย”
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังของนักเวทดำถูกลดลงอย่างมาก แต่เมลเซียกับคนของเขาเป็นทหารและไม่เกี่ยวข้องกับเวทดำ
แต่ฮิลลิสมั่นใจ “ไม่เป็นไร เพราะถ้าเป็นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครทำอันตรายข้าได้”
นี่ไม่ใช่ความโอหังแต่เป็นความแน่ใจ มันเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ แต่เหมือนญาณบ่งบอกที่ฮิลลิสรู้สึกเพราะเธอเป็นเซนต์
“แล้วไม่ใช่พวกเจ้าบอกเหรอว่าตอนเฝ้ายาม เห็นพวกอัศวินดำออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์?”
เหล่าพาลาดินส่ายหน้า
“เพราะอย่างนั้นถึงได้อันตราย อาจเป็นแผนของศัตรูทำให้เราสับสน”
“ต่อให้มีแต่นักเวท ก็ยังอันตรายอยู่ดี”
ฮิลลิสเริ่มลังเลเมื่อเหล่าพาลาดินคัดค้านอย่างหนัก
แลนซีลอตถามขึ้น “ถ้าพวกอัศวินดำออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้างนอกจะไม่อันตรายเหรอ?”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” เหล่าพาลาดินมองแลนซีลอตอย่างสงสัย
แลนซีลอตสะดุ้งไปเพราะจู่ๆก็ได้ตกเป็นเป้าสายตา จากนั้นก็พูดด้วยความกล้าเพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ “ไม่จริงเหรอ? ถ้าแบ่งคนออก คนที่คุ้มครองเซนต์ก็จะลดลง ไม่คิดเหรอว่ากองกำลังที่ออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์อาจโจมตีเซนต์?”
เหล่าพาลาดินนิ่ง มันมีความเป็นไปได้
ถึงอย่างนั้นก็ตาม อัลบาทอสส่ายหน้า “ถ้าคนที่อยู่ได้พรจากเซนต์ พวกเขาสามารถต้านคนจู่โจมได้” เขาพูดโดยนึกถึงคนห้าคนสู้ได้เท่าเทียมกับกองทหาร
แลนซีลอตถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้น ไม่ว่าเซนต์จะเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ไม่ต่างกัน”
“แต่คาดถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น กับกระโจนเข้าไปในถิ่นของศัตรูมันต่างกัน” อัลบาทอสพูด
“ใช่ แต่อันตรายที่อาจเกิดขึ้นมันบังคับให้เจ้าเพิ่มจำนวนคนคุ้มกันเซนต์ ใช่ไหม?”
อัลบาทอสพยักหน้า สิ่งแรกคือต้องแน่ใจว่าฮิลลิสปลอดภัย
“ถ้าอย่างนั้น ถ้าคนเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์น้อยลง จะยึดมันคืนได้เหรอ? ถ้าเรายึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนไม่ได้ ก็เป็นไปได้ว่าเซนต์กับคนที่รอข้างนอกจะยิ่งมีอันตราย”
“นั่น...” อัลบาทอสลังเล
“หรือจะถอยกัน กลับไปเอากำลังเสริมแล้วค่อยมายึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
เหล่าพาลาดินเงียบเมื่อได้ยินข้อเสนอของแลนซีลอต แลนซีลอตไม่สนใจว่าพวกเขาจะโจมตีดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ เขาแค่อยากไปเมืองหลวงและตามหาเดนเบอร์กให้เร็วที่สุด
ฮิลลิสมองแลนซีลอตแล้วประกาศ “ไม่ เราถอยไม่ได้”
“ทำไม?” แลนซีลอตจ้องตาเธอ
เมื่อแลนซีลอตที่กลัวเธอมาตลอด มองเธอตรงๆ ฮิลลิสรู้สึกช็อกเล็กน้อย
“นั่น-” ฮิลลิสหาเหตุผล เราต้องไม่ถอยไปแบบนี้ ทำไม?
คิดตามเหตุผลแล้ว การถอยแบบที่แลนซีลอตพูดก็ถูก แต่พวกเขาทำไม่ได้ เพราะคำสอนทางศาสนาเหรอ?
ไม่ ฮิลลิสคิดว่าชีวิตสำคัญกว่าประโยคที่ถูกเขียนขึ้นมามาก
ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่ถอย?
มาคิดดูแล้ว ทำไมเธอออกแสวงบุญไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์นอกกำหนดการ? เพราะเธอคิดว่ามากับผู้คุ้มกันเยอะๆเป็นเรื่องน่ารำคาญเหรอ?
ไม่ ไม่ใช่ นั่นเป็นแค่เหตุผลที่เธอสร้างตามหลัง แม้เธอจะคิดจริงๆว่าผู้คุ้มกันเป็นเรื่องน่ารำคาญก็ตาม
แต่การแสวงบุญนอกกำหนดการเกิดจากแรงดลใจ ทำไม?
ฮิลลิสใคร่ครวญแล้วรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ไม่ใช่ นี่คือความกระวนกระวาย?
ใช่แล้ว มันคือความกระวนกระวาย ที่เป็นต้นเหตุของการกระทำของฮิลลิส เพราะความกระวนกระวายทำให้เธอออกแสวงบุญอย่างไม่มีกำหนดการล่วงหน้า ด้วยจำนวนคนน้อยที่สุดเพื่อไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้เร็ว
ความกระวนกระวายนี้อาจเป็นสัญญาณจากการมองเห็นล่วงหน้าที่มีแต่เซนต์ที่รู้ หรืออาจเป็นสัญญาณจากพฤกษาโลก หรือความคิดทางศาสนาที่เธอถูกสอนตั้งแต่เด็กครอบงำเธอก็อาจเป็นไปได้
ความรู้สึกซับซ้อนในหัวฮิลลิสส่งผ่านทางสีหน้า
เหล่าพาลาดินตกใจเมื่อเห็นฮิลลิสสับสน เธอไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาง่ายๆ เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ พาลาดินก็พูดแทรก
“ไม่เป็นไร ท่านเซนต์ พวกเราจะทำตามความต้องการของท่าน”
“ใช่ ถ้าท่านอยากไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับพวกเรา เราจะทำตาม ดังนั้น-”
“ได้โปรดอย่าทำหน้าอย่างนั้น”
เหล่าพาลาดินคุกเข่าลง พวกเขารู้สึกผิดเมื่อเห็นฮิลลิสต่างไปจากตัวเธอตอนปกติที่สดใสร่าเริง
ฮิลลิสหลับตา “ขอบใจ” เธอแน่ใจว่าคนที่ได้รับพรคือเธอต่างหาก เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกเติมเต็มด้วยเหตุผลแค่มีคนเป็นห่วงเธอจากใจจริง
“ทุกคน ไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์กันเถอะ”
“ได้!”
เหล่าพาลาดินตะโกนตอบ
แลนซีลอตพยักหน้าและถอยไปเมื่อเส้นทางถูกกำหนดแน่แล้ว พวกเขาจะสู้หรือถอยก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้ไปเมืองหลวงเร็วๆ
ฮิลลิสขอบคุณแลนซีลอตในใจและมองไปทางซาฮาราม
เธอพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น “ข้าไม่รู้ว่านักเวทดำวางแผนอะไร แต่ไปสั่งสอนพวกนั้นกันเถอะว่าการอยู่ในซาฮารามเป็นเรื่องโง่แค่ไหน”
***
ชายชราท่องคาถาตรงหน้าแท่นบูชาอย่างดื้อดึง การเตรียมการไม่พร้อมและของสำคัญที่สุด คริสตัลคานีเลียน ก็ไม่มี แต่สามารถชดเชยช่องโหว่ได้ด้วยเนื้อและวิญญาณของเหล่านักเวทดำที่เขาฆ่าไป
พลังเวท ที่ควรจะมีหนาแน่น กลับถักทออย่างหลวมๆเข้าไปในแท่นบูชา ถึงอย่างนั้นพิธีกรรมก็ดำเนินต่อ เขารู้สึกเหมือนเดินบนเชือกขึงตึง สมาธิของชายชราไม่วอกแวกแม้เขาจะเหงื่อท่วมตัว
“แย่แล้ว! พวกพาลาดิน เฮือก!”
นักเวทดำที่รีบเข้ามาในห้องสะดุ้งเมื่อเห็นภาพพิธีกรรม
ชายชรา หัวหน้านักเวทดำ กำลังพยายามควบคุมพลังเวทหน้าแท่นบูชา ปัญหาคือภาพของนักเวทดำที่กลายเป็นศพและถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย
ดูเผินๆแล้วการใช้มนุษย์เป็นเครื่องสังเวยเป็นความเสียสติ แต่กระทั่งในสายตานักเวทดำมันก็ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรทำ พวกเขามีความรู้มากกว่าทำให้เข้าใจมากกว่าว่ามันเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวเพียงใด
นักเวทดำที่เข้ามาบอกข่าว ถอยไปเผชิญกับทางเลือก ตอนนี้ เซนต์มาถึงและเริ่มการสังหารหมู่ และต่อหน้าเขา หัวหน้าของเขากำลังทำพิธีกรรมที่ฝ่าฝืนข้อห้ามสูงสุด
นักเวทดำหันหลังออกจากวิหาร ถ้าเขาสู้ตายข้างนอกหรือถูกจับและส่งไปให้ผู้สอบสวนคนนอกรีต อย่างน้อยวิญญาณเขายังปลอดภัย
ในทางเลือกที่เลวร้าย เขาเลือกทางที่ดูจะแย่น้อยที่สุด