วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 75.2

 บทที่ 75.2


แมคก้าวไปข้างหน้าและเหวี่ยงดาบ อูฐที่เขาขี่ตายด้วยหอกของศัตรู แมคไม่เคยวิ่งบนทรายมาก่อนและอูฐวิ่งเร็วกว่า เขาจึงรู้สึกเสียดายที่เสียมันไป

อัลบาทอส หัวหน้ากลุ่มพาลาดิน ก็เสียอูฐของเขาเช่นกันและเสียดายไปกับแมค เขาภาวนาให้อูฐที่ตัวยังอุ่นๆ ได้ไปสู่อ้อมแขนของพระเจ้าและได้อยู่กับอูฐของเขา

ไอ้พวกที่ขายวิญญาณให้นักเวทดำไม่ได้ไปอยู่ข้างพระเจ้า แต่พระเจ้าก็สร้างนรกเช่นกัน เขาคิดว่าอย่างน้อยควรจะส่งมันไปที่นั่น

“ทำอะไรกัน? ศัตรูมีแค่ 5 คน! รุมพวกมันสิ!”

แม้จะเป็นคำสั่งของผู้บัญชาการแต่พวกทหารก็ลังเล พลังของศัตรู 5 คนที่ฝ่าเข้ามาดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นไม่ลดลง

“อึ่ก! พวกมันไม่เหนื่อยกันเลยเหรอ?”

แผลของพาลาดินหายทันทีที่พลหอกแทงพวกเขา พลังฟื้นฟูเทียบเท่ากับของโทรล มอนสเตอร์หายากแม้แต่ในภูเขาแอลป์อันเป็นสวรรค์ของมอนสเตอร์ หรืออาจจะเหนือกว่า

“ไอ้พวกแมลงสาบ”

การจู่โจมเพิ่งผ่านไป 20 นาที แต่กลุ่ม 5 คนนี้ฆ่าทหารไป 60 คนแล้ว ไม่ใช่ ควรจะบอกว่าตายไปน้อยกว่าที่คิดมากกว่า เพราะถึงอย่างไร พวกเขาคือพาลาดินที่ได้รับการอวยพรจากเซนต์

สาเหตุที่คนตายน้อยก็เพราะ ศพของคนที่ตายหลังจากกินน้ำยาจะถูกพวกนักเวทดำใช้เป็นโล่ต่อต้านศัตรู ถ้าเป้าหมายของพวกเขาคือใช้ทหารธรรมดาถ่วงเวลา ก็ถือว่าใช้ทหารพวกนั้นอย่างคุ้มค่า

ผู้บัญชาการปลอบใจตัวเองและมองฟ้า การจู่โจมเริ่มตอนเย็น และตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน

เราต้องสู้กับสัตว์ประหลาดพวกนี้ในความมืดเหรอ?

ความคิดนี้ขู่ขวัญผู้บัญชาการ ต่อให้รอบด้านมืดสนิท พวกพาลาดินก็ยังสามารถเห็นได้เหมือนเป็นเวลากลางวันด้วยการอวยพรจากฮิลลิส เพื่อให้เสมอกัน ผู้บัญชาการสงสัยว่านักเวทในกองทัพจะสามารถใช้เวทมนตร์แบบเดียวกันให้ทหารแต่ละคนได้หรือไม่ ตอนนั้นเอง เขาก็เกิดความคิดหนึ่ง

ถ้าใช้เวทมนตร์ให้ทหารทุกคนไม่ได้ แล้วการส่องแสงให้ทั้งสนามรบล่ะ?

“กลับไปขอให้นักเวทใช้เวทแสง” ผู้บัญชาการออกคำสั่งให้ผู้ช่วยของเขากลับไปแนวหลัง

ที่เป็นการขอไม่ใช่คำสั่งเพราะนักเวทด้านหลังไม่ได้อยู่ใต้คำสั่งของเขา แม้จะไม่รับคำสั่ง แต่ตามหลักการแล้วเขาเป็นหัวหน้า

มองฟ้าสีแดง ผู้บัญชาการรอให้แสงมา แต่จนดวงอาทิตย์หลบหลังเนินทรายเกือบหมดแล้ว แสงก็ยังไม่มา เมื่อความกระสับกระส่ายของผู้บัญชาการเกือบถึงขีดสุด ผู้ช่วยก็รีบกลับมาถึง

“ผู้บัญชาการ พวกเขาบอกว่าใช้เวทมนตร์ไม่ได้!”

“อะไรของมัน?!” ผู้บัญชาการสบถกับคำตอบเหลวไหลที่ผู้ช่วยนำมา

“พวกเขาบอกว่า เราต้องเก็บพลังเวทไว้เพื่อรับมือกับนักเวทของฝ่ายเซนต์...”

“เวร! นั่นพูดหรือตดวะ! ถ้าแมลงสาบพวกนั้นฝ่ามาได้ พวกนักเวทจะตายก่อน!”

ผู้ช่วยสะดุ้งเมื่อเจอกับความโกรธของผู้บัญชาการ

“ไฟ! จุดคบไฟทั้งหมด!”

“คะ ครับ!”

คำสั่งใหม่ทำให้ทหารที่มีมือว่างจุดคบไฟ แต่คบไฟที่เตรียมมามีจำกัด จึงไม่สามารถทำให้สนามรบสว่างเหมือนกลางวันได้ ถึงอย่างนั้น แค่ทำให้ทหารมองเห็นได้ก็พอ

“บ้าจริง ถ้ากัปตันเมลเซียอยู่ด้วยก็ดีสิ!” ผู้บัญชาการกัดฟัน 

ถ้ามีอย่างน้อยสักคนที่สามารถรับมือกับพวกที่ฝ่ามาเพื่อฆ่าพวกนักเวทดำ เขาจะส่งทหารไปที่เซนต์หญิงได้ แต่ตอนนี้ ถ้าเขาส่งทหารไป การป้องกันตรงนี้จะพังลง

เขาอยากจับดาบสู้กับพวกพาลาดินตอนนี้เลย แต่ในฐานะผู้บัญชาการ เขาไม่อาจทำบุ่มบ่ามได้ ถ้านี่เป็นการประลองเขาจะไปสู้ทันที

ตอนนั้นเอง คบไฟหนึ่งส่องแสงในความมืดของทะเลทรายห่างออกไป จากนั้นแสงไฟก็ตรงมาทางพวกเขา ผู้บัญชาการหวั่นวิตก เชื่อว่ามีพาลาดินมาเป็นกำลังเสริม ถัดจากคนถือคบไฟเป็นคนถือธงขี่อูฐ เมื่อเห็นตราบนธงแล้วผู้บัญชาการก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา

“เปิดทาง! กัปตันเมลเซียมาแล้ว!”

ทหารโห่ร้องอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงของผู้บัญชาการ

“เปิดทาง!”

***

เมลเซียเร่งขี่อูฐฝ่าเข้ามาในท่ามกลางสนามรบ โชคดีที่ทหารเห็นธงและหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว

พริบตาเดียวเขาก็มาถึงเหล่าพาลาดิน เขากระโดดลงจากอูฐและโจมตี พาลาดินที่รับรัศมีดาบสีแดงเข้มของเมลเซียรู้สึกถึงเท้าของเขาจมทรายจากแรงกระแทกมหาศาล ข้อมือของเขาชาและส่งเสียงคราง “อึ่ก!”

เมลเซียลงพื้นอย่างง่ายดายและตรงไปที่พาลาดินที่ถูกโจมตีจนชะงักไปชั่วขณะ เขาแทงดาบเข้าไปในรอยต่อระหว่างเกราะที่ไหล่ขวา ตั้งใจจะตัดแขนขวาเพื่อให้ศัตรูอ่อนแรงลง เซนต์หญิงต่อแขนที่ขาดได้ แต่ให้มันงอกใหม่นั้นแทบเป็นไปไม่ได้

ทันใดนั้น ดาบหนึ่งก็ตีดาบของเมลเซียจากข้างล่างและดันขึ้น ดาบของเขาจึงได้แต่สร้างรอยบาดที่ไหล่พาลาดิน

พาลาดินร้องด้วยความเจ็บ “อ๊าก!”

แต่แสงสีขาวก็รักษาไหล่ของพาลาดินอย่างรวดเร็ว เมลเซียอึ้งไปเมื่อเห็นอย่างนั้น เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมกองทหารจึงต่อสู้กับคนแค่ห้าคนอย่างยากลำบาก

“ขอบ ขอบใจ แมค” ความเจ็บของพาลาดินไม่หายไป เหงื่อไหลจากร่างของเขา แต่เขายังขอบใจแมค

แมคเล็งดาบไปที่เมลเซีย “ไว้เลี้ยงเบียร์ข้าทีหลัง”

“ข้าจะเลี้ยงทั้งถังเลย!”

ถึงแม้แมคจะมีท่าทางไม่จริงจัง แต่พลังจากดาบของเขาทำให้เมลเซียรู้ว่าเขาไม่ธรรมดา

“โอ้! เจ้าเก่งนี่ เป็นใครเหรอ?” แมคถามอย่างขี้เล่นแต่มีความระวังในกลุ่มชายโพกผ้าพันศีรษะที่ล้อมเขาและเหล่าพาลาดิน

แมคออกจากโอลิมปัสไม่นานก็จริง แต่เมลเซียแข็งแกร่งที่สุดในคนที่เขาเคยพบมา ถ้าหนึ่งต่อหนึ่ง เขาแน่ใจว่าชนะได้ แต่ในการต่อสู้เป็นกลุ่มกับพาลาดินที่เขาไม่เคยร่วมสู้ด้วยคงไม่ง่าย

เมลเซียหัวเราะ “ดูเหมือนข้ายังต้องพยายามอีกมากถ้ายังถูกถามว่าเป็นใครแบบนี้”

มันไม่ใช่การตอบคำถามของแมค แต่ที่ตลกคือพาลาดินเป็นคนตอบคำถามเอง

“อัศวินดำเมลเซีย!”

“ราชานักรบรับจ้าง!”

พาลาดินตะโกน และทหารที่ล้อมรอบพวกเขาส่งเสียงโห่ร้อง เป็นเสียงที่มาจากความภูมิใจและโล่งอกที่คนแข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกัน

“ฮะ ได้ยินคำว่า ‘ราชานักรบรับจ้าง’ จากปากของชาวจักรวรรดิ แปลกดี” เมลเซียพูดแต่เขาชอบฉายาราชาทหารรับจ้าง

ปกติแล้ว ชื่อ ‘ราชานักรบรับจ้าง’ ในจักรวรรดิหมายถึงหัวหน้าสหพันธ์นักรบรับจ้าง เพราะเหตุนี้เมื่อถูกเรียกด้วยชื่อนั้นจากประชาชนในจักรวรรดิแปลว่าเขาได้รับการยอมรับถึงความเก่งกาจ ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นชื่อที่ได้จากสงครามระหว่างจักรวรรดิ

“นี่ไม่ใช่สงครามที่ข้าจงใจเริ่ม ข้าอยากถูกเรียกว่าอัศวินดำมากกว่า” เมลเซียพูด

“สมญามันสำคัญเหรอ? มาสู้กัน” แมคพูด รู้สึกคันไม้คันมือพลางเรียกพลังยุทธ์ขึ้นมา

“ดี!” เมลเซียตะโกนและโจมตีก่อน พร้อมกันนั้น คนของเมลเซียและเหล่าพาลาดินเริ่มสู้

รัศมีดาบของเมลเซียพุ่งไปที่อัลบาทอส เขาทำตากร้าวและรับดาบของเมลเซียและพยายามดันกลับด้วยแรงหนุนจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของฮิลลิส

ชายโพกผ้าคนหนึ่งเล็งด้านหลังคอของอัลบาทอส “เฮ้! เล่นกับข้าด้วยสิ!”

แคร้ง!

แมคโยนหอกหักที่อยู่ข้างเท้าไปช่วยอัลบาทอส ชายโพกผ้าเกือบทำดาบหลุดมือเมื่อถูกหอกที่โยนมาเหมือนเบาๆกระแทกใส่

เมลเซียถอยก่อนดาบของอัลบาทอสจะเติมเต็มด้วยพลังของฮิลลิส ชายโพกผ้าสองคนเข้ามาสู้ติดพันหัวหน้าพาลาดิน อัลบาทอสต้องตั้งสมาธิกับดาบที่โจมตีเข้ามาไม่หยุดจนไม่มีเวลาขอบใจแมค

แมคไม่ปล่อยโอกาสหลุดไปและเหวี่ยงดาบใส่เมลเซีย มุ่งที่หัวใจ เมลเซีย ตัดสินว่าดาบที่คมและแม่นยำถึงขั้นอำมหิตเช่นนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขณะเดียวกันก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

ดาบนี้เหมือนดาบที่ฆ่าลูกน้องของเขาที่มีหน้าที่ขนสิ่งของ เมลเซียตระหนักว่านี่คือคนร้ายที่เขาตามหา

เมลเซียเติมพลังเวทลงในดาบและหมุน ดาบของแมคถูกปัดขึ้นด้วยพลังเวทของเมลเซีย เมลเซียเอี้ยวตัวหลบดาบที่เล็งหัวใจเขาไปได้อย่างเฉียดฉิว แต่โชคร้าย ดาบที่เขาใช้สร้างช่องว่างหักเป็นสองท่อน

“ดาบ!”

ทหารคนหนึ่งโยนดาบให้ตามเสียงตวาดของเมลเซีย แมคฟันดาบที่ลอยมาทันทีแทนที่จะเอาชีวิตเมลเซีย เมลเซียโยนดาบหักใส่แมคอย่างไม่ลังเล ไม่ว่าจะรับดาบได้หรือไม่ เมลเซียก็เล็งฟันให้ศีรษะแมคหลุดกระเด็น

แมคปัดดาบหักที่ลอยตรงมาที่คอ เมลเซียไม่ฉวยโอกาสจู่โจมต่อแต่หนีห่าง เป็นการตัดสินใจที่ฉลาด

ปฏิกิริยาของแมคเร็วกว่าที่เมลเซียคาดไว้มาก คงฆ่าเขาได้ยาก ต่อให้เมลเซียและลูกน้องทั้งหมดรุมจู่โจม

เมลเซียอยากฆ่าแมคมากกว่าพาลาดิน แต่ขนาดฝ่ายของเขามีมากกว่าก็ยังทำได้แค่สู้อย่างสูสีกับพาลาดินที่ได้รับพลังจากเซนต์หญิง

พาลาดินแข็งแกร่งขึ้นเพราะฮิลลิส แต่พวกเขาไม่ชินกับพลังที่ได้จึงเกิดช่องโหว่ เพราะอย่างนี้คนของเมลเซียจึงสู้กับพาลาดินได้ แต่แมคเป็นสัตว์ประหลาดที่กระทบสมดุลของการรบ

นั่นคือเมลเซียต้องสู้กับแมคเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายของเขาแพ้

“ข้าจะบ้า”

เมลเซียคิดว่าที่นี่อาจกลายเป็นสุสานของเขาอย่างคาดไม่ถึง

ถอยจากสนามรบพร้อมกับเสียงหัวเราะ เมลเซียฉวยหอกจากทหารมาจำนวนหนึ่งแล้วขว้างใส่แมค

“ไม่ต้องสนใจข้า ยิงเขา!” พูดจบ เมลเซียพุ่งใส่แมคอีกครั้ง

ผู้บัญชาการชะงักไปก่อนจะสั่งพลธนู “พยายามเล็งให้โดนศัตรู”

“แต่กัปตันเมลเซียอาจถูกยิง” นักธนูคนหนึ่งพูด

“...เชื่อเขา เหมือนที่ข้าจะเชื่อด้วย”

นักธนูพยักหน้า

นักธนูที่ยิงใส่เกวียนของฮิลลิส ส่วนหนึ่งเปลี่ยนเป้าหมาย

“ไปแอบเตรียมถอยทัพ”

ผู้ช่วยพยักหน้า

โอกาสมีน้อย แต่เผื่อว่าพาลาดินที่คุ้มกันฮิลลิสเข้าสู่สนามรบ การให้ทหารสู้ต่อก็บ้าระห่ำเกินไป อีกอย่างยังมีความเป็นไปได้ว่าพาลาดินคนอื่นกำลังเดินทางมาด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้น กลับไปตั้งรับที่แดนศักดิ์สิทธิ์ซาฮารามจะปลอดภัยกว่า อย่างน้อยที่นั่น ทหารจะสามารถมองเห็นได้ชัด

ผู้บัญชาการมองเหล่าพาลาดินและทหารที่สู้อย่างยากเย็นเงียบๆ

แมคปัดธนูที่ลอยมาแล้วหัวเราะยาว “ฮ่าๆๆๆ!”

แมคปัดดาบของเมลเซียที่เล็งคอของเขา ขณะจะฟันลง ธนูก็ลอยมาทางเขา เมลเซียก็ต้องหลบธนูเช่นกัน แต่ส่วนมากมันลอยมาทางแมค

ขณะแมคฟันลูกธนู เมลเซียหยิบหอกที่กลิ้งบนพื้นและแทงสีข้างแมค แมคหมุนเท้าหลบ แต่เท้าของเขาจมลงในทราย




สารบัญ                                                    บทที่ 76.1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น