วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 76.1

 บทที่ 76.1

แมคหลบไม่ทันและต้องจับด้ามหอกด้วยมือซ้าย เขาไม่ชอบการใช้แรงเข้าว่าแต่ที่สุดแล้วก็ตัดสินใจยกเมลเซียไปกับหอกและเหวี่ยงเขา

แต่เมลเซียมีประสบการณ์ในสนามรบลึกล้ำ เขาปล่อยหอกและถอยอย่างรู้จังหวะ

เมื่อแรงถ่วงจากเมลเซียหายไป แมคก็เซถอยหลัง และลูกธนูพุ่งมาทางเขาพอดี

เช้ง! เช้ง!

แมครีบตั้งตัวและฟันลูกธนู หลบดาบของเมลเซียที่ตั้งใจจะรีบฟันแล้วถอย แมคก้มตัวลงและฟันท้องเมลเซีย ซึ่งฝ่ายหลังหลบอย่างรวดเร็ว ส่งพลังเวทไปที่ทรายแล้วเตะมันใส่หน้าแมค

แมคยกแขนซ้ายขึ้นกันหน้า รวบรวมพลังเวทป้องกัน จากนั้นกลิ้งตัวไปตามพื้นหนึ่งตลบก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่สู้กับเมลเซีย พื้นที่ทะเลทรายก็เริ่มสร้างความรำคาญให้เขา

“ว้าว ไม่ได้เห็นใครสู้ได้ขี้ขลาดขนาดนี้มาตั้งแต่นายน้อยไม่อยู่แล้วนะ”

“ฮ่าๆ แสดงว่านายน้อยคนนั้นสู้เป็น”

เมลเซียโต้ตอบแมคที่กำลังกรุ่นๆ ไม่รู้ทำไมแต่ขนาดวิธีพูดยังคล้ายกัน มันทำให้แมครำคาญ

“เอ่อ มันไม่ขี้ขลาดเกินไปสำหรับคนที่ถูกเรียกว่าราชาทหารรับจ้างเหรอ?”

“ราชาทหารรับจ้างเป็นตำแหน่งที่ถ้าไม่ขี้ขลาดก็รอดยาก”

“ไหนใครบอกว่าให้เรียกอัศวินดำ?”

“ไม่รู้สิ? อย่างน้อยเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” เมลเซียพูดเหลวไหลต่อ

“ข้าคิดว่าเป็นคนตรงหน้าข้า สงสัยจะเข้าใจผิด”

“วันนี้เป็นคนหนึ่ง พรุ่งนี้ถือเป็นคนอื่น ว่าไหมว่าเจ้าโชคดีที่ได้รู้ซึ้งถึงข้อนี้?”

เมื่อเห็นการวางท่าสั่งสอน แมคตัดสินใจสู้เต็มที่

จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้เอาจริง แต่ตัดสินใจสู้เต็มที่แล้ว

ไม่สิ ฆ่าเลยดีกว่า

“หึๆ ตายซะเถอะ นายน้อย!”

รัศมีดาบน่าเกรงขามออกจากดาบของแมคและพุ่งใส่เมลเซีย มันเป็นรัศมีที่เหมือนต้องการกำจัดทุกอย่าง เหล่าพาลาดิน, คนพันผ้าโพกศีรษะ, กระทั่งเมลเซียต่างก็ล้มกลิ้ง

“ฮ่าๆๆ รู้ไหมข้าถูกหัวหน้าอัดน่วมแค่ไหนที่แพ้นายน้อย!!”

แมคปลดปล่อยรัศมีดาบเหมือนระบายอารมณ์ทั้งหมดออกมา

“อ้า! แมคบ้าไปแล้ว!” อัลบาทอสร้องด้วยความกลัว

เป้าหมายคือเมลเซียแน่นอน แต่ผลกระทบจากรัศมีดาบของเขาส่งไปทุกที่ ขณะเดียวกัน เมลเซียผู้เป็นเป้าหมาย หนีจากรัศมีดาบต่อพร้อมความรู้สึกว่ากำลังถูกใส่ร้าย

“ถอย! ทุกคนถอย!” เมลเซียร้อง

คนของเขาหนี ทหารรอบๆถอยไปหมดแล้ว เหลือแต่เมลเซียกับคนของเขา จึงไม่ต้องถ่วงเวลา

เมลเซียกับคนของเขารีบขึ้นอูฐและขี่ไปทางแดนศักดิ์สิทธิ์ ซาฮาราม

แมคไม่ไล่ตาม เขาดูโล่งใจแปลกๆ ไม่ใช่เพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องสู้กับศัตรูที่กำลังหนี แต่เขารู้สึกพอใจที่ได้ปลดปล่อยความเครียดออกมาหมดมากกว่า อีกอย่าง ถ้าไล่ตามไปและหลงทางกลับไปหาแลนซีลอตกับเลชาไม่ได้คงกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก

อัลบาทอสคิดว่าแมคแกล้งคลั่งเพื่อไล่ศัตรูไป ถึงจะเป็นแมค คนเผ่ากา ก็ต้องเหนื่อยถ้าปล่อยรัศมีดาบออกมาขนาดนั้น

แม้แต่พาลาดินที่ฮิลลิสคอยสนับสนุนยังรู้สึกเหนื่อยจากการรบที่ได้บาดแผลมาเป็นพัน ดังนั้นเขาย่อมคิดว่าแมคต้องเหนื่อยกว่าเพราะไม่ได้รับการสนับสนุน

“พวกเรากลับไปหาเซนต์”

ตรงที่เกวียนของฮิลลิสจอดอยู่ มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ถูกลูกธนูปักเหมือนกระบองเพชร ใต้ต้นไม้ เลชากำลังทำสมาธิ

ฮิลลิสเตะประตูและเดินออกมา ถอนหายใจยาว เหงื่อท่วมตัว

“โอ๊ย จะตายแล้ว เหนื่อยมาก! น้ำ!”

“ขอบคุณค่ะ เหนื่อยหน่อยนะคะ! นี่ค่ะน้ำ”

ฮิลลิสรับน้ำจากหญิงรับใช้แล้วนั่งลง

เธอใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ให้พาลาดินเป็นเวลานาน รักษาบาดแผลของเหล่าพาลาดินที่ไปสู้กับนักเวทดำรวม 3,796 ครั้ง ถ้าเป็นนักบวชธรรมดา เพียง 10 นาทีก็ถึงขีดจำกัดแล้ว

ทันทีที่เห็นคนทั้ง 5 กลับมา เธอถามแมคก่อน “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” การสนับสนุนและการรักษาของฮิลลิสถูกตั้งให้ตอบรับกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของพาลาดิน แมคจึงไม่ได้รับอะไรเลย

“อย่างที่เห็น ข้าสบายดี”

เห็นแมคกางแขนให้ดู ฮิลลิสโล่งใจและบ่นใส่พาลาดิน “ข้าบอกไปแล้วนะว่าอย่าเจ็บบ่อยๆเพราะมันทำให้ข้าเหนื่อย”

“ขอโทษครับ”

เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของพาลาดินแล้วฮิลลิสก็ถอนหายใจ “เฮ้อ ยกโทษให้ก็ได้เพราะพวกเจ้ารอดชีวิตกลับมา”

เหล่าพาลาดินที่หดหู่เพราะคำบ่นของเธอ เงยหน้ามองด้วยความซึ้ง

“เตรียมตั้งแคมป์ ข้าเหนื่อย”

พาลาดินที่อยู่ปกป้องฮิลลิสตั้งแคมป์ทันที โชคดีที่มีต้นไม้ของเลชาจึงมีฟืนเหลือเฟือ แต่ปัญหาคือนักเวทดำและกองทหารที่หนีไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ซาฮาราม

***

เมลเซียและคนของเขากระตุ้นอูฐที่วิ่งจนเหนื่อยไปยังซาฮาราม เมื่อเขามองไปเห็นต้นไม้ใหญ่แม้ยังเป็นเวลากลางคืน เมลเซียก็ขี่อูฐช้าลง

ต้นไม้นั้นคือเหตุผลที่ทำให้ซาฮารามถูกเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์

เมื่อเขาใกล้ต้นไม้ หมู่บ้านที่เหมือนโบราณสถานก็เข้าสู่สายตา หมู่บ้านนั้นคือซาฮาราม แดนศักดิ์สิทธิ์

ตอนกลางคืนทำให้มองไม่ค่อยเห็น แต่ต้นไม้มีขนาดใหญ่จนสามารถปกคลุมทั่วทั้งซาฮาราม

มันเงียบสนิทเมื่อเมลเซียเข้ามา ไม่เหมือนชื่อ ที่นี่คือหมู่บ้านรกร้างที่ไม่ให้ความรู้สึกถึงชีวิตชีวา แต่ที่นี่เป็นที่ๆไม่มีใครคาดคิดว่าจะอยู่ในทะเลทราย

ซากปรักหักพังถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์ และตรงกลางของซาฮาราม มีต้นไม้ใหญ่ที่ปล่อยพลังชีวิตออกมาเข้มข้น ยืนต้นสูงจนทำให้ชวนสงสัยว่ามันโตแบบนี้ได้อย่างไรในทะเลทราย

โบราณสถานที่ดูเหมือนอยู่ในป่าลึกแต่กลับมาอยู่กลางทะเลทราย

ต้นไม้ถูกเรียกว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หรือพฤกษาโลกและมีพลังพิเศษ พลังนั้นทำให้ไม่เพียงแต่มนุษย์แต่กระทั่งแมลงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เพราะเหตุนี้ กระทั่งวิหารที่ดูแลมันยังไม่สามารถอยู่ที่นี่ ได้แต่เดินทางจากหมู่บ้านโอเอซิสมาคุ้มครองมัน

ที่จริงแล้ว ซาฮารารามเป็นที่ที่ไม่ต้องการการคุ้มครองเลย พลังของพฤกษาโลกหุ้มซาฮารามไว้ จึงไม่มีทางทำลายที่นี่ได้ มันยังทำให้เหมือนเวลาหยุดนิ่ง

เมื่อเมลเซียเข้าซาฮาราม พลังก็มาครอบคลุมเขาไว้ตามที่เป็นเสมอ มันทำให้เขารู้สึกกังวล เขาคลำหน้าอกตนเอง สร้อยคอเวทมนตร์ที่อกเขาเปล่งพลังทำให้พวกเขาอยู่ที่นี่ได้นาน

สร้อยคอที่ทหารส่วนใหญ่มีเป็นของทำลวกๆจากนักเวทดำซึ่งอยู่ได้ไม่เกิน 15 วัน แต่สร้อยคอของเมลเซียให้ผลเกือบตลอดกาล และเขาได้รับมอบมาเป็นพิเศษจากคนที่เขารับใช้

เดินลึกเข้าไป เมลเซียมาถึงรั้วไม้ เขาขมวดคิ้ว

ตอนเขาออกไปเมื่อเช้า รั้วนี้ยังไม่มี เหตุผลเดียวที่รั้วนี้ถูกตั้งขึ้นคือพวกเขากำลังทำพิธีกรรม

“หยุด! ไม่อย่างนั้นข้าจะยิง!”

บนรั้วไม้ ธนูเล็งมาทางเมลเซียกับพวก นั่นเพราะมันเป็นกลางดึกและพวกของเมลเซียไม่มีคบไฟ

และที่พวกเขาไม่มีคบไฟเพราะมันถูกใช้ในสนามรบ แต่สุดท้ายก็ถอยโดยไม่ทันได้เอาคบไฟกลับ

เมื่อเมลเซียกับพวกหยุด ทหารบนรั้วไม้ถาม “ใคร!”

“กัปตันกองกำลังพิเศษ เมลเซีย!”

พวกทหารที่ป้องกันรั้วลังเล ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เก็บธนู

“ดำ!”

“แสงดาว!”

“13!”

“37!”

ขานรหัสลับเสร็จ ทหารลงจากรั้วไม้ “ข้าจะเริ่มขั้นตอนยืนยันตัวตน โปรดรอสักครู่!” ทหารถือคบไฟ ลงมาเปิดประตูรั้วไม้และเดินออกมา “เอ่อ ขอโทษด้วยครับ!”

เมลเซียตบบ่าทหารที่กำลังกระวนกระวาย “ไม่หรอก ทำได้ดีแล้ว แต่คราวหน้าแค่โยนคบไฟลงมาดูหน้าก็พอ ถ้าข้าเป็นศัตรู ชีวิตเจ้าจะมีอันตราย”

“ขอบคุณครับ!” ทหารทำความเคารพ เขาดูซาบซึ้ง

เมลเซียยิ้มบางแล้วเข้ารั้ว

ในรั้วไม้มีกระโจมจำนวนหนึ่งซึ่งตอนแรกตั้งอยู่นอกซาฮาราม เมลเซียกัดฟันเมื่อเห็น ทหารพวกนี้ไม่มีสร้อยคอทำจากนักเวทดำเหมือนเมลเซียกับคนของเขา ส่งทหารธรรมดาที่ใช้พลังเวทยังไม่ได้เข้ามาในซาฮารามก็เหมือนทำให้พวกเขาอายุสั้นลง

แน่นอน ถ้าแค่วันเดียวก็ไม่เป็นอะไร แต่ที่พวกเขามาประจำที่นี่ตลอดช่วงพิธีกรรมแสดงว่าทหารพวกนี้ไม่มีความสำคัญ

ขณะที่เมลเซียมองกระโจมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเห็นผู้บัญชาการในทหารกำลังถือค้อนตั้งกระโจม

ค้อนถูกห่อหุ้มด้วยพลังเวทออกสีน้ำเงิน แต่ถ้าจะให้เข็มปักลงในดินแดนที่มีพลังของพฤกษาโลก ค้อนและเข็มจะต้องมีรัศมีดาบปกคลุม

“ขยันจังนะ”

“กัปตันเมลเซีย! ดีจริงที่เห็นท่านไม่เป็นอะไร”

ผู้บัญชาการเพิ่งเห็นเมลเซียเมื่อเขาพูดขึ้น แต่ดูโล่งใจที่เห็นเขาพลางปาดเหงื่อ เขารู้สึกผิดที่ทิ้งเมลเซียและนำแต่คนของเขาถอนกำลัง แม้นั่นจะเป็นการตัดสินใจเพื่อรักษาชีวิตทหารก็ตาม

เมลเซียอ่านใจออก เขาตบหลังผู้บัญชาการ “เจ้าคิดว่าข้าจะตายเพราะคนแค่ห้าคนเหรอ?” เขาพูดอย่างไม่กดดันและยิ้มให้ด้วย

แต่ผู้บัญชาการห่อไหล่เมื่อเห็นสายตาของเมลเซียเปี่ยมด้วยอันตราย เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังตะโกน “ข้าดูอ่อนแอขนาดนั้นเหรอ?”

“อา เปล่า ข้าขอโทษ”

เมลเซียรู้สึกหดหู่ขึ้นมา เวลาเขาพูดเล่นทีไรจะได้ปฏิกิริยาแบบนี้กลับมาทุกที ทอดถอนในใจ เมลเซียกระซิบบอกผู้บัญชาการว่าเขาพูดเล่นพลางตบไหล่เบาๆ

“เตรียมตัวให้พร้อมออกจากที่นี่ทุกเวลา”

“ครับ? แต่-”

ผู้บัญชาการมองอย่างสงสัย แต่เมลเซียส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม จากนั้น เขาตรงไปที่แท่นบูชา

***

แท่นบูชาอยู่ในสิ่งก่อสร้างใหญ่ที่สุดตรงกลางซาฮาราม เมื่อก่อนมันอาจเป็นวิหารเพราะมีรัศมีศักดิ์สิทธิ์แทรกซึมอยู่

เมลเซียไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมเหล่านักเวทดำทำการทดลองมนตร์ดำในที่แบบนี้ แต่คนที่เตรียมพิธีกรรมมีความตั้งใจจริง

แท่นบูชาอยู่ในห้องลึกที่สุดของวิหาร ใน 300 คนที่อยู่ที่นี่ นักเวทดำมี 20 คนและที่เหลือคือ ‘สามัญชน’ ที่คอยทำตามคำสั่งของนักเวทดำระดับสูง

เมลเซียต่อสู้มานับไม่ถ้วน สำหรับเขา คนที่นี่หรือข้างนอกไม่ถือเป็นนักเวท เขาจึงไม่ชอบที่คนพวกนี้ทำตัวเหมือนนักเวท

“อ้อ มาแล้วเหรอ?” หนึ่งในนักเวทดำลุกจากที่แล้วเดินมาหาเมลเซีย

เมลเซียคว้าคอของเขาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วยกขึ้น

“แค่ก! อะไร...ทำไม!”

“เจ้าทำอะไร?” ชายชราที่ควบคุมพิธีและอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของนักเวทโกรธ แต่เมลเซียไม่สนใจเขา

“เจ้าใช่ไหม? คนที่ปฏิเสธคำขอใช้เวทมนตร์?”

นักเวทดำที่ถูกรัดคอเพิ่งรู้ว่าเป็นเพราะเขาไม่ยอมสร้างแสงสว่างตามคำขอของผู้บัญชาการตอนจู่โจมเซนต์

“ไม่...ไม่...ข้า!”


สารบัญ                                                  บทที่ 76.2

เผื่อลืม แมคเรียกเดนว่านายน้อย เรียกดูมสโตนว่าเจ้านายค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น