วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 69

บทที่ 69 – งานเลี้ยง (20)

“อืม”

ไม่ใช่เสียงผมนะ เสียงมาจากไหน อ้อ!

ผมลืมอารีเลียที่อยู่บนหลังไปสนิท ผมเริ่มบินลงก่อนที่จะตื่น ทันทีที่เท้าแตะพื้น ไม่ทันได้ถอนหายใจ รัศมีดาบก็ลอยมาทางผม

“บลัดดี้!”

ผมหลบและได้ยินเสียงวิลเลียมตะโกน ต้องเป็นลุงบลัดดี้ที่ปล่อยรัศมีดาบใส่ผมแน่

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าเขาจะหลบไม่ได้สักหน่อย”

จากเสียงของลุง ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นชา

“โอ้โห เกินไปหรือเปล่าท่านอัศวิน ข้าอุตส่าห์ปกป้องเจ้าหญิงแทนท่านนะ”

วิลเลียมโกรธ “พูดเหลวไหล! ถ้าเธออยู่ที่โรงเรียน เธอจะมีเวทมนตร์คุ้มครอง! เจ้าเป็นคนพาเธอออกมาไม่ใช่เหรอ!?”

จากนั้นเขาเล็งไม้เท้ามาที่ผมด้วยดวงตาปิดสนิทเหมือนตาบอด ผมทนคำพูดเหลวไหลของเขาไม่ได้

“หมายถึงวงเวทที่บางเหมือนกระดาษนั่นเหรอ? ใช่ ข้าแน่ใจว่า ‘เจ้าหญิง’ จะปลอดภัย”

ยูเรียก็อาจปลอดภัยเหมือนกัน แต่คนอื่นล่ะ? ผมไม่อาจแน่ใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย ไม่แน่อาจมีใครตายถ้าพวกคนใส่หน้ากากบุกรุกเข้าไป

“ที่ข้าเอาเธอออกมาจากโรงเรียนได้ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วไม่ใช่เหรอว่ามันมีช่องโหว่ขนาดไหน?”

วิลเลียมพูดไม่ออก ที่จริง วงเวทของเขาก็ไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้น มันถูกวางอย่างแนบเนียนจนผมไม่รู้สึกถึงมันจนได้ยินจากลุงบลัดดี้ว่ามีวงเวทติดตั้งในโรงเรียน ถ้าผมไม่รู้มาก่อนบางทีขนาดผมเองก็พาอารีเลียออกมาไม่ได้ก็ได้

แต่ว่า ดูจากความสามารถของพวกคนใส่หน้ากาก โดยเฉพาะความสามารถเวทมนตร์ของชายชราหน้ากากทองแล้วมีความเป็นไปได้มากว่าจะฝ่าเข้าไปได้ แน่นอน ในงานมียูเรียและคนเก่งๆคนอื่น ถึงอย่างนั้น ถ้าพวกเขาเข้าไปในงานได้ย่อมเกิดการบาดเจ็บล้มตาย 

แล้วหนึ่งผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นอาจเป็นเพื่อนของผม!

นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ!

สงบใจลงก่อนดีกว่า มองในมุมของวิลเลียม เขาจะไม่ต้อนรับตัวแปรไม่แน่นอนอย่างผมก็เป็นเรื่องธรรมดา ระหว่างผมสูดหายใจลึกเพื่อสงบใจลงก็ได้ยินเสียงสงสัยดังจากด้านหลังของผม

“หืม?”

ผมพยุงอารีเลียลงมาที่พื้น

“โอ้ ตื่นแล้วเหรอ อารีเลีย?”

ในสภาพยังงัวเงียอยู่แบบนี้ เธอดูน่ารักดี

“ลูแปง ที่นี่ที่ไหน?”

ปล่อยให้ลุงกับวิลเลียมเป็นคนตอบดีกว่า

“ข้าเกรงว่าการเดทของเราจะจบลงตรงนี้ คนพวกนี้มาเพื่อต้อนรับเจ้า”

ผมชี้ไปที่ลุง อารีเลียดูกระสับกระส่ายเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด

หวังว่าเธอจะจำไว้เป็นบทเรียนนะว่าอย่าตามคนแปลกหน้า

ทันใดนั้น เวทมนตร์ของผมก็กลับมาฟื้นฟูใหม่ พลังเวทรอบตัวผมเริ่มรวมตัวเข้ามา วิลเลียมกับลุงรู้สึกกดดันกับการเคลื่อนไหวของพลังเวทและตั้งท่าตั้งรับ

“ถ้าอย่างนั้นข้าไปล่ะ อย่าตามมานะ แล้วก็-”

เป๊าะ!

ผมดีดนิ้ว ถอนพลังเวทที่ล้อมดวงตาวิลเลียมออก

“โปรดอย่าซุ่มซ่ามจนถูกทำให้ตามองไม่เห็นอีก”

วิลเลียมมองผมอย่างประหลาดใจ เขาคงพยายามสลายมันโดยคิดว่าเป็นคำสาป แต่ที่จริงเวทมนตร์รอบดวงตาของเขาไม่ใช่คำสาป 

ตรงกันข้าม มันเหมือนการให้พรมากกว่า เหมือนพลังศักดิ์สิทธิ์

วิลเลียมน่าจะแยกมันออกได้เร็วเหมือนกัน แต่ก็ไม่แปลกถ้าเขายังไม่รู้ดูจากสถานการณ์โกลาหลจนถึงตอนนี้

“ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ระวังอย่าเป็นหวัดนะ”

พูดพลางผมก็บินขึ้นฟ้า ใช้เวทมนตร์ทำให้ตัวเองล่องหนแล้วบินกลับมาตรงมุมหนึ่งของระเบียงที่ผมเคยอยู่ตอนแรก ผมถอดหน้ากาก เก็บมันเข้ากระเป๋ามิติ

“ฮ่าๆ”

ผมหัวเราะอย่างเหนื่อยๆ ยาฟื้นฟูพลังเวททำให้พลังเวทของผมเต็มในทันที แต่ความเหน็ดเหนื่อยจากการใช้พลังเวทจนหมดยังคงอยู่

ทำไมจู่ๆยาก็ได้ผลขึ้นมา? ผมเดาว่าเหตุผลคือแสงสีขาว แต่มันเป็นแค่การเดา เหมือนที่ผมเดาตอนเห็นคนใส่หน้ากากหายไปแล้วปรากฏตัวขึ้นใหม่

ตอนนี้ สิ่งที่ต้องเป็นกังวลคือผลกระทบจากการใช้ยา ตามคาด ขนาดอยู่ในอากาศเย็นของกลางคืน เหงื่อก็เริ่มซึมตามหน้าผากของผม ขาหมดแรงและผมยืนพิงราวระเบียง

“เฮ้อ หนาว”

ยิ่งกว่านั้น ผมเริ่มรู้สึกหนาว

“เดน?”

ผมตกใจเมื่อได้ยินเสียงเรียก มองไปที่ประตูระเบียงและเห็นลิสบอนยืนอยู่ตรงนั้น

“เดน เป็นอะไรไป? สบายดีหรือเปล่า?”

ผมยิ้มให้ลิสบอนที่มองผมอย่างเป็นห่วง แต่ถึงไม่เห็นหน้าตัวเองก็รู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มอ่อนแรง

“นอกจากรู้สึกหนาวๆแล้ว เฮ้อ ข้าไม่เป็นไร”

ผมรู้สึกเหมือนกำลังหอบ

ลิสบอนแตะหน้าผากของผม “แย่แล้ว เจ้าตัวร้อนจี๋เลย!”

ฮ่าๆ หนาวจะตาย มาบอกว่าตัวร้อน...

ว่าแต่ มือของลิสบอนเย็นแบบนี้เหรอ? ผมพยายามลุกขึ้นแต่สะดุด

“เฮ้!”

ลิสบอนคว้าแขนของผมขณะกำลังโวยวาย

แปลก ตอนอยู่ในหมู่บ้านมันไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงขนาดนี้ แต่ดูจากลักษณะของสภาพแวดล้อม ผมคิดว่ามันมีเหตุผลอยู่

ที่ป่าโอลิมปัส อัตราฟื้นฟูพลังเวทต่ำ ดังนั้นผลข้างเคียงของยาจึงไม่มาก แต่นอกป่า ประสิทธิภาพมันดีมากจนดูเหมือนผมจะใช้ยาเกินขนาด

เทียบกับไวอากร้า ถ้ายาจริงมีประสิทธิภาพเป็น 1 ยาปลอมของจีนก็มีประสิทธิภาพมากกว่า 10 เท่าในปริมาณที่น้อยกว่าเท่าตัว

“ขอโทษที เจ้าช่วย...พาข้าออกไปหน่อยได้ไหม?” ผมหอบน้อยๆ ผมถามลิสบอนโดยรู้ว่ายังไงเจ้าใจอ่อนนี่ก็ต้องเตรียมตัวช่วยเต็มที่อยู่แล้ว ผมมันโง่ที่ถาม

“ได้สิ!” ลิสบอนตอบอย่างแข็งขันและช้อนตัวของผมขึ้น

เดี๋ยว! ท่านี้มัน!

“เฮ้ แค่!”

แค่ช่วยพยุงก็พอ!

ผมอยากตะโกน แต่จู่ๆลิ้นก็หนักจนพูดไม่ออก ปล่อย! เจ้าโง่!

แต่ร่างกายของผมอ่อนปวกเปียกและไม่ทำตามคำสั่ง ลิสบอนอุ้มผมและเดินข้ามห้องโถง ที่กำลังครึกครื้นเต็มที่

หูอันไวเกินเหตุของผมได้ยินเสียงกระซิบของพวกหญิงชนชั้นสูง

วาย! โลกนี้มันช่างวาย!

จากที่ไกลๆ ผมเห็นแฟลมแบกอัลฟอนโซที่กำลังหลับอยู่บนหลัง 

นั่น! แบกแบบนั้นสิ!

แต่เท่าที่ผมทำได้คือพยายามยกมือปิดหน้าและใช้เวทมนตร์รบกวนการมองเห็นไม่ให้ใครจำหน้าผมได้

เส้นโคจรพลังเวทที่ถูกใช้เกินขีดจำกัดไปแล้วปวดยิบๆ

แกนะแก ลิสบอน! ฝากไว้ก่อนเถอะ!

***

มาลิฟนำลูกน้องพาเฟอร์นันโดไปที่ห้องรักษาพยาบาลฉุกเฉิน มองเขานอนบนเตียงเหมือนศพขณะรับการรักษา หัวใจของเขาหนักอึ้ง

สหายร่วมรบของเขาหนึ่งคนตายไปเพราะความไร้สามารถของเขา หนำซ้ำ เฟอร์นันโด ผู้ที่มาริโอสละชีพปกป้องเอาไว้ กำลังอยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ตาย พวกเขาลักพาตัวเจ้าหญิงผู้เป็นกุญแจหลักในการล้มจักรวรรดิไม่สำเร็จ มันล้มเหลวไปหมด

แม้จะลักพาตัวเจ้าหญิงไม่ได้ อย่างน้อยพวกเขาควรได้รหัสผ่านที่ติดตัวเธอ

อารีเลียเป็นเป้าหมายรอง เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือความสามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระในปราสาทที่มีวงเวทขนาดใหญ่คุ้มครอง และสามารถเข้าใกล้จักรพรรดิได้โดยไม่มีข้อจำกัด รหัสผ่านเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการนั้น

ทั้งมาลิฟและเฟอร์นันโดรู้ว่านี่อาจเป็นกับดัก แต่ที่พวกเขาเดินแผนต่อเพราะมั่นใจในเฟอร์นันโด

พวกเขาคิดว่า ด้วยขุมพลังที่แข็งแกร่งอย่างพวกเขาจะทำให้สำเร็จได้ แต่พวกเขามั่นใจเกินไป พวกเขาถูกเล่นตลก ไม่อาจแม้แต่เข้าใกล้เจ้าหญิง

เผชิญหน้ากับลูแปง อินทรีบาดเจ็บสาหัส ต่อให้ลูกน้องสี่คนรักษาตัวจนหายก็ไม่รู้ว่าจะจับดาบได้อีกหรือไม่

ที่ทำให้มาลิฟเสียใจไปกว่านั้นคือมาริโอ ผู้อยู่กับเขามาตั้งแต่ช่วงเริ่มเป็นพาลาดิน ตาย

“อ๊าก!”

“พระคุณเจ้า! ได้สติแล้วหรือครับ?”

เมื่อได้ยินเสียงครางของเฟอร์นันโด มาลิฟผ่านนักบวชที่กำลังใช้เวทมนตร์รักษาไปหาเฟอร์นันโด

“แค่ก! มา... มาลิฟเหรอ?”

“ข้าเองครับ คาร์โดเฟอร์นันโด” มาลิฟตอบ จับมือเฟอร์นันโดอย่างระมัดระวัง

มองสีหน้าเศร้าสร้อยของมาลิฟแล้ว เฟอร์นันโดหัวเราะ

“ฮะๆ ไม่เหมือนเจ้าเลย แค่ก! ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้”

“อย่าพูดอีกเลยครับ คาร์โดเฟอร์นันโด”

เฟอร์นันโดพยักหน้าแล้วถามด้วยสีหน้าขรึม “มาริโอกับ...วิบริโอ อยู่ ฮู่ อยู่ไหน?”

มาลิฟกลืนน้ำลาย “พวกเขาสบายดี เพราะฉะนั้น-”

“ไม่ ไม่ต้องโกหกข้า”

เฟอร์นันโดไอและมองมาลิฟ ดวงตาของเขาเปียกชื้น

มาลิฟรู้ว่าน้ำตาไม่ได้มาจากความเจ็บปวด

“มาริโอ...ตาย ใช่ไหม?” เฟอร์นันโดพูดสิ่งที่มาลิฟไม่อาจพูดออกมา “คนหนุ่มต้องตายเพราะไอ้แก่อย่างข้า!”

น้ำตาไหลนองจากดวงตาของเฟอร์นันโด “แค่ก!แค่ก!” เขาไออย่างแรงและกระอักเลือด

“สงบใจไว้เถอะครับ!”

มาลิฟเตือนอย่างเป็นห่วง แต่เฟอร์นันโดไม่หยุดร้อง “โง่เขลานัก โง่เขลานัก”

เขาหมายถึงมาริโอที่ตายแทน? หรือตัวเองที่ทำให้ลูกน้องต้องตายอย่างเสียเปล่า? มาลิฟไม่รู้ เขาได้แต่นิ่งเงียบ มองบ่าของชายชราที่กำลังสะอื้น

“ขอโทษ วิบริโอ แค่ก!” เฟอร์นันโดกุมแผลของเขา

“นักบวช!” มาลิฟร้อง

นักบวชที่ยืนรอข้างๆรีบเข้ามารักษาเฟอร์นันโด

“ข้าจะบอกวิบริโอถึงการตายของมาริโอครับ”

มาริโอเป็นคนรักของวิบริโอ มันเป็นเรื่องเศร้าที่ต้องบอกข่าวการตายของเพื่อนสนิทกับคนรักของเขา แต่มาลิฟทำใจปล่อยให้เฟอร์นันโดผู้บาดเจ็บหนักรับภาระนั้นไม่ลง

“ไม่ นี่เป็นความผิดของข้า ข้าควรเป็นคนบอก”

มาลิฟส่ายหน้าให้เฟอร์นันโดผู้ลมหายใจเริ่มสงบลงจากเวทมนตร์รักษาของนักบวช “ข้าจะเป็นคนบอกกับวิบริโอและครอบครัวของมาริโอเองครับ”

“อย่าพูดไร้สาระ! แค่ก!”

“โปรดสงบใจลงด้วยครับ พระคุณเจ้า!” นักบวชร้อง

เฟอร์นันโดสูดลมหายใจลึกและหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า

“ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ต่อให้ต้องตกนรก นั่นคือหน้าที่ของผู้อยู่เบื้องบน” พูดแล้วเฟอร์นันโดก็หลับไป

น้ำตาหนึ่งหยดหยดจากดวงตาที่หลับลงเหมือนบอกว่านี่จะเป็นการร้องไห้ครั้งสุดท้ายของเขา



สารบัญ                                                      บทที่ 70

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 68

บทที่ 68 – งานเลี้ยง (19)


“ไอ้คนขี้ขลาด บินหนีอยู่ได้!”

คนใส่หน้ากากที่ผมเจอที่หลังคาใช้เวทมนตร์เก่ง แต่ดูเหมือนคนกลุ่มนี้จะไม่เก่ง?

ผมเคยอ่านว่าพลังศักดิ์สิทธิ์แบ่งเป็นระดับ และมีบางระดับที่ถูกห้ามบิน ถ้าจำไม่ผิด เหมือนว่าเพราะท้องฟ้าเป็นเขตของพระเจ้า มีแต่ระดับที่ได้รับเลือกจากพระเจ้าเท่านั้นที่บินได้

ใช่มีแต่ระดับบิชอปขึ้นไปหรือเปล่านะที่ใช้เวทบินได้? 

ถ้าอย่างนั้นถ้าบินแบบนี้พวกนี้ก็ไล่ตามมาไม่ได้?

“ลาก่อนทุกท่าน! ข้าขอปลดห่วงที่รั้งข้าไว้บนโลกนี้และออกไปหาความสุข โชคดีนะทุกท่าน!” ผมบินขึ้นสูงพร้อมเอ่ยลาอย่างรื่นเริง

“แก!”

กลุ่มคนใส่หน้ากากเดือดดาลและโยนรัศมีดาบเป็นการตอบโต้ แต่ถูกโล่ของผมปัดไปหมด รัศมีดาบยิ่งอยู่ไกลจากดาบยิ่งอ่อนแรงลง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา

“และนี่คือของขวัญส่งท้าย! ความยุติธรรมหลั่งมาจากฟากฟ้า!”

เร่งวงจรเวทมนตร์เต็มที่ ผมยิงกระสุนเวทนับพันใส่พวกคนใส่หน้ากาก ฝุ่นผงลอยขึ้นทำให้มองไม่เห็นแต่ผมยิงไม่ยั้งไม่สนว่าจะโดนพวกเขาหรือไม่ เมื่อพลังเวทของผมเริ่มหมดและเริ่มเหนื่อย จู่ๆสายฟ้าสีขาวก็พุ่งใส่ผม

เปรี๊ยะ!

เมื่อเวทมนตร์อันทรงพลังโดนโล่ของผม ผมก็รู้สึกพลังเวทลดไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้น แน่นอน ผมหยุดยิงและมองไปรอบๆหาต้นตอของสายฟ้า

ชายชราใส่หน้ากากทองกำลังบินมา

พวกเดียวกับคนใส่หน้ากากเหรอ?

“แกเป็นใคร!” ชายชราตะคอกผมแล้วโจมตีต่อโดยไม่รอคำตอบ

“ช่างมัน! ตายซะ!”

ชายชราหน้ากากทองโบกไม้เท้าที่เหมือนใช้ในพิธี ยิงกระสุนเวทเป็นร้อยๆนัดใส่ผม ผมตัดพลังเวทที่ส่งให้เวทมนตร์นอนหลับของเจ้าหญิงและใช้การบินหลบฉุกเฉิน

ด้วยการบินหลบด้วยความเร็วสูง ทำให้กระสุนเวททั้งหมดเฉียดผ่านผมไป แต่เจ้าหญิงส่งเสียงละเมอ

“อืม”

เวร พอรอดไปได้ต้องดูแล้วว่าจะปลุกเจ้าหญิงตื่นหรือเปล่า

“พรหมจารีลม!”

สว่านลมล้อมรอบชายชราเหมือนพรหมจารีเหล็ก

“ฮึ่ย! ค้อนเหล็กพระเจ้า!”

ชายชราสร้างหอกแสงขึ้นมา แทงใส่สว่านลมเพื่อสร้างช่องว่างและหนีออกมา

“ทัณฑ์สวรรค์!”

สายฟ้าสีขาวพุ่งจากมือผมใส่ชายชรา

“เจ้าโง่! คิดหรือว่าของปลอมจะทำร้ายข้าได้!”

ชายชราโบกมือ ยึดการควบคุมสายฟ้าสีขาวไปและบังคับให้มันลอยกลับมาทางผม ผมแค่ใช้เวทมนตร์นี้เพื่อจะยั่วโมโหเขา แต่ไม่ใช้เวทมนตร์ที่ลอกมาจะดีกว่าสินะ

ศัตรูรู้จักเวทมนตร์นี้ดีกว่าผม และผมแค่ลอกมาจากการมองเผินๆ ไม่แปลกที่จะเสียการควบคุมไป

“ลบ!”

ผมลบสายฟ้าสีขาวไปง่ายๆแล้วร่ายมนตร์อื่น

“สนามระเบิด!”

ชายชราที่ดูเหมือนกำลังเตรียมรับมือเวทมนตร์ของผมอยู่หัวเราะเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ฮ่าๆ! เวทมนตร์ล้มเหลวเหรอ? โง่นัก!”

เขายกคทาและบินมาทางผม

ตูม! ตูมตูม!

ชายชราแตะโดนระเบิดล่องหนที่ผมวางลอยกลางอากาศ ถูกช็อกหรืออาจสลบไปจึงร่วงสู่พื้น แต่ดูจากที่ไม่เหมือนมีบาดแผลสาหัสอะไร เขาคงใช้เวทมนตร์ลดการกระแทกตอนหล่นลงไป

ส่วนตัวแล้วผมไม่อยากฆ่าคน แต่เพื่ออนาคตแล้วจบมันตรงนี้ดีกว่า

ลางสังหรณ์ของผมคอยกระซิบว่าชายชราคนนี้จะสร้างความยุ่งยากให้ผมในอนาคต และถ้าเขาหายไป กลุ่มคนใส่หน้ากากจะไม่อาจสู้ได้อีก เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลรองรับ แต่ตัดสิ่งที่น่าจะเป็นปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆดีกว่า 

มาทำให้พวกเขาสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงกันดีกว่า เพื่อถ้าต่อไปเจอกันอีกจะได้ไม่กล้าเป็นศัตรู

“หนึ่งโคจร”

ผมไม่ชอบเวทมนตร์นี้เพราะคำร่ายมันเลี่ยน

“ปลายของหอกเจ็ดแฉกตรึงอนาคต”

แต่มันเป็นเวทมนตร์ที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ มันช่วยไม่ได้

“ผลที่เกิดมีเพียงหนึ่งเดียว”

มันเป็นเวทมนตร์ที่อยู่ในกลุ่มมหาเวท พลังเวทของผมที่ลดต่ำอยู่แล้วยิ่งหายไปอีก

อ่า การขาดพลังเวททำให้ผมเวียนศีรษะ

“คำร่ายแบบย่อ! Gae Bulg!”

แสงสีแดงวาบขึ้นจากมือของผม มันพาดผ่านฟ้าพุ่งใส่ชายชรา

“ไม่!”

ฝุ่นผงลดลง ชายใส่หน้ากากคนหนึ่งกระโดดขึ้น แต่สายไปแล้ว ต่อให้ชายชราคนนั้นป้องกันมันได้ก็ตายอยู่ดีนอกจากจะมีปาฏิหาริย์

***

พาลาดินวิบริโอ คนใส่หน้ากากผู้ถูกเรียกว่าจิ้งจอก กำลังไล่ตามบลัดดี้และวิลเลียม เธอเห็นสิงห์หรือคาร์โด เฟอร์นันโด และอีกคนกำลังต่อสู้ด้วยเวทมนตร์จากที่ไกลๆ เธอรู้สึกแปลกที่จู่ๆสิงห์ก็ต่อสู้กลางอากาศ

หรือว่า ศัตรูที่เขากำลังสู้อยู่คือต้นเหตุของความรู้สึกแปลกจากโรงเรียนเวทมนตร์

วิบริโอไม่แน่ใจ แต่สรุปว่าชายคนนั้นคือต้นเหตุ

ถ้าอย่างนั้น พาลาดินมาริโอกับลูกน้องของเขาที่มีหน้าที่เริ่มการปฏิวัติอยู่ที่ไหน?

เธอเห็นหน่วยเสือดาวที่นำโดยพาลาดินมาลิฟ อยู่ใต้จุดที่เกิดการต่อสู้นั่นเอง เธอรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

เขาไม่มีทางแพ้ชายคนนั้นที่เหมือนตัวต้นเหตุหรอก ใช่ไหม?

ไม่ ไม่มีทาง วิบริโอทำใจให้เข้มแข็ง

วิบริโอ แม้จะผิดหวัง แต่ก็ยอมรับว่าพวกอินทรีที่มาริโอนำแข็งแกร่งกว่าหน่วยจิ้งจอกของเธอ แต่แม้แต่เหล่าจิ้งจอกยังสามารถรั้งบลัดดี้แห่งเผ่ากาและวิลเลียมแห่งเผ่าผีเสื้อไว้ได้

แม้ในฐานะอัศวิน เธอจะรู้สึกละอายที่ความสำเร็จนั้นมาจากการใช้อาวุธระยะไกลก็ตาม แต่มันช่วยไม่ได้ ในด้านดาบ พวกเธอเทียบบลัดดี้ไม่ได้ อีกอย่าง เธอและหน่วยของเธอไม่คล่องเรื่องปิดบังพลังศักดิ์สิทธิ์เหมือนเฟอร์นานโด

ไม่สิ เฟอร์นานโดผู้สามารถซ่อนลักษณะพิเศษของพลังศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าคนเผ่าผีเสื้อต่างหากที่โกงเกินไป

“จิ้งจอก!”

เสียงเรียกวิบริโอดังมาจากด้านหลัง

“อินทรี!”

เขาคือมาริโอ วิบริโอรู้แม้ว่าจะเขาจะใส่หน้ากากอยู่ เป็นอย่างที่เธอคิด มาริโอไม่มีทางแพ้ แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นมาริโอ แขนขวาของเขาหายไป

“เกิด-เกิดอะไรขึ้น!” วิบริโอร้อง

มาริโอหันไปมองบลัดดี้กับวิลเลียม “ไว้ทีหลัง ตอนนี้เรากำลังทำภารกิจ”

วิบริโอกัดฟันแล้วไล่ตามบลัดดี้กับวิลเลียมต่อ

“บลัดดี้! ข้ารู้สึกถึงอารีเลียจากกลางอากาศ เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อได้ยินเสียงสับสนของวิลเลียม บลัดดี้ มาริโอและวิบริโอมองขึ้นไปที่ฟ้า

“นั่น-นั่นมัน!”

ไม่รู้ทำไมแต่วิบริโอเพิ่งสังเกตเห็นเอาตอนนี้ เจ้าหญิงกำลังหลับซบบนหลังของชายที่ใส่หน้ากากขาวครึ่งหน้ากับชุดสูท

ตอนนั้นเองวิบริโอจึงเข้าใจว่าทำไมหัวหน้าของเธอจึงต่อสู้ แต่ในอีกด้าน เธอเริ่มเกิดความสงสัย

ชาย? ข้าคิดว่าเขาเป็นผู้ชายเหรอ?

มันแปลก เขาอยู่ตรงนั้น แต่เธอจำเขาไม่ได้เลย ความรู้สึกแปลกๆนี้เหมือนเธอเคยเจอมาก่อน

วิบริโอที่คิดหนักจู่ๆก็ตระหนักขึ้นมาได้

หน้ากากขาว! ลูแปง!

ก่อนเธอจะร้องออกมา เฟอร์นันโดก็ร่วงลงมาเพราะการระเบิด

ข้าต้องรับเขา! วิบริโอทิ้งความคิดไล่ตามบลัดดี้กับวิลเลียมและวิ่งเต็มแรง ขณะจับตามองเฟอร์นานโดที่กำลังร่วงหล่น เธอสังเกตเห็นแสงสีแดงดุร้ายในมือลูแปง จากนั้นแสงสีแดงเปลี่ยนเป็นลำแสงและพุ่งใส่เฟอร์นันโด

มาลิฟก็เห็น เขากระโดดขึ้นสูงหลายเมตร แต่หยุดลำแสงไม่ได้

ไม่ ไม่ ไม่!

วิบริโอคว้าสร้อยกางเขนที่คอเธอแล้วตะโกนคำภาวนา

“พระเจ้าผู้ปราณี ได้โปรดช่วยเขา! ถึงให้ข้าเป็นโล่ก็ไม่เป็นไร!”

เหมือนได้ยินคำภาวนาของวิบริโอ แสงสีขาวระเบิดออกจากไม้กางเขน แสงขาวสว่างจ้าคือแสงของปาฏิหาริย์

เมื่อวิบริโอภาวนาขอปาฏิหาริย์ได้ มาริโอก็จับมือวิบริโอ

“มาริโอ?”

“ข้าไม่อยากให้เจ้าบาดเจ็บ ไว้ข้าจะกลับมาชดใช้เจ้าทีหลัง”

พูดจบ มาริโอต่อยวิบริโอที่ท้องทำให้เธอสลบ แสงสีขาวย้ายเขาไปอยู่ระหว่างแสงสีแดงและเฟอร์นันโด

“มา...ริโอ?” เฟอร์นันโดเรียกเมื่อเริ่มได้สติ

“ข้าจะปกป้องท่านเอง” มาริโอพูด

“โง่...เขลานัก”

เพราะหน้ากากทอง เขาจึงไม่เห็นหน้าของเฟอร์นันโด แต่มาริโอผู้รับใช้เขามานานแน่ใจ ใต้หน้ากากต้องเป็นสีหน้าไม่พอใจ ไม่ว่าเขาจะพยายามป้องกันมันอย่างไร เขารู้ว่าถ้าโดน อย่างดีที่สุดคือบาดเจ็บสาหัส

“โปรดอย่าดุด่าพาลาดินมาลิฟเกินไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว”

มาริโอไม่ดูว่าเฟอร์นันโดฟังหรือเปล่า เขาแค่พูดเพื่อความพอใจของตัวเอง แม้แสงสีแดงจะพุ่งใส่ช้าๆ ให้โอกาสพวกเขาได้คุยกันสั้นๆ นี่คือปาฏิหาริย์เล็กๆที่แสงสีขาวมอบให้

แต่เวลาแห่งปาฏิหาริย์นั้นก็กำลังหมดลง

มาริโอปลุกใจตัวเอง เพิ่มพลังเวทให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และป้องกันลำแสงสีแดง แต่ลำแสงก็ยังผ่านเวทป้องกันที่เขาสร้างขึ้นด้วยพลังทั้งหมดที่มีและทะลุหัวใจเฟอร์นันโด

“ไม่!!!”

มาริโอตะโกนคำภาวนาด้วยเสียงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

“พระเจ้า!”

***

แสงสีขาวดูศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้า มันส่องมาจากมือของคนใส่หน้ากาก เสียเวลาเปล่า เวทมนตร์ของผมพุ่งใส่เป้าหมายของมันแล้ว – ชายชราใส่หน้ากากสีทอง

ผมมองแสงสีแดงทะลุหัวใจชายชราอย่างไม่รู้สึกอะไร เวทมนตร์ดูเหมือนจะทำลายหัวใจเขาสำเร็จ 

แต่ตอนนั้นเอง แสงสีขาวเจิดจ้าคลุมทั้งพื้นที่ ผมหลับตาลงครู่หนึ่ง เมื่อลืมตา คนที่ถูกแทงและเลือดทะลักจากอกกลายเป็นคนใส่หน้ากากที่เข้ามากันแสงสีแดง ชายชราล้มลง เลือดทะลักจากท้องด้านซ้ายของเขา ไม่ใช่หัวใจ

เกิดอะไรขึ้น? ผมแน่ใจว่าเวทมนตร์ได้ผล

มันล้มเหลวเพราะการย่อคาถาเหรอ? ไม่น่าใช่

ถ้าเวทมนตร์ล้มเหลวเพราะการย่อคาถา เวทมนตร์ทั้งหมดที่ผมเคยใช้มาทั้งชีวิตก็ควรจะล้มเหลวเหมือนกัน

มันเกี่ยวกับแสงสีขาวหรือเปล่า? ไม่รู้แฮะ

ผมหยิบ mp โพชั่น หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า น้ำยาฟื้นฟูพลังเวท จากกระเป๋ามิติและดื่มมัน

“ฮึ้ย แหยะ!

ทำไมโลกนี้ไม่มีการแต่งกลิ่นรสนะ! ผมไม่ได้หวังถึงรสโค้ก แต่เป็นรสผลไม้ก็ยังดี เอาเถอะ ถึงเวทมนตร์ล้มเหลวก็ไม่เป็นไร แค่ผมใช้อีกครั้งก็จบ

ผมรอให้พลังเวทเพิ่มขึ้น กลุ่มคนใส่หน้ากากรับร่างที่ยังอุ่นของคนที่หัวใจถูกแทงทะลุแทนชายชราใส่หน้ากากทอง

“ถอย!”

ชายชรา เป้าหมายของผม อยู่ในสภาพทุลักทุเลขนาดต้องใช้เวทมนตร์รักษาเรื่อยๆพลางตะโกนสั่งอย่างเร่งร้อน

ผมยื่นมือออกไปทางกลุ่มคนที่กำลังรีบหนี เล็งไปทางชายชราใส่หน้ากากที่ถูกอุ้มแบบเจ้าหญิง ทั้งๆที่เขาไม่ใช่เจ้าหญิง

“เอ๋?”

น้ำยาที่ผมดื่มรสชาติไม่อร่อย แต่เร่งการฟื้นฟูพลังเวทเร็วมากถึงขั้นสร้างภาระแม้แต่กับร่างกายแบบผม แต่ขนาดนั้นแล้วผมก็ยังไม่มีพลังเวท มันไม่เหมือนโพชั่นในเกมที่เพิ่มพลังเวทให้ทันที แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็น่าจะมีบ้าง

แต่พลังเวทของผมไม่ฟื้นฟูขึ้นเลย เหมือนมีบางอย่างระงับการเชื่อมโยงระหว่างผมกับพลังเวทรอบๆ

มันเหมือนมีบางอย่างทำให้การโจมตีของผมพลาด ทำให้ชายชราไม่ตาย และหยุดไม่ให้พลังเวทของผมฟื้นฟู





สารบัญ                                                  บทที่ 69

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 67

บทที่ 67 – งานเลี้ยง (18)

เมื่อบลัดดี้มาถึงจุดเกิดระเบิด เขาเห็นอัศวินที่รับผิดชอบบริเวณนี้นอนบาดเจ็บ มีเพียงวิลเลียมคนเดียวกำลังสู้กับชายชราใส่หน้ากากทอง

“วิลเลียม!

บลัดดี้ปล่อยรัศมีดาบใส่พวกหน้ากากดำที่กำลังโจมตีวิลเลียมกระเด็นไป

“ฮ่าๆๆ! ดูท่าว่าเพื่อนของเจ้ามาถึงแล้วสินะ! คนเผ่าผีเสื้อ!

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น สิงห์!

วิลเลียมหลับตาตั้งรับ บลัดดี้เห็นวิลเลียมที่ตั้งใจฟังโดยไม่ยอมลืมตาขึ้นมาก็เข้าไปหาโดยตั้งรับการโจมตีของคนใส่หน้ากากไปด้วย

“ตาของเจ้า!

“ขอโทษ ข้าพลาดไป”

ตาของวิลเลียมถูกเวทมนตร์ของสิงห์ทำให้บอดไปชั่วคราวในตอนที่เขาเบนความสนใจไปที่อัศวินที่ได้รับบาดเจ็บจากการระเบิด แต่ถึงจะตาบอดและถูกคนใส่หน้ากาก 10 คนรุมโจมตี เขาก็ยังป้องกันตัวได้โดยไม่บาดเจ็บหนัก

หรือพูดอีกอย่างคือ ที่พวกคนใส่หน้ากากสู้กับวิลเลียมได้ เพราะเขาสูญเสียการมองเห็นและถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว

“ไม่เป็นไร รีบจบกันดีกว่า”

บลัดดี้ยังต้องไล่ตามคนใส่หน้ากากขาวอยู่ เขาอยากจบเรื่องนี้เร็วๆและกลับไปที่โรงเรียนเวทมนตร์

“ได้ ขอบใจ” วิลเลียมปล่อยเวทมนตร์ “ลูกศรน้ำแข็ง!

เวทมนตร์ของวิลเลียมพุ่งใส่หน้ากากคนหนึ่ง แต่อีกฝ่ายหลบอย่างง่ายดาย การมองไม่เห็นและต้องรับรู้การเคลื่อนไหวของศัตรูผ่านพลังเวททำให้คาดเดาการเคลื่อนไหวล่วงหน้ายาก แต่ขอให้บลัดดี้อยู่ เรื่องมองไม่เห็นไม่ใช่ปัญหา

บลัดดี้พุ่งใส่หน้ากากที่อยู่ตรงกับเวทมนตร์ของวิลเลียม

“อย่าหวัง!” สิงห์ร่ายคาถาขึ้น

พื้นดินตรงหน้าบลัดดี้ยกตัวขึ้นทันที เขาก้าวถอย และลูกศรพุ่งใส่จุดที่เขาถอยไป ปล่อยให้คนเผ่ากาเข้าสู้ประชิดตัวก็คือการฆ่าตัวตาย เพราะรู้เรื่องนั้นดี พวกคนใส่หน้ากากจึงใช้อาวุธระยะไกล

เมื่อบลัดดี้ฟันลูกศรหัก สิงห์ก็สั่งให้ดินที่ยกตัวขึ้นถล่มไปทางบลัดดี้ แต่แล้วก็มีบาเรียน้ำแข็งขึ้นมากั้นไว้ มันเป็นเวทมนตร์ของวิลเลียม

บลัดดี้พุ่งตัวไปทางสิงห์ผ่านรอยแยกที่เกิดเพราะบาเรียน้ำแข็ง ห่าลูกศรโจมตีใส่เขาแต่ถูกดาบปัดออก

สิงห์ปักไม้เท้าที่พื้น กลุ่มโซ่สีขาวงอกขึ้นมาและมัดร่างบลัดดี้ไว้แน่น

บลัดดี้ออกแรงเต็มที่และทำลายโซ่ตรวน แต่โซ่ใหม่ก็มาพันแทนโซ่ที่ขาด

“กล้าเหรอ!

วิลเลียมยิงลูกศรน้ำแข็ง พร้อมกันนั้นก็ใช้เวทมนตร์ตัดโซ่ตรวน เพราะสิงห์กำลังป้องกันลูกศรน้ำแข็งด้วยเวทมนตร์จึงรักษาโซ่ตรวนไว้ไม่ได้ บลัดดี้หลุดจากโซ่และโจมตี

คนใส่หน้ากากเอาตัวเข้ามาบังดาบของวิลเลียมที่ฟันใส่สิงห์

“อ๊าก!

ร่างคนใส่หน้ากากถูกดาบผ่าครึ่ง เขากรีดร้องแต่กำดาบของบลัดดี้ไว้แน่นขณะเพื่อนร่วมรบยิงธนูใส่บลัดดี้

บลัดดี้พยายามดึงดาบเพื่อปัดลูกศร แต่อีกฝ่ายยึดมันไว้แน่น

“ปล่อย!

“ไม่!

บลัดดี้เลิกพยายามดึงดาบ แต่คว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายและใช้เป็นโล่

ชายใส่หน้ากากถูกยิงพรุน แต่แม้ตายไปแล้วดาบก็ยังดึงออกจากศพเขาไม่ได้

บลัดดี้ทิ้งดาบของเขาและใช้ดาบหักของชายใส่หน้ากากแทน

“สกปรกเป็นบ้า”

บลัดดี้เดาะลิ้นอย่างไม่พอใจการโจมตีที่ไม่สนใจความเป็นตายของพวกเดียวกัน และกระโจนใส่สิงห์อีกครั้ง

ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกถึงคลื่นพลังเวทรุนแรงมาจากโรงเรียนเวทมนตร์

“ไม่จริงน่า! วิลเลียม!

บลัดดี้หน้าซีดเมื่อนึกถึงโจรหน้ากากขาว เขามักจะลืมไปว่าไม่ได้ไล่ตามบุคคลน่าสงสัยนั้นเพราะไม่รู้สึกว่าเขามีเจตนาร้าย

“ไม่ เวทที่ร่ายใส่โรงเรียนยังเรียบร้อยดี” วิลเลียมตอบอย่างใจเย็นพลางร่ายเวทจู่โจมสิงห์ เวทที่เขาร่ายใส่โรงเรียนเวทมนตร์ไม่ได้มีแค่เวทกันเสียง ยังมีเวทป้องกันหลายประเภทและเวทที่จะเตือนเขาถ้ามีการบุกรุก นอกจากนั้นแล้วเจ้าหญิงยังใส่สร้อยข้อมือที่จะแจ้งที่อยู่ของเธอให้เขารู้เมื่อถูกลักพาตัว

ตรงกันข้าม สิงห์กับกลุ่มคนใส่หน้ากากไม่ใจเย็นด้วย

“ท่านสิงห์”

เมื่อคนใส่หน้ากากคนหนึ่งเรียก สิงห์พยักหน้า

ตามแผนแล้ว ระหว่างพวกเขาถ่วงเวลาวิลเลียมกับบลัดดี้ไว้ที่นี่ กลุ่มที่นำโดยอินทรี ลูกน้องของสิงห์ จะลักพาตัวเจ้าหญิง แต่คลื่นพลังเวทรุนแรงที่เกิดระหว่างแผนก็ไม่ต่างจากการบอกว่าพวกเขาเผชิญกับศัตรูที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย

“จิ้งจอก! ถ่วงเวลาไว้! ข้าจะไปที่นั่นเอง!

“ทราบแล้ว!” จิ้งจอกตอบรับและโจมตีวิลเลียมไปด้วย

“คิดจะไปไหน!

เมื่อบลัดดี้พยายามหยุดสิงห์ หน้ากากห้าคนก็โจมตีเขาพร้อมกัน

สิงห์ฉวยโอกาสหลบหนีไป

วิลเลียมสร้างบาเรียป้องกันการโจมตีของจิ้งจอกและตะโกน “บลัดดี้! พวกเราก็ไปด้วย!

“ได้!

บลัดดี้คลุมดาบหักด้วยรัศมีดาบ สร้างใบดาบจากพลังเวทยาวเกือบ 3 เมตรเพื่อผลักกลุ่มคนใส่หน้ากากไป จากนั้นเขาแบกวิลเลียมขึ้นหลังแล้วหนี

ถ้าวิลเลียมไม่ตาบอดเขาก็บินเองได้ แต่การบินทั้งๆที่มองไม่เห็นเป็นเรื่องอันตราย

“พวกเราตาม!” จิ้งจอกตะโกน

กลุ่มคนใส่หน้ากากยิงธนูใส่บลัดดี้ที่กำลังจะหนี แต่ลูกศรถูกบาเรียของวิลเลียมแล้วกระเด้งออก พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไล่ตามบลัดดี้ไปที่โรงเรียนเวทมนตร์

***

ขณะรอที่ประตูหลังของโรงเรียนเวทมนตร์ มาลิฟรู้สึกผิดปกติและพากลุ่มของเขาไปที่โรงเรียนเวทมนตร์

“อินทรี 9!

มาลิฟเจอลูกน้องของเขาที่ถูกเดนเบอร์กเตะหล่นหลังคาและพยายามใช้เวทมนตร์รักษา

“อั่ก! ท่านมาลิฟ...”

ลูกน้องของเขาได้สติ แต่สลบไปอีกรอบก่อนจะพูดกันรู้เรื่อง

มาลิฟไต่ผนังไปถึงหลังคาโรงเรียนเวทมนตร์ด้วยอารมณ์เคร่งขรึม ภาพบนหลังคาคือความหายนะ

“ใคร...ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้?!

มาลิฟโกรธแต่รักษาสติไว้ เขาเข้าใกล้หัวหน้ากลุ่มลักพาตัวที่กำลังนอนตรงขอบหลังคา และใช้เวทมนตร์รักษา

สภาพของเขาสาหัส แขนขวาถูกตัดและไม่อาจยกดาบได้อีก ใบหน้าบวมช้ำจนไม่เหลือเค้าหน้าเดิม

“พาลาดินมาริโอ” มาลิฟเรียกเพื่อนของเขาด้วยความเศร้า

“ตื่นสิ มาริโอ”

มาริโอปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหมือนสัมผัสได้ถึงความเศร้าของมาลิฟ

“อั่ก มาลิฟ?”

แม้จะได้สติ มาริโอยังครางด้วยความเจ็บ มาลิฟให้กินยาระงับปวด

เมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนของเขาดีขึ้น มาลิฟสาบาน “ข้าจะไม่ให้อภัยคนที่ทำกับเจ้าอย่างนี้” จากนั้นเขาตวาดสั่ง “ครึ่งหนึ่งให้รวบรวมและรักษาคนเจ็บ ที่เหลือให้ไปทำภารกิจใหญ่ต่อจากหน่วยอินทรี”

ตอนนี้ เรื่องสำคัญที่สุดคือการทำภารกิจใหญ่ให้สำเร็จ

“รับทราบ!

จากการสำรวจเบื้องต้น เจ้าหญิงควรจะยังอยู่ในห้องพัก

“เตรียมลงไป!

“เตรียมลงไป!

เพื่อลงไปในห้องพักอย่างราบรื่น คนใส่หน้ากากมัดเชือกกับหลังคา

“ทำให้สำเร็จในทีเดียว อย่าให้ฝ่ายนั้นไหวตัวทัน!

กึง!

ทันใดนั้น มาลิฟฟันลูกศรเวทมนตร์ที่บินมาทางเขาด้วยสัญชาติญาณ และตะโกน “ยกเลิกการลง! เตรียมสู้!

กลุ่มคนใส่หน้ากากตัดเชือกออกจากเอว ชักดาบ ตั้งท่าเตรียมสู้ และอีกครั้ง มาลิฟปัดลูกศรเวทมนตร์และเห็นคนยิงอยู่ไกลๆ

คนยิงใส่หน้ากากสีขาวครึ่งหน้าและโอบเป้าหมายของพวกเขา เจ้าหญิง ด้วยมือข้างหนึ่ง

“คนยิงมีเป้าหมายของเรา!

“ตามไป!

“รับทราบ!

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นมีส่วนในการทำร้ายมาริโอ

“ข้าจะไม่ให้อภัย” มาลิฟปล่อยเจตนาสังหาร

“ข้าไปด้วย” มาริโอพูด ฝืนลุกขึ้นด้วยร่างกายร่อแร่ มาลิฟอยากส่ายหน้า แต่เมื่อเห็นใจสู้จากตาของมาริโอ เขาก็พยักหน้าแทน

“ข้าไปก่อน เจ้าค่อยๆตามมา”

“ฮ่าๆ ภารกิจต้องมาก่อน ข้าไม่เป็นตัวถ่วงเจ้าหรอก”

มาลิฟและลูกน้องของเขากระโดดลงจากหลังคา ทิ้งมาริโอไว้ มาริโอใช้เวทมนตร์รักษาตัวเองก่อน

***

ว้าว ปฏิกิริยาของพวกเขาเร็วทีเดียว

ถ้าพวกเขาเข้าไปในห้องโถงจะกลายเป็นเรื่องยุ่ง ผมจึงตั้งใจให้พวกเขาเห็นเจ้าหญิง แครอทเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการล่อให้ม้าวิ่ง

ผมออกวิ่งโดยมีเจ้าหญิงที่กำลังหลับสนิทอยู่บนหลัง เพราะคิดว่าต่อไปอาจจะเจอพวกเขาอีกหลายครั้ง ผมจึงใส่เวทมนตร์จำนวนมหาศาลทำให้เจ้าหญิงหลับไปจนได้ พร้อมกับโล่ป้องกันสามชั้น ขนาดนี้แล้วอารีเลียน่าจะไม่มีอันตราย น่าจะนะ

เมื่อผมเริ่มวิ่งหนี ลูกธนูก็เริ่มพุ่งใส่ผมจากด้านหลัง ผมปัดมันด้วยดาบที่ได้จากหัวหน้าอินทรี

เทียบกับลูกธนูที่ยิงโดยแมค รองกัปตันหน่วยนักรบ แล้วรู้สึกเหมือนพวกเขายิงฟางใส่ แน่นอน ต่อให้เป็นฟาง ถ้าโดนก็เจ็บอยู่ดี เพราะฉะนั้นหลบดีกว่า

“แก! บังอาจใช้มือสกปรกจับดาบเล่มนั้น!

ผมยกนิ้วกลางให้คนใส่หน้ากากที่จู่ๆก็โมโหขึ้นมา

“สมัยนี้แล้วไม่มีหรอก  ของข้าหรือของเจ้าอะไรนั่น! เจ้าคนหัวดื้อ!

“แก!

เสียงความดันเลือดพุ่งสูงเหมือนจะดังมาถึงนี่ แต่พูดก็พูดเถอะ คนลักพาตัวว่าคนอื่นสกปรกได้เหรอ?

ผมหยุดพวกเขาไม่ให้เข้าไปในห้องโถงได้แล้ว แล้วยังไงต่อล่ะ?

ถ้าสู้ ก็ต้องห่วงเจ้าหญิงบนหลังของผม แต่การสู้ด้วยเวทมนตร์ก็ยากเหมือนกันเพราะพลังเวทที่ผมใช้กับอารีเลียมันไม่น้อยเลย ปกติ การใช้เวทมนตร์ให้คนหลับถึงจะใช้พลังเวทเยอะ แต่ให้คนนั้นหลับต่อไปก็จะง่ายลง

แต่ตรงกันข้าม ผมใช้พลังเวทจำนวนมากกว่าจะทำให้อารีเลียหลับได้ และต้องใช้มากกว่านั้นอีกเพื่อทำให้เธอหลับต่อไป การเคลื่อนไหวรุนแรงต้องทำให้เธอตื่นแน่

แล้วยังความเป็นไปได้ว่าจะมีฉาก เลือดสาดเจ้าหญิงเด็กเกินไปที่จะดู

เอ่อ ที่จริงพวกเราอายุเท่าๆกัน เอาเป็นว่าเธอกินพลังเวทเยอะมาก กินเยอะอย่างกับฮิปโป

ไม่ว่าผมจะใช้เวทมนตร์แค่ไหนตั้งแต่ออกจากบ้านเกิด อัตราการสูญเสียไม่เคยมากกว่าอัตราการฟื้นฟู แต่ตอนนี้ การทำให้อารีเลียหลับ มันเหมือนท่อประปาแตกและพลังเวทพุ่งออกมาไม่หยุด

ถ้าพูดให้น่ากลัวก็คือ ถ้าวันนี้ผมเป็นอะไรไป ไม่ใช่เพราะกลุ่มคนใส่หน้ากากหรอก แต่เพราะผมถูกเจ้าหญิงดูดพลังเวทจนกลายเป็นมัมมี่

พรุ่งนี้ผมมีเรียน แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้วว่าจะไปไหว

“ไอ้ชั่ว... ไม่จริง หน้ากากนั่น!

ชายใส่หน้ากากที่ด่าผมอยู่ตะโกนอย่างตกตะลึง

“ข้าเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นมาทีแล้ว ซ้ำซาก ให้หนึ่งคะแนน”

ถ้าเห็นคนหนึ่งทำปฏิกิริยาตามอีกคนหนึ่งเป๊ะ เราจะรู้สึกชิน ว่าแต่ ถ้าผมกลับไปคงต้องใส่เวทมนตร์ให้หน้ากากใหม่ ถ้าคนจำผมได้เพราะหน้ากากแล้วจะใส่มันทำไม

“ข้าจะตัดหัวเจ้าส่งให้ท่านผู้นั้น!

คนที่เหมือนเป็นหัวหน้าตรงมาที่ผมอย่างรวดเร็ว ผมบินหนีอย่างง่ายดาย

“บิน! อั่ก ข้าจะตายแล้ว”

ผมคราง พลังเวทที่เหลืออยู่ลดฮวบ ช่วยด้วย!

“กระสุนเวท 10 นัดติดต่อกัน!

ระหว่างบิน ผมยิงกระสุนเวทใส่พวกคนใส่หน้ากาก ผมควรใช้สนามแรงดึงดูดหยุดพวกเขาแล้วยิงเพื่อให้แน่ใจว่าต้องมีคนโดน แต่เพราะขาดพลังเวท จะให้หยุดการเคลื่อนไหวพวกเขาก็ยากเกินไป ตามคาด พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหลบไปได้

ไม่ว่าจะคิดอย่างไร การหนีคือคำตอบ

 

 

สารบัญ                                                              บทที่ 68

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 66

บทที่ 66 - งานเลี้ยง (17)

แปลก!

ทุกครั้งที่ใส่หน้ากากอันนี้ผมจะลบตัวตนให้จางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เผื่อใครเห็นจะได้ไม่สนใจผมมาก อีกอย่าง ผมใส่เวทมนตร์บนหน้ากากเพื่อเวลาไปหาขุนนางที่รถม้าของเขาทำโคลนกระเซ็นใส่ผมเพื่อแก้... แฮ่ม เพื่อเยี่ยมเยียนจะได้จำผมไม่ได้นอกจากเขาจะมีความสามารถมาก

เมื่อคนใส่หน้ากากชี้หน้าเรียกผม ทั้งกลุ่มก็ปล่อยรังสีสังหารรุนแรง

อะไรกัน?! ฉันไปทำอะไรให้แค้นขนาดนั้นเลย?

คนหนุ่มผู้ซื่อตรงอย่างผมไม่มีทางทำอะไรแบบนั้น พวกเขาจำคนผิดแน่นอน แต่สรุปว่าผมไม่ต้องหาเรื่องยั่วโมโหพวกเขาแล้ว

“ตายซะเจ้ามารร้าย!”

กลุ่มเจ็ดคนโจมตีอย่างต่อเนื่อง เมื่อผมหลบดาบที่แทงใส่ไหล่ขวา อีกดาบก็ฟันใส่ศีรษะจากด้านหลัง และอีกสองคนฟันดาบใส่ขาทั้งสองข้างของผม

ผมกระโดดเบาๆ หลบดาบที่จะฟันใส่ขาขวา เหยียบบนดาบที่ฟันใส่ขาซ้ายและหมุนตัวไปทางขวาพร้อมทั้งดึงตัวกลับไปเล็กน้อยเพื่อหลบดาบจากข้างบน

จากนั้น ผมใช้แรงจากการดึงตัว กระโดดม้วนตัวเตะคางชายใส่หน้ากากที่ฟันใส่ขาซ้ายของผม จากนั้นใช้ขาทั้งสองข้างเกี่ยวคอชายฟันใส่ขาขวาแล้วหมุนตัวไปทางขวาอย่างแรง

ตูม!

หลังจากใช้ขาทุ่มชายใส่หน้ากากจนศีรษะเขาจมหลังคาผมก็ม้วนตัวออก แล้วตรงไปทางคนที่จำหน้ากากผมได้ก่อนคนอื่น

ผมรู้สึกเสียใจทีหลังที่ไม่ได้เอาดาบออกมาจากกระเป๋ามิติไว้ก่อน สู้กับพวกเขาแบบไม่มีดาบนี่ผมรู้สึกเหมือนจะตายเอา ตอนนี้ถึงอยากจะเปิดกระเป๋ามิติเอาดาบออกมา คนพวกนี้โจมตีใส่ผมจนไม่มีเวลาทำอย่างนั้น

คนพวกนี้แข็งแกร่งกว่าที่คิด พวกเขาเป็นใครกันแน่? ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าพี่หญิงใหญ่ด้วย ดังนั้นปลดอาวุธพวกเขาก่อนดีกว่า

ผมไปตรงหน้าชายใส่หน้ากากอย่างรวดเร็ว เขาฟันดาบใส่ผมด้วยท่วงท่ายอดเยี่ยมไม่มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น แต่โจมตีผิดคนแล้ว

“พันธนาการ!”

“อึ่ก!”

การเคลื่อนไหวของชายใส่หน้ากากถูกหยุดอย่างง่ายดายด้วยเวทมนตร์ของผม ผมฉวยช่องโหว่ขโมยดาบของเขา

เอาล่ะ ถ้าใครให้ดาบมาอย่างน้อยเราก็ต้องขอบคุณเขา!

“ขอบใจนะมาริโอ้ แต่เจ้าหญิงอยู่ในปราสาทหลังอื่น”

ตามมารยาทแล้วต้องชูนิ้วกลางให้ด้วยเวลาพูดอย่างนี้ แต่น่าเสียดายที่มือของผมไม่ว่าง ผมจึงปาดแขนขวาของเขาออกแทน

“อ๊าก!”

เขาเป็นคนที่เก่งและน่ารำคาญที่สุด ผมจึงต้องเขี่ยเขาออกก่อนเขาจะได้ดาบจากคนอื่น แต่เมื่อผมจำได้ว่ามีคนใช้เวทมนตร์รักษาได้ จึงเตะแขนขวาเขาไปไกลๆจากหลังคาเพื่อไม่ให้เขาติดแขนได้ทันที ถ้าผมไม่เตะมันไปไกลๆ เขาจะติดแขนกลับไป ซึ่งแม้จะใช้ไม่ได้ทันทีแต่ก็ไม่ทำให้เสียสมดุลตอนเปลี่ยนไปใช้ดาบมือซ้าย

ที่บ้านเกิดผม แขนขาดเป็นเรื่องปกติเวลาล่าปีศาจ คนที่นั่นจึงถูกฝึกให้ติดแขนเป็นด้วยยาพิเศษของผู้เฒ่าเมอร์ปาและสู้ต่อ

“ท่านอินทรี!”

โอ้ มีเรียกท่านด้วย ดูเหมือนคนที่แขนขาดจะเป็นหมายเลข 1 ผมเตะเขาคืนให้ลูกน้องอย่างใจดี

กลับฝูงซะนะ อินทรี

“เอื้อก!”

ด้วยเสียงที่หลุดจากปอด หัวหน้าล้มลงในอ้อมแขนของลูกน้อง

“แก!”

“มันรู้ได้ยังไงว่าพวกเราเป็นใคร!”

“ฮึ่ย เจ้าหญิงไปอยู่ที่อื่นได้ยังไง!!”

ปฏิกิริยาของพวกเขารุนแรงกว่าที่คิด ตัวตนของพวกนาย? พูดเรื่องอะไร? ฉันแค่พูดเล่น ไม่ต้องเสียใจขนาดนั้นก็ได้!

หัวหน้าใช้เวทมนตร์รักษาไหล่ของเขาที่ถูกฟัน เวทมนตร์ไม่เหมือนปกติจริงๆ เหมือนผมจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ

“อย่าไขว้เขว! เจ้าหญิงอยู่ข้างล่างนี่แน่นอน! อย่าถูกศัตรูหลอก!” หัวหน้าตะโกน

พวกคนใส่หน้ากากหยุดลังเลแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ยกดาบขึ้นใหม่ ตอนนี้ ตัดหัวหน้าที่แขนขาดออกก็เหลือ 5 คนที่ล้อมผมอยู่

“ไป!”

พร้อมเสียงตะโกน คนทั้งห้าพุ่งใส่ผมจากทุกด้าน พวกเขาเล็งที่คอของผม หัวใจ ท้อง และด้านซ้ายขวา เพราะพวกเขาโจมตีเข้ามาพร้อมกันจึงต้องแทงเข้ามาอย่างเดียว

ผมกระโจนขึ้นสูงและหลบอย่างง่ายดาย ผมหวังว่าพวกเขาจะแทงกันเองแต่พวกเขาเพียงแทงใส่อากาศเหมือนอ่านใจกันได้

“ตอบรับคำภาวนาของข้า! ทำลายศัตรู!”

เมื่อผมกระโจนและถอยห่างจากกลุ่มคนใส่หน้ากาก หัวหน้าพวกเขาก็โจมตีด้วยเวทมนตร์ ต้องใช้เวทมนตร์ทั้งๆที่กำลังเจ็บคงรวมสมาธิได้ยาก แต่เขาทำได้ดี ผมเสกบาเรียขึ้นมาและชื่นชมเขาในใจ

“โล่!”

ลูกศรแสงโจมตีบาเรียโล่ของผมเหมือนฝน เวทมนตร์หยุดโจมตีเมื่อร่างของผมหล่นลงตรงกลางกลุ่มคนใส่หน้ากาก คราวนี้ผมลงมือก่อน

ผมฟันใส่คนหนึ่งอย่างเฉื่อยชา เขาไม่หลบแต่ใช้ดาบกัน

“หลบไป!” หัวหน้าตะโกน

สายไปแล้ว!

รัศมีคลุมดาบของผมทันทีและปาดผ่านทั้งดาบและคนๆนั้น

เปรี๊ยะ! ฉัวะ!

เริ่มจากเสียงดาบหักและตามด้วยเสียงเนื้อถูกตัด

ผมหลบก่อนเลือดจะพุ่งออกมาและกระโดดใส่คนใส่หน้ากากคนอื่น  แม้เขาจะตกใจแต่คงถูกฝึกมาดีเพราะเขายกดาบตอบโต้ แต่ดาบที่ไม่มีความตั้งใจรวมอยู่ย่อมไม่มีความแข็งแกร่งพอ

แคล้ง!

ผมฟันมันออกอย่างง่ายๆ เมื่อท่าของเขาถูกทำลายผมก็ฟันดาบลงที่คอของเขา แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่าตัวเองทำเกินไปจึงเปลี่ยนไปฟันที่ไหล่แทน

ถ้าโชคไม่ดีเขาจะไม่อาจยกดาบได้ไปตลอดชีวิต แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงตาย

อ๊าก!

ข้างหลังผม คนที่ผมเพิ่งฟันไปกรีดร้อง กระอักเลือด ฟังจากเสียงร้องแหลมขนาดนั้นแล้วน่าจะไม่ตาย

ไม่กี่วินาทีต่อมา คนที่ถูกฟันไหล่ก็กรีดร้อง กุมไหล่ตัวเอง

คนใส่หน้ากากอีกคนไปหาคนบาดเจ็บและพยายามร่ายเวทมนตร์รักษา

โง่มาก! พวกเขาควรจัดการผมก่อนรักษาเพื่อน ลำดับความสำคัญมันกลับกันเสียนี่

คนใส่หน้ากากที่พยายามจะรักษาเพื่อนพ่นเลือดเพราะถูกผมเตะอย่างแรงและหล่นหลังคา ตรงนี้สูงแปดชั้นและแรงเตะของผมดูเหมือนจะทำให้เครื่องในบางอย่างของเขาแตก แต่ว่าพวกเขาถูกฝึกมาดีคงไม่ตาย

แน่ล่ะ ถ้าโชคร้ายก็ไม่รอด

พริบตาเดียวก็เหลือสองคน ชายใส่หน้ากากจึงถอยและร่ายเวทมนตร์โจมตี

“จงมา! โซ่แห่งตราบาปจงผูกมัด!”

วงเวทขยายออกบนพื้นและโซ่แสงสีขาวก็โผล่ออกมามัดรอบผม

“เจ้าโง่! ในเมืองคนบาป ฝนไฟจะตกลงมา!”

อีกคนร่ายคาถา และผมถูกลูกศรไฟระดมยิงใส่

“นรกคือที่หนึ่งเดียวสำหรับผู้นอกรีต พระเจ้า โปรดลงทัณฑ์ชายชั่วผู้หมิ่นบารมีท่าน! ทัณฑ์สวรรค์!”

หัวหน้าผู้คอยเฝ้าระวังผมอยู่ห่างๆ ตะโกนคาถาแล้วยิงสายฟ้าสีขาวใส่

เฮ้ย ฉันเคยเห็นเวทแบบนี้มาก่อนนี่!

คำร่ายยาวและพลังอ่อนแอมาก แต่นี่เป็นเวทเดียวกับที่ชายชราที่ถูกเรียกว่าคาร์ดินัลใช้ตอนผมขโมยรูปปั้นเทพีเมื่อประมาณเดือนก่อน ผมก็คิดอยู่ว่าคำร่ายของพวกเขาฟังศาสนามาก คนใส่หน้ากากพวกนี้คือพวกเดียวกับที่ไล่ตามผมตอนนั้นนั่นเอง

คนพวกนี้ตกใจเมื่อฝุ่นผงจากเวทมนตร์ที่พวกเขาโจมตีจนหลังคาพังสงบลง

“แก...แกโดนเวทมนตร์โจมตีใส่ขนาดนี้แต่ไม่เป็นไรได้ยังไง! แกคือตัวต้านนักเวทในตำนานเหรอ!?”

ถ้ามีร่างกายแบบนั้นก็ดีสิ แต่ที่ผมทำก็แค่สลายเวทมนตร์ก่อนมันจะโดนตัวผมเท่านั้นเอง ไม่ว่ารูปแบบพลังเวทจะเป็นเอกลักษณ์ขนาดไหน เล่นร่ายบ่อยขนาดนั้น ต่อให้ไม่อยากจำผมก็จำได้

“ใช่! ข้าคือตัวต้านนักเวท!” ผมตะโกนและโพสท่าเหมือนนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง น่าเสียดายนิดหน่อยที่ไม่มีลมพัดให้เสื้อขาวของผมพลิ้วตามลม

“นั่นมัน...เป็นไปไม่ได้! ตัวต้านนักเวทจะมีร่างกายแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง แล้วยังใช้เวทมนตร์ได้อีก!”

“พระเจ้า! ใครสร้างร่างผสมแบบนี้ขึ้นมา!”

เฮ้ เกินไปหรือเปล่า? ที่ผมโกหกเพราะไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องตัวเองให้ศัตรูรู้ และหลายครั้งที่การปล่อยข้อมูลเท็จจะใช้หาจุดอ่อนศัตรูได้

ไม่ใช่เพราะเป็นโรคม.สองเด็ดขาด!

ผมตัดสินใจจัดการสามคนที่ยังเหลือ ต้องขอบคุณเวทมนตร์กันเสียงที่อยู่รอบโรงเรียนเวทมนตร์ คนในห้องโถงดูจะไม่รู้ถึงความวุ่นวายตรงนี้

ในทางตรงข้าม ผมไม่คิดว่ากลุ่มคนใส่หน้ากากที่สู้กับลุงบลัดดี้กับที่อยู่ประตูหลังจะไม่รู้ตัว

“เอาล่ะ มาจบกันเสียที ทัณฑ์สวรรค์!” ผมลอกเวทมนตร์ของพวกคนใส่หน้ากากมาใช้

เมื่อสายฟ้าสีขาวก่อตัวขึ้นจากมือของผม พวกคนใส่หน้ากากที่ยังเหลือตะลึงจนถูกโจมตีใส่โดยไม่ทันตั้งตัว

“เรื่องแบบนี้มัน...อ๊าก!”

“ไม่จริง! อ๊าก!”

คนใส่หน้ากากสองคนถูกช๊อตล้มลง เหลือแต่หัวหน้าที่ป้องกันไว้ได้พร้อมกับถือแขนขวาข้างที่ขาดของเขาไว้

“อั่ก! แกมีพลังของพระเจ้าได้ยังไง!”

แต่เขาคงใช้พลังทั้งหมดไปกับการป้องกันเวทมนตร์เมื่อกี้ จึงล้มลงคุกเข่าหอบหายใจและจ้องผมเขม็ง

อึดจังนะ

ผมก้มมองเขา “ข้าเคยบอกแล้ว พระเจ้าอยู่ข้างข้า”

จากนั้น ผมเตะคางของเขา เขากลิ้งไปจนสุดหลังคาและไม่ลุกขึ้นอีก

ไหนดูหน่อย ผมหยิบนาฬิกาพกออกมาดูเวลา ตั้งแต่ลูกเตะเฮคโตปาสคาลก็ผ่านไปประมาณ 10 นาที ใช้เวลาเยอะกว่าที่วางแผนไว้ เพื่อจะให้จัดการเรื่องทุกอย่างให้ง่าย ผมต้องสู้ให้เสร็จภายในสองนาที แต่เสียเวลาไปกว่าที่คาดตั้งห้าเท่า ส่วนหนึ่งก็เพราะผมกระโจนเข้ามาโดยไม่เตรียมพร้อมให้ดี แต่อีกส่วนก็เพราะคนใส่หน้ากากพวกนี้เก่งเกินคาดด้วย

เพราะเหตุนี้ พวกคนใส่หน้ากากที่อยู่ประตูหลังจึงรู้ตัวและกำลังมาทางนี้พร้อมทั้งปล่อยเจตนาสังหารดุดัน สรุปคือผมไม่อาจลักพาตัวเจ้าหญิงแบบเงียบๆได้แล้ว

“เฮ้อ”

ผมถอนหายใจแล้วเปลี่ยนแผนแอบลักพาตัวเจ้าหญิง ถ้าผมทำพลาด พวกคนใส่หน้ากากที่อยู่ประตูหลังกับที่อยู่ตรงจุดระเบิดอาจมาถึงพร้อมกัน ถ้าเป็นแบบนั้น เป็นไปได้ว่าผมจะได้รับบาดเจ็บนอกจากจะมีผมสองคน

ลุงบลัดดี้ก็อยู่ที่จุดระเบิด แต่ก็ต้องคิดเผื่อไว้ด้วยว่าเขาอาจถูกรั้งไว้ตรงนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น ที่นี่จะกลายเป็นสนามรบ

ผมกระโดดลงไปบนระเบียงข้างใต้ ตรงนั้นมีเด็กสาวชื่ออารีเลียอยู่

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ อาเรีย?”

ผมทักทายอย่างเรื่อยๆและตรวจดูวงเวทที่วางในห้องโถง มันดูเป็นความลับและทรงพลัง

อะไรนี่?

วงเวทเชื่อมต่อกับเจ้าหญิง หรือที่จริงคือเชื่อมกับกำไลข้อมือที่เจ้าหญิงสวม แต่วงเวทนี้ร้ายกาจ มันปกป้องอารีเลียได้อย่างแน่นอน

ไม่สิ มันปกป้องความปลอดภัยของเจ้าหญิง ‘เท่านั้น’

ผมแทบกระอักเลือดด้วยความโกรธ แต่สงบใจลง ลงจากราวระเบียงแล้วจับมืออารีเลีย

“หรือควรจะเรียกเจ้าว่าอารีเลียดี?” ผมถามด้วยรอยยิ้ม

ระหว่างพูด ผมใช้นิ้วกลางดึงสร้อยข้อมือของอารีเลียแล้วดัดแปลงวงเวทที่เชื่อมกับมัน

ไม่รู้หรอกนะว่าคนวางแผนนี้ต้องการล่ออะไรออกมาสักกี่อย่าง แต่กล้าเอาความปลอดภัยของผมมาเสี่ยงโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก็เตรียมตัวไว้เถอะ



สารบัญ                                         บทที่ 67



บังเอิญเจงๆ พาลาดินคนหนึ่งก็ชื่อมาริโอ lol


วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 65

บทที่ 65 – งานเลี้ยง (16)

อารีเลียมาถึงพื้นที่หลังห้องโถงที่จัดไว้สำหรับเธอ ถอดเครื่องแบบออกและเปลี่ยนเป็นเดรสหรูหรา พอแต่งหน้าเสร็จเธอต้องไปยืนต่อหน้าคนอื่นในฐานะอารีเลีย เจ้าหญิงลำดับสามของจักรวรรดิ ไม่ใช่นักเรียนอาเรีย

มันเป็นพิธีการที่เธอคุ้นเคยมากอยู่แล้ว แต่ทำไมจึงรู้สึกอึดอัดนัก?

วันนี้เสื้อรัดทรงรัดแน่นเป็นพิเศษ ไม่เหมือนเครื่องแบบโรงเรียน ชุดเดรสที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับให้ความรู้สึกเทอะทะ แต่เธอไม่ได้รำคาญมันเพราะนี่ควรเป็นเรื่องปกติ นี่คือหน้าที่ มากับสิทธิที่เธอใช้ประโยชน์มานาน ดังนั้นเธอจะออกไปยังห้องโถงอย่างสง่างาม แต่ก่อนหน้านั้น เธออยากพักหายใจสักหน่อย

เมื่อแต่งหน้าเสร็จ อารีเลียตรงไปที่ระเบียง

“เจ้าหญิงจะไปไหนคะ?” หญิงรับใช้ที่กำลังยุ่งกับการเลือกอัญมณีให้เจ้าหญิงถาม

อารีเลียมองนาฬิกาแขวนผนัง “ข้าจะไปพักที่ระเบียงสักหน่อย เรายังมีเวลาอีกเยอะใช่ไหม?”

หญิงรับใช้อยู่กับเธอมานานที่สุดและเป็นพี่เลี้ยงของเธอด้วย “อย่าไปนานนะคะ ยังต้องทำผมให้เรียบร้อยอีก” เธอมีสีหน้าขอโทษ

อารีเลียยิ้ม “ข้ารู้ ข้าคงทำตัวเหมือนเด็กไม่ได้ในวันแบบนี้”

บรรดาหญิงรับใช้ยุ่งกับงานต่อขณะที่อารีเลียออกไปที่ระเบียง พี่เลี้ยงเข้าใจจึงเรียกหญิงรับใช้ที่จะตามเธอไปกลับมา อารีเลียไม่ได้ไปไหนไกล พี่เลี้ยงจึงยอมอ่อนข้อให้บ้าง

อารีเลียรู้สึกขอบคุณและสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ ตอนนี้เป็นปลายฤดูร้อน แต่อากาศเย็นเพราะเป็นตอนกลางคืน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวส่องแสงสว่าง

มาคิดดูแล้ว ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูร้อน

อารีเลียยิ้ม คิดถึงสุภาพบุรุษที่ใส่หน้ากากสีขาวขึ้นมากะทันหัน ปรากฏตัวเหมือนภูติในตอนที่เธอกำลังหดหู่ ให้ความกล้าแก่เธอแล้วก็หายตัวไป มันเหมือนเขาที่เธอไม่รู้จักอาจปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

ใช่แล้ว เหมือนที่ตอนเจอกันครั้งแรก เขาปรากฏตัวอย่างกะทันหันเหมือนหล่นจากฟ้า และยิ้มเหมือนคนร้าย...

ทันใดนั้นเอง ของสีดำก็หล่นจากข้างบนมายังราวระเบียง ชายใส่หน้ากากสีขาวครึ่งหน้า ใส่สูทราคาแพง ถือดาบยาวเปื้อนเลือด มองอารีเลียและกล่าวทักทาย

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ อาเรีย?”

อารีเลียตอบไม่ถูกเพราะอึ้งไปกับการมาอย่างกะทันหันของลูแปง

เขาลงจากราวระเบียงและจับมือเธอ “หรือควรจะเรียกเจ้าว่าอารีเลียดี?”

ถือดียังไงมาเรียกชื่อเจ้าหญิงห้วนๆ? การกระทำที่ไม่ให้เกียรติแบบนี้ไม่ควรให้อภัย!

แต่ถึงอย่างนั้น อารีเลียก็พยักหน้าอย่างไม่ตั้งใจ

“เอาล่ะ อารีเลีย มันกะทันหันไปหน่อย แต่ไปเดทกับข้าไหม?”

“หา?”

ก่อนจะได้รับคำตอบ ลูแปงจับเอวเธอ “เดี๋ยวเจ้าจะรู้สึกเหมือนกำลังลอย พยายามทำใจให้ชินนะ!”

ตัวอารีเลียลอยขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาคว้าตัวเธอไว้แล้วกระโดด

ขอโทษนะพี่เลี้ยง ข้าคงไปสาย

อารีเลียขอโทษพี่เลี้ยงในใจเพราะเธอตะโกนบอกไม่ได้

*** 

ระหว่างผมกลับไปที่ห้องโถงก็คิดว่าจะทำยังไงดี

ในสถานการณ์แบบนี้มีทางให้เลือกหลายทาง แต่ก่อนอื่นคือต้องหนี!

มันเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด องค์กรที่ผมไม่รู้จักมีเป้าหมายที่เจ้าหญิงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม? ผมเป็นแค่ประชาชนคนเดินดิน ข้าราชการกินเงินเดือนธรรมดาไปช่วยเจ้าหญิงให้มันได้อะไรขึ้นมา?

ไม่ว่าจะคิดยังไง ปล่อยงานช่วยเจ้าหญิงให้เป็นหน้าที่ของอัศวินผู้กล้าหาญก็ดีกว่า แต่ผมไม่ได้เลือกหนีทันที แค่ตัวเองหนีไปเป็นเรื่องง่าย แต่เจ้าโง่กับเพื่อนๆยังอยู่ในห้องโถง ดังนั้นผมจึงควรพาเพื่อนหนีไปด้วย มองจากความเป็นจริงแล้วนี่เป็นทางที่ผมต้องเลือก

แต่การตามหาอัลฟอนโซกับแฟลมที่กำลังสำรวจโรงเรียนเวทมนตร์ และการเกลี้ยกล่อมให้ยูเรีย อลิซ และลิสบอนออกจากงานเลี้ยงมันใช้เวลานานเกินไป

ถ้าคิดแบบคนปกติ ถ้าเสียงระเบิดใช้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของยาม ไม่นานพวกเขาจะรู้ตัว ดังนั้นฝ่ายร้ายต้องรีบทำงานให้สำเร็จ ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าจะเกิดเรื่องก่อนพวกผมจะหนีไปได้ แน่นอน มันอาจไม่เป็นไปตามการคาดเดาของผม เจ้าหญิงอาจจะไม่ใช่เป้าหมาย ถึงจะแปลกที่มาเกิดเรื่องในงานวันเกิดของเจ้าหญิง แต่เป้าหมายของฝ่ายร้ายอาจเป็นเพื่อระเบิดโรงเรียน

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น การที่ลุงไปทางต้นเสียงระเบิดก็ดีแล้ว แน่นอนว่าผมสรุปไม่ได้ทุกอย่างจากแค่ที่เขาเปรยออกมา ผมจึงหนีไปโดยไม่บอกเขาว่านี่อาจเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ 

ทางเลือกอีกทาง ซึ่งผมลังเลอย่างมาก คือช่วยเจ้าหญิง หรือพูดให้ถูกคือช่วยเธอทางอ้อม ด้วยการขัดขวางพวกที่จะมาลักพาตัวเธอด้วยการลักพาตัวเธอไปก่อน ความยากจะเพิ่มขึ้นมาก แต่มันช่วยไม่ได้

ถ้าเกิดความวุ่นวายขึ้น เป็นไปได้มากว่าเจ้าโง่กับยูเรียจะออกหน้า ผมแค่เดานะ แต่ยูเรียต้องรู้ว่าเจ้าหญิงปลอมตัวมาเป็นนักเรียน เป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าลุงวิลเลียมของเธอขอให้เธอเป็นผู้คุ้มกัน ยูเรียนั้นป้องกันตัวเองได้เพราะเธอใช้เวทมนตร์

แต่ผมห่วงด้านลิสบอน เขาคงยับยั้งความใจอ่อนของตัวเองไม่ได้และออกมาสู้โดยไม่สนว่าตัวเองไม่มีอาวุธ จากนั้นผมก็ต้องออกไปช่วย แล้วชีวิตสงบสุขของผมก็จะล้มครืน

เวร! เพราะอย่างนี้ถึงต้องระวังในการคบหาเพื่อน!

เพราะอย่างนี้ผมถึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับเจ้าโง่นั่น แต่มันช่วยไม่ได้ เพราะเราเป็นเพื่อนกันแล้ว ผมรู้สึกเหมือนอยากตัดหัวตัวเองทิ้ง ถอนหายใจ เปิดกระเป๋ามิติและหยิบหินพลังเวทขนาดเท่านิ้วสองนิ้ว กับดวงตาของปีศาจโฮรุส

ชิ เอามาใช้ตอนนี้มันเปลืองไปหน่อยนะ

ปีศาจโฮรุสเป็นปีศาจบินได้ที่ขนาดนักรบที่ท่องป่าโอลิมปัสเหมือนเป็นบ้านตัวเองยังรับมือได้ยาก ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ในหมู่บ้านที่มีชิ้นส่วนปีศาจล้นเหลือยังถือดวงตาโฮรุสเป็นวัตถุดิบเวทมนตร์ที่สำคัญ ราคาของมัน ถ้าขายให้หอคอยเวทมนตร์ สามารถเอาไปซื้อคฤหาสน์ใหญ่เท่าวังและยังมีเงินเหลือ

แต่ดีว่าถึงใช้ไปตอนนี้ก็ยังมีเหลือในกระเป๋ามิติอีก เอ่อ ห้องเก็บของของผู้เฒ่าเมอร์ปาว่างเปล่าเท่ากับที่กระเป๋ามิติของผมเต็มแน่น แต่ไม่เป็นไร

ก่อนหนีออกจากบ้าน ผมไปขโมยของจากห้องเก็บของส่วนตัวของผู้เฒ่าเมอร์ปา ไม่รู้ว่านางรู้ตัวแล้วหรือยัง เพราะว่านางเก่งเรื่องใช้ให้ลูกศิษย์ทำงานจิปาถะจึงเป็นไปได้ว่ายังไม่รู้เรื่องนี้

วันหลังเลี้ยงข้าวฉันด้วยล่ะ เจ้าโง่!

ผมใช้คาถาตาทิพย์โดยใช้ดวงตาโฮรุสเป็นตัวเร่ง ปกติแล้วคาถาตาทิพย์แค่ให้ผลเหมือนกล้องส่องทางไกล แต่ถ้าใช้ดวงตาโฮรุสเป็นตัวเร่งจะสามารถมองจากด้านบนเหมือนดาวเทียม

ผมปิดตาและค่อยๆมองทุกซอกทุกมุมของโรงเรียนเวทมนตร์เหมือนใช้กูเกิ้ลแมพ กลุ่มคนใส่หน้ากากดำแบ่งเป็นสามกลุ่ม อยู่ที่บริเวณที่เกิดระเบิด, ประตูหลัง, และหลังคาโรงเรียนเวทมนตร์ มองแล้วก็เดาได้ว่าเป็นทีมเบี่ยงเบนความสนใจ, ทีมลักพาตัว, และทีมเตรียมทางหลบหนี ทีมเบี่ยงเบนความสนใจเพิ่งพบกับลุงบลัดดี้

ผมยกเลิกคาถาแล้วบินขึ้นไปที่หลังคาโรงเรียน

“เฮคโตปาสคาล คิก!”

คนสวมหน้ากาก ไขว้แขนป้องกันท่ากระโดดเตะลอบทำร้ายของผมไว้ทัน

แต่ดูเหมือนซี่โครงและแขนของเขาทนความโกรธรวมถึงความเสียดายที่ต้องเสียตัวเร่งมีค่าไปของผมไม่ได้และหัก แม้จะดูเหมือนตายไปแล้ว แต่ได้ยินเสียงครางอ่อยๆ แปลว่ายังไม่ตายแน่นอน

ดี เหมือนจะใกล้บรรลุการควบคุมแรงไปอีกขั้น

บางทีอาจเป็นเพราะคนที่ผมเพิ่งจู่โจมไปมีความอึดขั้นแมลงสาบก็ได้ แต่คิดในแง่ดีไว้ก่อนแล้วกัน

“สาม!”

“เจ้าบังอาจทำร้ายอินทรีสาม!”

พวกนายเป็นพี่น้อง 5 อินทรีเหรอ? ที่มากันเยอะๆเพราะอย่างนี้เหรอ?

มีพวกหน้ากากดำ 10 คน รวมที่ล้มไปแล้ว

พวกหน้ากากดำชักดาบแล้วโจมตีผม ผมหดคอหลบดาบที่ฟันขวางใส่ที่คอ อีกดาบเล็งที่ขา ผมกระโดดเป็นแนวขวางเหมือนกำลังนอน ไม่โดนดาบที่ฟันผ่านศีรษะไป

จากนั้น หน้ากากดำอีกคนแทงดาบระหว่างช่องว่างเข้ามาที่ตัวผม

ผมกลั้นหายใจและบิดตัวกลางอากาศสุดแรง หลบดาบไปได้อย่างเฉียดฉิว ระหว่างบิดตัวผมเตะสีข้างหน้ากากดำคนหนึ่ง ใช้แรงสะท้อนหมุนร่างไปทางตรงข้ามและเตะท้ายทอยของชายอีกคนที่โจมตีคอผมลงพื้น

“อั่ก!”

คนที่ถูกเตะที่สีข้างกุมสีข้างตัวเองแน่น หายใจหอบ คนที่ถูกเตะจนหัวจมหลังคานอนนิ่งไม่มีแม้แต่เสียงร้อง เป็นหรือตายไม่รู้

เฮ้อ โล่งอก! ดูเหมือนประสบการณ์หลบนาคานพเศียรของพี่รองยังอยู่ ไม่เหมือนตอนสู้กับพี่ชายของผม ผมสามารถหลบโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์เพราะเป็นแค่การโจมตีสามครั้งจากสามทิศทางพร้อมกัน

“แปด! เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

ไม่มีคำตอบ ดูเหมือนศพทั่วไป

“แก!”

คนที่หัวฝังหลังคาต้องใช่หมายเลข 8 แน่

แม้จะโกรธ แต่พวกหน้ากากดำไม่ใจร้อนโจมตีเข้ามา แต่พวกเขา 7 คนล้อมผม

สองคนล้มไปแล้ว น่าจะเหลือ 8 คน อีกคนอยู่ไหน?

ผมกวาดตามอง คนที่ถูกเตะที่สีข้างกำลังใช้เวทรักษาให้หมายเลข 3 คนที่ผมล้มไปเป็นคนแรก ดูจากความสาหัสของอาการบาดเจ็บแล้วคงไม่แปลกถ้าเขาจะข้ามแม่น้ำไปโลกหลังความตาย เลยต้องปฐมพยาบาลไว้ก่อน

เขาเป็นนักเวท แต่ใช้ดาบเก่งพอดู ไม่น่าเชื่อว่าผมจะมาเจอนักดาบเวทที่นี่ แต่ดูเหมือนเวทมนตร์ที่เขาใช้จะต่างไป

มันใช่เวทธรรมดาเหรอ? แต่ผมรู้สึกเหมือนเห็นเวทแบบนี้มาก่อน เอาเถอะ ถ้าศัตรูรอบคอบก็จะรับมือยาก ขณะผมคิดหาวิธียั่วโมโหอยู่นั้น...

“แก...! หน้ากากนั่น!”

หน้ากากดำคนหนึ่งชี้มาที่ผมเหมือนนึกอะไรได้

หรือว่าเราจะเคยเจอกันมาก่อน?


สารบัญ                                           บทที่ 66




หวังว่าพ้นบทงานเลี้ยงแล้วจะเรื่องจะไม่โฟกัสที่เจ้าหญิงอีกนะ... แปลวนไปวนมา รู้สึกอยากคว่ำโต๊ะ หรือจะเป็นความตั้งใจของคนเขียนที่ทำให้รู้สึกถึงความอึดอัดและการพยายามแสวงหาตัวตนของเจ้าหญิง?