วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 69

บทที่ 69 – งานเลี้ยง (20)

“อืม”

ไม่ใช่เสียงผมนะ เสียงมาจากไหน อ้อ!

ผมลืมอารีเลียที่อยู่บนหลังไปสนิท ผมเริ่มบินลงก่อนที่จะตื่น ทันทีที่เท้าแตะพื้น ไม่ทันได้ถอนหายใจ รัศมีดาบก็ลอยมาทางผม

“บลัดดี้!”

ผมหลบและได้ยินเสียงวิลเลียมตะโกน ต้องเป็นลุงบลัดดี้ที่ปล่อยรัศมีดาบใส่ผมแน่

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าเขาจะหลบไม่ได้สักหน่อย”

จากเสียงของลุง ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นชา

“โอ้โห เกินไปหรือเปล่าท่านอัศวิน ข้าอุตส่าห์ปกป้องเจ้าหญิงแทนท่านนะ”

วิลเลียมโกรธ “พูดเหลวไหล! ถ้าเธออยู่ที่โรงเรียน เธอจะมีเวทมนตร์คุ้มครอง! เจ้าเป็นคนพาเธอออกมาไม่ใช่เหรอ!?”

จากนั้นเขาเล็งไม้เท้ามาที่ผมด้วยดวงตาปิดสนิทเหมือนตาบอด ผมทนคำพูดเหลวไหลของเขาไม่ได้

“หมายถึงวงเวทที่บางเหมือนกระดาษนั่นเหรอ? ใช่ ข้าแน่ใจว่า ‘เจ้าหญิง’ จะปลอดภัย”

ยูเรียก็อาจปลอดภัยเหมือนกัน แต่คนอื่นล่ะ? ผมไม่อาจแน่ใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย ไม่แน่อาจมีใครตายถ้าพวกคนใส่หน้ากากบุกรุกเข้าไป

“ที่ข้าเอาเธอออกมาจากโรงเรียนได้ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วไม่ใช่เหรอว่ามันมีช่องโหว่ขนาดไหน?”

วิลเลียมพูดไม่ออก ที่จริง วงเวทของเขาก็ไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้น มันถูกวางอย่างแนบเนียนจนผมไม่รู้สึกถึงมันจนได้ยินจากลุงบลัดดี้ว่ามีวงเวทติดตั้งในโรงเรียน ถ้าผมไม่รู้มาก่อนบางทีขนาดผมเองก็พาอารีเลียออกมาไม่ได้ก็ได้

แต่ว่า ดูจากความสามารถของพวกคนใส่หน้ากาก โดยเฉพาะความสามารถเวทมนตร์ของชายชราหน้ากากทองแล้วมีความเป็นไปได้มากว่าจะฝ่าเข้าไปได้ แน่นอน ในงานมียูเรียและคนเก่งๆคนอื่น ถึงอย่างนั้น ถ้าพวกเขาเข้าไปในงานได้ย่อมเกิดการบาดเจ็บล้มตาย 

แล้วหนึ่งผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นอาจเป็นเพื่อนของผม!

นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ!

สงบใจลงก่อนดีกว่า มองในมุมของวิลเลียม เขาจะไม่ต้อนรับตัวแปรไม่แน่นอนอย่างผมก็เป็นเรื่องธรรมดา ระหว่างผมสูดหายใจลึกเพื่อสงบใจลงก็ได้ยินเสียงสงสัยดังจากด้านหลังของผม

“หืม?”

ผมพยุงอารีเลียลงมาที่พื้น

“โอ้ ตื่นแล้วเหรอ อารีเลีย?”

ในสภาพยังงัวเงียอยู่แบบนี้ เธอดูน่ารักดี

“ลูแปง ที่นี่ที่ไหน?”

ปล่อยให้ลุงกับวิลเลียมเป็นคนตอบดีกว่า

“ข้าเกรงว่าการเดทของเราจะจบลงตรงนี้ คนพวกนี้มาเพื่อต้อนรับเจ้า”

ผมชี้ไปที่ลุง อารีเลียดูกระสับกระส่ายเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด

หวังว่าเธอจะจำไว้เป็นบทเรียนนะว่าอย่าตามคนแปลกหน้า

ทันใดนั้น เวทมนตร์ของผมก็กลับมาฟื้นฟูใหม่ พลังเวทรอบตัวผมเริ่มรวมตัวเข้ามา วิลเลียมกับลุงรู้สึกกดดันกับการเคลื่อนไหวของพลังเวทและตั้งท่าตั้งรับ

“ถ้าอย่างนั้นข้าไปล่ะ อย่าตามมานะ แล้วก็-”

เป๊าะ!

ผมดีดนิ้ว ถอนพลังเวทที่ล้อมดวงตาวิลเลียมออก

“โปรดอย่าซุ่มซ่ามจนถูกทำให้ตามองไม่เห็นอีก”

วิลเลียมมองผมอย่างประหลาดใจ เขาคงพยายามสลายมันโดยคิดว่าเป็นคำสาป แต่ที่จริงเวทมนตร์รอบดวงตาของเขาไม่ใช่คำสาป 

ตรงกันข้าม มันเหมือนการให้พรมากกว่า เหมือนพลังศักดิ์สิทธิ์

วิลเลียมน่าจะแยกมันออกได้เร็วเหมือนกัน แต่ก็ไม่แปลกถ้าเขายังไม่รู้ดูจากสถานการณ์โกลาหลจนถึงตอนนี้

“ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ระวังอย่าเป็นหวัดนะ”

พูดพลางผมก็บินขึ้นฟ้า ใช้เวทมนตร์ทำให้ตัวเองล่องหนแล้วบินกลับมาตรงมุมหนึ่งของระเบียงที่ผมเคยอยู่ตอนแรก ผมถอดหน้ากาก เก็บมันเข้ากระเป๋ามิติ

“ฮ่าๆ”

ผมหัวเราะอย่างเหนื่อยๆ ยาฟื้นฟูพลังเวททำให้พลังเวทของผมเต็มในทันที แต่ความเหน็ดเหนื่อยจากการใช้พลังเวทจนหมดยังคงอยู่

ทำไมจู่ๆยาก็ได้ผลขึ้นมา? ผมเดาว่าเหตุผลคือแสงสีขาว แต่มันเป็นแค่การเดา เหมือนที่ผมเดาตอนเห็นคนใส่หน้ากากหายไปแล้วปรากฏตัวขึ้นใหม่

ตอนนี้ สิ่งที่ต้องเป็นกังวลคือผลกระทบจากการใช้ยา ตามคาด ขนาดอยู่ในอากาศเย็นของกลางคืน เหงื่อก็เริ่มซึมตามหน้าผากของผม ขาหมดแรงและผมยืนพิงราวระเบียง

“เฮ้อ หนาว”

ยิ่งกว่านั้น ผมเริ่มรู้สึกหนาว

“เดน?”

ผมตกใจเมื่อได้ยินเสียงเรียก มองไปที่ประตูระเบียงและเห็นลิสบอนยืนอยู่ตรงนั้น

“เดน เป็นอะไรไป? สบายดีหรือเปล่า?”

ผมยิ้มให้ลิสบอนที่มองผมอย่างเป็นห่วง แต่ถึงไม่เห็นหน้าตัวเองก็รู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มอ่อนแรง

“นอกจากรู้สึกหนาวๆแล้ว เฮ้อ ข้าไม่เป็นไร”

ผมรู้สึกเหมือนกำลังหอบ

ลิสบอนแตะหน้าผากของผม “แย่แล้ว เจ้าตัวร้อนจี๋เลย!”

ฮ่าๆ หนาวจะตาย มาบอกว่าตัวร้อน...

ว่าแต่ มือของลิสบอนเย็นแบบนี้เหรอ? ผมพยายามลุกขึ้นแต่สะดุด

“เฮ้!”

ลิสบอนคว้าแขนของผมขณะกำลังโวยวาย

แปลก ตอนอยู่ในหมู่บ้านมันไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงขนาดนี้ แต่ดูจากลักษณะของสภาพแวดล้อม ผมคิดว่ามันมีเหตุผลอยู่

ที่ป่าโอลิมปัส อัตราฟื้นฟูพลังเวทต่ำ ดังนั้นผลข้างเคียงของยาจึงไม่มาก แต่นอกป่า ประสิทธิภาพมันดีมากจนดูเหมือนผมจะใช้ยาเกินขนาด

เทียบกับไวอากร้า ถ้ายาจริงมีประสิทธิภาพเป็น 1 ยาปลอมของจีนก็มีประสิทธิภาพมากกว่า 10 เท่าในปริมาณที่น้อยกว่าเท่าตัว

“ขอโทษที เจ้าช่วย...พาข้าออกไปหน่อยได้ไหม?” ผมหอบน้อยๆ ผมถามลิสบอนโดยรู้ว่ายังไงเจ้าใจอ่อนนี่ก็ต้องเตรียมตัวช่วยเต็มที่อยู่แล้ว ผมมันโง่ที่ถาม

“ได้สิ!” ลิสบอนตอบอย่างแข็งขันและช้อนตัวของผมขึ้น

เดี๋ยว! ท่านี้มัน!

“เฮ้ แค่!”

แค่ช่วยพยุงก็พอ!

ผมอยากตะโกน แต่จู่ๆลิ้นก็หนักจนพูดไม่ออก ปล่อย! เจ้าโง่!

แต่ร่างกายของผมอ่อนปวกเปียกและไม่ทำตามคำสั่ง ลิสบอนอุ้มผมและเดินข้ามห้องโถง ที่กำลังครึกครื้นเต็มที่

หูอันไวเกินเหตุของผมได้ยินเสียงกระซิบของพวกหญิงชนชั้นสูง

วาย! โลกนี้มันช่างวาย!

จากที่ไกลๆ ผมเห็นแฟลมแบกอัลฟอนโซที่กำลังหลับอยู่บนหลัง 

นั่น! แบกแบบนั้นสิ!

แต่เท่าที่ผมทำได้คือพยายามยกมือปิดหน้าและใช้เวทมนตร์รบกวนการมองเห็นไม่ให้ใครจำหน้าผมได้

เส้นโคจรพลังเวทที่ถูกใช้เกินขีดจำกัดไปแล้วปวดยิบๆ

แกนะแก ลิสบอน! ฝากไว้ก่อนเถอะ!

***

มาลิฟนำลูกน้องพาเฟอร์นันโดไปที่ห้องรักษาพยาบาลฉุกเฉิน มองเขานอนบนเตียงเหมือนศพขณะรับการรักษา หัวใจของเขาหนักอึ้ง

สหายร่วมรบของเขาหนึ่งคนตายไปเพราะความไร้สามารถของเขา หนำซ้ำ เฟอร์นันโด ผู้ที่มาริโอสละชีพปกป้องเอาไว้ กำลังอยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ตาย พวกเขาลักพาตัวเจ้าหญิงผู้เป็นกุญแจหลักในการล้มจักรวรรดิไม่สำเร็จ มันล้มเหลวไปหมด

แม้จะลักพาตัวเจ้าหญิงไม่ได้ อย่างน้อยพวกเขาควรได้รหัสผ่านที่ติดตัวเธอ

อารีเลียเป็นเป้าหมายรอง เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือความสามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระในปราสาทที่มีวงเวทขนาดใหญ่คุ้มครอง และสามารถเข้าใกล้จักรพรรดิได้โดยไม่มีข้อจำกัด รหัสผ่านเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการนั้น

ทั้งมาลิฟและเฟอร์นันโดรู้ว่านี่อาจเป็นกับดัก แต่ที่พวกเขาเดินแผนต่อเพราะมั่นใจในเฟอร์นันโด

พวกเขาคิดว่า ด้วยขุมพลังที่แข็งแกร่งอย่างพวกเขาจะทำให้สำเร็จได้ แต่พวกเขามั่นใจเกินไป พวกเขาถูกเล่นตลก ไม่อาจแม้แต่เข้าใกล้เจ้าหญิง

เผชิญหน้ากับลูแปง อินทรีบาดเจ็บสาหัส ต่อให้ลูกน้องสี่คนรักษาตัวจนหายก็ไม่รู้ว่าจะจับดาบได้อีกหรือไม่

ที่ทำให้มาลิฟเสียใจไปกว่านั้นคือมาริโอ ผู้อยู่กับเขามาตั้งแต่ช่วงเริ่มเป็นพาลาดิน ตาย

“อ๊าก!”

“พระคุณเจ้า! ได้สติแล้วหรือครับ?”

เมื่อได้ยินเสียงครางของเฟอร์นันโด มาลิฟผ่านนักบวชที่กำลังใช้เวทมนตร์รักษาไปหาเฟอร์นันโด

“แค่ก! มา... มาลิฟเหรอ?”

“ข้าเองครับ คาร์โดเฟอร์นันโด” มาลิฟตอบ จับมือเฟอร์นันโดอย่างระมัดระวัง

มองสีหน้าเศร้าสร้อยของมาลิฟแล้ว เฟอร์นันโดหัวเราะ

“ฮะๆ ไม่เหมือนเจ้าเลย แค่ก! ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้”

“อย่าพูดอีกเลยครับ คาร์โดเฟอร์นันโด”

เฟอร์นันโดพยักหน้าแล้วถามด้วยสีหน้าขรึม “มาริโอกับ...วิบริโอ อยู่ ฮู่ อยู่ไหน?”

มาลิฟกลืนน้ำลาย “พวกเขาสบายดี เพราะฉะนั้น-”

“ไม่ ไม่ต้องโกหกข้า”

เฟอร์นันโดไอและมองมาลิฟ ดวงตาของเขาเปียกชื้น

มาลิฟรู้ว่าน้ำตาไม่ได้มาจากความเจ็บปวด

“มาริโอ...ตาย ใช่ไหม?” เฟอร์นันโดพูดสิ่งที่มาลิฟไม่อาจพูดออกมา “คนหนุ่มต้องตายเพราะไอ้แก่อย่างข้า!”

น้ำตาไหลนองจากดวงตาของเฟอร์นันโด “แค่ก!แค่ก!” เขาไออย่างแรงและกระอักเลือด

“สงบใจไว้เถอะครับ!”

มาลิฟเตือนอย่างเป็นห่วง แต่เฟอร์นันโดไม่หยุดร้อง “โง่เขลานัก โง่เขลานัก”

เขาหมายถึงมาริโอที่ตายแทน? หรือตัวเองที่ทำให้ลูกน้องต้องตายอย่างเสียเปล่า? มาลิฟไม่รู้ เขาได้แต่นิ่งเงียบ มองบ่าของชายชราที่กำลังสะอื้น

“ขอโทษ วิบริโอ แค่ก!” เฟอร์นันโดกุมแผลของเขา

“นักบวช!” มาลิฟร้อง

นักบวชที่ยืนรอข้างๆรีบเข้ามารักษาเฟอร์นันโด

“ข้าจะบอกวิบริโอถึงการตายของมาริโอครับ”

มาริโอเป็นคนรักของวิบริโอ มันเป็นเรื่องเศร้าที่ต้องบอกข่าวการตายของเพื่อนสนิทกับคนรักของเขา แต่มาลิฟทำใจปล่อยให้เฟอร์นันโดผู้บาดเจ็บหนักรับภาระนั้นไม่ลง

“ไม่ นี่เป็นความผิดของข้า ข้าควรเป็นคนบอก”

มาลิฟส่ายหน้าให้เฟอร์นันโดผู้ลมหายใจเริ่มสงบลงจากเวทมนตร์รักษาของนักบวช “ข้าจะเป็นคนบอกกับวิบริโอและครอบครัวของมาริโอเองครับ”

“อย่าพูดไร้สาระ! แค่ก!”

“โปรดสงบใจลงด้วยครับ พระคุณเจ้า!” นักบวชร้อง

เฟอร์นันโดสูดลมหายใจลึกและหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า

“ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ต่อให้ต้องตกนรก นั่นคือหน้าที่ของผู้อยู่เบื้องบน” พูดแล้วเฟอร์นันโดก็หลับไป

น้ำตาหนึ่งหยดหยดจากดวงตาที่หลับลงเหมือนบอกว่านี่จะเป็นการร้องไห้ครั้งสุดท้ายของเขา



สารบัญ                                                      บทที่ 70

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น