วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 60

บทที่ 60 - งานเลี้ยง (11)

ผมก็เหมือนอัลฟอนโซ ไม่ได้เครื่องแบบจากศูนย์ฝึก เหตุผลมีสองข้อ หนึ่งคือเราจะไม่ได้เครื่องแบบข้าราชการจนกว่าฝึกจบ เครื่องแบบเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเป็นข้าราชการและให้ศักดิ์ของขุนนาง

บอกไว้เป็นข้อมูล ลำดับของศักดิ์แบ่งตามขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่แปดที่ต่ำที่สุด ขั้นที่หนึ่งถึงสี่เรียกว่า “ที่หนึ่ง” ส่วนขั้นที่ห้าถึงแปดเรียกว่า “กึ่ง” หรือ “ที่สอง” ว่ากันง่ายๆ จะคิดว่าข้าราชการมีขั้นที่หนึ่งถึงแปดก็ได้

ชื่อยศแม้จะตั้งง่าย แต่การเพิกถอนยุ่งยาก เพราะฉะนั้นถ้าฝึกไม่ผ่านก็ต้องสอบใหม่

ข้อที่สองค่อนข้างสมเหตุสมผลเพราะเหตุผลคือเงิน การฝึกใช้เวลาอย่างมากคือหกเดือน ผู้เข้ารับการฝึกถ้าฝึกไม่ผ่านจะต้องคืนบัตรข้าราชการและออกไป เพราะฉะนั้นศูนย์ฝึกไม่มีทางให้เครื่องแบบคนที่ต้องไป อีกอย่าง เครื่องแบบข้าราชการแตกต่างไปตามหน่วยงานต่างๆ ต่อให้ศูนย์ฝึกมีเครื่องแบบให้ใส่ก็เอาไปใส่หลังจากฝึกเสร็จไม่ได้

สรุปคือ วันที่ผมจะได้ใส่เครื่องแบบข้าราชการคือวันแรกของการทำงาน หลังจากฝึกเสร็จและถูกส่งไปประจำหน่วยงานหนึ่ง

แต่ในตู้เสื้อผ้ามีสูทเกิน 100 ตัว สำหรับคนอายุตั้งแต่ 3 ถึง 20 ปี สูททั้งหมดเป็นของที่อาร์คันทา ลูกชายคุณนายอาซิลลาเคยใส่ สูทที่ผมใส่อยู่เป็นตัวที่นายกรัฐมนตรีใส่ตอนอายุ 17 ส่วนอัลฟอนโซเป็นของตอนอายุ 15 คงนานมากแล้ว แต่อาจเพราะใช้เวทมนตร์ในการเก็บรักษา มันจึงอยู่ในสภาพดี

“ลิสบอนไม่ใส่ด้วยเหรอ?”

ลิสบอนส่ายหน้าเมื่อผมถาม “ไม่ เพื่อนของข้าที่โรงเรียนส่วนมากบอกว่าจะใส่เครื่องแบบ อีกอย่าง ใส่สูทที่เป็นทางการแบบนั้นมันทำให้ข้ารู้สึกอึดอัด”

คุณนายอาซิลลาวางถ้วยชาลง “โอ ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นของที่ลูกของข้าไม่ใส่แล้ว เจ้าใส่ได้ตามสบาย เอาไปเลยก็ได้นะ”

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ ที่จริงมันคับไป” ลิสบอนยิ้มและปฏิเสธ

สูทของอาร์คันทาดูเพรียวมาก ตรงข้ามกับหน้าอ่อนใสของลิสบอน ร่างกายเขากำยำผิดคาด ไม่แปลกที่สูทจะไม่พอดี

“อืม ยังรู้สึกอึดอัดอยู่เลย”

อัลฟอนโซยังขยับไปมาเหมือนไม่ชินกับสูท ผมตบบ่าเขาเบาๆแล้วออกจากหอ

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปแล้วนะครับ”

คุณนายอาซิลลาโบกมือให้

“ข้าจะไปที่งานพรุ่งนี้ อย่าทำเป็นไม่รู้จักเชียวล่ะ” คุณนายอาซิลลาพูดหยอก

ผมเดาว่าในฐานะดัชเชส นางไม่จำเป็นต้องไปวันก่อนวันเกิดอย่างวันนี้

“ฮ่าๆ ผมจะเมินสุภาพสตรีที่สวยขนาดนี้ได้ยังไง?”

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่อยู่กับคุณนายอาซิลลาผู้เป็นดัชเชสก็เสี่ยงไป ไม่มีอะไรยืนยันว่าลุงบลัดดี้จะไม่ร่วมงานสำคัญอย่างวันเกิดเจ้าหญิง ผมต้องใส่หน้ากาก ลบตัวตนและยืนหลบมุม หน้ากากขาวมีเวทมนตร์รบกวนการรับรู้ เพราะฉะนั้นถ้าผมลบตัวตนก็น่าจะอยู่ได้โดยไม่ต้องเจอใคร

“โฮะๆ ขอบคุณสำหรับคำชม ขอให้สนุกนะ”

กลุ่มของเราที่มีแต่ผู้ชายออกจากหอ อลิซกับยูเรียไปก่อนแล้ว ดูเหมือนมีแผนจะไปเจอกับเพื่อนที่โรงเรียนเวทมนตร์ก่อน

***

อลิซกับมิลเปียตรงไปที่ระเบียงเพื่อหลบห้องโถงที่ยังเตรียมไม่เสร็จ

“ยูเรียไปไหนนะ?” อลิซบ่น

มิลเปียยิ้มเจื่อน “ลุงของยูเรียคือนายพลวิลเลียม บางทีเธอไปเจอกับเจ้าหญิงหรือเปล่า?” เธอถามเป็นการหยั่งเชิงว่าอีกฝ่ายรู้มากน้อยแค่ไหน

ที่จริงแล้วมิลเปียไม่รู้ว่าทำไมแม่ใหญ่อยากให้เธอเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ เดิมเธอคิดว่ามันคือการลดตำแหน่งเพราะสาขากรันเวลถูกพบ การที่ลูกค้ามาซื้อข่าวที่กรันเวลและไม่ใช่สาขาย่อยอื่นๆแสดงชัดเจนว่าเธอขาดประสบการณ์ในการจัดการข้อมูล

แต่ พอคิดว่าเธอพบกับยูเรียและอาเรียผู้ที่เธอเชื่อว่าเป็นอารีเลีย เธอตระหนักว่าแม่ใหญ่ให้เธอแฝงตัวเข้ามาในโรงเรียนเวทมนตร์เพื่อเหตุผลบางอย่าง

มิลเปียถามองค์กรข่าวถึงเป้าหมายหลักของเธอ แต่คำตอบมีเพียง ‘ให้เตรียมพร้อม’

หรือว่าพอไม่มีข้าแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่ามีบุคคลลับสุดยอดอยู่ที่โรงเรียนเวทมนตร์?

มิลเปียส่ายศีรษะ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเธอที่เสียสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลยังสงสัย หัวหน้าของเธอย่อมรู้เช่นกัน 

การไม่ได้รับคำสั่งอะไรหมายถึงอย่างเดียว เธอถูกทดสอบ

ข้าถูกทดสอบเรื่องอะไร? พวกเขากำลังประเมินความสามารถของข้าใหม่เหรอ?

หรือสงสัยว่าข้าเป็นสายลับเพราะข้อมูลที่รั่วไหลออกไป...

มิลเปียสรุป เรื่องประเมินความสามารถก็อีกเรื่อง แต่ถ้าเป็นอย่างหลังและเธอไม่ผ่านการทดสอบ นักลอบสังหารจะถูกส่งมาหาเธอแน่

ไม่เหมือนมิลเปียที่กำลังหนักใจ อลิซตอบยิ้มๆ “น่าจะใช่”

“ใช่ไหมล่ะ?”

มิลเปียยิ้มเหมือนอลิซ มากังวลตอนนี้ก็ไม่ได้อะไร

ยืนที่ระเบียง อลิซกับมิลเปียคุยกันระหว่างรอยูเรีย จากนั้นอลิซเห็นพี่ของเธอเดินผ่านทางเข้าโรงเรียนเวทมนตร์มา

“โอ้ นั่นพี่ชายของข้า เดน! อัลฟอนโซ! ทางนี้!”

เมื่ออลิซโบกมือและตะโกน มิลเปียยิ้มและหยุดเธอ

“จากตรงนี้พวกเขาไม่ได้ยินหรอก เราไปที่ทางเข้าดีไหม?”

มิลเปียหยุดพูดเมื่อเด็กชายผมสีขาวกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มโบกมือตอบ

“ดูเหมือนจะไม่ต้องไป”

***

ด้วยความดูแลจากคุณนายอาซิลลา พวกเรานั่งรถม้าของดยุคมาถึงโรงเรียนเวทมนตร์ ลงตรงจุดใกล้ประตูทางเข้าและเดินเข้ามา เราจะนั่งรถม้าผ่านประตูเข้ามาก็ได้แต่ผมเสนอให้เดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ เพราะรถม้ามีตราของดยุคติดอยู่

ลิสบอนกับอัลฟอนโซเห็นด้วยกับข้อเสนอของผมและลงจากรถม้า ผมก็ลงมาหลังจากร่ายคาถารบกวนการรับรู้

แม้จะไม่ได้กลายเป็นจุดสนใจเท่าลงจากรถม้าหลังผ่านประตู พวกเขายังคงถูกเห็นว่าลงจากรถม้าของดยุค คราวนี้อัลฟอนโซกับลิสบอนจึงเป็นที่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับดยุค ข่าวจะแพร่ไปทั้งโรงเรียน

ผมไม่ต้องการข่าวลือแบบนั้น จึงร่ายเวทมนตร์ป้องกันไม่ให้คนจำผมได้ แต่แรกผมตั้งใจจะเดินมา แต่อัลฟอนโซกับลิสบอนติดใจความสบายของรถม้าและขึ้นไปนั่งโดยไม่สนใจความเห็นของผม เพราะอย่างนั้นผมเลยต้องขึ้นไปด้วย

ใช่ มันเป็นรถม้าที่ไม่สะเทือนและสบายและกว้างขวางยิ่งกว่ารถลีมูซีนในชาติก่อนของผม แต่ผมไม่ใช่คนที่อยากนั่ง ดังนั้นการร่ายคาถารบกวนการรับรู้ให้สองคนงี่เง่านี่จึงไม่จำเป็น

ว่าแต่ว่า เพราะเป็นงานวันเกิดของเจ้าหญิง อัศวินจึงมีอยู่ทุกจุดของโรงเรียนเวทมนตร์ แบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงมาจัดงานที่โรงเรียนเวทมนตร์แทนที่จะเป็นที่วัง

เมื่อเข้ามาในโรงเรียน ผมกระจายเวทมนตร์รบกวนการรับรู้ ถ้ากระจายเวทมนตร์แบบนี้มันจะไม่ทำให้รู้สึกเหมือนว่าจู่ๆก็ถูกรบกวนการรับรู้ แต่จะทำให้รู้สึกเหมือนผมไม่โดดเด่น แน่นอน ต้องรักษาระดับเวทมนตร์ในระดับต่ำ

เมื่อกระจายเวทมนตร์เกือบเสร็จ ผมได้ยินเสียงอลิซจากที่ไหนสักแห่ง เสียงมาจากไหนนะ?

ผมมองรอบๆและเจอต้นเสียง อลิซกำลังโบกมืออยู่ไกลๆ

“อลิซอยู่ตรงนั้น”

“ตรงไหน?”

หลังจากจ้องไปทางที่ผมชี้อยู่พักใหญ่ ลิสบอนกับอัลฟอนโซก็โบกมืออย่างร่าเริงเมื่อเห็นเธอกำลังโบกมือตรงระเบียง

แต่ช่วยอย่าทำแบบนี้ในที่โจ่งแจ้งไม่ได้เหรอ?

ช่างไม่เข้าใจความรู้สึกคนไม่อยากเป็นจุดสนใจเลย

“ว้าว เก่งมากที่เห็น”

“ข้าเป็นคนที่หาคนใส่แว่นกับเสื้อลายทางสีแดงเก่งมาก”

“เอ๋? อลิซไม่ได้ใส่เสื้อลายทางนะ? แว่นด้วย?” อัลฟอนโซเอียงคอหลังจากมองอลิซ

รู้ด้วย ไม่เหมือนทุกที

“มาๆ รีบเข้าไปเถอะ”

ผมเลี่ยงคำถามแล้วดันหลังทั้งคู่เข้าไป

ในการเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ เราต้องผ่านการตรวจอย่างเข้มงวดก่อนจะได้ไปยังระเบียงที่อลิซอยู่

ระหว่างทาง ผมเห็นอัศวินหลายคน ถ้าสังเกตก็จะเห็นว่านอกจากนักเรียนแล้วยังมีนักเวทหลายคนปนอยู่ด้วย

หืม? ควรจะพูดว่าเทียบกับรอบๆแล้วมันเข้มข้นกว่ามากดีไหมนะ? เอาเป็นว่า เมื่อผมมองไปทางที่ๆมีพลังงานเข้มข้นอยู่ ชายวัยกลางคนที่มีผมหน้าม้าบางๆ ใส่เสื้อเชิ้ตแหวกอกกำลังดื่มไปยิ้มไป

นั่นต้องเป็นชายที่อยู่ตรงที่นั่งคนดูตอนลิสบอนสอบแน่ๆ หน้าผมตึงขึ้น

“มีอะไรเหรอ?” ลิสบอนถาม

“เปล่า รีบไปกันเถอะ”

ผมดันหลังลิสบอน เขาทำหน้าสงสัย แต่นี่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าโง่เอง

เมื่อมาถึงระเบียง อลิซกับผู้หญิงคนหนึ่งทักทายพวกเรา

“มาเร็วนะ? เจ้าทำเหมือนจะมาตอนงานเริ่มพอดี”

ผมยักไหล่เมื่ออลิซถามเหมือนล้อเล่น “มาก่อนเวลาเพื่อจองที่ก็ไม่เลว”

แผนของผมคือเอาของกินหน้าตาน่าอร่อยไปที่ระเบียงเงียบๆสักแห่ง กินแล้วไป

ไม่ข้องเกี่ยวกับเจ้าหญิง เผื่อไว้ก่อน

“แล้วยูเรียล่ะ?” ผมไม่เห็นยูเรียที่ออกมากับอลิซ

อลิซยักไหล่ บอกว่าไม่รู้

ผมรู้สึกไม่สบายใจ หวังว่าเธอคงไม่พาเจ้าหญิงมาแนะนำให้รู้จักนะ เธอน่าจะรู้จักกับคนในราชวงศ์เพราะเป็นหลานของวิลเลียมผู้สามารถเข้าพบจักรพรรดิได้โดยตรง

เมื่อไหร่ที่ผมพูดว่าน่าจะ มันแทบจะจริงทุกครั้ง ดังนั้นผมจึงภาวนาครั้งนี้จะไม่จริง

“อ้อ ข้าจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่คือเพื่อนใหม่ของเราที่โรงเรียนเวทมนตร์” อลิซแนะนำเด็กผู้หญิงข้างๆ

“สวัสดี ข้าชื่อมิลเปีย”

เมื่อมิลเปียแนะนำตัว ลิสบอนทักทายเธอด้วยรอยยิ้มสดใสประจำตัวเป็นคนแรก

“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าเป็นพี่ชายของอลิซ ชื่อลิสบอน”

“ยินดีที่ได้รู้จัก อลิซช่วยเหลือข้าไว้เยอะมาก”

อัลฟอนโซที่อยากแนะนำตัวเองเร็วๆ ยกมือและทักทาย “สวัสดี! ข้าชื่ออัลฟอนโซ เจ้า...รู้จักกับยูเรียหรือเปล่า?” เขาลังเลพลางเหลือบมองอลิซ

อลิซพยักหน้าตอบ

“โอ้! ข้าเป็นฝาแฝด ฝากดูแลยูเรียด้วยนะ” อัลฟอนโซพูดอย่างจริงใจ

ปกติพวกเขาจะทะเลาะกันตามประสาพี่น้อง แต่เห็นพวกเขาดูแลกันในเวลาแบบนี้ก็ไม่เลว

“ค่ะ ยูเรียก็ช่วยเหลือข้าไว้เยอะเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จัก”

มิลเปียทักทายอัลฟอนโซเหมือนลิสบอน แต่มันรู้สึกต่างกันเล็กน้อย ถ้าให้เทียบ เหมือนเธอพูดตามมารยาทในขณะที่อัลฟอนโซพูดอย่างจริงใจ

จะว่ายังไงดี... มันเป็นความรู้สึกที่มีแต่ผม จอมโกหกแต่กำเนิด รู้สึกได้

ถ้าเทียบเป็นรส มันเหมือนจะได้ตะโกนว่า “นี่คือรสของคนโกหก”



สารบัญ                                  บทที่ 61



บูจาราตี้ล่ะ ^///^ ... :’)

คนใส่เสื้อลายทางกับแว่นมาจากซีรี่ส์ Where’s Wally เป็นหนังสือภาพเกมหาสิ่งของ (เอาจริงๆคือหาคน) ค่ะ 


วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 59

บทที่ 59 – งานเลี้ยง (10) 


จากนั้นก็เกิดเสียง “ป๊อบ” เบาๆพร้อมทั้งระเบิดกับกลุ่มควันรูปเห็ดจากเครื่องมือแปรธาตุของแฟลม

“โอ้! ท่าทางจะสำเร็จ!” แฟลมยิ้มร่าขณะมองยาที่อาบแสงอาทิตย์จากหน้าต่าง

“ยาอะไร?” ผมถาม

แฟลมยิ้มชั่วร้าย “หุๆ ยาบำรุงที่ได้ผลดีมากกับผู้ชาย”

ผมอึ้งกับสิ่งที่เขากระซิบบอก จะได้ผลดีกับผู้ชายยังไงก็เถอะ ทำไมปรุงมันตอนเรียนล่ะ?

แต่ว่า ผมก็กำลังปรุงยาประเภทเดียวกันเหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรให้มันถูกแสง ประสิทธิภาพจะเสื่อมลง”

แฟลมรีบใช้มือบังยาบำรุง “เจ้าดูมีความสามารถด้านเวทมนตร์นะ กระทั่งเรื่องนี้ยังรู้”

ผมรู้สึกคำพูดของเขาเหมือนจะทิ่มแทง แต่ยักไหล่เหมือนไม่มีอะไรแปลก “ความรู้ทั่วไปน่ะ มันอยู่ในหนังสือเรียนที่แจกวันนี้ด้วย มันจะมีในข้อสอบหลังการฝึก เพราะฉะนั้นเจ้าน่าจะเรียนให้มากกว่านี้หน่อย”

“ฮ่าๆ อย่างนั้นเหรอ?” แฟลมเกาศีรษะอย่างเขินๆ

ป๊อบ!

เครื่องมือแปรธาตุของผมเกิดปฏิกิริยาเดียวกับของแฟลม

“โอ้! สำเร็จแล้วเหรอ? เจ้าปรุงอะไร?”

ผมหยิบยาขึ้นมาตรวจดูว่าออกมาดีหรือเปล่า

“หุๆๆ ถ้ายาบำรุงของท่านแฟลมถือว่าธรรมดา ของข้าควรจะเรียกว่า T.O.P เลยหรือเปล่านะ?”

แฟลมกลืนน้ำลายเหมือนต้องมนต์สะกดจากแสงจากยาบำรุงของผม ที่ต่างจากของเขามาก

“T.O.P? สุดยอด? ขอข้าดูหน่อย”

ผมตบมือที่จะเอื้อมถึงยาบำรุงของผม “เฮ้! คนมีการศึกษาทำท่าทางแบบนี้ได้เหรอ?!”

“เฮอะ! เพื่อการปลุกสมรรถภาพทางร่างกายแล้วเรื่องแบบนั้นไม่สำคัญ! ส่งมานะ!”

แฟลมดื้อรั้นจะเอายาบำรุงของผมไป ผมต้องใช้มือข้างหนึ่งดันเขาไว้ อีกข้างถือยาให้ห่างจากเขาให้มากที่สุด

ว่าแต่ ทำไมหมอนี่แรงเยอะนัก?

แฟลมแข็งแรงมากจนปล่อยไว้ไม่ได้ แต่ผมก็ผลักเขาไปไม่ได้ด้วย

หมอนี่เอาจริงเรอะ? ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความโลภเหมือนต้องการยาบำรุงจริงๆ

“อ๊ะ!”

ขณะผมจดจ่ออยู่กับแฟลม ศาสตราจารย์ที่ดูแลวิชาเรียนนี้ก็หยิบยาไปจากมือผมแล้วดื่มตรงนั้นเลย แฟลมกับผมมองขวดยาว่างเปล่าเหมือนหมาที่วิ่งไล่ตามไก่และสุดท้ายก็ได้แต่มองมันบินหนีไป

“อ๊า”

แฟลมมองขวดยาว่างเปล่า สีหน้าผิดหวังเสียยิ่งกว่าผิดหวัง

“มองทำไม? เจ้าทำให้ข้าไม่ใช่เหรอ? ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่เจ้าจะปรุงยาบำรุงในชั้นเรียน ใช่ไหม?”

ศาสตราจารย์ก้มมองผมกับแฟลม ลูบหนวดที่เริ่มหงอก

“ฮ่าๆๆ ก็”

ทิ้งผมให้งงอยู่อย่างนั้น ศาสตราจารย์ยื่นมือไปทางแฟลม

“แฮ่ม เพราะฉะนั้น เอามานี่”

พูดแล้วศาสตราจารย์ก็หันหน้าไปทางอื่น หน้าแดงน้อยๆ อาจเพราะกำลังเขิน

ตาแก่โลภมากนี่

แฟลมลังเล มองยาและมือของศาสตราจารย์ จากนั้นก็ดื่มมัน

สมแล้วที่เป็นแฟลม! ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้! ทำให้คนอื่นสะท้าน! และทึ่ง!

“อุ! ไม่อร่อยเลย”

แฟลมส่งขวดเปล่าให้ศาสตราจารย์ พวกเรา รวมทั้งศาสตราจารย์ หัวเราะ

“ฮ่าๆๆ”

“ฮ่าๆๆ”

“ฮ่าๆๆ”

“ตัดคะแนนพวกเจ้าสองคน” สุดท้ายชายชราก็แค่นคำพูดออกมา

***

ในที่ว่างด้านหลังห้องโถงใหญ่ของโรงเรียนเวทมนตร์ เหล่าหญิงรับใช้ของอารีเลียกำลังวุ่นวาย นี่เพราะงานเต้นรำฉลองวันเกิดของเธอ งานฉลองการเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ กำลังจะจัดขึ้นในวันนี้

อารีเลียอยู่นิ่งให้เหล่าหญิงรับใช้แต่งตัวอย่างราบรื่น เธอรู้ว่าหญิงรับใช้ทุ่มเทเท่าไหร่เพื่อวันนี้ ดังนั้นจึงเก็บความรู้สึกอึดอัดเอาไว้ วันเกิดของเธอคือพรุ่งนี้ แต่งานเลี้ยงจะจัดไปสามวัน งานฉลองวันเกิดของจักรพรรดิมีเจ็ดวัน ของรัชทายาทกับจักรพรรดินีห้าวัน ของเธอจึงถือว่าสั้น แน่นอน นี่เพราะเป็นวันเกิดปีที่ 16 ของเธอ เข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ ถึงจัดสามวัน ไม่อย่างนั้นปกติแล้วจะจัดแค่สองวัน

อารีเลียคิดว่างานเต้นรำไม่จำเป็นเพราะมันน่ารำคาญ แต่ขุนนางปกติฝันถึงงานเลี้ยงใหญ่ๆเช่นนี้

“แหม เจ้าหญิงสวยมากเลยค่ะ!” เหล่าหญิงรับใช้ชื่นชมเจ้าหญิง

อารีเลียอึดอัดที่ถูกแต่งตัว แต่ได้ฟังคำชมแล้วก็ยังรู้สึกดี

ก๊อกๆ

มีคนเคาะประตูห้อง แม้จะเป็นห้องชั่วคราวแต่ในจักรวรรดิมีไม่กี่คนที่สามารถเข้ามาถึงส่วนที่เจ้าหญิงอยู่ได้

“ใครกัน?”

“ข้าจะไปดูค่ะ”

เมื่ออารีเลียถาม หญิงรับใช้คนหนึ่งไปที่ประตูทันทีและถามผ่านทางท่อกับทหารที่ยืนคุ้มกันนอกห้อง

“ใครมา?”

ทหารคนหนึ่งตอบผ่านท่อด้วยเสียงสั่น “นายพลวิลเลียมกับหลานขอเข้าพบครับ”

ทหารไม่มีทางห้ามนายพลวิลเลียมไม่ให้เคาะประตูได้ ปกติเขาต้องตะโกนเรียกชื่อผู้มา แต่วิลเลียมไม่ชอบธรรมเนียมยุ่งยากและคงหยุดทหารไว้

“เจ้าหญิงคะ! นายพลวิลเลียมขอเข้าพบ!” หญิงรับใช้ตะโกนอย่างประหลาดใจ

“ให้เขาเข้ามา” อารีเลียตอบอย่างสงบ

หญิงรับใช้เปิดประตูอย่างระวัง

“ขออภัย ข้ากำลังแต่งหน้าอยู่ คงขยับไม่ได้มาก ขอโทษยูเรียด้วยนะ”

วิลเลียมยิ้ม “ไม่ ข้าผิดเองที่มากะทันหัน”

“ใช่แล้ว เป็นความผิดของลุง คิดได้ยังไงนะถึงมาห้องแต่งตัวที่ผู้หญิงใช้แต่งตัว? มันห้องน้ำผู้หญิงนะคะ ห้องน้ำผู้หญิง!”

ยูเรียส่ายหน้า จะเรียกห้องแต่งตัวของผู้หญิงว่าห้องน้ำก็ไม่ผิด แต่วิลเลียมไม่สบายใจกับคำพูดของหลาน

จะว่าไปพอมองไปรอบๆ ที่นี่มีแต่ผู้หญิง

“แฮ่ม ข้าขอโทษ เราออกไปก่อนดีไหม?”

อารีเลียได้เห็นวิลเลียมกระสับกระส่ายซึ่งหาดูได้ยาก เธอรู้สึกสนุก

“ไม่เป็นไร ยูเรีย อย่าแกล้งนายพลวิลเลียมสิ” ถึงจะเป็นการล้อเล่นในแบบที่เธอชอบ เธอกลัวว่าเหล่าหญิงรับใช้จะบ่นถ้าเธอแสดงความคิดในใจออกมา

“ไม่เป็นไร หลานกับข้าสนิทกัน นี่เป็นเรื่องปกติ ฮ่าๆๆ” วิลเลียมพูดพลางขยี้ผมยูเรีย

“โฮะๆ น่าอิจฉา ว่าแต่ นายพลวิลเลียมมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไรเหรอ?” อารีเลียถาม

“อ้อ ข้ามาทักทายและส่งยูเรียให้เจ้าหญิง ดังนั้นงานของข้าก็เสร็จแล้ว” นายพลวิลเลียมกล่าวคำทักทายแล้วออกจากห้อง “ข้าจะไปตรวจตรารอบๆอีกครั้ง ฝากหลานของข้าด้วย”

เมื่อลุงของเธอออกไป ยูเรียเอาเก้าอี้มานั่งข้างโต๊ะแต่งหน้าของอารีเลีย

“ว้าว สวยมาก! น่าอิจฉาจัง” ยูเรียปรบมือชื่นชมหน้าเจ้าหญิง

เหล่าหญิงรับใช้อึ้งกับท่าทางเป็นกันเองอย่างกะทันหันของยูเรีย แต่อารีเลียตอบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก “เจ้าจะแต่งด้วยไหม? คนของข้าเก่งเรื่องนี้มากนะ”

หลังจากวันแรกในโรงเรียนเวทมนตร์ พวกเธอไปกินขนมด้วยกัน อารีเลียกับยูเรียตัดสินใจคุยกันแบบปกติขณะกำลังกินไอศกรีม ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องเป็นธรรมดา แต่เหล่าหญิงรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องดูประหลาดใจ

“ได้เหรอ?”

ยูเรียตาเป็นประกาย อารีเลียหัวเราะลั่น

“โฮะๆๆ เจ้าก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ตอนเจอกันครั้งแรก เจ้าเหมือนไม่รู้อะไรเลยนอกจากเวทมนตร์”

“แหม ก็นานๆที” ยูเรียเขิน

“ฮื้ม... อยากดูดีต่อหน้าคนชื่อเดน?” อารีเลียยิ้มอ่อนโยนมองอีกฝ่ายเริ่มหน้าแดง

ยูเรียอ้ำอึ้ง “เอ๊ะ ไม่ เจ้าพูดอะไร?”

“ก็นั่นไง ตอนเราไปกินไอศกรีมกัน เจ้ากับอลิซคุยกันใหญ่ถึงคนชื่อเดน”

ยูเรียขึ้นเสียง “คุยกันใหญ่? ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย!”

“หืม ไม่เหรอ?” อารีเลียถามอย่างเจ้าเล่ห์

ยูเรียหันหน้าหลบ

“ตกลงไม่แต่งหน้าเหรอ?” เจ้าหญิงถาม

“ข้า ข้าจะแต่ง” ยูเรียทำหน้ามุ่ย อารีเลียเห็นแล้วรู้สึกน่ารักดี

ยูเรียนั่งข้างเจ้าหญิง หญิงรับใช้แต่งหน้าให้

“เดี๋ยวข้าจะแนะนำคนที่อยู่หอเดียวกับข้าให้เจ้ารู้จัก ทุกคนไปโรงเรียนเพราะฉะนั้นก็จะมาที่งานเลี้ยงด้วย” ยูเรียพูดอายๆ

อารีเลียยิ้ม “ข้าจะตั้งตารอ”

***

ผมมองตัวเองในกระจก มีหนุ่มหล่อยืนอยู่เหมือนปกติ ที่ต่างจากปกติคือผมใส่สูท ถ้าประมาณนี้ผมคงดูไม่ผิดที่ผิดทาง

ผมเหวี่ยงแขน ลองทำท่านั่งแล้วยืน

สูทที่คุณนายอาซิลลาให้ผมยืมพอดีตัวและไม่ทำให้การเคลื่อนไหวดูเก้งก้าง และอาจเพราะทำจากผ้าไหม สัมผัสมันแล้วรู้สึกดี ผมสวมหมวก ถือไม้เท้า แล้วหมุนตัว

ด้านหลังผมเป็นอัลฟอนโซ ที่ขยับตัวเหมือนไม่สบายตัวในชุดสูท และลิสบอนที่นั่งสบายบนโซฟาใส่เครื่องแบบโรงเรียนอัศวิน

“สูทดีมากครับ ขอบคุณ คุณนายอาซิลลา”

ผมเล่นท่าใหญ่เล็กน้อยด้วยการงอแขนแล้วคำนับ

“เรื่องแค่นี้เอง โชคดีที่สูทเก่าของลูกข้ายังอยู่” คุณนายอาซิลลายิ้มพลางดื่มชา

อัลฟอนโซกับผมไม่มีเครื่องแบบที่ใช้แทนสูทได้เหมือนลิสบอน ในกรณีของอัลฟอนโซ โรงเรียนอัศวินขั้นต่ำมีแต่ชุดฝึก ไม่ใช่เครื่องแบบจริง เพราะอายุตอนเข้าเรียนโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำส่วนใหญ่คือ 16 ให้เครื่องแบบกับคนในช่วงกำลังเติบโตเพื่องานพิธีที่ไม่มีบ่อยจึงถือว่าฟุ่มเฟือย ชุดฝึกใช้ใส่ร่วมงานเชิญธงที่มีนานๆครั้งได้ แต่ไม่ดีพอใส่ในงานเลี้ยงวันเกิดเจ้าหญิง

แม้ผมไม่รู้รายละเอียดเพราะไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนอัศวิน ดูจากการคัดเลือกที่เคร่งครัดแล้ว นักเรียนโรงเรียนอัศวินส่วนใหญ่มีฐานะดี กรณีอย่างอัลฟอนโซที่ไม่มีชุดใส่ในพิธีเป็นทางการจึงถือว่าหายาก




สารบัญ                                 บทที่ 60 


วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 58

บทที่ 58 - งานเลี้ยง (9)


ผมสีขาว ลักษณะเด่นของเผ่าผีเสื้อ...

มิลเปียมองใหม่เหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เผ่าผีเสื้อจริงๆ! ทำไมคนเผ่าผีเสื้อถึงมาโรงเรียนเวทมนตร์ล่ะ?

การที่เธอนั่งตรงนี้ก็หมายความว่าไม่ใช่ผู้ฝึกสอน ในความเป็นจริง แม้ทุกคนจะนึกถึงเผ่าผีเสื้อเมื่อนึกถึงเวทมนตร์ เผ่าผีเสื้อไม่มีความเกี่ยวข้องกับโรงเรียนเวทมนตร์ พวกเขาเชี่ยวชาญสิ่งที่มีสอนในโรงเรียนตั้งแต่ก่อนอายุสิบขวบ

มิลเปียรวบรวมข้อมูลจากวังที่เกี่ยวข้องกับเผ่านี้ในสมอง

เผ่าผีเสื้อ วิลเลียม เทือกเขาแอลป์ เอเวอเรสท์...

มาคิดดูแล้ว มีข้อมูลยืนยันว่าหลานของนายพลวิลเลียม ยูเรีย เข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ แต่ยังไม่มีการรายงานว่าทำไม

แต่การคาดเดาที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือมันเกี่ยวเนื่องกับข้อมูลลับสุดยอดเรื่องการเข้าเรียนของอารีเลีย องค์หญิงอันดับสามของจักรวรรดิ และยูเรียอาจมาที่นี่เพื่อคุ้มกันเธอ

ถ้าอย่างนั้น ผู้หญิงผมบลอนด์ที่นั่งข้างยูเรียคือองค์หญิงสามในข่าวลือ?

ไม่รู้สิ

มิลเปียไม่ตัดสิน

แน่อยู่แล้ว เทียบกับตอนเป็นผู้จัดการสาขา มิลเปียในฐานะเจ้าหน้าที่ภาคสนามมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลลดลงมาก เรื่องที่อารีเลียอาจเข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์เป็นข้อมูลที่เธอเคยอ่านตอนเป็นผู้จัดการสาขา

องค์กรข่าวของแม่ใหญ่อาจยืนยันข้อมูลลับสุดยอดนี้ได้แล้ว แต่ตอนนี้เธออยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนั้นได้ ถ้าผู้หญิงที่นั่งข้างคนเผ่าผีเสื้อเป็นองค์หญิงอันดับสามจริงๆก็มีหลายอย่างที่ผิดปกติ

อย่างแรกสุด เจ้าหญิงจะไม่ใส่เครื่องแบบโรงเรียนเวทมนตร์ การเป็นคนของราชวงศ์ทำให้ไม่อาจทำตัวหรือพูดจาที่อาจนำไปสู่การสนับสนุนองค์กรหนึ่งองค์กรใดได้

แล้วจะบอกว่าเจ้าหญิงใส่เครื่องแบบที่แสดงว่ามีความเกี่ยวข้องกับที่ใดที่หนึ่งน่ะเหรอ?

เป็นไปไม่ได้!

อีกอย่างคือ ถึงแม้คนของเผ่าผีเสื้อ ชาติพันธุ์นักสู้คนหนึ่ง เป็นคนคุ้มกัน แต่นี่คือเจ้าหญิง ธิดาของจักรพรรดิ ไม่มีทางที่จะไม่มีกองคุ้มกันขนาดใหญ่ให้สมฐานะ

แต่เธอไม่รู้สึกถึงคนอื่นที่อาจจะเป็นคนคุ้มกัน

มิลเปียอายุน้อย แต่เธอเป็นคนที่ขึ้นไปถึงตำแหน่งหัวหน้าสาขาที่สำคัญที่สุดด้วยความสามารถ ดังนั้น ความสามารถของเธอจึงสูงมาก ผู้คุ้มกันจะเก่งขนาดหลุดรอดจากความรู้สึกของเธอได้ทุกคนเลยเหรอ?

มิลเปียกล้ามั่นใจว่าผู้คุมกันของจักรพรรดิไม่เก่งขนาดนั้น เธอพบจุดแปลกๆอีกแต่หาข้อสรุปไม่ได้ เธอไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่รู้สึกรำคาญเพราะขาดข้อมูล แต่ถ้าไม่มีข้อมูล เธอก็แค่ต้องรวบรวมมัน

“ขอโทษนะ-”

“ว้าว! ทันด้วย! ฮ้า ฮ้า”

ขณะมิลเปียพยายามจะคุยกับยูเรีย เด็กผู้หญิงผมทองท่าทางเอาเรื่องก็เปิดประตูอย่างแรงพลางหายใจหอบ

“อลิซ! ทางนี้!”

ยูเรียโบกมือให้ผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามา

อลิซเดินมาหายูเรียพลางปรับลมหายใจ

“เฮ้อ ขอโทษนะ”

อลิซถามว่าที่นั่งว่างไหมก่อนจะนั่งระหว่างยูเรียกับมิลเปีย

“เกือบสายแล้วนะ” ยูเรียยิ้ม

“นั่นสิ เจ้าโง่ของบ้านข้าชักช้าอยู่นั่น เราต้องสายแน่ถ้าเดนไม่เตือน” อลิซตอบ ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมา

มิลเปียรู้สึกสับสนเพราะอลิซ สองคนนี้ดูสนิทกัน

“เจ้าออกมาตอนกี่โมง?” ยูเรียถาม

“8:30”

ยูเรียประหลาดใจ “มาทันได้ด้วยนะ”

ตอนนี้เพิ่งเกือบ 8:50 ยูเรียจึงอดแปลกใจไม่ได้ ไม่ว่าจะวิ่งเร็วขนาดไหน จากหอมาถึงโรงเรียนก็ต้องใช้เวลามากกว่า 20 นาที

อลิซยิ้มพลางเก็บผ้าเช็ดหน้าเปียกเหงื่อใส่กระเป๋า รอยยิ้มดูซน “ใช่ ข้าบินทะลุตรอกด้านหลังมา”

“เอ๋?! แต่ในเมืองหลวงมีกฎห้ามบินไม่ใช่เหรอ?”

จักรวรรดิห้ามไม่ให้มีการบินใกล้ชายแดนและเมืองใหญ่ ยกเว้นผู้ได้รับอนุญาตและในช่วงเวลาที่กำหนด แค่เรื่องที่มีนักเวทที่บินได้ก็ทำให้จักรวรรดิต้องสร้างระบบยืนยันตัวตนสำหรับการป้องกันทางอากาศเพื่อควบคุมวัตถุบินได้อย่างเข้มงวด

“ถ้าเป็นเดนจะบอกว่า ถ้าไม่ถูกจับได้ก็ไม่เป็นไร แน่นอน เก็บเป็นความลับให้ด้วยนะ”

อลิซตอบอย่างเจ้าเล่ห์ ยูเรียหัวเราะ

“ฮุๆ เดนคงพูดอย่างนั้นจริงๆ ได้ ข้าจะเก็บเป็นความลับให้”

“เดน? ใครคือเดนเหรอ ตลกขนาดนั้นเลย?” เด็กสาวผมทองที่นั่งข้างยูเรียถาม

“อ๊ะ เขาเป็นเพื่อนที่อยู่หอเดียวกับข้า โอ๊ะ ขอข้าแนะนำให้รู้จักนะ นี่คืออลิซ เพื่อนร่วมหอเดียวกับข้า”

อลิซทักทายด้วยสายตาขณะนั่งอย่างเดิม “ข้าอลิซ วอน คาร์เตอร์ เจ้าคือคนที่ยูเรียเคยบอกใช่ไหมว่าจะมาเป็นเพื่อนกับพวกเรา? ที่พูดกันเมื่อกี้ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะ”

“โอ๊ะ ได้ ข้าชื่อ อาเรีย วอน โฮลิสเตน ข้าไม่รู้ว่าคุณยูเรียพูดถึงข้าอย่างไร แต่มาสนิทกันเถอะ”

เด็กสาวที่แนะนำตัวว่าอาเรียจับมือกับอลิซด้วยความกังวลเล็กน้อย ยูเรียแอบใช้เวทมนตร์บอกกับอาเรียคนเดียว

-ข้าไม่ได้บอกตัวจริงขององค์หญิง

อารีเลียโล่งใจ

อลิซเหมือนคนจากตระกูลขุนนาง แต่ไม่มีทางที่คนตระกูลขุนนางที่ได้รับการสั่งสอนจะเชิดหน้าจ้ององค์หญิงอันดับสาม

เมื่ออารีเลียกับอลิซแนะนำตัวเสร็จ มิลเปียก็หาจังหวะเข้าร่วมด้วย

“พวกเจ้าเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกเหรอ? ที่จริงข้าก็เพิ่งมาถึงเมืองหลวงเลยไม่รู้จักใคร ให้ข้าเป็นเพื่อนกับพวกเจ้าด้วยได้ไหม?” มิลเปียยิ้มและพูดอย่างหน้าด้าน ถ้าสายลับไม่หน้าด้านเท่านี้ก็อดตายไปแล้ว

อลิซค่อนข้างระแวงมิลเปียที่จู่ๆก็คุยกับพวกเธอ แต่อาเรียยิ้มและจับมือกับมิลเปีย

“แน่นอน! ที่จริงข้าก็เพิ่งมาถึงเมืองหลวงเหมือนกัน คุณยูเรียเลยเป็นเพื่อนคนเดียวของข้า ข้าจะดีใจมากที่เราได้เป็นเพื่อนกัน”

เมื่ออารีเลียเข้าหามิลเปียอย่างสนิทสนม เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย มันแปลกที่คนที่น่าจะเป็นเจ้าหญิงทำตัวไม่สนใจมารยาท

หรือว่าทำเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ตัวจริง? ทำไมล่ะ? ถ้าเพื่อความปลอดภัยก็ไม่มีเหตุผลต้องปิดบังตัวตน

การปิดบังตัวตนเพื่อความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ทำเป็นวิธีสุดท้ายเมื่อตัวตนจริงมีอันตราย

มิลเปียสับสน แต่ไม่แสดงออกเพราะแค่อยู่ใกล้ยูเรียก็จะหาข้อมูลได้มากมาย

จากนั้นอารีเลียก็พูดขึ้นด้วยตาเป็นประกาย “ถ้าอย่างนั้น หลังเลิกเรียนแล้วไปกินไอศกรีมฉลองการเป็นเพื่อนดีไหม?”

ข้อเสนอของอารีเลียทำให้มิลเปียสับสนหนัก

***

“เจ้าได้ข่าวไหม?” แฟลม นั่งข้างผมและง่วนอยู่กับเครื่องมือแปรธาตุพื้นฐาน ถาม

“ข่าวอะไร?” เหมือนเขา ผมก็กำลังเล่นกับเครื่องมือแปรธาตุ

“นั่นไง ข่าวว่าองค์หญิงของจักรวรรดิจะจัดงานเลี้ยงเต้นรำฉลองวันเกิดที่โรงเรียนเวทมนตร์”

จะว่าไปก็น่าจะได้ยินอยู่นะ ปกติงานฉลองวันเกิดของราชวงศ์สายตรงจะจัดในวัง มันจึงเป็นข่าวใหญ่

“เหรอ?แล้ว?”

เธอจะจัดที่ไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม? ผมไม่สนใจงานวันเกิดของคนที่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อน

แฟลมข้องใจกับท่าทางเฉยเมยของผม

“เจ้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกินไปหรือเปล่า? รู้ไหมว่ารอบๆนี่มีแต่คนพูดถึงงานวันเกิดขององค์หญิง”

“เอ่อ... เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ตอนไหน? ปกติผมไม่ค่อยสนใจรอบตัว แต่ไม่น่าจะมีคนพูดถึงเรื่องนี้เยอะนัก?

“ก็คนพูดกันแต่เรื่องนี้ตอนอยู่หอ อ้อ เจ้าไม่ได้อยู่หอนี่นะ ถ้าอย่างนั้นคงไม่รู้” แฟลมให้คำตอบตัวเองแล้วหัวเราะ

“แล้วเรื่องงานเลี้ยงขององค์หญิงนี่มันทำไม? ไม่เกี่ยวกับพวกเราไม่ใช่เหรอ?”

แฟลมหยุดเล่นเครื่องมือแปรธาตุแล้วมองผมอย่างประหลาดใจ “หรือว่า เจ้าไม่เห็นประกาศ?”

“ประกาศอะไร?”

มีตอนไหน?

จะว่าไป ตรงป้ายประกาศที่ศูนย์ฝึกมีคนมุงกันเต็ม ดูเหมือนจะเกี่ยวกับประกาศที่ว่า

“ดูท่าเจ้าจะไม่ได้อ่านจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอก”

แฟลมยืดอกอย่างภูมิใจและบอก

“มีประกาศติดที่ป้ายประกาศเมื่อคืน ว่างานเลี้ยงวันเกิดขององค์หญิงจะจัดที่โรงเรียนเวทมนตร์ และไม่ใช่แค่นักเรียนของโรงเรียนเวทมนตร์ได้รับเชิญ แต่รวมถึงนักเรียนของโรงเรียนอัศวินกับผู้เข้ารับการฝึกของศูนย์ฝึกข้าราชการด้วย”

ว้าว ทำเรื่องยุ่งยากดีแท้ ไม่ใช่งานเต้นรำของคนสูงส่งอย่างเจ้าหญิงปกติจะเชิญแต่ขุนนางชั้นสูงเหรอ?

ผมไม่รู้ว่าทำไมข้าราชการระดับต่ำแสนดีอย่างผมต้องร่วมงานยุ่งยากแบบนั้นด้วย

“ถ้าไม่ไปได้ไหม?”

แฟลมหยุดหัวเราะและส่ายหน้า

“ข้าคิดว่าเจ้าควรเตรียมตัวไว้ถ้าปฏิเสธคำเชิญ ข่าวลือว่าถ้าไม่ไปเราจะถูกส่งไปประจำที่วอแรนท์”

ผมเดาะลิ้นในใจ นี่แหละระบบเจ้าขุนมูลนายถึงไม่ใช่เรื่องดี มันทำให้เราต้องเสียพลังงานไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง อีกอย่าง ทำไมต้องวอแรนท์ นั่นมันใกล้กับบ้านเกิดฉันเกินไป!

“แต่ว่ามันเป็นโอกาสที่จะได้เห็นองค์หญิงอันดับสาม ถึงจะไกลๆก็เถอะ ที่ว่ากันว่างามที่สุดในจักรวรรดิ ทุกคนเลยตั้งตารอ”

โอ้ วันเกิดขององค์หญิงอันดับสามเหรอ?

อาจเพราะเราเคยเจอกันมาก่อนแล้ว ผมเลยยิ่งไม่อยากไป

ชื่ออารีเลียใช่ไหมนะ?

เจ้าหญิงเป็นตัวต้านทานนักเวทย์ ผมจึงแน่ใจว่าเวทมนตร์รบกวนการรับรู้ไม่มีผลกับเธอ หลีกเลี่ยงเธอไว้ดีกว่าเผื่อว่าเธอเห็นผมแล้วจะจำผมได้ แน่นอน คนอย่างเธอไม่มีเหตุผลที่จะมาใกล้เด็กฝึกทั่วไป

“ขนาดแฟลมยังตั้งตารอ องค์หญิงอันดับสามคงสวยจริงๆ?”

เมื่อผมแหย่ แฟลมหัวเราะร่า

“ฮ่าๆ ไม่รู้หรอก ที่ข้าตั้งตารอคืออาหารในงาน ต้องมีของอร่อยเยอะแยะแน่”

จะว่าไปก็จริง ต้องมีของอร่อยหลายอย่างแน่ เพราะว่าหัวใจคนหวั่นไหวง่าย ผมเริ่มอยากไปขึ้นมาเล็กน้อย




สารบัญ                                         บทที่ 59

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 57

บทที่ 57 – งานเลี้ยง (8)

นายกรัฐมนตรีอาคันทาตะลึงเมื่อได้ข่าวทันทีที่มาถึงที่ทำงานในตอนเช้า

“อะไรถูกขโมยนะ?”

“รูปปั้นเทพีทองที่ถูกเก็บรักษาในวิหารถูกขโมยไปครับ” ผู้ช่วยของอาคันทาตอบอย่างใจเย็น

“ใคร ทำไม?”

“น่าจะเป็นคนเดียวกับที่ปล้นคฤหาสน์เคานท์ดรูวาลเมื่อไม่นานมานี้หรือเปล่า?”

อาคันทาทรุดบนเก้าอี้แล้วทึ้งผม “ลูแปงนั่นเหรอ?” เขารู้สึกปวดศีรษะตุบๆและเริ่มปวดท้อง “ข้าควรจะถือว่าเป็นโชคดีที่เป็นคนเดียวกันหรือโชคร้าย?”

ถ้าคนขโมยเป็นลูแปง ถือว่าโชคดีที่ไม่ต้องแบ่งกำลังคนเพราะมีการจัดกำลังไล่หาตัวเขาอยู่แล้ว แต่ลูแปงเป็นเหมือนภูติผีปีศาจที่ไม่ทิ้งร่องรอย

เขาวางแผนจะตามร่องรอยของที่ลูแปงขโมยในตลาดมืดไปอีก 2-3 ปี แม้เทียบกับในอดีตแล้ววิหารจะสูญเสียอำนาจไปมาก แต่ยังคงมีอำนาจมาก แต่ลูแปงไปยุ่งกับพวกเขา

อาคันทาตั้งใจจะให้กองคลังเลิกสืบหาลูแปง แต่เป็นไปไม่ได้แล้ว มันแน่นอนว่าคาร์ดินัลเฟอร์นันโดผู้มีชื่อเสียงเรื่องความหัวดื้อต้องส่งจดหมายท้วงมาไม่หยุดแน่

“แต่ครั้งนี้มีพยานรู้เห็นหลายคนนะครับ”

“อะไรนะ?!” อาคันทาประหลาดใจ

ลูแปงคือคนที่ขโมยของในคฤหาสน์ของเคานท์ดรูวาลที่มีการป้องกันหนาแน่นได้โดยไม่มีใครรู้ตัว

แต่ในตอนกลางคืน ในวิหารที่ไม่มีแม้แต่การป้องกัน เจ้าโจรที่เหมือนภูติผีนี่ถูกคนเห็น?

มหัศจรรย์!

“เมื่อวาน ตอนเช้าตรู่ คาร์ดินัลกับเหล่าพาลาดินของเขากำลังสวดภาวนา บังเอิญว่าลูแปงใช้ทางระบายอากาศผ่านไปบนห้องสวดภาวนาพอดี”

“ฮ่าๆ ดูท่าเจ้าโจรนั่นจะดวงไม่ค่อยดีนะ ผ่านไปเจอคาร์ดินัลเฟอร์นันโด”

เฟอร์นันโดเป็นพระนักสู้ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของจักรวรรดิ ถ้าถูกคนแบบนั้นจับได้ คงตายแบบไม่เหลือแม้แต่กระดูก

“อ้อ ลูแปงตายไปแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นไปหาของที่เจ้าโจรซ่อนไว้แล้วเอากลับกองคลังดีไหม?” อาคันทายิ้ม

ปกติของต้องส่งคืนคนถูกขโมย แต่ของที่รายงานว่าถูกขโมยไปมีเพียงพลอยพรเทพี สร้อยคอที่ทำจากไพลินพันปี และถุงเงิน

ของที่ลูแปงขโมยไปส่วนใหญ่คือที่ขุนนางฉ้อโกงมา ด้วยเหตุนี้ แม้ของเหล่านั้นจะถูกกองคลังเอาไปพวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้

“เอ่อ คือว่า...”

ผู้ช่วยโจมตีตอนอาคันทารู้สึกว่าอาการปวดท้องทุเลาลงและคิดว่าจะได้กลั่นแกล้งพวกขุนนางที่หาเรื่องปวดหัวให้เขาเสมอ รวมถึงเคานท์ดรูวาล

“โจรลูแปงน่ะครับ หนีไปได้พร้อมกับรูปปั้นเทพีทอง”

“อะไร...นะ?!”

ผู้ช่วยพยักหน้าและอาคันทาทึ้งผมอีกรอบ

“เขาหนีไปได้ยังไง?”

“ได้ยินว่า เขาใช้รูปปั้นเทพีเป็นอาวุธ เลยทำให้ไม่มีใครกล้าโจมตีเขา”

อาคันทามองผู้ช่วยเหมือนไม่อยากเชื่อว่ามีคนแบบนั้น “ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีพยาน ลักษณะของเขาเป็นยังไง”

ผู้ช่วยยื่นเอกสารและท่องให้ฟัง “อย่างแรก เขาใส่หน้ากากสีขาวแบบครึ่งหน้า และสวมเสื้อคลุมศีรษะสีดำ”

“ความสูงของเขาล่ะ?”

“เรื่องนั้น อาจเพราะมีเวทมนตร์รบกวนการรับภาพบนหน้ากาก แต่คนส่วนใหญ่จำได้แต่หน้ากาก คนที่มีความต้านทานเวทมนตร์สูงกว่านั้นก็จำได้แค่เสื้อคลุมศีรษะ”

อาคันทาถอนหายใจ “มีอะไรอีกไหม?”

“อ๊ะ มีอีกอย่างครับ พาลาดินคนอื่นไม่เห็นด้วย แต่พาลาดินวิบริโอที่ไล่ตามลูแปง พูดเปรยๆว่าเขาอาจเป็นผู้หญิง”

“ผู้หญิง?!”

“ครับ มองผ่านๆ ลูแปงดูผอม สูงไม่เกิน 170 ซม. แต่พาลาดินบอกว่าจำไม่ค่อยได้ข้อมูลจึงอาจไม่ตรง”

อาคันทาลูบคาง ครุ่นคิด “ถ้าไม่เกิน 170 ซม. อาจเป็นเด็กผู้ชาย”

“ครับ?”

“เปล่า แค่คิดเล่นๆน่ะ” อาคันทาโบกมือให้ผู้ช่วยออกไปได้ ผู้ช่วยค้อมศีรษะด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะออกจากห้องทำงาน

อาคันทาคิดหนัก แต่ไม่นานเขาก็โยนความสงสัยของตัวเองทิ้งไป

ถ้าการรับภาพถูกรบกวน ข้อมูลอาจผิดเพี้ยน และถ้าเป็นคนที่เขาคิด เขาน่าจะตัวสูง

ได้ยินว่าบลัดดี้สูงเกิน 180 ซม. ตั้งแต่อายุสิบหกแล้ว ยิ่งกว่านั้น ดูจากวีรกรรมของดูมสโตน เขาไม่ได้ปิดบังตัวตนของตัวเอง ดูนิสัยของบลัดดี้ เขาก็จะไม่ใส่หน้ากากปิดบังตัวตนเหมือนกัน ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเดนเบอร์ก เบลด เป็นลูแปง เขาจะไม่แตะต้องเคานท์ดรูวาล ลูกค้าหลักของเผ่ากา

“ใครคือลูแปง? เขามีจุดประสงค์อะไร?”

ตอนลูแปงปล้นคฤหาสน์เคานท์ดรูวาล เขาคิดว่าเคานท์ดรูวาลคือเป้าหมายของลูแปง แต่ตอนนี้วิหารถูกปล้น เขาไม่รู้ว่าลูแปงมีจุดมุ่งหมายอะไรอีก

แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน – งานจะยุ่งขึ้นไปอีก

***

เกือบเดือนแล้วนับจากผมเข้ารับการฝึก หรือก็คือ เกือบ 15 วันแล้วนับจากผมเริ่มศึกษารูปปั้นเทพีทอง

รูปปั้นเทพีไม่ปล่อยพลังประเภทใดออกมา แต่แปลกที่มันไม่เข้าไปในกระเป๋ามิติของผม สุดท้าย ผมยอมแพ้และใช้ปูนปลาสเตอร์โปะรูปปั้นแล้ววางประดับห้องตัวเอง

“พี่! เลิกเล่นได้แล้ว!”

ขณะผมกำลังดื่มชาอย่างสงบในห้องนั่งเล่น ก็ได้ยินเสียงอลิซดุลิสบอนจากชั้นบนตามเคย

“เอลี่ แต่วันนี้เป็นวันแรก พวกเขาสนิทกันมาตั้งแต่ตอนเรียนโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำ จะไม่เป็นอะไรเหรอ?”

“ข้าบอกว่าไม่เป็นไรไง! อย่าคิดว่าตัวเองจะเป็นหมาหัวเน่าสิ!”

“เอลี่! เด็กผู้หญิงพูดหยาบคายแบบนั้นได้ยังไง...”

“เงียบแล้วรีบลงไปได้แล้ว!”

เห็นลิสบอนถูกอลิซเตะก้นลงบันไดมา มันตลกจนผมหัวเราะ

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอก คนเข้ากับคนง่ายแบบเจ้าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็หาเพื่อนได้”

“ฮ่าๆ เจ้าคิดอย่างนั้นเหรอ?” ลิสบอนถาม

ผมพูดอย่างนั้น แต่การแทรกเข้าไปในกลุ่มที่สนิทกันอยู่แล้วเป็นเรื่องลำบากเอาการ

โรงเรียนอัศวินอาจเป็นโรงเรียน แต่มันน่าจะมีบรรยากาศเคร่งขรึมเพราะเนื้อแท้คือวิทยาลัยทหารที่ฝึกอัศวิน

ลิสบอนดูกังวลว่าจะถูกถือเป็นเด็กใหม่

“ได้เวลาไปโรงเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ?” ผมยกนาฬิกาข้อมือให้พี่น้องดู

อลิซกรี๊ด “ว้าย! เราสายแล้ว!” โกรธ เธอตีหลังพี่ชาย “เจ้าโง่! ข้าสายเพราะเจ้าเลย!”

“เอลี่ ทำไมเรียกข้าแบบนั้น? ข้าเป็นพี่นะ”

“เงียบ!”

ทั้งคู่วิ่ง แต่ถึงจะทะเลาะและดุด่าเป็นประจำ อลิซเป็นคนเดียวที่ดูแลลิสบอน

จะว่าไปแล้ว ยูเรียกับอัลฟอนโซออกไปตั้งแต่เช้าทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาไปโรงเรียน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?

เอาเถอะ ครึ่งหนึ่งอาจเพราะอัลฟอนโซตื่นเต้น

ไม่เหมือนโรงเรียนเวทมนตร์กับโรงเรียนอัศวิน ศูนย์ฝึกแค่ต้องการให้เข้าชั้นเรียนเหมือนมหาวิทยาลัยในชาติก่อนของผม คนอื่นต้องอยู่ในหอพักซึ่งจำกัดอิสระภาพของพวกเขา แต่เพราะว่าผมเดินทางไปกลับจึงเป็นอิสระมาก

จากที่แฟลมบอก ผู้ดูแลหอเข้มงวดถึงขั้นถ้าอยากออกไปข้างนอกในวันปกติก็ต้องผ่านขั้นตอนซับซ้อน ถ้าจะออกไปง่ายๆ ต้องมีคนที่บ้านป่วยหรือบาดเจ็บมาก 

เอาล่ะ ฉันก็เดินทางช้าๆไปทำงานบ้างดีกว่า

พอต้องเรียกว่าทำงาน ไม่ใช่เรียน มันทำให้รู้สึกเศร้า และผมต้องไปทำงานจริงๆหลังจากผ่านปีนี้ไป รู้สึกเหมือนใจผมจะแตกสลาย

แต่วันนี้มีวิชาที่ผมชอบ เวทมนตร์ เนื้อหาที่สอนเป็นพื้นฐานของพื้นฐาน แต่บางครั้งก็พูดถึงหัวข้อที่ผมไม่รู้ อย่างน้อยมันก็สนุกว่าการฝึกซ้อมยิงปืนที่ทำให้เลือดออก กัดฟัน และมือด้าน

ตามชื่อวิชาอาวุธรวม พวกเราค่อยๆเริ่มเรียนวิชาดาบและยิงธนู แต่หลักๆก็ยังเป็นปืนคาบศิลาที่ไร้ประโยชน์ตอนฝนตกลมแรง วิชาอื่นก็ง่ายทีเดียว ส่วนการเรียนมารยาท เพราะผมเป็นคนสุภาพอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา

จริงนะ ไม่มีปัญหา

สำหรับวิชากฎหมายจักรวรรดิ ไม่มีการตัดสินคดีหรือว่าความ แค่ท่องจำ วิชาเศรษฐศาสตร์ ผมผ่านง่ายดายด้วยความความช่วยเหลือจากความรู้ในชาติก่อน วิชาภาษาของจักรวรรดิก็ไม่มีอะไรเพราะผมชำนาญมาตั้งแต่ตอนอยู่หมู่บ้านแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผมไม่ชอบไปทำงาน

***

จากสาขากรันเวลขององค์กรข่าวแม่ใหญ่ ซึ่งตอนนี้ปิดไปแล้ว มิลเปีย อดีตหัวหน้าสาขา แฝงตัวเข้ามาในโรงเรียนเวทมนตร์ตามคำเชิญของแม่ใหญ่ แม้เธอจะอายุยังน้อย แต่เธอเป็นเอเย่นต์ที่รวบรวมข้อมูลภาคสนามตั้งแต่ตอนเด็กกว่านี้อีก ผลคือเธอเป็นหัวหน้าสาขาที่สำคัญที่สุดสาขาหนึ่งขององค์กรข่าวแม่ใหญ่ตอนอายุ 16

จนกระทั่งชายหน้ามีแผลคนหนึ่งมาที่กรันเวล และซื้อข่าวสารไปจำนวนมาก

“เฮ้อ!” มิลเปียเข้าไปในห้องเรียนและเลือกที่นั่งสุ่มๆพลางถอนหายใจ

นี่คือการลดตำแหน่งชัดๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไร จากตำแหน่งผู้นำในพื้นที่สำคัญที่สุดขององค์กรมาเป็นเอเย่นต์ภาคสนามมันคือการลดตำแหน่ง

ถ้าเป็นที่ธุรกิจทั่วไป นี่ก็เหมือนบอกให้ยื่นจดหมายลาออก แต่ในองค์กรข่าว ไม่มีการลาออกนอกจากตาย คิดแล้วก็โหดร้าย และยิ่งตำแหน่งสูงก็ยิ่งโหดร้าย

แม้แม่ใหญ่ผู้เป็นผู้นำองค์กรจะบอกว่านี่ไม่ใช่การลดตำแหน่ง นางก็ควรพูดอะไรที่มีเหตุผลให้เชื่อได้ก่อน

ถ้ามิลเปียไม่เชื่อใจแม่ใหญ่ เธอคงคิดว่าองค์กรวางแผนจะฆ่าเธอ ที่จริงเธอก็สงสัยว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่นานก็ทิ้งความคิดนั้นไปเพราะเธอยินดีตายเพื่อแม่ใหญ่อยู่แล้ว 

แต่นั่นก็ส่วนนั่น ทำไมต้องลดตำแหน่ง ถ้าต้องตายเธอก็อยากตายอย่างมีสไตล์

เธอถอนหายใจเมื่อคิดว่าต้องลำบากอีกแค่ไหนถึงจะได้กลับไปยังตำแหน่งผู้จัดการอีก

“ขอข้านั่งข้างๆได้ไหม?”

“ได้สิ เชิญค่ะ” มิลเปียตอบอย่างใจลอย เหลือบมองคนถาม ใครจะนั่งตรงไหนก็ได้เพราะเธอไม่ได้จองที่อยู่แล้ว พอจะกลับไปคิดหดหู่อีก มิลเปียก็เกิดความสงสัยในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเห็น

เธอมองคนที่นั่งข้างๆอีกที



สารบัญ                                         บทที่ 58


วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 56

บทที่ 56 – งานเลี้ยง (7)

ผมเจอรูปปั้นเทพีทองง่ายกว่าที่คาด มันถูกวางตรงที่คนเห็นได้ง่ายเพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองในอดีตของวิหาร แต่ เพราะมันถูกห้อมล้อมด้วยคาถาป้องกันหลายคาถาจึงต้องใช้เวลาแก้คาถาทั้งหมดนานพอสมควร

หลังจากคาถาป้องกันคาถาที่ 32 คลายออก และรูปปั้นเทพีทองมาอยู่ในมือผมอย่างปลอดภัย ผมวางแผ่นกระดาษตรงตำแหน่งที่เคยมีรูปปั้นตั้งอยู่

ข้าขอรับประวัติศาสตร์ของวิหารไป

-ลูแปง

จากนั้น ผมทำให้คาถาทั้งหมดกลับเป็นแบบเดิม

ว่าแต่ รูปปั้นเทพีนี่ทำจากทองจริงๆเหรอ?

ผมตั้งใจว่าจะตรวจสอบทีหลัง และพยายามใส่รูปปั้นเทพีเข้าไปในกระเป๋ามิติ

“หือ? อะไร? ทำไมไม่เข้าไปล่ะ?”

เหมือนเอาแม่เหล็กขั้วเดียวกันมาจ่อกัน รูปปั้นเทพีลอยกลางอากาศและไม่ยอมเข้าไปในกระเป๋ามิติ

“เข้าไปนะ เจ้านี่!”

ผมพยายามใช้น้ำหนักตัวกด แต่มันไม่เข้าไป ผมพยายามเต็มที่ให้มันเข้าไปในกระเป๋ามิติแต่ไม่สำเร็จ มันแปลกเพราะผมไม่รู้สึกถึงพลังอะไรจากมัน อย่าว่าแต่เวทมนตร์เลย

ผมมาที่นี่เพื่อขัดเกลา ไม่ใช่ เพื่อแกล้งพนักงานกองคลังผู้ไม่เป็นมิตร แต่กลับมาเจอของน่าสนใจเข้า เอาไว้ค่อยๆศึกษามันทีหลัง

ผมถือรูปปั้นทอง ตัดสินใจออกไปตามทางระบายอากาศเช่นเดียวกับขามา ไม่เหมือนตอนเข้ามาในวิหาร เพราะผมต้องถือรูปปั้นทองด้วย จึงใช้การคลานที่เคยฝึกมาลอดไปตามทางระบายอากาศ

หืม?

ข้างใต้ทางเชื่อมที่ต่อไปข้างนอกกับลงไปข้างล่าง ผมรู้สึกถึงคลื่นพลังเวทบางๆ ตามที่ผมสำรวจมาก่อน ทางนี้ตรงไปห้องสวดภาวนาขนาดใหญ่ใต้ดิน

มีใครฝึกเวทมนตร์ในห้องสวดมนตร์เหรอ?

ผมหันทิศทางและตรงไปยังห้องใต้ดินด้วยความคิดว่าจะไปดูสักหน่อย

มาถึงฝ้าเพดานห้องสวดภาวนา คลื่นเวทมนตร์ยังคงเบาบางแต่รู้สึกได้แน่นอน

เมื่อมาถึงต้นตอของพลังเวท ผมได้ยินเสียงเบาๆ พอตั้งใจฟังก็ได้ยินประมาณว่าคนนอกศาสนาถูกฆ่า หรือมีบางอย่างอยู่ที่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของจักรวรรดิ

ขนาดผมหูดีแล้ว ยังได้ยินแต่เสียงซ่าๆ ดูเหมือนพลังเวทที่ผมรู้สึกจะมาจากเวทมนตร์ไปเพิ่มพลังให้เสียงเล็ดลอดออกมา ถึงผมจะเป็นชาติพันธุ์นักสู้แต่พวกเขาออกจะไม่ระวังตัวเกินไปที่ปล่อยให้เสียงเล็ดลอดออกมาได้ พอเริ่มเบื่อฟังเสียงอันขาดๆหายๆ ผมก็หาว่าเวทมนตร์รอบๆนี้คืออะไรกันแน่

หืม...? นี่มันเวทมนตร์ประเภทไหนกัน?

สิ่งที่เหมือนเวทมนตร์แต่ไม่ใช่เวทมนตร์กำลังปิดกั้นพื้นที่รอบห้องสวดภาวนา

นี่มันใช่เวทมนตร์แน่เหรอ?

ผมสงสัยในเวทมนตร์ที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก พลังเวทที่ใช้ขับเคลื่อนเวทมนตร์นี้ต่างจากพลังเวทธรรมดา มันเหมือนกำลังภายในที่ถูกปล่อยออกมาด้วยเจตนาต่อสู้หรือสังหาร แต่ไม่ใช่เลย

นี่คือที่เรียกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์เหรอ? ที่นี่เป็นวิหาร มีความเป็นไปได้สูง

น่าสนใจมาก ผมไม่เคยเจอพลังศักดิ์สิทธิ์มาก่อน

“อ๊ะ!”

ความคิดแค่มาดูเฉยๆกลายเป็นความผิดพลาด ผมกำลังจะหันหนีแต่จู่ๆกระสุนเวทมนตร์ก็ระดมยิงใส่ทางระบายอากาศ ผมสร้างเกราะขึ้นมาตามสัญชาติญาณจึงปลอดภัยดี แต่ทางระบายอากาศพรุนเป็นรังผึ้ง มันรับน้ำหนักผมไม่ไหวและถล่ม

“แอ๊ก!”

ด้วยศอกขวายันพื้นในท่าคลานและแขนซ้ายหนีบรูปปั้นเทพี ผมจึงไม่สามารถคว้าเพดาน ได้แต่ร่วงลงไป แต่ผมลงพื้นอย่างนิ่มนวลด้วยความสามารถทางกายภาพเฉพาะของเผ่ากา

“นั่น! บังอาจ! เจ้าคิดว่ากำลังถืออะไรอยู่ด้วยมือสกปรกนั่น!”

ชายชราที่อยู่ตรงตำแหน่งสูงสุดโกรธและชี้มาที่รูปปั้นเทพีในแขนผม

น่าจะดูอายุด้วยนะ อารมณ์ขึ้นแบบนี้มีผลต่อสุขภาพนะ

ว่าแต่ ในสถานการณ์แบบนี้ควรทำยังไงดี?

“ฮิๆ พลาดซะแล้ว”

“ไอ้คนชั่ว!”

ชายชราที่ดูเหมือนมีตำแหน่งสูงสุดโกรธจัดและเล็งคทามาที่ผม

“พระเจ้า โปรดลงทัณฑ์ชายชั่วผู้หมิ่นบารมีท่าน! ทัณฑ์สวรรค์!”

สายฟ้าทรงพลังพุ่งมาทางผม ผมใช้เวทมนตร์ป้องกันลับอย่างถูกต้องตามสถานการณ์

“โล่พวกเดียวกัน!”

ผมผลักรูปปั้นทองไปทางสายฟ้าของชายชรา เมื่อเห็นเวทมนตร์ป้องกันไม้ตายของผม ชายชรารีบยกเลิกเวทมนตร์ของเขา

“แค่ก!”

อาจเพราะเขาฝืนหยุดเวทมนตร์เลยเกิดการสะท้อนกลับ ชายชราคุกเข่าลง กระอักเลือด

“พระคุณเจ้าท่านคาร์ดินัล!”

ถึงได้บอกให้คิดถึงอายุด้วยไง อย่าฝืนเกินไป

ว่าแต่คาร์ดินัลเหรอ ตาแกมีตำแหน่งสูงกว่าที่คิดไว้อีกนะนี่

“เจ้าคนชั่ว!”

เมื่อชายชราที่ถูกเรียกว่าคาร์ดินัลล้มไป คนรอบตัวเขาชักดาบเล็งมาที่ผม ผมยกอาวุธไร้เทียมทานอีกครั้ง

“เจ้า... ไม่เคยเห็นใครบังอาจขนาดนี้!”

เมื่อเห็นผมตั้งท่าจับดาบโดยใช้ขาของรูปปั้นเทพีเป็นด้ามดาบ ชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ชายชราตะโกนหน้าแดง

มองเขา ผมเขียนรูปไม้กางเขน

“พระเจ้าสถิตข้างกายข้า!”

ใช่แล้ว ในรูปของรูปปั้น

“เจ้าคนชั่ว!”

พวกนายพูดเป็นแต่คำว่า ‘เจ้าคนชั่ว’ เหรอ? เอาเป็นว่าหนีออกจากวิหารก่อนดีกว่า

“ค้อนพระเจ้า!”

ผมวิ่งไปทางประตูห้องสวดภาวนาและเหวี่ยงรูปปั้นใส่คนที่กำลังยืนขวางประตู

“เฮ้ย!”

รูปปั้นเทพีและดาบถูกทำให้แข็งแรงทนทาน แต่อาจเป็นเพราะการใช้ดาบกับมันถือเป็นการล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชายคนนั้นจึงหลีกไป

“พระเจ้าพิโรธ!”

คราวนี้ผมเหวี่ยงรูปปั้นเทพีเป็นวงกว้าง บีบให้คนที่ล้อมผมถอยไป แล้วถีบประตู

ตูม!

ผมตื่นเต้นไปหน่อย เมื่อเห็นประตูที่ถูกถีบพัง ผมก้มหัวขอโทษ

“อ๊ะ โทษที”

มาคิดดูแล้ว ต่อให้ไม่ตื่นเต้นเกินไป ผมคงเตะประตูพังอยู่ดี ผมต้องฝึกไอ้การควบคุมแรงนี่ให้ได้ ผมออกจากห้องสวดภาวนา

“เร็วเข้า! แค่ก! ตามมันไป!”

“พระคุณเจ้า! อย่าฝืนเลยครับ! พาลาดินมาริโอ! พาลาดินวิบริโอ! รีบนำคนไปจับเจ้าคนหยาบคายนั่น!”

“ครับ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

พวกเขาไล่ตามผมมาติดๆ

มันทำให้คิดถึงความทรงจำเก่าๆแฮะ

***

ผมสลัดหลุดการไล่ตามด้วยการใช้เวทมนตร์ลวงตาสร้างตัวปลอมของผมขึ้นข้างนอกเมือง เมื่อกลับถึงหอพักก็เกือบเช้า ผมรู้สึกสดชื่นเพราะไม่ได้ออกกำลังกายจริงๆจังๆอย่างนี้มานานแล้ว

ผมคิดหาวิธีซ่อนรูปปั้นเทพี ตราบใดที่มันไม่ยอมเข้าไปในกระเป๋ามิติก็ต้องซ่อนไว้ที่อื่น ใต้เตียงมันง่ายเกินไป แต่ฝังดินก็ออกจะเยอะไปหน่อย

คิดถึงความวุ่นวายที่ผมก่อขึ้นเมื่อคืน ถึงมันจะถูกเจอ ตราบใดที่ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นคนขโมยก็ไม่เป็นไร และเพราะวิหารต้องกดดันกองคลังให้ตามจับลูแปงแน่ก็ถือว่าผมบรรลุเป้าหมายกลั่นแกล้งพนักงานกองคลังแล้ว

แต่ ถ้าเอามันไปซ่อนเฉยๆไม่หาคำตอบว่าทำไมมันไม่เข้าไปในกระเป๋ามิติก็ออกจะน่าเสียดาย

ถ้าอยากซ่อนต้นไม้ ให้ซ่อนในป่า หรือจะซ่อนมันด้วยการวางเป็นเครื่องตกแต่งห้องของผมดี?

***

คาร์ดินัล เฟอร์นานโด นอนบนเตียงหรูหราของห้องพยาบาลในมหาวิหาร ควบคุมการไหลย้อนกลับของพลังเวท

พลังศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสร้างจากการผสมกันของศรัทธาและพลังเวท มีพลังรักษาแข็งแกร่งและครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางกว่าพลังอื่น แต่มันมีข้อเสียอย่างหนึ่ง

หากผู้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์มีศรัทธาสั่นคลอนหรือทำสิ่งไม่เคารพต่อพระเจ้า พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะอ่อนแอลงอย่างมาก เหมือนก่อนหน้านี้ แม้จะไม่ตั้งใจ แต่เขาโจมตีรูปปั้นและรู้สึกผิดซึ่งส่งผลต่อพลังศักดิ์สิทธิ์

ถึงแม้ลูแปงจะใช้รัศมีดาบหุ้มรูปปั้นเทพีเอาไว้ แต่เหตุผลที่พาลาดินหลีกเลี่ยงเขาก็เพราะเหตุผลเดียวกัน

“บ้าจริง! ทำไมต้องเกิดเรื่องอย่างนี้ก่อนการปฏิวัติด้วย!”

เขาพยายามควบคุมพลังเวทที่ย้อนกลับ แต่เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อ่อนแอลงชั่วคราวจึงทำได้ไม่ราบรื่น แต่เพราะมันเกิดจากความรู้สึกผิดเท่านั้น พลังศักดิ์สิทธิ์เขาจะกลับคืนมาในอีกไม่นาน

เฟอร์นานโดขบกรามจนเกิดเสียง

ถ้าเป็นรูปปั้นธรรมดา เขาคงโจมตีรูปปั้นและโจรโดยไม่รู้สึกผิด แต่มันต้องเป็นรูปปั้นเทพีทองที่เป็นสัญลักษณ์สำหรับเหล่าพาลาดินและเฟอร์นานโดที่มีจุดมุ่งหมายที่การฟื้นฟูความรุ่งเรืองของวิหารกลับมา

เขาถามเหล่าพาลาดินที่กลับมาทันที

“โจรเป็นอย่างไรบ้าง?”

มาริโอ พาลาดินที่นำเหล่าพาลาดินไล่ตามโจร ก้มศีรษะอย่างละอาย “ขอโทษครับพระคุณเจ้าท่านคาร์ดินัล เราคลาดจากมัน”

“อะไรนะ?!”

เฟอร์นันโดตกตะลึง เหล่าพาลาดินที่ไล่ตามโจรเป็นกลุ่มคนชั้นยอดของกองกำลังของวิหาร

สลัดหลุดจากการไล่ตามของคนพวกนี้ได้ยังไงกัน?

“ถ้าอย่างนั้นรูปปั้นเทพี แล้วรูปปั้นเทพีล่ะ?”

มาริโอส่ายหน้า

“ไป! ไปเอามันคืนมาเดี๋ยวนี้!”

เฟอร์นานโดขว้างแก้วน้ำใส่มาริโอด้วยความโกรธ

มาริโอเพียงหลับตาแน่น ไม่หลบแก้วน้ำที่ถูกเขวี้ยงมาทางเขา

แคร้ง!

แก้วน้ำแตก แต่มาริโอลืมตา ไม่รู้สึกเจ็บ

มาลิฟ หัวหน้าของมาริโอ ยืนบังเขาและรับแทน

มาลิฟปาดเลือดบนหน้าผากอย่างไม่สะทกสะท้านและพูด “คาร์โด เฟอร์นานโด โปรดสงบสติอารมณ์เถอะครับ”

“สงบ? เจ้าบอกให้ข้าสงบสติอารมณ์งั้นเรอะ?! พาลาดินมาลิฟ!”

มาลิฟเป็นคนที่อยู่รับใช้เขานานที่สุด เฟอร์นานโดโกรธที่มาลิฟแนะนำเช่นนี้ แต่เขาเพียงกัดฟัน ไม่ขว้างปาอะไร

“เจ้าบอกให้ข้าสงบสติอารมณ์ทั้งๆที่รู้ว่ารูปปั้นเทพีหมายความว่าอะไรงั้นเรอะ?!”

แม้คาร์ดินัลกำลังโกรธเกรี้ยว มาลิฟยังตอบอย่างใจเย็น “ข้ารู้ มันคือเกียรติ ความหวัง และเป้าหมายของเรา”

“รู้อย่างนั้นแล้วยัง!”

“แต่!” มาลิฟขึ้นเสียงขัดจังหวะเฟอร์นานโด แล้วลดเสียงลง “แต่มันของอดีต ไม่ใช่ของเราที่อยู่กับปัจจุบัน แต่เป็นของอดีต”

“เจ้าพูดอะไร?”

มาลิฟพูดต่อ มองสายตาสับสนของเฟอร์นานโดอย่างแจ่มชัด “คาร์โด เฟอนานโด ไม่ใช่สิ พระคุณเจ้า ท่านคาร์ดินัล เราไม่ได้ทำตามจุดมุ่งหมายสูงสุดเพื่อแค่กลับไปเป็นแบบในอดีต”

สายตาของเฟอร์นานโดที่นิ่งไปเพราะคำพูดของมาลิฟ เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาใหม่

“เราตามพระคุณเจ้า ท่านคาร์ดินัล เพื่ออนาคตที่รุ่งเรือง แน่นอน เราสมควรโกรธที่พระเจ้าของเราถูกดูหมิ่น ท่านต้องลงโทษคนโอหังนั่น แต่ควรแล้วหรือที่เราจะหมกมุ่นกับอดีตและละเลยสิ่งที่ควรทำตอนนี้?”

ความมีเหตุผลของเฟอร์นานโดที่หายไปเพราะความโกรธกลับคืนมา ขณะเดียวกัน พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อ่อนแอลงเพราะความรู้สึกผิดก็กลับคืนมาด้วย เข้มแข็งกว่าเดิม

“ใช่แล้ว เราไม่ได้มารวมกันเพื่อกลับคืนสู่อดีต ตัวข้า และพวกเจ้าทุกคนมุ่งหน้าสู่อนาคต เพื่อสร้างอนุสาวรีย์ที่เจิดจ้า รุ่งเรืองกว่าอดีต และจะไม่มีวันล่มสลายอีก”

เฟอร์นานโดลุกขึ้น แม้เขาจะยังอ่อนแอจากพลังเวทย้อนกลับ แต่ไม่นานจะหายดีเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาแล้ว ไม่ว่าจะฟื้นฟูสภาพร่างกายช้าเพียงใด เขาจะมีสภาพร่างกายสมบูรณ์ตอนร่วมทำการปฏิวัติอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า

“ข้าจะตัดศีรษะเจ้าโจรที่ขโมยรูปปั้นเทพีมาส่งให้คาร์โด เฟอร์นานโด อย่างแน่นอน”

“ข้าจะรอ แต่ตอนนี้ การปฏิวัติสำคัญกว่า เป้าหมายคือที่ไหน?” เฟอร์นานโดยิ้มขรึม

มาลิฟตอบอย่างจงรักภักดีเช่นเดิม “โรงเรียนเวทมนตร์ของจักรวรรดิครับ”



สารบัญ                                    บทที่ 57