บทที่ 61 – งานเลี้ยง (12)
เมื่อแนะนำตัวกับอัลฟอนโซเสร็จ มิลเปียมองมาทางผม
“ข้าชื่อเดน” ผมแนะนำตัวง่ายๆ ไม่เหมือนอัลฟอนโซหรือแฟลม ผมไม่นิยมหลักการเพื่อนของเพื่อนคือเพื่อนของเรา
“อ๋อ! เดนคนนั้น”
ปฏิกิริยาของมิลเปียทำให้ผมรู้สึกไม่ดี เมื่อมองอลิซเหมือนจะถามว่า ‘เดนคนนั้น’ นี่หมายความว่ายังไง เธอหลบตาผม
เธอพูดอะไรลับหลังฉัน?
ปฏิกิริยาของอลิซทำให้ผมยิ่งไม่พอใจ
“ที่พูดว่าเดนคนนั้น เจ้าหมายถึงอะไร?”
เมื่อผมถามมิลเปียตรงๆ เธอยิ้มแปลกๆแล้วหลบตา
“โฮะๆๆ”
เธอพูดอะไรถึงฉันกันแน่ อลิซ!
เมื่อผมมองพวกเธอด้วยสายตาไม่พอใจ อลิซกับมิลเปียก็รีบหลบตาผม
“ว่าแต่ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?” ผมถามมิลเปีย
ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกเหมือนเห็นและได้ยินเสียงหัวเราะกับท่าทางหลบตานี่มาก่อน
“ไม่ ข้าพบเจ้าเป็นครั้งแรก”
ผมไม่รู้สึกว่าเธอโกหก ถ้าอย่างนั้นผมคงเข้าใจผิดไปเอง
มิลเปียมองผมอย่างขบขัน
“หืม เจ้ากำลังจีบข้าเหรอ?” มิลเปียถาม
ผมคงคิดไปเองใช่ไหมว่าสายตาขบขันไม่ต่างจากตอนเธอพูดว่า‘เดนคนนั้น’?
“เชยไปเหรอ?” ผมยิ้มตอบ
“ไม่ รู้สึกแปลกใหม่น่ะ ไม่เคยมีใครพูดกับข้าแบบนั้น”
“เหรอ? มันเป็นประโยคพื้นฐานตอนพูดกับสุภาพสตรีผู้งดงาม แปลกนะที่เจ้ารู้สึกแปลกใหม่”
มันเป็นการโต้ตอบที่เหมือนเป็นกันเองแต่เหมือนเชือดเฉือนกันแปลกๆ แต่จู่ๆอลิซก็เข้ามาแทรก
“ยูเรียจะมาแล้ว เข้าไปกันข้างในกันเถอะ!”
“เจ้าบอกว่าไม่รู้ว่าเธออยู่ไหนไม่ใช่เหรอ?”
อลิซหน้าแดงกับคำพูดของผม “ก็ใช่ไง! ยูเรียอาจตามหาพวกเราอยู่ เข้าไปกันเถอะ!”
อลิซคว้าแขนผมแล้วดึงเข้าไปในห้องโถง ทำไมจู่ๆเธอก็ตื่นเต้นขึ้นมา?
“เอลี่ ใจเย็นๆ”
เมื่อลิสบอนบอกให้เธอใจเย็น อลิซก็ถลึงตาใส่พี่ชายของเธอกับผม
แต่ฉันทำอะไรผิด?
****
วิลเลียมเดินดูรอบโรงเรียนเวทมนตร์และตรวจความปลอดภัยอีกที ความผิดพลาดไม่ว่าอะไรก็ตามจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ระหว่างเดินตรวจ เขารู้สึกถึงพลังงานแข็งแกร่งซ่อนตัวใกล้โรงเก็บของที่อยู่กลางโรงเรียนเวทมนตร์และโรงเรียนอัศวิน เขาเดินเข้าไปใกล้ สร้างสัญลักษณ์เวทไว้พร้อมใช้งานทุกเวลา
“หืม?”
ในโรงเก็บของ บลัดดี้กำลังนั่งยอง เนื้อเต็มปาก วิลเลียมถอนหายใจและความเกร็งหายไป
“อื๋ม? ไอเอ๋อ?” บลัดดี้พูดทั้งเนื้อเต็มปาก
“เฮ้อ กินก่อนค่อยคุย ข้าฟังไม่เข้าใจ”
“มีอะไรเหรอ?” บลัดดี้ถามหลังจากกลืนเนื้อเสร็จ
“ไม่มี ข้าแค่เดินตรวจ ไปเอาเนื้อมาจากไหน?”
งานยังไม่เริ่ม อาหารจึงยังไม่ถูกเสิร์ฟในห้องโถง
“ข้าไปถามในครัวแล้วได้มา”
วิลเลียมแอบถอนใจเมื่อมองดวงตาใสซื่อ จำนวนเนื้อที่บลัดดี้เอามาต้องทำให้การเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงตรงตามเวลาได้ยากแน่
“ไปกินที่ห้องโถงสิ ทำไมมาซุกตรงนี้?” วิลเลียมถาม
บลัดดี้ตอบพลางกินเนื้อในจาน “ข้าไม่อยากไป คนเอาแต่มองข้า”
“แต่มีที่อื่นอีกหลายที่ที่ดีกว่านี้ ไปหาที่สบายๆนั่งกินสิ” วิลเลียมมองรอบๆ ในโรงเก็บของมีดาบไม้และชุดป้องกันที่เต็มไปด้วยฝุ่น เขาคิดว่าจะไปบ่นให้ผู้ฝึกสอนของโรงเรียนอัศวินมาทำความสะอาดทีหลัง
ตอนออฟินา ผู้ตอนนี้อยู่ที่เขตแดนปีศาจ อยู่ที่นี่ โรงเก็บของไม่มีฝุ่นแม้แต่นิด แต่ทันทีที่เธอไปก็กลายเป็นแบบนี้ อีกไม่กี่เดือนถ้าเธอกลับมาและเห็นสภาพ เขาคงไม่แปลกใจถ้าได้ยินว่าผู้ฝึกสอนและนักเรียนตายเรียบ
“เฮ้ย ไม่เป็นไรน่า ที่นี่ก็ไม่แย่ จะได้ไม่มีใครประหม่าเวลาเห็นข้า” บลัดดี้หัวเราะ เขาดูไม่สนใจสภาพของโรงเก็บของเลย
วิลเลียมวิตก ต่อไปถ้าเขาขึ้นไปที่เขตแดนปีศาจและออฟินากลับลงมา สองคนนี้จะทะเลาะกันขนาดไหน เขาเป็นห่วงตั้งแต่มองสภาพโรงเก็บของ
บลัดดี้มีนิสัยติดดินขนาดกินอาหารตามสบายในโรงเก็บของสกปรก แต่ออฟินาละเอียดถี่ถ้วนขนาดไม่ทนแม้แต่เศษฝุ่น การปล่อยคนสองคนที่ต่างกันสุดขั้วไว้กับอาคันทาทำให้เขาไม่วางใจ
“ว่าแต่ ภาพเหมือนหลานชายเจ้ายังไม่เสร็จเหรอ?” วิเลียมถามถึงคำขออย่างจริงจังของอาคันทาเมื่อหลายเดือนก่อน
ตอนนี้คนที่รู้จักหน้าของเดนเบอร์กมีแต่บลัดดี้ ถึงจะมีภาพเหมือนของเดนเบอร์กพวกเขาก็จะไม่แจกจ่ายออกไปเพราะมันจะสร้างความตื่นตัวให้คนถูกตาม แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องมีภาพเหมือนเพื่อคนส่วนน้อยที่รู้เรื่องจะได้รู้หน้าตาของเขา
“อ้อ เสร็จแล้ว”
บลัดดี้ส่งกระดาษยับๆจากอกเสื้อให้วิลเลียม คนรับกางกระดาษออกด้วยความดีใจ
“นี่ นี่มัน!”
วิลเลียมประหลาดใจมากเมื่อเห็นภาพเหมือน
“นี่เรียกว่าภาพเหมือนได้เหรอ!?”
วิลเลียมดันกระดาษคืนไป บนกระดาษยับๆมีภาพเขี่ยเล่นของเด็กสามขวบ
“เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนวาดภาพเก่งที่สุดในหมู่บ้าน! ล้อเล่นกันเหรอ?!”
เมื่อวิลเลียมโกรธ บลัดดี้ทำหน้าไร้เดียงสา
“ข้าไม่ได้โกหก!”
“หานักวาดภาพมาวาดสิ! นี่มันอะไร? เจ้าไม่ได้เอาไปให้อาคันทาดูใช่ไหม?”
“อืม ยัง”
วิลเลียมถอนหายใจ “ดี ถ้าเขาเห็น คงกินยาแก้ปวดท้องจนเกินขนาด”
แน่นอน ต่อให้เขากินยาเกินขนาดก็ไม่ถูกปล่อยให้ตายหรอก วิลเลียมไม่มีทางให้เขาเอาตัวรอดไปสบายคนเดียว
อาจเพราะตะโกนในที่มีฝุ่นเต็ม วิลเลียมรู้สึกหิวน้ำ เขาแย่งขวดแชมเปญที่บลัดดี้กำลังดื่มอยู่มาล้างคอ
อย่างมีความรับผิดชอบ แชมเปญไม่มีแอลกอฮอล์
วิลเลียมเรอแล้วถาม “เจ้าอยากให้ข้าแนะนำนักวาดให้ไหม?”
บลัดดี้เอาขวดแชมเปญคืนจากมือวิลเลียมแล้วส่ายศีรษะ “ไม่ ข้าให้นักวาดวาดแล้ว แต่ไม่เหมือนเท่าไหร่”
“อะไรนะ? ภาพอยู่ไหน?”
บลัดดี้ดึงกระดาษยับอีกใบออกมาจากอกเสื้อ “อยู่นี่”
“ส่งมาให้ข้า!”
บลัดดี้งอนที่ถูกนายพลโกรธใส่
“ทำไมเจ้าต้องตะคอกด้วย!”
บลัดดี้ดื่มแชมเปญทีเดียวหมดอย่างงอนๆ ความสนใจของวิลเลียมอยู่ที่ภาพเหมือนของเดนเบอร์ก
หลังจากดูเสร็จ เขาขมวดคิ้ว
“อย่างที่คิด ข้าไม่เคยเห็นหน้าแบบนี้”
วิลเลียมเหม่อ ใบหน้าแสดงความเข้มแข็งออกมาเหมือนบลัดดี้ เพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน จึงไม่แปลกที่มีความคล้ายคลึงกัน
“แต่มันไม่เหมือนเขาเลยนะ”
“ต่อให้ไม่เหมือนก็ยังดีกว่าภาพเขี่ยเล่นของเจ้า” วิลเลียมทำเสียงฮึ่มและโบกภาพที่บลัดดี้วาด
“เฮ้! ก็ข้าบอกว่าอันนั้นเหมือนกว่า”
“เหมือนตายล่ะ” วิลเลียมหยิบภาพวาด แน่นอนว่าต้องเป็นของนักวาด
“จริงๆนะ!”
“อย่าโกหก ที่บอกว่าเจ้าวาดภาพเก่งที่สุดในหมู่บ้านก็โกหกเหมือนกันใช่ไหม?”
“ข้าไม่ได้โกหก!”
วิลเลียมโบกภาพวาดในมือ
บลัดดี้หน้าแดงแล้วพูดเสียงค่อย “นั่น... เพราะว่า คำสาปของยักษ์ทำให้คนในหมู่บ้านย่ำแย่เรื่องการสร้างศิลปะ! พูดจริงๆนะ ข้าวาดภาพเก่งที่สุดในหมู่บ้าน”
บลัดดี้พูดจากใจจริง แต่วิลเลียมหัวเราะอึ้งๆ
“ฮ่าๆๆ แต่ให้เป็นคำสาปก็เถอะ เจ้าหมายถึงยักษ์ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 500 ปีก่อนน่ะเหรอ?”
ยักษ์ หนึ่งในชาติพันธุ์นักสู้ 9 ชาติพันธุ์ สูญพันธุ์ไปในสงครามครั้งใหญ่ สงครามครั้งใหญ่ส่งผลให้ชาติพันธุ์นักสู้ลดเหลือ 8 ชาติพันธุ์ และตอกย้ำความรู้ว่ากาเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุด
“แต่ตามประวัติศาสตร์ เผ่าการ่วมสงครามแค่ช่วงแรกและติดต่อกับเผ่ายักษ์ไม่มาก ทำไมเจ้าถึงบอกว่าเป็นคำสาปของยักษ์”
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้ ข้าแค่ได้ยินตำนานว่ามาอย่างนี้” บลัดดี้ยักไหล่
วิลเลียมไม่ถามต่อ แทนที่จะสงสัยเรื่องอดีต ปัญหาเร่งด่วนตอนนี้สำคัญกว่า ถ้าเป็นไปได้เขาอยากส่งหลานของบลัดดี้กลับก่อนไปเขตแดนปีศาจ อาคันทาอาจตายเพราะงานหนักจริงๆถ้าเขาจัดการเรื่องนี้ไม่เสร็จก่อนออฟินากลับมา
ไม่ใช่เพราะเดนเบอร์ก แต่เพราะการทะเลาะกันของบลัดดี้กับออฟินา
“ข้าจะเดินตรวจตราอีกรอบ เจ้ากินพอแล้วก็ไปหาอารีเลีย เจ้าควรไปแสดงตัวอย่างน้อยสักครั้ง”
“ได้” บลัดดี้ตอบอย่างใจลอยและกินเนื้อที่เขาเอามา
วิลเลียมถอนหายใจ กังวลเรื่องอนาคตแล้วออกจากโรงเก็บของไป
***
เข้ามาในห้องโถง พวกเราตรงไปยังทางเข้าเพื่อให้ยูเรียหาเจอได้ง่าย
“เดี๋ยวสิครับ!”
ผมหันไปทางที่ได้ยินเสียงพูดอย่างเป็นสุภาพมาก อย่างที่คิด ต้นเสียงคือแฟลม
“วันนี้ข้าเตรียมตัวไม่กินมื้อเที่ยงมาเลยนะครับ ทำไมยังไม่มีอาหารมาล่ะ?”
แฟลมกำลังหลั่งน้ำตาและคว้าคนรับใช้คนหนึ่งมาถาม
“คือว่า เพราะงานเลี้ยงยังไม่เริ่มครับ” คนรับใช้ปั่นป่วนไปครู่หนึ่งแต่ตอบอย่างสงบ
แต่ความสงบไม่ได้ผลกับแฟลม “เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร? ไม่เห็นเหรอครับว่าคนเริ่มเต็มงานแล้ว?” เขาจับไหล่คนรับใช้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างชี้ไปรอบๆ
ระหว่างผมออกไปอยู่ที่ระเบียง ห้องโถงก็เริ่มเต็มไปด้วยนักเรียนและผู้เข้ารับการฝึก บวกขุนนางจากเมืองหลวงด้วยแล้วคงไม่มีงานไหนคนเยอะขนาดนี้อีกยกเว้นงานศพบุคคลสำคัญระดับชาติ
สำหรับผม มันเป็นเรื่องดีที่ได้หลบท่ามกลางผู้คน
“อีกสักพักงานเลี้ยงถึงจะเริ่ม ถ้าเรายกอาหารมาตอนนี้ แขกก็ต้องกินอาหารเย็นชืด เพราะว่าระเบียบคือเสิร์ฟอาหารตรงเวลาจึงขอให้ท่านเข้าใจด้วยครับ”
คนรับใช้ทำให้แฟลมสงบลงจนได้โดยไม่เสียรอยยิ้มเป็นมิตรไป ดูเหมือนแม้แต่แฟลมก็ยอมแพ้ให้กับคำว่า ‘กฎระเบียบ’
“ไม่มีมารยาท” อลิซส่ายหน้า
แม้รู้สึกผิดต่อแฟลม ผมตัดสินใจทำเป็นมองไม่เห็นเขา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น