บทที่ 57 – งานเลี้ยง (8)
นายกรัฐมนตรีอาคันทาตะลึงเมื่อได้ข่าวทันทีที่มาถึงที่ทำงานในตอนเช้า
“อะไรถูกขโมยนะ?”
“รูปปั้นเทพีทองที่ถูกเก็บรักษาในวิหารถูกขโมยไปครับ” ผู้ช่วยของอาคันทาตอบอย่างใจเย็น
“ใคร ทำไม?”
“น่าจะเป็นคนเดียวกับที่ปล้นคฤหาสน์เคานท์ดรูวาลเมื่อไม่นานมานี้หรือเปล่า?”
อาคันทาทรุดบนเก้าอี้แล้วทึ้งผม “ลูแปงนั่นเหรอ?” เขารู้สึกปวดศีรษะตุบๆและเริ่มปวดท้อง “ข้าควรจะถือว่าเป็นโชคดีที่เป็นคนเดียวกันหรือโชคร้าย?”
ถ้าคนขโมยเป็นลูแปง ถือว่าโชคดีที่ไม่ต้องแบ่งกำลังคนเพราะมีการจัดกำลังไล่หาตัวเขาอยู่แล้ว แต่ลูแปงเป็นเหมือนภูติผีปีศาจที่ไม่ทิ้งร่องรอย
เขาวางแผนจะตามร่องรอยของที่ลูแปงขโมยในตลาดมืดไปอีก 2-3 ปี แม้เทียบกับในอดีตแล้ววิหารจะสูญเสียอำนาจไปมาก แต่ยังคงมีอำนาจมาก แต่ลูแปงไปยุ่งกับพวกเขา
อาคันทาตั้งใจจะให้กองคลังเลิกสืบหาลูแปง แต่เป็นไปไม่ได้แล้ว มันแน่นอนว่าคาร์ดินัลเฟอร์นันโดผู้มีชื่อเสียงเรื่องความหัวดื้อต้องส่งจดหมายท้วงมาไม่หยุดแน่
“แต่ครั้งนี้มีพยานรู้เห็นหลายคนนะครับ”
“อะไรนะ?!” อาคันทาประหลาดใจ
ลูแปงคือคนที่ขโมยของในคฤหาสน์ของเคานท์ดรูวาลที่มีการป้องกันหนาแน่นได้โดยไม่มีใครรู้ตัว
แต่ในตอนกลางคืน ในวิหารที่ไม่มีแม้แต่การป้องกัน เจ้าโจรที่เหมือนภูติผีนี่ถูกคนเห็น?
มหัศจรรย์!
“เมื่อวาน ตอนเช้าตรู่ คาร์ดินัลกับเหล่าพาลาดินของเขากำลังสวดภาวนา บังเอิญว่าลูแปงใช้ทางระบายอากาศผ่านไปบนห้องสวดภาวนาพอดี”
“ฮ่าๆ ดูท่าเจ้าโจรนั่นจะดวงไม่ค่อยดีนะ ผ่านไปเจอคาร์ดินัลเฟอร์นันโด”
เฟอร์นันโดเป็นพระนักสู้ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของจักรวรรดิ ถ้าถูกคนแบบนั้นจับได้ คงตายแบบไม่เหลือแม้แต่กระดูก
“อ้อ ลูแปงตายไปแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นไปหาของที่เจ้าโจรซ่อนไว้แล้วเอากลับกองคลังดีไหม?” อาคันทายิ้ม
ปกติของต้องส่งคืนคนถูกขโมย แต่ของที่รายงานว่าถูกขโมยไปมีเพียงพลอยพรเทพี สร้อยคอที่ทำจากไพลินพันปี และถุงเงิน
ของที่ลูแปงขโมยไปส่วนใหญ่คือที่ขุนนางฉ้อโกงมา ด้วยเหตุนี้ แม้ของเหล่านั้นจะถูกกองคลังเอาไปพวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้
“เอ่อ คือว่า...”
ผู้ช่วยโจมตีตอนอาคันทารู้สึกว่าอาการปวดท้องทุเลาลงและคิดว่าจะได้กลั่นแกล้งพวกขุนนางที่หาเรื่องปวดหัวให้เขาเสมอ รวมถึงเคานท์ดรูวาล
“โจรลูแปงน่ะครับ หนีไปได้พร้อมกับรูปปั้นเทพีทอง”
“อะไร...นะ?!”
ผู้ช่วยพยักหน้าและอาคันทาทึ้งผมอีกรอบ
“เขาหนีไปได้ยังไง?”
“ได้ยินว่า เขาใช้รูปปั้นเทพีเป็นอาวุธ เลยทำให้ไม่มีใครกล้าโจมตีเขา”
อาคันทามองผู้ช่วยเหมือนไม่อยากเชื่อว่ามีคนแบบนั้น “ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีพยาน ลักษณะของเขาเป็นยังไง”
ผู้ช่วยยื่นเอกสารและท่องให้ฟัง “อย่างแรก เขาใส่หน้ากากสีขาวแบบครึ่งหน้า และสวมเสื้อคลุมศีรษะสีดำ”
“ความสูงของเขาล่ะ?”
“เรื่องนั้น อาจเพราะมีเวทมนตร์รบกวนการรับภาพบนหน้ากาก แต่คนส่วนใหญ่จำได้แต่หน้ากาก คนที่มีความต้านทานเวทมนตร์สูงกว่านั้นก็จำได้แค่เสื้อคลุมศีรษะ”
อาคันทาถอนหายใจ “มีอะไรอีกไหม?”
“อ๊ะ มีอีกอย่างครับ พาลาดินคนอื่นไม่เห็นด้วย แต่พาลาดินวิบริโอที่ไล่ตามลูแปง พูดเปรยๆว่าเขาอาจเป็นผู้หญิง”
“ผู้หญิง?!”
“ครับ มองผ่านๆ ลูแปงดูผอม สูงไม่เกิน 170 ซม. แต่พาลาดินบอกว่าจำไม่ค่อยได้ข้อมูลจึงอาจไม่ตรง”
อาคันทาลูบคาง ครุ่นคิด “ถ้าไม่เกิน 170 ซม. อาจเป็นเด็กผู้ชาย”
“ครับ?”
“เปล่า แค่คิดเล่นๆน่ะ” อาคันทาโบกมือให้ผู้ช่วยออกไปได้ ผู้ช่วยค้อมศีรษะด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะออกจากห้องทำงาน
อาคันทาคิดหนัก แต่ไม่นานเขาก็โยนความสงสัยของตัวเองทิ้งไป
ถ้าการรับภาพถูกรบกวน ข้อมูลอาจผิดเพี้ยน และถ้าเป็นคนที่เขาคิด เขาน่าจะตัวสูง
ได้ยินว่าบลัดดี้สูงเกิน 180 ซม. ตั้งแต่อายุสิบหกแล้ว ยิ่งกว่านั้น ดูจากวีรกรรมของดูมสโตน เขาไม่ได้ปิดบังตัวตนของตัวเอง ดูนิสัยของบลัดดี้ เขาก็จะไม่ใส่หน้ากากปิดบังตัวตนเหมือนกัน ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเดนเบอร์ก เบลด เป็นลูแปง เขาจะไม่แตะต้องเคานท์ดรูวาล ลูกค้าหลักของเผ่ากา
“ใครคือลูแปง? เขามีจุดประสงค์อะไร?”
ตอนลูแปงปล้นคฤหาสน์เคานท์ดรูวาล เขาคิดว่าเคานท์ดรูวาลคือเป้าหมายของลูแปง แต่ตอนนี้วิหารถูกปล้น เขาไม่รู้ว่าลูแปงมีจุดมุ่งหมายอะไรอีก
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน – งานจะยุ่งขึ้นไปอีก
***
เกือบเดือนแล้วนับจากผมเข้ารับการฝึก หรือก็คือ เกือบ 15 วันแล้วนับจากผมเริ่มศึกษารูปปั้นเทพีทอง
รูปปั้นเทพีไม่ปล่อยพลังประเภทใดออกมา แต่แปลกที่มันไม่เข้าไปในกระเป๋ามิติของผม สุดท้าย ผมยอมแพ้และใช้ปูนปลาสเตอร์โปะรูปปั้นแล้ววางประดับห้องตัวเอง
“พี่! เลิกเล่นได้แล้ว!”
ขณะผมกำลังดื่มชาอย่างสงบในห้องนั่งเล่น ก็ได้ยินเสียงอลิซดุลิสบอนจากชั้นบนตามเคย
“เอลี่ แต่วันนี้เป็นวันแรก พวกเขาสนิทกันมาตั้งแต่ตอนเรียนโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำ จะไม่เป็นอะไรเหรอ?”
“ข้าบอกว่าไม่เป็นไรไง! อย่าคิดว่าตัวเองจะเป็นหมาหัวเน่าสิ!”
“เอลี่! เด็กผู้หญิงพูดหยาบคายแบบนั้นได้ยังไง...”
“เงียบแล้วรีบลงไปได้แล้ว!”
เห็นลิสบอนถูกอลิซเตะก้นลงบันไดมา มันตลกจนผมหัวเราะ
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอก คนเข้ากับคนง่ายแบบเจ้าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็หาเพื่อนได้”
“ฮ่าๆ เจ้าคิดอย่างนั้นเหรอ?” ลิสบอนถาม
ผมพูดอย่างนั้น แต่การแทรกเข้าไปในกลุ่มที่สนิทกันอยู่แล้วเป็นเรื่องลำบากเอาการ
โรงเรียนอัศวินอาจเป็นโรงเรียน แต่มันน่าจะมีบรรยากาศเคร่งขรึมเพราะเนื้อแท้คือวิทยาลัยทหารที่ฝึกอัศวิน
ลิสบอนดูกังวลว่าจะถูกถือเป็นเด็กใหม่
“ได้เวลาไปโรงเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ?” ผมยกนาฬิกาข้อมือให้พี่น้องดู
อลิซกรี๊ด “ว้าย! เราสายแล้ว!” โกรธ เธอตีหลังพี่ชาย “เจ้าโง่! ข้าสายเพราะเจ้าเลย!”
“เอลี่ ทำไมเรียกข้าแบบนั้น? ข้าเป็นพี่นะ”
“เงียบ!”
ทั้งคู่วิ่ง แต่ถึงจะทะเลาะและดุด่าเป็นประจำ อลิซเป็นคนเดียวที่ดูแลลิสบอน
จะว่าไปแล้ว ยูเรียกับอัลฟอนโซออกไปตั้งแต่เช้าทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาไปโรงเรียน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?
เอาเถอะ ครึ่งหนึ่งอาจเพราะอัลฟอนโซตื่นเต้น
ไม่เหมือนโรงเรียนเวทมนตร์กับโรงเรียนอัศวิน ศูนย์ฝึกแค่ต้องการให้เข้าชั้นเรียนเหมือนมหาวิทยาลัยในชาติก่อนของผม คนอื่นต้องอยู่ในหอพักซึ่งจำกัดอิสระภาพของพวกเขา แต่เพราะว่าผมเดินทางไปกลับจึงเป็นอิสระมาก
จากที่แฟลมบอก ผู้ดูแลหอเข้มงวดถึงขั้นถ้าอยากออกไปข้างนอกในวันปกติก็ต้องผ่านขั้นตอนซับซ้อน ถ้าจะออกไปง่ายๆ ต้องมีคนที่บ้านป่วยหรือบาดเจ็บมาก
เอาล่ะ ฉันก็เดินทางช้าๆไปทำงานบ้างดีกว่า
พอต้องเรียกว่าทำงาน ไม่ใช่เรียน มันทำให้รู้สึกเศร้า และผมต้องไปทำงานจริงๆหลังจากผ่านปีนี้ไป รู้สึกเหมือนใจผมจะแตกสลาย
แต่วันนี้มีวิชาที่ผมชอบ เวทมนตร์ เนื้อหาที่สอนเป็นพื้นฐานของพื้นฐาน แต่บางครั้งก็พูดถึงหัวข้อที่ผมไม่รู้ อย่างน้อยมันก็สนุกว่าการฝึกซ้อมยิงปืนที่ทำให้เลือดออก กัดฟัน และมือด้าน
ตามชื่อวิชาอาวุธรวม พวกเราค่อยๆเริ่มเรียนวิชาดาบและยิงธนู แต่หลักๆก็ยังเป็นปืนคาบศิลาที่ไร้ประโยชน์ตอนฝนตกลมแรง วิชาอื่นก็ง่ายทีเดียว ส่วนการเรียนมารยาท เพราะผมเป็นคนสุภาพอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา
จริงนะ ไม่มีปัญหา
สำหรับวิชากฎหมายจักรวรรดิ ไม่มีการตัดสินคดีหรือว่าความ แค่ท่องจำ วิชาเศรษฐศาสตร์ ผมผ่านง่ายดายด้วยความความช่วยเหลือจากความรู้ในชาติก่อน วิชาภาษาของจักรวรรดิก็ไม่มีอะไรเพราะผมชำนาญมาตั้งแต่ตอนอยู่หมู่บ้านแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ชอบไปทำงาน
***
จากสาขากรันเวลขององค์กรข่าวแม่ใหญ่ ซึ่งตอนนี้ปิดไปแล้ว มิลเปีย อดีตหัวหน้าสาขา แฝงตัวเข้ามาในโรงเรียนเวทมนตร์ตามคำเชิญของแม่ใหญ่ แม้เธอจะอายุยังน้อย แต่เธอเป็นเอเย่นต์ที่รวบรวมข้อมูลภาคสนามตั้งแต่ตอนเด็กกว่านี้อีก ผลคือเธอเป็นหัวหน้าสาขาที่สำคัญที่สุดสาขาหนึ่งขององค์กรข่าวแม่ใหญ่ตอนอายุ 16
จนกระทั่งชายหน้ามีแผลคนหนึ่งมาที่กรันเวล และซื้อข่าวสารไปจำนวนมาก
“เฮ้อ!” มิลเปียเข้าไปในห้องเรียนและเลือกที่นั่งสุ่มๆพลางถอนหายใจ
นี่คือการลดตำแหน่งชัดๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไร จากตำแหน่งผู้นำในพื้นที่สำคัญที่สุดขององค์กรมาเป็นเอเย่นต์ภาคสนามมันคือการลดตำแหน่ง
ถ้าเป็นที่ธุรกิจทั่วไป นี่ก็เหมือนบอกให้ยื่นจดหมายลาออก แต่ในองค์กรข่าว ไม่มีการลาออกนอกจากตาย คิดแล้วก็โหดร้าย และยิ่งตำแหน่งสูงก็ยิ่งโหดร้าย
แม้แม่ใหญ่ผู้เป็นผู้นำองค์กรจะบอกว่านี่ไม่ใช่การลดตำแหน่ง นางก็ควรพูดอะไรที่มีเหตุผลให้เชื่อได้ก่อน
ถ้ามิลเปียไม่เชื่อใจแม่ใหญ่ เธอคงคิดว่าองค์กรวางแผนจะฆ่าเธอ ที่จริงเธอก็สงสัยว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่นานก็ทิ้งความคิดนั้นไปเพราะเธอยินดีตายเพื่อแม่ใหญ่อยู่แล้ว
แต่นั่นก็ส่วนนั่น ทำไมต้องลดตำแหน่ง ถ้าต้องตายเธอก็อยากตายอย่างมีสไตล์
เธอถอนหายใจเมื่อคิดว่าต้องลำบากอีกแค่ไหนถึงจะได้กลับไปยังตำแหน่งผู้จัดการอีก
“ขอข้านั่งข้างๆได้ไหม?”
“ได้สิ เชิญค่ะ” มิลเปียตอบอย่างใจลอย เหลือบมองคนถาม ใครจะนั่งตรงไหนก็ได้เพราะเธอไม่ได้จองที่อยู่แล้ว พอจะกลับไปคิดหดหู่อีก มิลเปียก็เกิดความสงสัยในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเห็น
เธอมองคนที่นั่งข้างๆอีกที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น