บทที่ 60 - งานเลี้ยง (11)
ผมก็เหมือนอัลฟอนโซ ไม่ได้เครื่องแบบจากศูนย์ฝึก เหตุผลมีสองข้อ หนึ่งคือเราจะไม่ได้เครื่องแบบข้าราชการจนกว่าฝึกจบ เครื่องแบบเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเป็นข้าราชการและให้ศักดิ์ของขุนนาง
บอกไว้เป็นข้อมูล ลำดับของศักดิ์แบ่งตามขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่แปดที่ต่ำที่สุด ขั้นที่หนึ่งถึงสี่เรียกว่า “ที่หนึ่ง” ส่วนขั้นที่ห้าถึงแปดเรียกว่า “กึ่ง” หรือ “ที่สอง” ว่ากันง่ายๆ จะคิดว่าข้าราชการมีขั้นที่หนึ่งถึงแปดก็ได้
ชื่อยศแม้จะตั้งง่าย แต่การเพิกถอนยุ่งยาก เพราะฉะนั้นถ้าฝึกไม่ผ่านก็ต้องสอบใหม่
ข้อที่สองค่อนข้างสมเหตุสมผลเพราะเหตุผลคือเงิน การฝึกใช้เวลาอย่างมากคือหกเดือน ผู้เข้ารับการฝึกถ้าฝึกไม่ผ่านจะต้องคืนบัตรข้าราชการและออกไป เพราะฉะนั้นศูนย์ฝึกไม่มีทางให้เครื่องแบบคนที่ต้องไป อีกอย่าง เครื่องแบบข้าราชการแตกต่างไปตามหน่วยงานต่างๆ ต่อให้ศูนย์ฝึกมีเครื่องแบบให้ใส่ก็เอาไปใส่หลังจากฝึกเสร็จไม่ได้
สรุปคือ วันที่ผมจะได้ใส่เครื่องแบบข้าราชการคือวันแรกของการทำงาน หลังจากฝึกเสร็จและถูกส่งไปประจำหน่วยงานหนึ่ง
แต่ในตู้เสื้อผ้ามีสูทเกิน 100 ตัว สำหรับคนอายุตั้งแต่ 3 ถึง 20 ปี สูททั้งหมดเป็นของที่อาร์คันทา ลูกชายคุณนายอาซิลลาเคยใส่ สูทที่ผมใส่อยู่เป็นตัวที่นายกรัฐมนตรีใส่ตอนอายุ 17 ส่วนอัลฟอนโซเป็นของตอนอายุ 15 คงนานมากแล้ว แต่อาจเพราะใช้เวทมนตร์ในการเก็บรักษา มันจึงอยู่ในสภาพดี
“ลิสบอนไม่ใส่ด้วยเหรอ?”
ลิสบอนส่ายหน้าเมื่อผมถาม “ไม่ เพื่อนของข้าที่โรงเรียนส่วนมากบอกว่าจะใส่เครื่องแบบ อีกอย่าง ใส่สูทที่เป็นทางการแบบนั้นมันทำให้ข้ารู้สึกอึดอัด”
คุณนายอาซิลลาวางถ้วยชาลง “โอ ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นของที่ลูกของข้าไม่ใส่แล้ว เจ้าใส่ได้ตามสบาย เอาไปเลยก็ได้นะ”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ ที่จริงมันคับไป” ลิสบอนยิ้มและปฏิเสธ
สูทของอาร์คันทาดูเพรียวมาก ตรงข้ามกับหน้าอ่อนใสของลิสบอน ร่างกายเขากำยำผิดคาด ไม่แปลกที่สูทจะไม่พอดี
“อืม ยังรู้สึกอึดอัดอยู่เลย”
อัลฟอนโซยังขยับไปมาเหมือนไม่ชินกับสูท ผมตบบ่าเขาเบาๆแล้วออกจากหอ
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปแล้วนะครับ”
คุณนายอาซิลลาโบกมือให้
“ข้าจะไปที่งานพรุ่งนี้ อย่าทำเป็นไม่รู้จักเชียวล่ะ” คุณนายอาซิลลาพูดหยอก
ผมเดาว่าในฐานะดัชเชส นางไม่จำเป็นต้องไปวันก่อนวันเกิดอย่างวันนี้
“ฮ่าๆ ผมจะเมินสุภาพสตรีที่สวยขนาดนี้ได้ยังไง?”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่อยู่กับคุณนายอาซิลลาผู้เป็นดัชเชสก็เสี่ยงไป ไม่มีอะไรยืนยันว่าลุงบลัดดี้จะไม่ร่วมงานสำคัญอย่างวันเกิดเจ้าหญิง ผมต้องใส่หน้ากาก ลบตัวตนและยืนหลบมุม หน้ากากขาวมีเวทมนตร์รบกวนการรับรู้ เพราะฉะนั้นถ้าผมลบตัวตนก็น่าจะอยู่ได้โดยไม่ต้องเจอใคร
“โฮะๆ ขอบคุณสำหรับคำชม ขอให้สนุกนะ”
กลุ่มของเราที่มีแต่ผู้ชายออกจากหอ อลิซกับยูเรียไปก่อนแล้ว ดูเหมือนมีแผนจะไปเจอกับเพื่อนที่โรงเรียนเวทมนตร์ก่อน
***
อลิซกับมิลเปียตรงไปที่ระเบียงเพื่อหลบห้องโถงที่ยังเตรียมไม่เสร็จ
“ยูเรียไปไหนนะ?” อลิซบ่น
มิลเปียยิ้มเจื่อน “ลุงของยูเรียคือนายพลวิลเลียม บางทีเธอไปเจอกับเจ้าหญิงหรือเปล่า?” เธอถามเป็นการหยั่งเชิงว่าอีกฝ่ายรู้มากน้อยแค่ไหน
ที่จริงแล้วมิลเปียไม่รู้ว่าทำไมแม่ใหญ่อยากให้เธอเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ เดิมเธอคิดว่ามันคือการลดตำแหน่งเพราะสาขากรันเวลถูกพบ การที่ลูกค้ามาซื้อข่าวที่กรันเวลและไม่ใช่สาขาย่อยอื่นๆแสดงชัดเจนว่าเธอขาดประสบการณ์ในการจัดการข้อมูล
แต่ พอคิดว่าเธอพบกับยูเรียและอาเรียผู้ที่เธอเชื่อว่าเป็นอารีเลีย เธอตระหนักว่าแม่ใหญ่ให้เธอแฝงตัวเข้ามาในโรงเรียนเวทมนตร์เพื่อเหตุผลบางอย่าง
มิลเปียถามองค์กรข่าวถึงเป้าหมายหลักของเธอ แต่คำตอบมีเพียง ‘ให้เตรียมพร้อม’
หรือว่าพอไม่มีข้าแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่ามีบุคคลลับสุดยอดอยู่ที่โรงเรียนเวทมนตร์?
มิลเปียส่ายศีรษะ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเธอที่เสียสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลยังสงสัย หัวหน้าของเธอย่อมรู้เช่นกัน
การไม่ได้รับคำสั่งอะไรหมายถึงอย่างเดียว เธอถูกทดสอบ
ข้าถูกทดสอบเรื่องอะไร? พวกเขากำลังประเมินความสามารถของข้าใหม่เหรอ?
หรือสงสัยว่าข้าเป็นสายลับเพราะข้อมูลที่รั่วไหลออกไป...
มิลเปียสรุป เรื่องประเมินความสามารถก็อีกเรื่อง แต่ถ้าเป็นอย่างหลังและเธอไม่ผ่านการทดสอบ นักลอบสังหารจะถูกส่งมาหาเธอแน่
ไม่เหมือนมิลเปียที่กำลังหนักใจ อลิซตอบยิ้มๆ “น่าจะใช่”
“ใช่ไหมล่ะ?”
มิลเปียยิ้มเหมือนอลิซ มากังวลตอนนี้ก็ไม่ได้อะไร
ยืนที่ระเบียง อลิซกับมิลเปียคุยกันระหว่างรอยูเรีย จากนั้นอลิซเห็นพี่ของเธอเดินผ่านทางเข้าโรงเรียนเวทมนตร์มา
“โอ้ นั่นพี่ชายของข้า เดน! อัลฟอนโซ! ทางนี้!”
เมื่ออลิซโบกมือและตะโกน มิลเปียยิ้มและหยุดเธอ
“จากตรงนี้พวกเขาไม่ได้ยินหรอก เราไปที่ทางเข้าดีไหม?”
มิลเปียหยุดพูดเมื่อเด็กชายผมสีขาวกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มโบกมือตอบ
“ดูเหมือนจะไม่ต้องไป”
***
ด้วยความดูแลจากคุณนายอาซิลลา พวกเรานั่งรถม้าของดยุคมาถึงโรงเรียนเวทมนตร์ ลงตรงจุดใกล้ประตูทางเข้าและเดินเข้ามา เราจะนั่งรถม้าผ่านประตูเข้ามาก็ได้แต่ผมเสนอให้เดินเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ เพราะรถม้ามีตราของดยุคติดอยู่
ลิสบอนกับอัลฟอนโซเห็นด้วยกับข้อเสนอของผมและลงจากรถม้า ผมก็ลงมาหลังจากร่ายคาถารบกวนการรับรู้
แม้จะไม่ได้กลายเป็นจุดสนใจเท่าลงจากรถม้าหลังผ่านประตู พวกเขายังคงถูกเห็นว่าลงจากรถม้าของดยุค คราวนี้อัลฟอนโซกับลิสบอนจึงเป็นที่รู้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับดยุค ข่าวจะแพร่ไปทั้งโรงเรียน
ผมไม่ต้องการข่าวลือแบบนั้น จึงร่ายเวทมนตร์ป้องกันไม่ให้คนจำผมได้ แต่แรกผมตั้งใจจะเดินมา แต่อัลฟอนโซกับลิสบอนติดใจความสบายของรถม้าและขึ้นไปนั่งโดยไม่สนใจความเห็นของผม เพราะอย่างนั้นผมเลยต้องขึ้นไปด้วย
ใช่ มันเป็นรถม้าที่ไม่สะเทือนและสบายและกว้างขวางยิ่งกว่ารถลีมูซีนในชาติก่อนของผม แต่ผมไม่ใช่คนที่อยากนั่ง ดังนั้นการร่ายคาถารบกวนการรับรู้ให้สองคนงี่เง่านี่จึงไม่จำเป็น
ว่าแต่ว่า เพราะเป็นงานวันเกิดของเจ้าหญิง อัศวินจึงมีอยู่ทุกจุดของโรงเรียนเวทมนตร์ แบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงมาจัดงานที่โรงเรียนเวทมนตร์แทนที่จะเป็นที่วัง
เมื่อเข้ามาในโรงเรียน ผมกระจายเวทมนตร์รบกวนการรับรู้ ถ้ากระจายเวทมนตร์แบบนี้มันจะไม่ทำให้รู้สึกเหมือนว่าจู่ๆก็ถูกรบกวนการรับรู้ แต่จะทำให้รู้สึกเหมือนผมไม่โดดเด่น แน่นอน ต้องรักษาระดับเวทมนตร์ในระดับต่ำ
เมื่อกระจายเวทมนตร์เกือบเสร็จ ผมได้ยินเสียงอลิซจากที่ไหนสักแห่ง เสียงมาจากไหนนะ?
ผมมองรอบๆและเจอต้นเสียง อลิซกำลังโบกมืออยู่ไกลๆ
“อลิซอยู่ตรงนั้น”
“ตรงไหน?”
หลังจากจ้องไปทางที่ผมชี้อยู่พักใหญ่ ลิสบอนกับอัลฟอนโซก็โบกมืออย่างร่าเริงเมื่อเห็นเธอกำลังโบกมือตรงระเบียง
แต่ช่วยอย่าทำแบบนี้ในที่โจ่งแจ้งไม่ได้เหรอ?
ช่างไม่เข้าใจความรู้สึกคนไม่อยากเป็นจุดสนใจเลย
“ว้าว เก่งมากที่เห็น”
“ข้าเป็นคนที่หาคนใส่แว่นกับเสื้อลายทางสีแดงเก่งมาก”
“เอ๋? อลิซไม่ได้ใส่เสื้อลายทางนะ? แว่นด้วย?” อัลฟอนโซเอียงคอหลังจากมองอลิซ
รู้ด้วย ไม่เหมือนทุกที
“มาๆ รีบเข้าไปเถอะ”
ผมเลี่ยงคำถามแล้วดันหลังทั้งคู่เข้าไป
ในการเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ เราต้องผ่านการตรวจอย่างเข้มงวดก่อนจะได้ไปยังระเบียงที่อลิซอยู่
ระหว่างทาง ผมเห็นอัศวินหลายคน ถ้าสังเกตก็จะเห็นว่านอกจากนักเรียนแล้วยังมีนักเวทหลายคนปนอยู่ด้วย
หืม? ควรจะพูดว่าเทียบกับรอบๆแล้วมันเข้มข้นกว่ามากดีไหมนะ? เอาเป็นว่า เมื่อผมมองไปทางที่ๆมีพลังงานเข้มข้นอยู่ ชายวัยกลางคนที่มีผมหน้าม้าบางๆ ใส่เสื้อเชิ้ตแหวกอกกำลังดื่มไปยิ้มไป
นั่นต้องเป็นชายที่อยู่ตรงที่นั่งคนดูตอนลิสบอนสอบแน่ๆ หน้าผมตึงขึ้น
“มีอะไรเหรอ?” ลิสบอนถาม
“เปล่า รีบไปกันเถอะ”
ผมดันหลังลิสบอน เขาทำหน้าสงสัย แต่นี่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าโง่เอง
เมื่อมาถึงระเบียง อลิซกับผู้หญิงคนหนึ่งทักทายพวกเรา
“มาเร็วนะ? เจ้าทำเหมือนจะมาตอนงานเริ่มพอดี”
ผมยักไหล่เมื่ออลิซถามเหมือนล้อเล่น “มาก่อนเวลาเพื่อจองที่ก็ไม่เลว”
แผนของผมคือเอาของกินหน้าตาน่าอร่อยไปที่ระเบียงเงียบๆสักแห่ง กินแล้วไป
ไม่ข้องเกี่ยวกับเจ้าหญิง เผื่อไว้ก่อน
“แล้วยูเรียล่ะ?” ผมไม่เห็นยูเรียที่ออกมากับอลิซ
อลิซยักไหล่ บอกว่าไม่รู้
ผมรู้สึกไม่สบายใจ หวังว่าเธอคงไม่พาเจ้าหญิงมาแนะนำให้รู้จักนะ เธอน่าจะรู้จักกับคนในราชวงศ์เพราะเป็นหลานของวิลเลียมผู้สามารถเข้าพบจักรพรรดิได้โดยตรง
เมื่อไหร่ที่ผมพูดว่าน่าจะ มันแทบจะจริงทุกครั้ง ดังนั้นผมจึงภาวนาครั้งนี้จะไม่จริง
“อ้อ ข้าจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่คือเพื่อนใหม่ของเราที่โรงเรียนเวทมนตร์” อลิซแนะนำเด็กผู้หญิงข้างๆ
“สวัสดี ข้าชื่อมิลเปีย”
เมื่อมิลเปียแนะนำตัว ลิสบอนทักทายเธอด้วยรอยยิ้มสดใสประจำตัวเป็นคนแรก
“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าเป็นพี่ชายของอลิซ ชื่อลิสบอน”
“ยินดีที่ได้รู้จัก อลิซช่วยเหลือข้าไว้เยอะมาก”
อัลฟอนโซที่อยากแนะนำตัวเองเร็วๆ ยกมือและทักทาย “สวัสดี! ข้าชื่ออัลฟอนโซ เจ้า...รู้จักกับยูเรียหรือเปล่า?” เขาลังเลพลางเหลือบมองอลิซ
อลิซพยักหน้าตอบ
“โอ้! ข้าเป็นฝาแฝด ฝากดูแลยูเรียด้วยนะ” อัลฟอนโซพูดอย่างจริงใจ
ปกติพวกเขาจะทะเลาะกันตามประสาพี่น้อง แต่เห็นพวกเขาดูแลกันในเวลาแบบนี้ก็ไม่เลว
“ค่ะ ยูเรียก็ช่วยเหลือข้าไว้เยอะเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จัก”
มิลเปียทักทายอัลฟอนโซเหมือนลิสบอน แต่มันรู้สึกต่างกันเล็กน้อย ถ้าให้เทียบ เหมือนเธอพูดตามมารยาทในขณะที่อัลฟอนโซพูดอย่างจริงใจ
จะว่ายังไงดี... มันเป็นความรู้สึกที่มีแต่ผม จอมโกหกแต่กำเนิด รู้สึกได้
ถ้าเทียบเป็นรส มันเหมือนจะได้ตะโกนว่า “นี่คือรสของคนโกหก”
บูจาราตี้ล่ะ ^///^ ... :’)
คนใส่เสื้อลายทางกับแว่นมาจากซีรี่ส์ Where’s Wally เป็นหนังสือภาพเกมหาสิ่งของ (เอาจริงๆคือหาคน) ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น