วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 9

 บทที่ 9 – หนีออกจากบ้าน (9)


ผมได้ข้อมูลเพิ่มมาอีกอย่าง วงล้อมที่เหมือนจะหนาแน่นอยู่ในช่วงกำลังจะเสร็จ แม้ผมเจอหน่วยเล็กๆทุกทางที่ไปแต่วงล้อมยังไม่เข้าที่ดี นั่นแปลว่าหน่วยไล่ล่ารู้ว่าผมกำลังไปทางไหน

พวกเขารู้ได้ยังไง?

ถอยกลับไปสักก้าวก่อน เพราะว่าเฮสเทียเป็นผู้นำการไล่ล่า ผลสำเร็จของหน่วยไล่ล่าก็ต้องมาจากคำสั่งของเธอ เธอต้องรู้ว่าผมกำลังไปทางไหน

เธอรู้ได้ยังไง?

งงแล้วนะ ไม่สิ... ลองมองทางอื่นดีกว่า

ผมกำลังตรงไปที่ถ้ำเพื่อหลบความหนาวของกลางคืน เหตุผลเพราะผ้าห่มที่เอามาด้วยบางกว่าที่คิด

เดี๋ยวก่อน! ผมขโมยผ้าห่มมาจากกระทรวงต่างประเทศ! เป็นไปได้ว่าเฮสเทียรู้ถึงสถานการณ์ของผมตอนนี้

เวร! จุดหมายของฉันก็ถูกเปิดเผยแล้วเหรอ?

กาเวนเห็นผมบินข้ามรอยแยก จึงเป็นไปได้มากทีเดียวที่เฮสเทียจะรู้ว่าผมกำลังไปที่ไหนและกำลังตั้งวงล้อมรอบๆขอบเขตของถ้ำ

ในที่สุดผมก็เข้าใจ ตามที่ผมคาดเดาไว้ เฮสเทียส่งคนข้ามรอยแยกมาเผื่อไว้ หน้าที่ของพวกเขาคือหาจุดที่ผมลงพื้นหากว่าผมบินข้ามมา

ยิ่งกว่านั้น ขณะที่ผมกำลังบินข้ามรอยแยก เธอต้องเจอว่าผ้าห่มที่ผมเอามาบางเกินไป อาจบังเอิญเจอเรื่องนี้ขณะกำลังหาว่าทำไมผมจึงตรงมาทางหน้าผา สุดท้ายข้อมูลใหม่ก็ทำให้อ่านความเคลื่อนไหวของผมได้และวางกับดักไว้

ผมทำผิดพลาดร้ายแรง ผมถูกกดดันและรีบร้อนจะหนีให้เร็วที่สุด ลงเอยด้วยการเปิดเผยจุดหมายของผมให้เธอรู้

แต่คำถามสองข้อยังคงรบกวนผม

ข้อแรก เธอรู้ได้อย่างไรว่าผมถึงพื้นตรงไหน?

เพื่อทำให้ผมเข้าใจว่าวงล้อมถูกสร้างขึ้นแล้ว เธอต้องมีข้อมูลจุดเริ่มบินและจุดลงพื้นของผม ยามที่ผมทำให้สลบไปคงยังไม่ตื่น แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าผมลงพื้นตรงไหน?

ข้อสอง ทำไมเธอทำเป็นสร้างวงล้อมตรงนี้ทั้งๆที่ถ้าไปล้อมจับผมที่ถ้ำง่ายกว่า? มันชัดเจนอยู่แล้วว่าจับผมที่ถ้ำมันดีกว่าทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ดังนั้นการที่เธอใช้อุบายแบบนี้มันดูไม่มีเหตุผลเลย

ไม่เข้าใจเลย! ข้อมูลไม่เพียงพอ

ผมซัดยามตรงหน้าสลบแล้วเปลี่ยนเส้นทาง

เวร คืนนี้คงต้องทนหนาวอีกแล้ว! 

***

นับตั้งแต่เดนเบอร์กหนีออกจากบ้านก็สองวันแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังลับฟ้าและหน่วยไล่ตามเตรียมหยุดเมื่อกลางคืนมาถึง เว้นแต่หน่วยนักรบของกาเวน หน่วยนี้จะเคลื่อนไหวต่อไปทั้งคืน

นี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าจะจับเดนเบอร์ก แต่ไม่ว่านักรบจะเร็วแค่ไหนกว่าพวกเขาจะถึงจุดตั้งแคมป์ที่เจ็ดก็คงเป็นรุ่งสาง

คำสั่งของเฮสเทียเขียนว่าพวกเขาควรไปถึงจุดตั้งแคมป์ที่เจ็ดตอน 7 โมงเช้า แต่มันก็หมายความว่าคำสั่งต่อไปจะมาถึงตอนนั้นเช่นกัน แม้กาเวนจะไม่ค่อยใช้สมองบ่อยๆก็ควรรู้ว่าถ้าพวกเขาไปถึงที่นั่นตามเวลาจริงๆการเคลื่อนไหวต่อไปของพวกเขาจะติดขัด

เฮสเทียรู้สึกผิดที่กาเวนและหน่วยของเขาได้นอนพักแค่สามถึงสี่ชั่วโมงแต่มันช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นกุญแจสำคัญในการจับเดนเบอร์ก

ขณะเฮสเทียกำลังจิบชาพลางอ่านแผนที่ ดูมสโตนก็เรียกเธอ

“เฮสเทีย!”

“ค่ะพ่อ”

เฮสเทียกังวลว่าพ่อของเธอจะโทษที่เธอยังจับเดนเบอร์กไม่ได้สักที แต่ดูมสโตนยิ้มอย่างใจดีให้

“ดูเหมือนเดนเบอร์กจะทำให้เจ้าลำบากแล้ว”

“ไม่ค่ะ ข้ากำลังสนุกเพราะไม่ได้เล่นหมากรุกกับเขานานแล้ว”

“โอ้ หมากรุกที่พวกเจ้าเล่นทีละหลายๆกระดานนั่นน่ะเหรอ?”

“ค่ะ ข้าชนะบ่อยกว่าก็จริง แต่ก็ห่างกันนิดเดียวกับสถิติชนะ 52 ครั้งแพ้ 48 ครั้ง”

“ฮ่าๆ เล่นหมากรุกหนึ่งกระดานข้าก็เหนื่อยแล้ว แต่ดูเหมือนพวกเจ้าจะสนุก”

“เกมที่มีตัวเดินธรรมดาไม่เหมาะกับพ่อค่ะ แต่พ่อมีลางสังหรณ์ชั้นยอดอยู่”

มันจริงที่สุด ลางสังหรณ์ของดูมสโตนที่จริงแล้วน่ากลัวมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเขากำลังดูแผนที่และถูกบอกให้เลือกว่าเหมืองที่มีแร่อยู่เต็มควรจะอยู่ตรงไหน สัญชาติญาณของเขาจะเลือกถูกเกือบทุกครั้ง ด้วยสัมผัสที่หกที่เหนือล้ำกว่าสัญชาติญาณสัตว์ป่านี้ทำให้หมู่บ้านเปี่ยมล้นไปด้วยแหล่งแร่ในตำนานอย่างอดามันเที่ยม โอริฮัลคัมและมิธริล

อีกอย่าง เขายังทำกำไรจากการแลกเปลี่ยนซื้อขายกับจักรวรรดิโดยการทำนายถึงภัยพิบัติธรรมชาติเช่นการอพยพครั้งใหญ่ของปีศาจหรือภัยแล้ง เพราะมีดูมสโตน ตอนนี้จึงเป็นยุคทองของหมู่บ้าน

ในฐานะเป็นลูกของเขา เฮสเทียมีพันธะต้องสร้างยุคนี้ให้ร่ำรวยขึ้นและที่สำคัญคือยั่งยืน เพื่อทำตามพันธะนี้ เดนเบอร์กจำเป็นต้องสืบทอดดูมสโตน

“ว่าแต่ว่า-” ดูมสโตนนั่งตรงหน้าเฮสเทีย “-เป็นอย่างที่เจ้าพูด เดนเบอร์กกำลังไปที่ถ้ำ ถ้าล้อมเขาที่ถ้ำเลยแทนที่จะสร้างวงล้อมปลอมตามทางที่เขาใช้มันจะไม่ง่ายกว่าเหรอ?”

เฮสเทียกางแผนที่เพื่ออธิบาย “ข้าคิดเรื่องนั้นแล้ว พ่อ”

“งั้นทำไมไม่-?”

“มีเหตุผลสองสามข้อที่ทำให้ข้าไม่ทำ” เฮสเทียเริ่มอธิบายระหว่างจิบชา “ข้อแรกเลย เดนเบอร์กไม่รู้ แต่ในบันทึกบอกว่าถ้ำนี้มีปีศาจตัวหนึ่งที่มีความสามารถต่อสู้กับมังกรได้ มีโอกาสมากที่เขาจะเจอกับปีศาจตัวนี้ถ้าเขานอนในถ้ำ”

ดูมสโตนส่ายศีรษะ “เดนเบอร์กไม่ใช่คนอ่อนแอ ที่เขายังหนีรอดจากการไล่ตามจนถึงป่านนี้ก็บอกอยู่แล้ว”

เฮสเทียเห็นด้วย “ใช่ เดนเบอร์กแข็งแกร่ง และเขาพยายามเต็มที่ ข้าคิดว่าในที่สุดเขาจะเข้มแข็งกว่ากาเวนหรือกัลลาฮาด แต่ เขาไม่ได้นอนหลับเต็มตื่นมา 2 วันแล้ว เขาวิ่งในป่าที่ไม่คุ้นเคยและการข้ามรอยแยกอาจใช้พลังเวทไปเกือบหมด เป็นไปได้ว่าตอนนี้เขาคงแทบหมดแรงแล้ว”

“ข้ายังเชื่อว่ายังล้มปีศาจนั่นได้” ดูมสโตนพูดอย่างเชื่อมั่น

เฮสเทียพยักหน้าเห็นด้วย “ค่ะ และเขาก็ฉลาดด้วย ถ้าเขาเห็นว่าคงล้มปีศาจตัวนั้นไม่ได้เขาก็แค่หนี แต่ข้าไม่อยากให้เขาบาดเจ็บ”

“นั่นสินะ ปีศาจมันอันตรายจริง” ดูมสโตนลูบคางและคล้อยตามลูกสาว

“เหตุผลที่สองคือเป็นไปได้สูงว่าเราจะเสียร่องรอยของเขา”

“ยังไงล่ะ?” ดูมสโตนเอียงคอ

“ถ้าเขาเข้าถ้ำ มีโอกาสสูงที่จะต้องสู้กับปีศาจ ในสถานการณ์แบบนั้นเขาคงเลือกหนี”

“หนี?”

สีหน้าดูมสโตนแสดงว่าไม่เข้าใจเอาจริงๆ แต่เฮสเทียแน่ใจในข้อสรุปของเธอ

จากมุมมองของคนในหมู่บ้าน การหลีกเลี่ยงไม่สู้ของเดนเบอร์กอาจเป็นเรื่องประหลาด แต่คนอย่างเขาจะไม่รีบร้อนสู้กับปีศาจโดยไม่เตรียมตัวล่วงหน้า

“ค่ะ ถ้าเขาหนี จากที่เขาเป็นฝ่ายรุกล้ำเขตของปีศาจ มันคงไล่ตามแน่ ในสถานการณ์นั้น เป็นไปได้สูงว่าหน่วยไล่ตามที่ตั้งวงล้อมถ้ำจะเจอกับปีศาจเช่นกัน”

เฮสเทียชี้ไปที่แผนที่และขยับม้าที่เป็นตัวแทนหน่วยไล่ตาม

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ปีศาจกับหน่วยไล่ตามจะสู้กัน และเดนเบอร์กจะฉวยโอกาสนั้นหนี เหลือไว้แต่ร่องรอยที่ถูกการต่อสู้ทำลาย”

คนไล่ตามที่ข้ามรอยแยกไปส่วนมากเป็นยามมากกว่านักรบ และต่อให้เป็นนักรบ การตามหาร่องรอยหลังถูกทำลายก็ยังเป็นงานหนัก

แน่นอน ยังมีความเป็นไปได้ที่สถานการณ์จะต่างไปจากที่เธอคาด หากเดนเบอร์กเลือกสู้กับปีศาจ หน่วยไล่ตามจะจับเขาที่เหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย

แต่นั่นเป็นเรื่องเหลือเชื่อหลังจากที่เขาใช้พลังเวทจำนวนมากไปกับการบินข้ามหน้าผา

“นักรบที่มาทีหลังจะหาร่องรอยเลือนรางพวกนั้นไม่ได้” ดูมสโตนพยักหน้าเห็นด้วย

ในเมื่อพ่อของเธอคล้อยตามแล้ว เฮสเทียจึงไม่บอกเหตุผลข้อสุดท้ายที่พลิกผันสถานการณ์ตอนนี้

จนตอนนี้ เดนเบอร์กคาดการณ์การเคลื่อนไหวของคนไล่ตามโดยใช้จดหมายที่เขาทิ้งไว้ ถ้าไม่มีข้อมูลทิ้งไว้เขาคงถูกจับไปแล้ว แต่ตอนนี้เฮสเทียเข้าใจการเคลื่อนไหวของเขาทั้งหมด เธอสามารถถือโอกาสนี้ใช้หน่วยไล่ตามควบคุมการเคลื่อนไหวของเขาแทน ที่จริงแล้วการสร้างวงล้อมหลอกก็เป็นการบีบการเคลื่อนไหวของเขาเช่นกัน อีกไม่นานเขาจะรู้ว่านี่ไม่ใช่วงล้อมและเปลี่ยนเส้นทาง แต่เส้นทางที่เขาเลือกจะเป็นเส้นทางที่เธอต้องการให้เขาขยับไป

เฮสเทียสั่งให้หน่วยไล่ตามอีกฝั่งของรอยแยกแบ่งกำลังคนครึ่งหนึ่งไปสร้างวงล้อมระหว่างบริเวณถ้ำกับเหว เมื่อเดนเบอร์กเปลี่ยนเส้นทางแล้ว พวกเขาถูกสั่งให้ตรงไปยังจุดตั้งแคมป์ที่เจ็ด

กำลังคนอีกครึ่งถูกสั่งให้ไล่ตามเดนเบอร์ก แน่นอนว่าผู้ไล่ตามที่มีแต่ยามจะจับเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอสามารถควบคุมเส้นทางที่เขาจะขยับเข้าไป

มันเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่เฮสเทียรู้เส้นทางของเดนเบอร์ก นอกจากการสร้างวงล้อมรอบถ้ำอย่างที่ดูมสโตนเสนอ การสร้างวงล้อมระหว่างทางไปถ้ำก็เป็นไปได้เช่นกัน ที่จริงแล้ววิธีนี้ยังมีโอกาสจับเป้าหมายมากกว่า พูดให้ถูกต้องกว่านี้คือ นี่คือกลยุทธ์ที่มีอัตราความสำเร็จสูง 

แต่เฮสเทียทิ้งกลยุทธ์นี้ไปเพราะมีตัวแปรหนึ่งที่เธอคำนวณไม่ได้ นั่นคือพลังเวทที่เดนเบอร์กมีเหลือ

เดนเบอร์กควรจะใช้พลังเวทไปมากจากการบินข้ามเหว แต่จากการคำนวณของเธอมันชี้ว่ามีโอกาสที่พลังเวทสำรองของเขายังอยู่ดี

เฮสเทียไม่รู้ว่าเดนเบอร์กมีพลังเวทสำรองไว้เท่าไหร่ กระทั่งผู้เฒ่าเมอร์ปา จอมเวทของหมู่บ้านยังไม่ทราบ ดูจากนิสัยของเขาแล้ว เดนเบอร์กต้องคำนวณไว้ก่อนแล้วว่าเขาจะมีพลังเวทเหลือ เขาต้องแน่ใจว่ามีพลังเวทเหลืออย่างน้อย 5% ไม่ว่าสภาพอากาศของหน้าผาและระยะห่างของรอยแยกจะเป็นอย่างไร

ด้วยทฤษฎีนี้จึงสามารถทำนายพลังเวทสำรองของเดนเบอร์กได้ เมื่อดูจากสภาพอากาศรอบรอยแยกวันนี้และความกดอากาศในป่า รวมกับประมาณการพลังเวทที่เดนเบอร์กมี สรุปว่าตอนนี้เขามีพลังเวทเหลือได้ถึง 30%

แน่นอน เธอไม่แน่ใจ เป็นไปได้ว่าจะมีความคลาดเคลื่อนมากหรือการคาดการณ์อาจผิดถนัด แต่นี่คือพลังเวท 30% ของเดนเบอร์ก สัตว์ประหลาดที่สังหารปีศาจไป 40 ตัวในวันเดียวโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ตอนสู้กับปีศาจเขาอาจใช้พลังเวทอย่างเต็มที่แต่นี่คือปีศาจ 40 ตัว ไม่ว่าจะเป็นกับดักแบบไหนหรือวิธีอะไร ไม่อาจดูถูกพลังของปีศาจ 40 ตัว

หรือก็คือ หากจะจับเดนเบอร์ก จำเป็นต้องทำให้เขาเหนื่อยกว่านี้



สารบัญ                                        บทที่ 10


 

 


วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

แปลเพลง - Villain of the Story - Peace of Mind

วันเสาร์แล้วยังไม่ได้เริ่มแปลตอนใหม่สักตัวเลย สงสัยจะไม่ทัน ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยๆค่ะ :’) 
ลงแปลเพลงแทนแล้วกัน คราวนี้เป็นเพลงของวงร็อกสัญชาติอเมริกา แต่เราเอาเพลงช้าของเขามานะคะ ปกติวงนี้คนนึงจะร้องแบบคลีน (clean) อีกคนสครีม (scream,unclean) เพลงนี้มาคลีนทั้งคู่ ฟังสบายๆ 




In the shade again
I've fallen right into the masquerade again
Can't for the life of me remember when 
I got lost somewhere between now and then
I had a vision for something more
A fire inside me and I felt it to the core
So much of the world I wanted to explore
But I never made it five feet from my door
อยู่ในเงาอีกแล้ว
ฉันตกสู่การสวมหน้ากากอีกแล้ว
ต่อให้ตายก็จำไม่ได้ว่าเป็นอย่างนี้เมื่อไหร่
ฉันหลงทางไปในที่ไหนสักแห่งระหว่างตอนนี้จนจากนี้ไป
ฉันวาดหวังถึงบางสิ่งที่ยิ่งกว่า
ไฟในตัวฉันรู้สึกถึงแก่น
หลายอย่างมากมายในโลกที่อยากสำรวจ
แต่ไม่เคยห่างจากประตูได้ไกลเกินห้าก้าว
I'm done wasting away
No excuses there is nothing left to say
Finding a spark
Deep down in the dark
It's far from easy but I needed a brand new start
ไม่เอาแล้ว การอยู่แค่เพื่อรอความตาย
ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีอะไรเหลือให้พูดอีก
ค้นหาประกายไฟ
ลึกสุดในความมืด
มันไม่ง่ายเลยแต่ฉันจำเป็นต้องมีการเริ่มต้นใหม่
This is the only way that I will find
Something near to happiness in this life
I can't remember the last time that I had any peace of mind
I've fought for this
I've bled for this
There is no turning back now
And finally I'm able to see
The place I'm meant to be
นี่คือทางเดียวที่ฉันจะพบ
บางสิ่งที่ใกล้เคียงกับความสุขในชีวิตนี้
จำไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่ในใจได้มีความสงบบ้างมันเมื่อไหร่
ฉันสู้เพื่อสิ่งนี้
หลั่งเลือดเพื่อสิ่งนี้
ถึงตอนนี้ไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว
และในที่สุดฉันก็ได้เห็น
สถานที่ที่ฉันตั้งใจมา
I was fixated on the expectations
Of everyone around I was so frustrated
I became addicted to always overthinking
Everything I did
I had nothing to give
I started disappointing everyone
Alway letting down the ones that I love
This road is covered in ice
And paved with sacrifice
I gave it all away and I paid the price
ฉันเคยยึดติดกับความคาดหวังของทุกคนรอบตัว 
ฉันอึดอัดลนลาน
กลายมาเป็นคนเอาแต่คิดมากกับทุกสิ่งที่ทำลงไป
ฉันไม่มีอะไรจะให้
ฉันเริ่มทำให้ทุกคนผิดหวัง
ทำให้คนที่ฉันรักผิดหวังอยู่เสมอ
ทางเส้นนี้ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง
และลาดด้วยการเสียสละ
ฉันให้ไปหมดและชดใช้ผลที่ตามมา
This is the only way that I will find
Something near to happiness in this life
I can't remember the last time that I had any peace of mind
I've fought for this
I've bled for this
There is no turning back now
And finally I'm able to see
The place I'm meant to be
นี่คือทางเดียวที่ฉันจะพบ
บางสิ่งที่ใกล้เคียงกับความสุขในชีวิตนี้
จำไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่ในใจได้มีความสงบบ้างมันเมื่อไหร่
ฉันสู้เพื่อสิ่งนี้
หลั่งเลือดเพื่อสิ่งนี้
ถึงตอนนี้ไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว
และในที่สุดฉันก็ได้เห็น
สถานที่ที่ฉันตั้งใจมา
I'm done wasting away
I'm done wasting away
ไม่เอาแล้ว การอยู่แค่เพื่อรอความตาย
ไม่เอาแล้ว การอยู่แค่เพื่อรอความตาย
This is the only way that I will find
Something near to happiness in this life
I can't remember the last time that I had any peace of mind
I've fought for this
I've bled for this
There is no turning back now
And finally I'm able to see
The place I'm meant to be
นี่คือทางเดียวที่ฉันจะพบ
บางสิ่งที่ใกล้เคียงกับความสุขในชีวิตนี้
จำไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่ในใจได้มีความสงบบ้างมันเมื่อไหร่
ฉันสู้เพื่อสิ่งนี้
หลั่งเลือดเพื่อสิ่งนี้
ถึงตอนนี้ไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว
และในที่สุดฉันก็ได้เห็น
สถานที่ที่ฉันตั้งใจมา
I'm done wasting away
ไม่เอาแล้ว การอยู่แค่เพื่อรอความตาย




---
คนแปลชอบเพลงนี้ น่าจะเพราะมันเป็นเพลงช้าเลยฟังแล้วรู้สึกเหมือนนักร้องร้องจากข้างใน มันทำให้ฟังละเอียดแล้วก็ลึกดีค่ะ :D
ขอบคุณที่แวะมา เจอกันสัปดาห์หน้าค่ะ อยากแปลเพลงอีกแฮะ อู้อีกสัปดาห์ดีไหมนะ



วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 8

บทที่ 8 – หนีออกจากบ้าน (8)


“ลดแรงโน้มถ่วง! เซมิ-กราวิตี้! ปรับการลอยตัว! ควบคุมการไหลเวียนอากาศ!”

ผมร่ายเวท 4 อย่างในครั้งเดียวขณะบินข้ามฝั่งเหว

ในหมู่บ้าน พลังเวทจะเสถียรและแค่การบินไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทมากนัก แต่ตอนนี้ผมอยู่ในเขตแดนต้องห้ามของโอลิมปัสที่ซึ่งพลังเวทเคลื่อนไหวดุดันเหมือนวัวคลั่ง

ในหมู่บ้าน ผมสามารถใช้เวทบินที่ต้องการพลังเวทมากกว่าห้าเท่าและซับซ้อนกว่านี้ยี่สิบเท่า แต่ถ้าเวทบินที่ว่าเอามาใช้ที่นี่ มันต้องใช้พลังมากกว่าปกติห้าสิบเท่า พูดง่ายๆว่า ด้วยพลังเวทที่ผมมีตอนนี้ ผมคงไปได้ไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร

ถ้าใส่ขั้นตอนซับซ้อนที่ผมพัฒนาขึ้นเข้ากับเวทก็คงลดระดับสิ้นเปลืองพลังเวทได้มาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องเสียพลังเวทไปเยอะอยู่ดี

รอยแยกกว้างสิบกิโลเมตรมันกว้างจนน่าจะเรียกว่าหุบเขามากกว่า ผมผ่านมันไปได้อย่างเฉียดฉิวด้วยปริมาณพลังเวทที่ผมมี

***

กาเวนนิ่งอึ้งมองเดนเบอร์กบินห่างไป

ถ้าเป้าหมายเป็นสัตว์ประหลาดหรือปีศาจไม่ใช่น้องชายของเขา เขาจะผนึกพลังเวทกับลูกศรและยิงมันร่วง แต่เดนเบอร์กเป็นเป้าหมายที่ต้องจับเป็น

“หา...กัปตัน เขาบินแบบนั้นก็ได้เหรอ?”

แมค ยืนข้างกาเวนก็มองร่างที่บินจากไปอย่างทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เขายังถามเป็นนัยๆว่าทำไมถึงไม่เตือนเรื่องนี้

แต่ คำตอบของกาเวนคือ... “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

มันจริง กาเวนรู้ว่าน้องของเขาใช้เวทมนตร์ได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นนักเวทที่เก่งกาจถึงขั้นสามารถบินได้ในป่านี้ แม้ตัวเขาเองจะใช้ได้เพียงเวทง่ายๆ แต่ในฐานะคนใช้เวทเป็น เขาตกตะลึงที่เห็นเดนเบอร์กบินในป่าได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆ

นักเวทที่เก่งที่สุดของหมู่บ้าน ผู้เฒ่าเมอร์ปา ก็เชื่อว่าการบินนอกหมู่บ้านเป็นเรื่องโง่เขลาที่มีแต่คนโง่ขั้นแทงศีรษะตัวเองเท่านั้นที่จะทำ

แต่นี่เขาบินเป็นสิบกิโลเมตรข้ามรอยแยกที่ไม่ทราบความลึก...

กาเวน แมค และสมาชิกคนอื่นๆรู้สึกว่าเดนเบอร์กก็เหมือนดูมสโตน สัตว์ประหลาดที่ไปไกลเกินระดับของมนุษย์

“กัปตัน! เราได้ข้อความจากผู้บัญชาการ!”

กาเวนเอาจดหมายจากนักรบมาอ่าน

ด่วน – คาดเดาว่าเดนเบอร์กจะ‘บิน’ข้ามรอยแยก จับเป็นเขาก่อนจะถึงจุดนั้น หากล้มเหลว ให้เลิกไล่ตามและไปถึงจุดตั้งแคมป์ที่เจ็ดในเจ็ดโมงเช้าพรุ่งนี้

กาเวนอ่านจดหมายไปขนลุกไป เฮสเทียอยู่ในหมู่บ้านชัดๆ แต่เธอคาดเดาถูกโดยใช้ข้อมูลที่เขาส่งไป

หากกาเวนไม่เห็นเดนเบอร์กบินข้ามเหว เขาคงถือการคาดคะเนของเธอเป็นเรื่องเหลวไหล แต่เด็กนั้นบินข้ามเหวจริงๆ และเธอสรุปเอาจากเรื่องเล็กน้อยแค่เขาเปลี่ยนเส้นทาง

“ไปต่อ!”

“ครับ!”

กาเวนฝืนยิ้ม ถึงพวกเขาจะเป็นพี่น้อง แต่พวกเขาเหมือนสัตว์ประหลาดเสียมากกว่า

***

ผมเห็นอีกฝั่ง โชคดีที่ตอนบินมีลมช่วยและสามารถข้ามรอยแยกด้วยพลังเวทน้อยกว่าที่คาดไว้มาก ผมเหลือพลังเวทคร่าว 25%

ตามที่ผมคำนวณไว้ ผมควรเหลือเวท 10% และต้องพักครู่หนึ่ง แต่เมื่อเหลือพลังเวทมากเท่านี้ ผมคิดว่าจะตรงไปพักที่ถ้ำเลย

เมื่อจอดบนอีกฝั่ง ผมยืดเส้นยืดสายที่เกร็งจากการบิน จู่ๆผมก็รู้สึกว่ามีคนอยู่ ต้องเป็นคนจากหมู่บ้านแน่

“ออกมา!” ผมชักดาบออกจากฝักและตะโกน

หน่วยไล่ตามมีนักรบและยาม ในเมื่อนักรบไล่ผมจากข้างหลัง คนที่บังอยู่ข้างหน้าก็น่าจะเป็นยาม

ยามเป็นพวกบ้าการต่อสู้ หากผมดึงดาบออกมาพวกเขาย่อมออกมาเผชิญหน้ากับผมแน่

ใช่เลย ยามสามคนเผยตัวออกมาจากป่า

แค่สามคน? ที่สำคัญกว่าคือพวกเขารู้ได้ยังไงว่าฉันบินข้ามหน้าผาได้?

พวกเขาอยู่ที่นี่แปลว่ากัลลาฮาดหรือเฮสเทียเป็นคนสั่ง พี่ชาย ถ้าไม่ใช่ระหว่างต่อสู้ เขาไม่ฉลาดถึงขั้นคาดเดาการเคลื่อนไหวล่วงหน้าของผมได้ ต้องเป็นพี่สาวคนโตของผม

แผนของเฮสเทียควรเป็นกาเวนตามรอยของผมและกัลลาฮาดตามมาสร้างวงล้อม แต่เห็นได้ชัดว่ามีคนรอผมจากอีกด้านของหน้าผา ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้สามข้อ

ข้อแรก เฮสเทียคิดว่าผมจะบินข้ามหน้าผาตั้งแต่แรก ข้อสอง เธอสรุปว่าผมจะบินข้ามหน้าผาเมื่อเห็นผมเปลี่ยนเส้นทาง และข้อสาม เธอสร้างวงล้อมแต่ก็ส่งคนจำนวนหนึ่งมาอีกด้านด้วยเผื่อว่าผมจะบินข้ามมา

ข้อสองคงไม่ใช่ ต่อให้จริงก็ยังไม่มีเวลามากพอจะส่งคนข้ามรอยแยก อีกอย่าง เฮสเทียไม่มีข้อมูลมากพอจะเชื่อว่าผมมีความสามารถบินข้ามหน้าผาได้ เช่นเดียวกับไม่มีข้อมูลมากพอจะรู้ถึงจุดประสงค์ของผมในการข้ามหน้าผา

แต่ความเป็นไปได้ข้อแรกก็ไม่ใช่เหมือนกัน เพราะแผนนั้นเท่ากับจะไม่มีวงล้อม เฮสเทียเป็นคนรอบคอบจึงไม่ใช้แผนการอาจหาญแบบนั้น หรือต่อให้ใช้ก็ไม่ส่งมาแค่สามคน

ตัวตนที่ผมรู้สึกได้ตอนนี้มีเพียงสามคนข้างหน้าผม ดังนั้นจึงเหลือแค่ความเป็นไปได้ข้อสาม และคนพวกนี้คือคนที่พี่สาวของผมวางเป็นหลักประกันเผื่อไว้

หรือก็คือ วงล้อมของพวกเขาหยุดผมไม่ได้

“อะไร? ทำไมถึงยิ้มล่ะ?”

ยามคนหนึ่งถามอย่างไม่พอใจ

อุ๊บ ดูเหมือนหน้าผมจะเปิดเผยความคิดในใจ

แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ? ในสถานการณ์ร้อนรนแบบนี้ ขณะที่คิดว่าจะถูกจับ ผมได้เห็นความหวัง ผมทำได้แต่ขอโทษ

“ขอโทษ ข้าต้องไปล่ะ”

“หยุดเขา!”

ยามตะโกนอย่างลนลานขณะมองผมพุ่งเข้ามา

ขอโทษนะ แต่พวกนายสามคนหยุดฉันไม่ได้

***

ข้อความของกาเวนมาถึงที่ทำงานหัวหน้าหมู่บ้านที่ตอนนี้กลายเป็นศูนย์บัญชาการ มันบอกว่าเขาตามเดนเบอร์กจนทัน แต่ฝ่ายหลังกระโดดลงหน้าผาและบินข้ามไป

ที่จริงเฮสเทียก็ยังสงสัยในข้อสรุปของเธอแม้กระทั่งตอนส่งคำสั่งออกไป ผู้เฒ่าเมอร์ปาที่เป็นถึงระดับจอมเวทเมื่อได้ยินข้อสมมุตินี้ก็ยังส่ายศีรษะปฏิเสธ

ถึงกระนั้น การกระทำของเดนเบอร์กจะไม่สามารถอธิบายได้หากไม่มีข้อสมมุตินี้ อีกอย่างก็มีหลักฐานว่าเขาอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการใช้วิธีสุดโต่ง ด้วยเหตุนี้เฮสเทียจึงส่งคำสั่งอย่างมั่นใจให้หน่วยไล่ตามเคลื่อนไหว

ผลคือ ข้อสมมุติว่าเดนเบอร์กเป็นจอมเวทที่เหนือกว่าผู้เฒ่าเมอร์ปาและมีเวทบินบทพิเศษได้รับการพิสูจน์

ก็นะ เดนเบอร์กมักจะพูดถึงทฤษฎีและการศึกษาที่ไม่สามารถเข้าใจได้ เฮสเทียเคยถามว่าถ้าบินท้องฟ้าจะรู้สึกอย่างไร เขาแค่ใช้เวทมนตร์ยกตัวเธอขึ้นแทนคำอธิบาย และแม้มันจะเป็นแค่การบินในหมู่บ้านที่พลังเวทยังเสถียรเธอก็ยังได้ลิ้มรสชาติความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้

ได้ลอยในอากาศอยู่ช่วงหนึ่ง เธอถามน้องชาย “ข้าบินได้ยังไง?”

คำตอบ แน่นอน “เวทมนตร์”

มันเป็นคำถามโง่ๆ แต่ตอนนั้นเฮสเทียตื่นเต้นมาก

แทนที่จะหัวเราะกับคำถามที่ตัวเธอเองคิดว่าโง่ เดนเบอร์กกลับอธิบายเรื่องแรงโน้มถ่วง แรงต้านของอากาศและการลอยตัว แม้เฮสเทียจะขาดความรู้ของนักเวท เธอมีวิธีการอนุมานทฤษฎีที่เดนเบอร์กสอนไว้

ไม่ว่านักล่าจะเก่งกาจขนาดไหน จะให้ตามหาร่องรอยเหยื่อในอากาศคงเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องรับหน้าที่ต่อเอง

แม้จะไม่เข้าใจตัวทฤษฎีเต็มร้อย หากเป็นการคำนวณคร่าวๆ ไม่มีเหตุผลที่เธอจะทำตามอย่างเดนเบอร์กไม่ได้ ดังนั้น ใช้จุดที่เขากระโดดจากหน้าผาที่ได้จากกาเวน คู่กับข้อมูลสภาพอากาศในป่าของสิบปีที่ผ่านมา เฮสเทียเริ่มคำนวณหาจุดใกล้เคียงจุดที่เดนเบอร์กลงพื้นมากที่สุด

จากนั้น ใช้สัญลักษณ์ส่วนตัวของเดนเบอร์กที่เรียกว่าฮันกึล เธอเขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบสัญลักษณ์และตัวเลขบนกระดานดำจนในที่สุดก็ได้จุดลงพื้น

ทีนี้ก็มีอย่างเดียวที่เธอทำได้...

ถึงเวลาใช้หลักประกันที่เธอเผื่อไว้ล่วงหน้าแล้ว

เธอส่งเหยี่ยวสื่อสารออกไป

***

“นายน้อย! กลับหมู่บ้านกันเถอะ!”

บ้าจริง! เกิดอะไรขึ้น?

นี่เป็นการเจอกับหน่วยไล่ตามครั้งที่ห้าแล้ว ผมทำให้หน่วยไล่ตามที่เจอครั้งแรกสลบไปแล้วแน่ๆ เพื่อไม่ให้พวกเขารายงานที่อยู่ของผม ตั้งแต่นั้นมา ผมใช้ของเสียจากมังกรเป็นสื่อกลางและร่ายเวทป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดหรือปีศาจเข้าใกล้ เตรียมตัวขนาดนี้แล้ว หน่วยไล่ตามยังตามมาเหมือนรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน!

กระทั่งเจอกับหน่วยไล่ตามเป็นครั้งที่สาม ผมยังเชื่อว่าสุดท้ายก็จะหลุดจากวงล้อมนี้ได้ แต่ตอนนี้ผมถูกบังคับให้คิดใหม่

มันเกิดอะไรขึ้น? วงล้อมแน่นเกินไปแล้ว

ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป พลังเวทและพลังกายของผมจะหมดและถูกจับได้

อะไรมันผิดไปนะ? ฉันพลาดอะไรไป?

กลับไปที่จุดเดิมดีไหม ไม่ ผมข้ามเหวมาแล้วและไม่มีพลังเวทจะกลับไป ตั้งแต่จุดที่ข้ามรอยแยกมาผมก็คิดถึงความเป็นไปได้สามข้อ

สามัญสำนึกบอกว่าข้อแรกมันผิด ต่อให้ผมคิดเท่าไหร่ เฮสเทียก็ไม่ใช่คนโง่ที่เดิมพันด้วยสัญชาติญาณหากไม่มีแม้แต่ข้อมูลแน่นอน ความเป็นไปได้ข้อสองนั้นที่จริงแล้วไม่น่าจะใช่ แต่ศัตรูคือพี่สาวคนโต มันจึงไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่มีหลักฐานว่าเธอมีข้อสรุปแบบนั้น และต่อให้เธอมี ก็ไม่มีเวลามากพอให้เธอสร้างวงล้อมแน่นหนาแบบนี้

ไม่ว่าจะคิดยังไง ก็เหลือความเป็นไปได้ข้อสามอย่างเดียว ผมเกือบแน่ใจว่า...

“เฮ้! อย่ากวนสิ!”

ผมเหวี่ยงดาบใส่ดาบของยามที่คอยโจมตีใส่ผม

บ้าเอ๊ย! ผมต้องคิด แต่เขาจ้องจะก่อกวนผมโดยแทงๆหลบๆเหมือนแมลงวัน

เหมือนเขาพยายามถ่วงเวลา...

เดี๋ยวนะ เขากำลังพยายามถ่วงเวลาอยู่เหรอ?

ทำไม? วงล้อมหนาแน่นขนาดนี้ จะทำแบบนั้นไปทำไม

เดี๋ยว นี่ใช่วงล้อมหนาแน่นจริงน่ะ? เหมือนฉันจะพลาดข้อนี้ไปนะ

คิดสิ คิด คิด...

“นายยังไม่ได้ตั้งวงล้อมเลยล่ะสิ?”

มันเป็นการสันนิษฐาน แม้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์แต่ผมก็พูดอย่างมั่นใจ

“!!!”

นั่นไงล่ะ! ยามสะดุ้งกับคำพูดของผม

ฉันรักคนเรียบง่าย


สารบัญ                                          บทที่ 9



วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 7

บทที่ 7 – หนีออกจากบ้าน (7)


“แน่อยู่แล้ว กัปตันจะเป็นหัวหน้าคนต่อไป... ไม่จริงน่า!”

สีหน้าแมคบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว

“ใช่แล้ว อย่างที่นายคิดนั่นแหละ”

“ท่านจะบอกว่านายน้อยจะเป็นหัวหน้าคนต่อไป?!”

กาเวนพยักหน้า

ตอนแรกเรื่องนี้จะไม่ถูกประกาศออกมาจนกว่าเดนเบอร์กจะอายุอย่างน้อยสามสิบปี แต่เฮสเทียพูดว่าเขาหนีออกจากบ้านไปครั้งหนึ่งแล้ว มีโอกาสที่เขาจะหนีอีก ดังนั้นเธอจึงวางแผนจะให้ทุกคนในหมู่บ้านรู้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กาเวนจึงตัดสินว่าบอกพวกเขาตอนนี้ก็ไม่เป็นไร

แมคหันไปตะโกนใส่นักรบ “พวกนาย! ได้ยินกัปตันพูดแล้วนะ!”

“ครับ!”

นักรบมีท่าทีจริงจังเหมือนกำลังจะไปล่ามังกร

“พวกเราพานายน้อยกลับมาอย่างสุดชีวิต!”

“ครับ!”

เหล่านักรบไม่ถามหรือสงสัยว่าทำไมผู้สืบทอดตำแหน่งจากดูมสโตนไม่ใช่กัปตันของพวกเขาหรือกัลลาฮาดแต่เป็นเดนเบอร์ก หน้าที่เลือกผู้สืบทอดเป็นอำนาจและหน้าที่ของหัวหน้าหมู่บ้านเพียงผู้เดียว ไม่มีทางโต้เถียงได้

กาเวนเร่ง

“ไปกันเถอะ!”

ไปจับว่าที่หัวหน้าของพวกเรา

***

“ฮัดเช้ย!”

ผมรู้สึกทั้งร่างหนาววูบขึ้นมา อาจเพราะนอนกลางอากาศเย็นโดยไม่ก่อไฟ ร่างกายผมสั่นและแข็งทื่อ

คืนนี้จะทำยังไงดี? น่าจะเอาผ้าห่มมามากกว่านี้

ผมคิดจะไปล่าเอาหนังมาสักหน่อย แต่กังวลเรื่องเวลาและกลิ่นจากหนังดิบจะติดตัว

เวลาและกลิ่นจะกลายเป็นปัญหาขั้นร้ายแรงขณะการไล่ตาม แต่ผ้าห่มของผมบางเกินไปไม่อาจป้องกันอุณหภูมิที่ต่ำลงระหว่างกลางคืนได้

การดูถูกธรรมชาติกลายเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรงเสียแล้ว

หรือคืนนี้จะนอนในถ้ำดี ถึงจะต้องอ้อมหน่อยก็เถอะ

ผมกวาดตามองแผนที่หาถ้ำที่ใกล้ที่สุด ผมปรับแผนใหม่โดยคิดถึงความเร็วของกาเวนและความคิดของเฮสเทียในขั้นตอนนี้ แผนเดิมผมตั้งใจจะอ้อมเหว แต่เมื่อคิดว่าคืนนี้จะนอนในถ้ำผมก็วงถ้ำสามแห่งที่ดูเข้าท่า

ถ้ำที่ใกล้ที่สุดนั้นใกล้เกินไป ถ้าเลือกที่นี่จะทำให้ผมไม่มีทางอื่นนอกจากหั่นเวลาหนีของวันนี้ไปมาก ยังเป็นการให้เวลาสุดสำคัญแก่คนไล่ตามและลดระยะห่างของพวกเราลงด้วย

ถ้ำที่สองเหมาะที่สุดถ้าคิดถึงระยะห่างของมันจากจุดที่ผมอยู่ตอนนี้และหน่วยไล่ตามด้านหลังผม เพียงแต่มันอยู่สุดเหวซึ่งหมายถึงมันอยู่ติดกับจุดตั้งแคมป์ที่หกบนแผนที่

เป็นไปได้มากว่าเฮสเทียจะตั้งวงล้อมระหว่างเหวกับจุดตั้งแคมป์ที่หก ดูจากเวลา เป็นไปได้ที่จะฝ่าไปก่อนวงล้อมจะตั้งเสร็จ

แต่การนอนในถ้ำจะหมายถึงผมจะถูกจับได้ก่อนเที่ยงพรุ่งนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นและผมถูกพากลับหมู่บ้าน ผมต้องถูกจับตาดูไปอีกหลายปีแน่

เฮสเทียจะประกาศกับชาวบ้านว่าผมจะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านต่อจากพ่อและให้ชาวบ้านทุกคนคอยดูแลผม มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ผมต้องฟัดกับสัตว์ประหลาดและปีศาจภายใต้การเฝ้ามอง

เวรเอ๊ย! ถ้ารอไปอีกเดือนแล้วหนีตอนแกล้งทำเป็นออกล่าสัตว์ประหลาดก็หนีออกจากป่าได้ก่อนคนอื่นจะรู้ตัวแล้วไม่ใช่เหรอ?

ไม่สิ ถึงเธอไม่พูดออกมา แต่เฮสเทีย ญาณทิพย์ก็รู้แล้วว่าฉันตั้งใจจะออกจากหมู่บ้าน

ถ้าผมบอกไปว่าจะออกล่า เธอต้องบอกให้กาเวนส่งนักรบมากับผมด้วย ถ้าไม่ เธอคงหาเหตุผลสักข้อและวางตัวผมในหน่วยยามหรือกองรบ สองแห่งนี้มักจะมีการเรียกชื่อและทำงานเป็นหน่วยละสามคนจึงไม่มีโอกาสให้หนี

ก่อนเป็นผู้ใหญ่ก็จะมีผู้ใหญ่ดูแล เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วก็จะมีผู้ร่วมงานอยู่ใกล้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพิธีเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องให้เจ้าของพิธีออกล่าคนเดียวก็เป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากหมู่บ้านตามลำพังโดยไม่มีใครสงสัย

เหลือทางเดียวถ้าผมอยากนอนในถ้ำคืนนี้...

ถ้ำที่สามจะตัดวงล้อมและคนไล่ตามออกไปจากโจทย์

ปัญหาคือ... พลังเวทของฉันจะทนไหวไหม?

***

เหยี่ยวสื่อสารบินวนบนฟ้าแล้วลงมาเกาะข้างเฮสเทีย ดูจากปลอกคอของมันแล้วคงเป็นข้อความจากกาเวน

คนจากกระทรวงต่างประเทศผู้รับผิดชอบด้านการสื่อสารดึงจดหมายออกมาจากของที่ติดตรงขาเหยี่ยวส่งให้เฮสเทียทันที

รายงานตามกำหนด – ดูเหมือนเดนเบอร์กออกนอกเส้นทางเดิมตรงจุด 20 กม. ทิศ 3 นาฬิกาจากโท้ดร็อก และกำลังมุ่งหน้าไปทางเหว ในกรณีที่นี่อาจเป็นการหลอก ได้ทิ้งคนส่วนหนึ่งไว้หาร่องรอยอื่นๆและที่เหลือไล่ตามไป

เฮสเทียอ่านจดหมายและมองแผนที่ๆลากเส้นทางตามรอยทางของเดนเบิร์ก

โท้ดร็อกห่างจากหมู่บ้านประมาณ 900 กิโลเมตร ต่อให้ไม่นับเส้นทางที่ถากถางอย่างดี ร่องรอยของเดนเบอร์กที่กาเวนส่งมาแสดงให้เห็นว่าในสองวันที่ผ่านมาเขาเดินทางได้ไกลไม่น้อย

ถ้าเป็นเธอ ตอนนี้เธอคงเพิ่งถึงจุดตั้งแคมป์ที่สองที่เดนเบอร์กออกนอกเส้นทาง

เมื่อวานเฮสเทียบอกดูมสโตนให้เชื่อว่าการไล่ตามจะยืดเยื้อ แต่เธอบอกไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าเดนเบอร์กจะเดินทางลดเลี้ยวไปขนาดไหน

ที่จริงแล้วเธอคาดว่าจะได้ข้อความบอกว่าน้องชายคนเล็กของเธอถูกจับก่อนเที่ยงวันนี้ แม้กองรบของกาเวนจะมีจำนวนน้อยกว่าหน่วยยามของกัลลาฮาด พวกเขาเป็นคนที่อาศัยอยู่ในป่าและถือป่าเป็นบ้านมากกว่าในหมู่บ้าน ดังนั้นที่เธอเชื่อว่าพวกเขาจะจับเดนเบอร์กได้แล้วก็มีเหตุผล เมื่อคิดว่าว่านักรบยังไล่ตามหลังเดนเบอร์กโดยไม่เจอเขาแม้แต่ครั้งเดียว

เฮสเทียรู้สึกว่าตอนนี้เธอรู้แล้วว่าทำไมดูมสโตนตั้งเดนเบอร์กเป็นผู้สืบทอด

เธอกลับไปตั้งใจอ่านแผนที่อีกครั้ง

แต่ทำไมจู่ๆเดนเบอร์กถึงเปลี่ยนเส้นทาง?

เขาพบว่าข้าตั้งวงล้อมบนทางเดิมเหรอ?

เธอตัดความคิดนั้นออกไปทันที เธอสันนิษฐานว่าเดนเบอร์กคาดเรื่องนี้ไว้แล้ว ดูจากความเร็วของเขามันเหมือนเขาพยายามจะฝ่าวงล้อมไปก่อนมันจะตั้งเสร็จ แม้ไม่ทันเขาคงพยายามฝ่าจุดที่อ่อนแอที่สุดก่อนวงล้อมจะบีบแน่นเกินไป

นั่นเป็นสิ่งที่เธอคิด แต่ดูจากเส้นทางของเดนเบอร์กตอนนี้ เขากำลังมุ่งตรงไปที่เหว ไม่เหมือนเส้นทางก่อนหน้าที่หลอกล่อผู้ตาม ครั้งนี้มันเป็นเส้นตรงชัดเจน

ถ้าเธอสามารถคาดเดาเส้นทางของเขาล่วงหน้าได้ไกลขนาดนี้ หน่วยไล่ตามก็แค่ต้องตรงไปที่เหวและจับเดนเบอร์กโดยไม่ต้องเสียเวลาหาร่องรอยของเขา

แต่แค่นี้เองเหรอ? ข้าพลาดอะไรไป?

ต้องมีสาเหตุให้เขาเปลี่ยนแผนกะทันหัน เขาไม่ใช่คนเปลี่ยนแผนอย่างไม่มีเหตุผล

ขณะที่กำลังคิดแล้วคิดอีก เฮสเทียนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา

“รัฐมนตรีต่างประเทศ!”

“ครับคุณหนู”

“ของที่เดนเบอร์กขโมยไปมีผ้าห่มด้วยไหม?”

รัฐมนตรีต่างประเทศทบทวนครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “มีครับ”

“ผ้าห่มหนาไหม? หนาพอทนความหนาวข้างนอกจุดตั้งแคมป์โดยไม่ต้องจุดไฟไหม?”

“ไม่ครับ ผ้าห่มคงไม่หนาขนาดนั้นเพราะที่จุดตั้งแคมป์เราจัดกระท่อมและฟืนมากพอป้องกันลมฝน”

นั่นไงล่ะ! ต้องใช่แน่!

เฮสเทียวงกลมถ้ำที่ใกล้จุดที่เดนเบอร์กอยู่ทันที

มีถ้ำสองแห่งที่เขาสามารถพักตอนกลางคืน ถ้ำแรกไม่น่าใช่เพราะมันใกล้กับโท้ดร็อกเกินไป ถ้ำที่สองใกล้จุดตั้งแคมป์ที่หกเกินไป

ถ้าการล้อมจับเขาไม่ได้เดี๋ยวนั้น หน่วยไล่ตามที่ตั้งวงล้อมก็ต้องกลับไปยังจุดตั้งแคมป์ที่หก

เดนเบอร์กไม่โง่เสี่ยงนอนติดกับคนที่กำลังตามจับเขา เขาตรงไปยังหุบเขา

ผ้าห่มบางเกินไปสำหรับอากาศตอนกลางคืน... เข้าใจล่ะ

“รบกวนเตรียมเหยี่ยวสื่อสารเดี๋ยวนี้เลย!” เฮสเทียร้องด้วยตาเป็นประกาย

*** 

“เจอแล้ว! เจอนายน้อยแล้ว!”

ผมได้ยินเสียงของคนไล่ตามดังแว่วมา ไม่รู้ว่าเป็นยามหรือนักรบแต่น่าจะเป็นนักรบ

เวรเอ๊ย! มาเร็วกว่าที่คิดไว้อีก!

ตอนนี้เป็นเวลา 1 ทุ่ม ตามที่ผมคาดเดาไว้มันควรยังมีระยะห่างอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง คาดไม่ถึงว่าผมจะเผชิญหน้ากับพวกเขาก่อนเวลา

“นายน้อย! หยุดเถอะครับ!”

เสียงคุ้นเคยดังจากข้างหลังผม คนๆนั้นคือรองผู้บัญชาการแมค เพื่อนและมือขวาของกาเวน

“คนแบบไหนจะหยุดเมื่อถูกบอกให้หยุดกัน!”

ผมวิ่งหนีสุดแรง ผมยังไม่พ้นป่า พูดให้ชัดคือ ผมยังไม่ถึงขอบเหว

หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น ผมจะได้เปรียบกว่าถ้ามีขอบเหวอยู่ด้านหลังเพื่อตัดโอกาสการจู่โจมจากข้างหลัง นี่คือกลยุทธ์ “ตีกลองหันหลังให้แหล่งน้ำ” และเป็นวิธีเดียวที่ใช้สู้กับนักรบที่เคลื่อนไหวเป็นกลุ่มและแทบจะร่อนผ่านต้นไม้ ถ้าผมสู้กับนักรบในป่าก็เหมือนบอกให้พวกเขาจับตัวผม

ผมต้องวิ่งให้เร็วที่สุด ในที่สุดผมก็มาถึงรอยแยก

ยินดีต้อนรับสู่ซัมมอนเนอร์ริฟท์!

“เดนเบอร์ก!”

เมื่อได้ยินเสียงกาเวน ผมหันหลังพร้อมชักดาบออกมา ผมไม่คิดใช้มันสู้แต่มันใช้ขู่ได้ดี

เช้ง! เช้ง! เช้ง!

คนไล่ตามมารวมด้านหลังกาเวนและชักดาบของพวกเขาออกมา

เอ่อ ไม่ขู่พวกเขาจะดีกว่าไหม? 

“ว้าว นี่มาจับหรือมาฆ่าข้ากันแน่?”

ด้วยคำถามหยอกเล่นของผม นักดาบดูอึดอัด พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายผม หรือถ้าผมบาดเจ็บก็ต้องไม่เกินกว่าบาดแผลเล็กๆน้อยๆ แน่นอนผมก็ทำร้ายพวกเขาไม่ได้เหมือนกัน แม้พวกเขาจะมาจับผมแต่พวกเราก็ยังเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน

อย่างเลวร้ายที่สุด ถ้าผมถูกพากลับหมู่บ้าน ผมต้องใช้ชีวิตต่อไปโดยรู้ว่าตัวเองได้สร้างบาดแผลบนร่างพวกเขา

“น้องเล็ก มันจบแล้ว กลับหมู่บ้านกันเถอะ” พี่รองพูดแล้วชักดาบออกมา

สวัสดี เราแก้ปัญหากันอย่างสันติด้วยคำพูดไม่ได้เหรอ

สู้กับกาเวนด้วยดาบก็เหมือนวิ่งแข่งกับยูเซน โบลต์ เอาเถอะ ผมอาจเอาชนะได้ถ้าโกงสักหน่อย แต่ในสถานการณ์นี้มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

ผมไม่ควรสู้เพราะมันจะทำให้ผมหมดแรง

“พี่ รู้ไหมทำไมอิท*จิถึงแข็งแกร่ง?”

“ใครคืออิท*จิ เขาแข็งแกร่งกว่าข้าหรือ?” กาเวนถาม ไฟในดวงตาลุกโชน

แต่ผมไม่สนใจคำถามพี่และพูดต่อ “เพราะเขาหนีทันที”

“อะไรนะ?!”

กาเวนไม่เข้าใจ เขาคงไม่มีวันเข้าใจ

ผมย่อตัวลงแล้วกระโจนถอยหลัง

“นี่คือทางหนีของข้า! โจ**!”

กระโดดลงเหวด้านหลัง ผมถูกความกลัวครอบงำไปครู่หนึ่งจากความรู้สึกหล่นวูบและความมืดไร้ที่สิ้นสุดของรอยแยก

ตอนนั้นเอง ผมได้ยินเสียงพี่รองตะโกนตามหลัง

“ใครคือโจ**? เขาแข็งแกร่งกว่าข้าเหรอ!”

เฮ้ พี่ชาย น้องพี่กระโดดจากเหวนะ พี่สนใจตัวการ์ตูนมากกว่าห่วงน้องนี่ไม่มากไปหน่อยเหรอ?


สารบัญ                                     บทที่ 8



ยูเซน โบลต์ - นักวิ่งระยะสั้น เหรียญทองโอลิมปิก 3 สมัย

โอรา! โอรา! โอรา! โอรา! 

มุดะ! มุดะ! มุดะ! มุด้า!





วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 6

บทที่ 6 – หนีออกจากบ้าน (6)


กลุ่ม 1 กับกลุ่ม 2 ที่ผ่านจุดตั้งแคมป์ที่สองไปตอนนี้อยู่ใกล้บริเวณจุดตั้งแคมป์ที่สี่ จุดตั้งแคมป์ที่ใกล้ขอบเหวที่สุดคือจุดตั้งแคมป์ที่หก ดังนั้นถ้าสองกลุ่มเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นรูปพัดเริ่มจากขอบเหวมาถึงจุดตั้งแคมป์ที่หกแล้ว, รวมกับกลุ่มที่เจอร่องรอยของเดนเบอร์ก, พวกเขาสามารถออกไล่ล่าโดยรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน

เฮสเทียผูกกระดาษที่เขียนแผนการนี้กับขาเหยี่ยวสื่อสารและส่งมันออกไป

***

กริ๊ง กริ๊ง!

เสียงดังกะทันหันทำให้ผมสะดุ้งตื่น

“อ๊ะ!”

เพราะผมขยับตัวจึงเกือบร่วงจากกิ่งไม้ขนาดใหญ่กว่าตัวผมสองเท่า สุดท้ายผมทรงตัวไว้ได้และมองไปรอบๆ

ในป่ายังมืด แต่มองท้องฟ้าไกลๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มก็เข้าใจได้ว่ามันใกล้เช้าแล้ว

กริ๊ง กริ๊ง!

ผมหยิบนาฬิกาออกมาปิดเสียงปลุกอย่างโล่งอกที่ได้รู้ว่าเสียงมันมาจากนาฬิกาในกระเป๋าเสื้อของผม

5:45 น.

ผมถูหน้าปลุกตัวเอง

มีหมู่ดาวเป็นตัวบอกทาง ผมเดินทางจนถึงห้าทุ่ม เมื่อตัดสินใจว่าเดินทางต่อมันจะอันตรายเกินไปผมก็ปีนต้นไม้ใกล้ๆ หลับบนกิ่งของมัน

อา หนาวจริง แม้ใกล้ฤดูร้อนแล้วกลางคืนในป่ายังหนาวจนผ้าห่มบางเอาไม่อยู่ ที่จริงถึงผมจะเรียกที่นี่ว่าป่า แต่บริเวณหลังหมู่บ้านถือเป็นหนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดของโลกและป่าก็เป็นทิวเขากลายๆ

ผมเก็บข้าวของและปีนลงต้นไม้ แม้จะห่มผ้าห่มอยู่ก็ยังตัวสั่นด้วยความหนาว ผมอยากจุดไฟให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น แต่ทำอย่างนั้นในสถานการณ์นี้ก็ไม่ต่างจากกรีดเลือดตัวเองต่อหน้าสุนัขล่าเนื้อให้กลิ่นเลือดแรงกว่าเดิม

ผมหยิบเนื้อแห้งหนึ่งชิ้นจากกระเป๋าเข้าปาก จากนั้นเอียงถุงน้ำอย่างระมัดระวังเพื่อรินน้ำใส่แก้วมิธริลที่สลักเวทมนตร์ไว้ การควบคุมปริมาณน้ำสำรองเป็นสิ่งสำคัญขณะถูกไล่ล่า ผมไม่รู้เลยว่าจะได้เติมน้ำเมื่อไหร่ดังนั้นหยดน้ำแม้แต่หยดเดียวก็สามารถเปลี่ยนผลของการไล่ล่า

เมื่อรินน้ำใส่แก้วมิธริลผมก็ใส่พลังเวทเข้าไป แก้วไม่มีปฏิกิริยา สมกับที่เป็นหนึ่งในเจ็ดเขตหวงห้ามของทวีป จะใส่พลังเวทเข้าไปในแก้วให้ดียังยาก

หลังจากผมอัดพลังเวทเข้าไปมากกว่าเดิม สลักเวทมนตร์ในที่สุดก็เรืองแสงจางๆ น้ำเริ่มมีไออุ่นลอยออกมา ถ้าเป็นในหมู่บ้าน ใส่พลังเวทขนาดนี้เข้าไปในแก้วน้ำก็จะระเหยไปทันที แต่ที่นี่แค่เพิ่มอุณหภูมิน้ำให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก็ยากแล้ว ผมต้องเก็บพลังเวทไว้เผื่อฉุกเฉินจึงไม่กล้าอุ่นอะไรไปมากกว่าน้ำหนึ่งแก้ว

หมู่บ้านของผมตั้งอยู่ตรงกลางป่าโอลิมปัสซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะสัญลักษณ์ของภูเขาโอลิมปัส ไม่เกินไปเลยหากจะบอกว่าป่านี้คือดินแดนต้องห้ามของนักเวท พลังเวทแลบไปแลบมาและการไหลเวียนของมันในป่าไม่แน่ไม่นอน เพราะเหตุนี้ ถ้าใช้เวทสร้างไฟก็จะเห็นบ่อยๆว่าไฟที่สร้างขึ้นนั้นเหมือนไฟจากไม้ขีด  ในกรณีสุดโต่งจริงๆ ร่างของคนร่ายอาจติดไฟและถูกไฟคลอกตาย

ในหมู่บ้าน การใช้เวทจะง่ายเพราะนักเวทหลายต่อหลายรุ่นสลักอักษรรูนสำหรับรักษาเสถียรภาพของพลังเวท นอกหมู่บ้านไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะอย่างนี้พ่อถึงมองเวทมนตร์เป็นแค่กลหลอกเด็ก

ผมดื่มน้ำอุ่นแล้วสะพายกระเป๋า ห่างไปดวงอาทิตย์กำลังขึ้น เปลี่ยนท้องฟ้าเป็นสีแดงและน้ำเงิน

ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง

*** 

ตอนรุ่งสาง ข่าวมาถึงบอกว่าหน่วยไล่ตามจะเริ่มออกไล่ตามอีกครั้ง

กาเวนเป็นหัวหอกพร้อมกับกองรบของเขา ขณะที่กัลลาฮาดนำหน่วยยามอยู่ข้างหลัง หน่วยไล่ตามกำลังมุ่งหน้าไปยังจุดตั้งแคมป์ที่หกโดยใช้เส้นทางบนแผนที่ตามคำสั่งของเฮสเทียเมื่อคืนก่อน ไม่ว่าเดนเบอร์กจะเร็วแค่ไหนก็ไม่เร็วไปกว่าคนที่เดินทางบนเส้นทางที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี

ถึงกระนั้น เฮสเทียยังตัดสินใจเตรียมแผนสำรองเอาไว้

***

ผ่านบ่ายโมงครึ่ง ผมตัดสินใจพักกินมื้อเที่ยง

ผมเอาเนื้อแห้งและขนมปังแห้งออกจากกระเป๋า อมให้มันค่อยๆนุ่มเพื่อไม่ให้ติดคอพร้อมกับดูแผนที่ไปช้าๆ

การเรียนอ่านแผนที่สมัยอยู่ในกองทัพเมื่อชาติที่แล้วของผมกลายเป็นให้ประโยชน์กว่าที่คาด แม้ผมจะไม่กลับเข้ากองทัพอีกแน่ๆ (หรือต่อให้อยากก็ทำไม่ได้อยู่ดี) ผมก็ได้กระจ่างแจ้งถึงคำว่ารู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม

ตอนวางแผนออกจากหมู่บ้านผมเคยคิดจะเข้ากองทัพของจักรวรรดิ ลุงของผมมีตำแหน่งสูงในกองทัพ ผมจึงคิดว่าถ้าเข้ากองทัพคงได้ใช้ชีวิตสะดวกสบาย

ทีแรกผมคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี แต่คิดไปคิดมากลับนึกได้ว่าที่จริงมันเป็นความคิดที่แย่มาก ผมคงบ้าไปแล้ว มันคือกองทัพ แม้แต่ในกองทัพเกาหลีที่สร้างบนรากฐานของการรบสมัยใหม่ที่มีเครื่องบินเจ็ทบินบนฟ้า ทหารราบหกพันคนยังต้องถูกฝึกบนเขาและผ่านความเจ็บปวดยากลำบากทุกอย่าง

การทหารในชาติก่อนของผมสงบสุขเพราะมีสัญญาสงบศึก กองทัพของจักรวรรดิตอนนี้ต้องดิ้นรนกับการสกัดกั้นสัตว์ประหลาดและปีศาจที่ราชาปีศาจนำมาเมื่อ 120 ปีก่อน ไม่นับกองลาดตระเวน กองกำลังป้องกันในเมืองหลวง และกองกำลังปกป้องชายแดนแล้ว กองทัพของจักรวรรดิทุ่มกำลังคนทั้งหมดเพื่อหยุดสัตว์ประหลาดและปีศาจที่ลงมาจากชายแดนทางเหนือ

ถ้าผมเข้ากองทัพจักรวรรดิโดยอาศัยลุง เป็นไปได้ว่าเขาจะเอาผมไปชายแดนทางเหนือและบังคับให้ผมสู้กับสัตว์ประหลาดไปทั้งชีวิต

เรื่องนั้นยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ทำไมผมถึงลงแรงไปมากมายเพื่อออกจากหมู่บ้านตั้งแต่แรก? เพื่อชีวิตสงบสุขไร้ความรุนแรงไม่ใช่หรือไง?

ความฝันสูงสุดของผมคือการมีรายได้พอควรด้วยการทำงานประเภทนั่งโต๊ะและใช้ชีวิตให้เต็มที่

ผมลุกขึ้นหลังกินเสร็จ

มาส่งกำลังใจให้อนาคตอันรุ่งโรจน์กัน!

***

“กัปตัน”

แมค รองกัปตันของกองรบเรียกกาเวนขณะพวกเขาไล่ตามเดนเบอร์ก

“มีอะไร?”

“มีอย่างนึงที่ข้าไม่เข้าใจ”

“อะไร?”

“ถึงคนหนีจะเป็นนายน้อยก็เถอะ พวกเราต้องทุ่มกำลังคนขนาดนี้เพื่อคนๆเดียวเหรอ? หรือว่านายน้อยขโมยสมบัติล้ำค่าของหมู่บ้านไปด้วย?”

ที่แมคถามก็ถูก กาเวนมุ่งแต่จะตามจับเดนเบอร์จนไม่ได้อธิบายอะไรกับเหล่านักรบ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาติดใจ

“ทำไมเจ้าไม่ถามตอนพวกเราออกมา?”

แมคตอบพลางเกาท้ายทอย “เอ่อ ตอนนั้นข้าไม่ทันคิด ถ้าคิดก่อนทำก็ไม่ใช่พวกเราสิ”

กาเวนถอนหายใจใส่ลูกน้องที่หัวเราะคิกคักกับตัวเอง “ทำไมคิดเรื่องที่เจ้าไม่ปกติไม่เคยคิด พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกไหมนี่?”

“เคะๆ ข้าก็ว่างั้น พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตก”

แมคที่กำลังหัวเราะจู่ๆก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมาหน่อย “ตอนออกล่า ข้ามักจะไม่คิดเรื่องอื่นเพราะความกดดัน แต่เวลานี้พวกเราไม่มีอันตราย พวกเราแค่กำลังตามจับนายน้อยและพาเขากลับไปหาหัวหน้า แค่มันน่าตกใจที่พวกเต่าที่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านมากับพวกเราด้วย”

เต่าเป็นชื่อเล่นของยามที่แทบไม่เคยออกจากหมู่บ้าน พวกเขาช้ากว่าเมื่อเทียบกับนักรบและการไม่ออกจากหมู่บ้านทำให้เหมือนกับเต่าที่ซ่อนตัวอยู่ในกระดอง จึงกลายเป็นชื่อเล่นที่มีคนหนึ่งสร้างขึ้นและแพร่ไปจนสุดท้ายทุกคนเรียกยามว่าเต่า

แน่นอน คนถูกเรียกโกรธ แต่ใช่ว่าชื่อนี้จะไม่มีเหตุผลเลย

“ตกลงว่าตอนเดนเบอร์กหนีออกจากบ้าน เขาเอาสมบัติของหมู่บ้านไปด้วย?”

“ใช่ ทุกคนคิดอย่างนั้น” แมคตอบตรงๆ

“อืม ก็ไม่ผิดนะ”

“อะไรนะ?! นายน้อยเอาสมบัติหมู่บ้านหนีไปจริงๆเหรอ?! พระเจ้า! ข้าอยู่ในหมู่บ้านมาตั้งนานไม่รู้เลยว่ามีสมบัติด้วย”

“ทำไม? ถ้ารู้เจ้าจะเอามันหนีไปเหรอไง?”

แมคโบกมือเบาๆปัดคำถามกาเวนไป “โฮ่ย กัปตันกับนายน้อยเป็นลูกชายของหัวหน้า ถ้าถูกจับได้พวกท่านก็แค่โดนลงโทษนิดหน่อย ถ้าเป็นข้าหนีไปกับสมบัติแล้วถูกจับได้คงถูกประหารตรงนั้น”

“ไม่ ถ้าหนีไปกับสมบัติที่ต้องไล่ตามกันขนาดนี้ แม้จะเป็นพวกข้าก็ไม่จบแค่การลงโทษธรรมดาหรอก”

แมคถามโดยไม่สนใจคำของกาเวน “ตกลงนายน้อยขโมยอะไร?”

“ไม่ได้ขโมยอะไร”

กาเวนตอบ แมคกระซิบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เฮ้ ตรงนี้มีแค่ข้ากับกัปตัน ตอบมาเถอะ”

“ไม่มีจริงๆ เขาเอาไปแค่อาหารแห้งกับแผนที่”

แล้วก็เงินกับผ้าห่มด้วย แต่นั่นไม่สำคัญ

“อะไร? แต่ท่านบอกว่าเขาขโมย?” แม้จะพูดอย่างนั้น น้ำเสียงแมคเหมือนจะถามว่าทำไมเขาโกหก

กาเวนแค่นเสียง “ตอนไหน? ข้าแค่บอกว่าเขาทำคล้ายๆแบบนั้นแต่ไม่เคยบอกว่าเขาขโมยอะไร”

“งั้นมันอะไร? กัปตัน หรือท่านกำลังจะพูดเหลวไหลว่าตัวนายน้อยเป็นสมบัติ?”

“ถูกต้อง”

ฟังคำพูดของกาเวนแล้วแมคหยุดมองหาร่องรอยแล้วถอยห่างจากกาเวนด้วยสีหน้าระแวง

“ตลกสิ้นดี ข้าไม่นึกว่าท่านจะเป็นพวกบ้ากาม!”

“ใครบ้ากาม!”

‘ถอนหนวดแพะนั่นออกมาซะเลยดีกว่า’

กาเวนคิดอย่างนั้น และแมคยกมือบังหนวดของเขาทันทีแล้วพูด “นั่นมันสายตาจ้องทำร้ายหนวดเรียวงามของข้า!”

แทนที่จะสงสัยว่าแมคเรียนทักษะอ่านใจมาหรือเปล่า กาเวนโกรธมากกว่าที่เขาปิดหนวดแต่ไม่ยอมปิดปากพูดมาก

กาเวนตัดสินใจจะถอนมันทีหลังแน่นอน แล้วถาม “เจ้าคิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในหมู่บ้าน?”

แมคตอบอย่างไม่ลังเล “สิ่งสำคัญที่สุด แน่นอน คือหัวหน้า”

เป็นคำตอบที่ถูกต้อง

ไม่มีใครในหมู่บ้านแทนที่ดูมสโตนได้ สำหรับชาวบ้าน อาวุธเทพหรือเวทมนตร์ก็ไม่ต่างจากไม้เท้าและมายากลเมื่อเทียบกับดูมสโตนผู้นำหมู่บ้าน

“แล้วมันจะสำคัญขนาดไหนถ้าพ่อมีผู้สืบทอด?”



สารบัญ                                      บทที่ 7