บทที่ 8 – หนีออกจากบ้าน (8)
“ลดแรงโน้มถ่วง! เซมิ-กราวิตี้! ปรับการลอยตัว! ควบคุมการไหลเวียนอากาศ!”
ผมร่ายเวท 4 อย่างในครั้งเดียวขณะบินข้ามฝั่งเหว
ในหมู่บ้าน พลังเวทจะเสถียรและแค่การบินไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทมากนัก แต่ตอนนี้ผมอยู่ในเขตแดนต้องห้ามของโอลิมปัสที่ซึ่งพลังเวทเคลื่อนไหวดุดันเหมือนวัวคลั่ง
ในหมู่บ้าน ผมสามารถใช้เวทบินที่ต้องการพลังเวทมากกว่าห้าเท่าและซับซ้อนกว่านี้ยี่สิบเท่า แต่ถ้าเวทบินที่ว่าเอามาใช้ที่นี่ มันต้องใช้พลังมากกว่าปกติห้าสิบเท่า พูดง่ายๆว่า ด้วยพลังเวทที่ผมมีตอนนี้ ผมคงไปได้ไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร
ถ้าใส่ขั้นตอนซับซ้อนที่ผมพัฒนาขึ้นเข้ากับเวทก็คงลดระดับสิ้นเปลืองพลังเวทได้มาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องเสียพลังเวทไปเยอะอยู่ดี
รอยแยกกว้างสิบกิโลเมตรมันกว้างจนน่าจะเรียกว่าหุบเขามากกว่า ผมผ่านมันไปได้อย่างเฉียดฉิวด้วยปริมาณพลังเวทที่ผมมี
***
กาเวนนิ่งอึ้งมองเดนเบอร์กบินห่างไป
ถ้าเป้าหมายเป็นสัตว์ประหลาดหรือปีศาจไม่ใช่น้องชายของเขา เขาจะผนึกพลังเวทกับลูกศรและยิงมันร่วง แต่เดนเบอร์กเป็นเป้าหมายที่ต้องจับเป็น
“หา...กัปตัน เขาบินแบบนั้นก็ได้เหรอ?”
แมค ยืนข้างกาเวนก็มองร่างที่บินจากไปอย่างทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เขายังถามเป็นนัยๆว่าทำไมถึงไม่เตือนเรื่องนี้
แต่ คำตอบของกาเวนคือ... “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
มันจริง กาเวนรู้ว่าน้องของเขาใช้เวทมนตร์ได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นนักเวทที่เก่งกาจถึงขั้นสามารถบินได้ในป่านี้ แม้ตัวเขาเองจะใช้ได้เพียงเวทง่ายๆ แต่ในฐานะคนใช้เวทเป็น เขาตกตะลึงที่เห็นเดนเบอร์กบินในป่าได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆ
นักเวทที่เก่งที่สุดของหมู่บ้าน ผู้เฒ่าเมอร์ปา ก็เชื่อว่าการบินนอกหมู่บ้านเป็นเรื่องโง่เขลาที่มีแต่คนโง่ขั้นแทงศีรษะตัวเองเท่านั้นที่จะทำ
แต่นี่เขาบินเป็นสิบกิโลเมตรข้ามรอยแยกที่ไม่ทราบความลึก...
กาเวน แมค และสมาชิกคนอื่นๆรู้สึกว่าเดนเบอร์กก็เหมือนดูมสโตน สัตว์ประหลาดที่ไปไกลเกินระดับของมนุษย์
“กัปตัน! เราได้ข้อความจากผู้บัญชาการ!”
กาเวนเอาจดหมายจากนักรบมาอ่าน
ด่วน – คาดเดาว่าเดนเบอร์กจะ‘บิน’ข้ามรอยแยก จับเป็นเขาก่อนจะถึงจุดนั้น หากล้มเหลว ให้เลิกไล่ตามและไปถึงจุดตั้งแคมป์ที่เจ็ดในเจ็ดโมงเช้าพรุ่งนี้
กาเวนอ่านจดหมายไปขนลุกไป เฮสเทียอยู่ในหมู่บ้านชัดๆ แต่เธอคาดเดาถูกโดยใช้ข้อมูลที่เขาส่งไป
หากกาเวนไม่เห็นเดนเบอร์กบินข้ามเหว เขาคงถือการคาดคะเนของเธอเป็นเรื่องเหลวไหล แต่เด็กนั้นบินข้ามเหวจริงๆ และเธอสรุปเอาจากเรื่องเล็กน้อยแค่เขาเปลี่ยนเส้นทาง
“ไปต่อ!”
“ครับ!”
กาเวนฝืนยิ้ม ถึงพวกเขาจะเป็นพี่น้อง แต่พวกเขาเหมือนสัตว์ประหลาดเสียมากกว่า
***
ผมเห็นอีกฝั่ง โชคดีที่ตอนบินมีลมช่วยและสามารถข้ามรอยแยกด้วยพลังเวทน้อยกว่าที่คาดไว้มาก ผมเหลือพลังเวทคร่าว 25%
ตามที่ผมคำนวณไว้ ผมควรเหลือเวท 10% และต้องพักครู่หนึ่ง แต่เมื่อเหลือพลังเวทมากเท่านี้ ผมคิดว่าจะตรงไปพักที่ถ้ำเลย
เมื่อจอดบนอีกฝั่ง ผมยืดเส้นยืดสายที่เกร็งจากการบิน จู่ๆผมก็รู้สึกว่ามีคนอยู่ ต้องเป็นคนจากหมู่บ้านแน่
“ออกมา!” ผมชักดาบออกจากฝักและตะโกน
หน่วยไล่ตามมีนักรบและยาม ในเมื่อนักรบไล่ผมจากข้างหลัง คนที่บังอยู่ข้างหน้าก็น่าจะเป็นยาม
ยามเป็นพวกบ้าการต่อสู้ หากผมดึงดาบออกมาพวกเขาย่อมออกมาเผชิญหน้ากับผมแน่
ใช่เลย ยามสามคนเผยตัวออกมาจากป่า
แค่สามคน? ที่สำคัญกว่าคือพวกเขารู้ได้ยังไงว่าฉันบินข้ามหน้าผาได้?
พวกเขาอยู่ที่นี่แปลว่ากัลลาฮาดหรือเฮสเทียเป็นคนสั่ง พี่ชาย ถ้าไม่ใช่ระหว่างต่อสู้ เขาไม่ฉลาดถึงขั้นคาดเดาการเคลื่อนไหวล่วงหน้าของผมได้ ต้องเป็นพี่สาวคนโตของผม
แผนของเฮสเทียควรเป็นกาเวนตามรอยของผมและกัลลาฮาดตามมาสร้างวงล้อม แต่เห็นได้ชัดว่ามีคนรอผมจากอีกด้านของหน้าผา ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้สามข้อ
ข้อแรก เฮสเทียคิดว่าผมจะบินข้ามหน้าผาตั้งแต่แรก ข้อสอง เธอสรุปว่าผมจะบินข้ามหน้าผาเมื่อเห็นผมเปลี่ยนเส้นทาง และข้อสาม เธอสร้างวงล้อมแต่ก็ส่งคนจำนวนหนึ่งมาอีกด้านด้วยเผื่อว่าผมจะบินข้ามมา
ข้อสองคงไม่ใช่ ต่อให้จริงก็ยังไม่มีเวลามากพอจะส่งคนข้ามรอยแยก อีกอย่าง เฮสเทียไม่มีข้อมูลมากพอจะเชื่อว่าผมมีความสามารถบินข้ามหน้าผาได้ เช่นเดียวกับไม่มีข้อมูลมากพอจะรู้ถึงจุดประสงค์ของผมในการข้ามหน้าผา
แต่ความเป็นไปได้ข้อแรกก็ไม่ใช่เหมือนกัน เพราะแผนนั้นเท่ากับจะไม่มีวงล้อม เฮสเทียเป็นคนรอบคอบจึงไม่ใช้แผนการอาจหาญแบบนั้น หรือต่อให้ใช้ก็ไม่ส่งมาแค่สามคน
ตัวตนที่ผมรู้สึกได้ตอนนี้มีเพียงสามคนข้างหน้าผม ดังนั้นจึงเหลือแค่ความเป็นไปได้ข้อสาม และคนพวกนี้คือคนที่พี่สาวของผมวางเป็นหลักประกันเผื่อไว้
หรือก็คือ วงล้อมของพวกเขาหยุดผมไม่ได้
“อะไร? ทำไมถึงยิ้มล่ะ?”
ยามคนหนึ่งถามอย่างไม่พอใจ
อุ๊บ ดูเหมือนหน้าผมจะเปิดเผยความคิดในใจ
แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ? ในสถานการณ์ร้อนรนแบบนี้ ขณะที่คิดว่าจะถูกจับ ผมได้เห็นความหวัง ผมทำได้แต่ขอโทษ
“ขอโทษ ข้าต้องไปล่ะ”
“หยุดเขา!”
ยามตะโกนอย่างลนลานขณะมองผมพุ่งเข้ามา
ขอโทษนะ แต่พวกนายสามคนหยุดฉันไม่ได้
***
ข้อความของกาเวนมาถึงที่ทำงานหัวหน้าหมู่บ้านที่ตอนนี้กลายเป็นศูนย์บัญชาการ มันบอกว่าเขาตามเดนเบอร์กจนทัน แต่ฝ่ายหลังกระโดดลงหน้าผาและบินข้ามไป
ที่จริงเฮสเทียก็ยังสงสัยในข้อสรุปของเธอแม้กระทั่งตอนส่งคำสั่งออกไป ผู้เฒ่าเมอร์ปาที่เป็นถึงระดับจอมเวทเมื่อได้ยินข้อสมมุตินี้ก็ยังส่ายศีรษะปฏิเสธ
ถึงกระนั้น การกระทำของเดนเบอร์กจะไม่สามารถอธิบายได้หากไม่มีข้อสมมุตินี้ อีกอย่างก็มีหลักฐานว่าเขาอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการใช้วิธีสุดโต่ง ด้วยเหตุนี้เฮสเทียจึงส่งคำสั่งอย่างมั่นใจให้หน่วยไล่ตามเคลื่อนไหว
ผลคือ ข้อสมมุติว่าเดนเบอร์กเป็นจอมเวทที่เหนือกว่าผู้เฒ่าเมอร์ปาและมีเวทบินบทพิเศษได้รับการพิสูจน์
ก็นะ เดนเบอร์กมักจะพูดถึงทฤษฎีและการศึกษาที่ไม่สามารถเข้าใจได้ เฮสเทียเคยถามว่าถ้าบินท้องฟ้าจะรู้สึกอย่างไร เขาแค่ใช้เวทมนตร์ยกตัวเธอขึ้นแทนคำอธิบาย และแม้มันจะเป็นแค่การบินในหมู่บ้านที่พลังเวทยังเสถียรเธอก็ยังได้ลิ้มรสชาติความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้
ได้ลอยในอากาศอยู่ช่วงหนึ่ง เธอถามน้องชาย “ข้าบินได้ยังไง?”
คำตอบ แน่นอน “เวทมนตร์”
มันเป็นคำถามโง่ๆ แต่ตอนนั้นเฮสเทียตื่นเต้นมาก
แทนที่จะหัวเราะกับคำถามที่ตัวเธอเองคิดว่าโง่ เดนเบอร์กกลับอธิบายเรื่องแรงโน้มถ่วง แรงต้านของอากาศและการลอยตัว แม้เฮสเทียจะขาดความรู้ของนักเวท เธอมีวิธีการอนุมานทฤษฎีที่เดนเบอร์กสอนไว้
ไม่ว่านักล่าจะเก่งกาจขนาดไหน จะให้ตามหาร่องรอยเหยื่อในอากาศคงเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องรับหน้าที่ต่อเอง
แม้จะไม่เข้าใจตัวทฤษฎีเต็มร้อย หากเป็นการคำนวณคร่าวๆ ไม่มีเหตุผลที่เธอจะทำตามอย่างเดนเบอร์กไม่ได้ ดังนั้น ใช้จุดที่เขากระโดดจากหน้าผาที่ได้จากกาเวน คู่กับข้อมูลสภาพอากาศในป่าของสิบปีที่ผ่านมา เฮสเทียเริ่มคำนวณหาจุดใกล้เคียงจุดที่เดนเบอร์กลงพื้นมากที่สุด
จากนั้น ใช้สัญลักษณ์ส่วนตัวของเดนเบอร์กที่เรียกว่าฮันกึล เธอเขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบสัญลักษณ์และตัวเลขบนกระดานดำจนในที่สุดก็ได้จุดลงพื้น
ทีนี้ก็มีอย่างเดียวที่เธอทำได้...
ถึงเวลาใช้หลักประกันที่เธอเผื่อไว้ล่วงหน้าแล้ว
เธอส่งเหยี่ยวสื่อสารออกไป
***
“นายน้อย! กลับหมู่บ้านกันเถอะ!”
บ้าจริง! เกิดอะไรขึ้น?
นี่เป็นการเจอกับหน่วยไล่ตามครั้งที่ห้าแล้ว ผมทำให้หน่วยไล่ตามที่เจอครั้งแรกสลบไปแล้วแน่ๆ เพื่อไม่ให้พวกเขารายงานที่อยู่ของผม ตั้งแต่นั้นมา ผมใช้ของเสียจากมังกรเป็นสื่อกลางและร่ายเวทป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดหรือปีศาจเข้าใกล้ เตรียมตัวขนาดนี้แล้ว หน่วยไล่ตามยังตามมาเหมือนรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน!
กระทั่งเจอกับหน่วยไล่ตามเป็นครั้งที่สาม ผมยังเชื่อว่าสุดท้ายก็จะหลุดจากวงล้อมนี้ได้ แต่ตอนนี้ผมถูกบังคับให้คิดใหม่
มันเกิดอะไรขึ้น? วงล้อมแน่นเกินไปแล้ว
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป พลังเวทและพลังกายของผมจะหมดและถูกจับได้
อะไรมันผิดไปนะ? ฉันพลาดอะไรไป?
กลับไปที่จุดเดิมดีไหม ไม่ ผมข้ามเหวมาแล้วและไม่มีพลังเวทจะกลับไป ตั้งแต่จุดที่ข้ามรอยแยกมาผมก็คิดถึงความเป็นไปได้สามข้อ
สามัญสำนึกบอกว่าข้อแรกมันผิด ต่อให้ผมคิดเท่าไหร่ เฮสเทียก็ไม่ใช่คนโง่ที่เดิมพันด้วยสัญชาติญาณหากไม่มีแม้แต่ข้อมูลแน่นอน ความเป็นไปได้ข้อสองนั้นที่จริงแล้วไม่น่าจะใช่ แต่ศัตรูคือพี่สาวคนโต มันจึงไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่มีหลักฐานว่าเธอมีข้อสรุปแบบนั้น และต่อให้เธอมี ก็ไม่มีเวลามากพอให้เธอสร้างวงล้อมแน่นหนาแบบนี้
ไม่ว่าจะคิดยังไง ก็เหลือความเป็นไปได้ข้อสามอย่างเดียว ผมเกือบแน่ใจว่า...
“เฮ้! อย่ากวนสิ!”
ผมเหวี่ยงดาบใส่ดาบของยามที่คอยโจมตีใส่ผม
บ้าเอ๊ย! ผมต้องคิด แต่เขาจ้องจะก่อกวนผมโดยแทงๆหลบๆเหมือนแมลงวัน
เหมือนเขาพยายามถ่วงเวลา...
เดี๋ยวนะ เขากำลังพยายามถ่วงเวลาอยู่เหรอ?
ทำไม? วงล้อมหนาแน่นขนาดนี้ จะทำแบบนั้นไปทำไม
เดี๋ยว นี่ใช่วงล้อมหนาแน่นจริงน่ะ? เหมือนฉันจะพลาดข้อนี้ไปนะ
คิดสิ คิด คิด...
“นายยังไม่ได้ตั้งวงล้อมเลยล่ะสิ?”
มันเป็นการสันนิษฐาน แม้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์แต่ผมก็พูดอย่างมั่นใจ
“!!!”
นั่นไงล่ะ! ยามสะดุ้งกับคำพูดของผม
ฉันรักคนเรียบง่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น