บทที่ 6 – หนีออกจากบ้าน (6)
กลุ่ม 1 กับกลุ่ม 2 ที่ผ่านจุดตั้งแคมป์ที่สองไปตอนนี้อยู่ใกล้บริเวณจุดตั้งแคมป์ที่สี่ จุดตั้งแคมป์ที่ใกล้ขอบเหวที่สุดคือจุดตั้งแคมป์ที่หก ดังนั้นถ้าสองกลุ่มเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นรูปพัดเริ่มจากขอบเหวมาถึงจุดตั้งแคมป์ที่หกแล้ว, รวมกับกลุ่มที่เจอร่องรอยของเดนเบอร์ก, พวกเขาสามารถออกไล่ล่าโดยรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน
เฮสเทียผูกกระดาษที่เขียนแผนการนี้กับขาเหยี่ยวสื่อสารและส่งมันออกไป
***
กริ๊ง กริ๊ง!
เสียงดังกะทันหันทำให้ผมสะดุ้งตื่น
“อ๊ะ!”
เพราะผมขยับตัวจึงเกือบร่วงจากกิ่งไม้ขนาดใหญ่กว่าตัวผมสองเท่า สุดท้ายผมทรงตัวไว้ได้และมองไปรอบๆ
ในป่ายังมืด แต่มองท้องฟ้าไกลๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มก็เข้าใจได้ว่ามันใกล้เช้าแล้ว
กริ๊ง กริ๊ง!
ผมหยิบนาฬิกาออกมาปิดเสียงปลุกอย่างโล่งอกที่ได้รู้ว่าเสียงมันมาจากนาฬิกาในกระเป๋าเสื้อของผม
5:45 น.
ผมถูหน้าปลุกตัวเอง
มีหมู่ดาวเป็นตัวบอกทาง ผมเดินทางจนถึงห้าทุ่ม เมื่อตัดสินใจว่าเดินทางต่อมันจะอันตรายเกินไปผมก็ปีนต้นไม้ใกล้ๆ หลับบนกิ่งของมัน
อา หนาวจริง แม้ใกล้ฤดูร้อนแล้วกลางคืนในป่ายังหนาวจนผ้าห่มบางเอาไม่อยู่ ที่จริงถึงผมจะเรียกที่นี่ว่าป่า แต่บริเวณหลังหมู่บ้านถือเป็นหนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดของโลกและป่าก็เป็นทิวเขากลายๆ
ผมเก็บข้าวของและปีนลงต้นไม้ แม้จะห่มผ้าห่มอยู่ก็ยังตัวสั่นด้วยความหนาว ผมอยากจุดไฟให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น แต่ทำอย่างนั้นในสถานการณ์นี้ก็ไม่ต่างจากกรีดเลือดตัวเองต่อหน้าสุนัขล่าเนื้อให้กลิ่นเลือดแรงกว่าเดิม
ผมหยิบเนื้อแห้งหนึ่งชิ้นจากกระเป๋าเข้าปาก จากนั้นเอียงถุงน้ำอย่างระมัดระวังเพื่อรินน้ำใส่แก้วมิธริลที่สลักเวทมนตร์ไว้ การควบคุมปริมาณน้ำสำรองเป็นสิ่งสำคัญขณะถูกไล่ล่า ผมไม่รู้เลยว่าจะได้เติมน้ำเมื่อไหร่ดังนั้นหยดน้ำแม้แต่หยดเดียวก็สามารถเปลี่ยนผลของการไล่ล่า
เมื่อรินน้ำใส่แก้วมิธริลผมก็ใส่พลังเวทเข้าไป แก้วไม่มีปฏิกิริยา สมกับที่เป็นหนึ่งในเจ็ดเขตหวงห้ามของทวีป จะใส่พลังเวทเข้าไปในแก้วให้ดียังยาก
หลังจากผมอัดพลังเวทเข้าไปมากกว่าเดิม สลักเวทมนตร์ในที่สุดก็เรืองแสงจางๆ น้ำเริ่มมีไออุ่นลอยออกมา ถ้าเป็นในหมู่บ้าน ใส่พลังเวทขนาดนี้เข้าไปในแก้วน้ำก็จะระเหยไปทันที แต่ที่นี่แค่เพิ่มอุณหภูมิน้ำให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก็ยากแล้ว ผมต้องเก็บพลังเวทไว้เผื่อฉุกเฉินจึงไม่กล้าอุ่นอะไรไปมากกว่าน้ำหนึ่งแก้ว
หมู่บ้านของผมตั้งอยู่ตรงกลางป่าโอลิมปัสซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะสัญลักษณ์ของภูเขาโอลิมปัส ไม่เกินไปเลยหากจะบอกว่าป่านี้คือดินแดนต้องห้ามของนักเวท พลังเวทแลบไปแลบมาและการไหลเวียนของมันในป่าไม่แน่ไม่นอน เพราะเหตุนี้ ถ้าใช้เวทสร้างไฟก็จะเห็นบ่อยๆว่าไฟที่สร้างขึ้นนั้นเหมือนไฟจากไม้ขีด ในกรณีสุดโต่งจริงๆ ร่างของคนร่ายอาจติดไฟและถูกไฟคลอกตาย
ในหมู่บ้าน การใช้เวทจะง่ายเพราะนักเวทหลายต่อหลายรุ่นสลักอักษรรูนสำหรับรักษาเสถียรภาพของพลังเวท นอกหมู่บ้านไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะอย่างนี้พ่อถึงมองเวทมนตร์เป็นแค่กลหลอกเด็ก
ผมดื่มน้ำอุ่นแล้วสะพายกระเป๋า ห่างไปดวงอาทิตย์กำลังขึ้น เปลี่ยนท้องฟ้าเป็นสีแดงและน้ำเงิน
ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง
***
ตอนรุ่งสาง ข่าวมาถึงบอกว่าหน่วยไล่ตามจะเริ่มออกไล่ตามอีกครั้ง
กาเวนเป็นหัวหอกพร้อมกับกองรบของเขา ขณะที่กัลลาฮาดนำหน่วยยามอยู่ข้างหลัง หน่วยไล่ตามกำลังมุ่งหน้าไปยังจุดตั้งแคมป์ที่หกโดยใช้เส้นทางบนแผนที่ตามคำสั่งของเฮสเทียเมื่อคืนก่อน ไม่ว่าเดนเบอร์กจะเร็วแค่ไหนก็ไม่เร็วไปกว่าคนที่เดินทางบนเส้นทางที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี
ถึงกระนั้น เฮสเทียยังตัดสินใจเตรียมแผนสำรองเอาไว้
***
ผ่านบ่ายโมงครึ่ง ผมตัดสินใจพักกินมื้อเที่ยง
ผมเอาเนื้อแห้งและขนมปังแห้งออกจากกระเป๋า อมให้มันค่อยๆนุ่มเพื่อไม่ให้ติดคอพร้อมกับดูแผนที่ไปช้าๆ
การเรียนอ่านแผนที่สมัยอยู่ในกองทัพเมื่อชาติที่แล้วของผมกลายเป็นให้ประโยชน์กว่าที่คาด แม้ผมจะไม่กลับเข้ากองทัพอีกแน่ๆ (หรือต่อให้อยากก็ทำไม่ได้อยู่ดี) ผมก็ได้กระจ่างแจ้งถึงคำว่ารู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
ตอนวางแผนออกจากหมู่บ้านผมเคยคิดจะเข้ากองทัพของจักรวรรดิ ลุงของผมมีตำแหน่งสูงในกองทัพ ผมจึงคิดว่าถ้าเข้ากองทัพคงได้ใช้ชีวิตสะดวกสบาย
ทีแรกผมคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี แต่คิดไปคิดมากลับนึกได้ว่าที่จริงมันเป็นความคิดที่แย่มาก ผมคงบ้าไปแล้ว มันคือกองทัพ แม้แต่ในกองทัพเกาหลีที่สร้างบนรากฐานของการรบสมัยใหม่ที่มีเครื่องบินเจ็ทบินบนฟ้า ทหารราบหกพันคนยังต้องถูกฝึกบนเขาและผ่านความเจ็บปวดยากลำบากทุกอย่าง
การทหารในชาติก่อนของผมสงบสุขเพราะมีสัญญาสงบศึก กองทัพของจักรวรรดิตอนนี้ต้องดิ้นรนกับการสกัดกั้นสัตว์ประหลาดและปีศาจที่ราชาปีศาจนำมาเมื่อ 120 ปีก่อน ไม่นับกองลาดตระเวน กองกำลังป้องกันในเมืองหลวง และกองกำลังปกป้องชายแดนแล้ว กองทัพของจักรวรรดิทุ่มกำลังคนทั้งหมดเพื่อหยุดสัตว์ประหลาดและปีศาจที่ลงมาจากชายแดนทางเหนือ
ถ้าผมเข้ากองทัพจักรวรรดิโดยอาศัยลุง เป็นไปได้ว่าเขาจะเอาผมไปชายแดนทางเหนือและบังคับให้ผมสู้กับสัตว์ประหลาดไปทั้งชีวิต
เรื่องนั้นยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ทำไมผมถึงลงแรงไปมากมายเพื่อออกจากหมู่บ้านตั้งแต่แรก? เพื่อชีวิตสงบสุขไร้ความรุนแรงไม่ใช่หรือไง?
ความฝันสูงสุดของผมคือการมีรายได้พอควรด้วยการทำงานประเภทนั่งโต๊ะและใช้ชีวิตให้เต็มที่
ผมลุกขึ้นหลังกินเสร็จ
มาส่งกำลังใจให้อนาคตอันรุ่งโรจน์กัน!
***
“กัปตัน”
แมค รองกัปตันของกองรบเรียกกาเวนขณะพวกเขาไล่ตามเดนเบอร์ก
“มีอะไร?”
“มีอย่างนึงที่ข้าไม่เข้าใจ”
“อะไร?”
“ถึงคนหนีจะเป็นนายน้อยก็เถอะ พวกเราต้องทุ่มกำลังคนขนาดนี้เพื่อคนๆเดียวเหรอ? หรือว่านายน้อยขโมยสมบัติล้ำค่าของหมู่บ้านไปด้วย?”
ที่แมคถามก็ถูก กาเวนมุ่งแต่จะตามจับเดนเบอร์จนไม่ได้อธิบายอะไรกับเหล่านักรบ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาติดใจ
“ทำไมเจ้าไม่ถามตอนพวกเราออกมา?”
แมคตอบพลางเกาท้ายทอย “เอ่อ ตอนนั้นข้าไม่ทันคิด ถ้าคิดก่อนทำก็ไม่ใช่พวกเราสิ”
กาเวนถอนหายใจใส่ลูกน้องที่หัวเราะคิกคักกับตัวเอง “ทำไมคิดเรื่องที่เจ้าไม่ปกติไม่เคยคิด พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกไหมนี่?”
“เคะๆ ข้าก็ว่างั้น พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตก”
แมคที่กำลังหัวเราะจู่ๆก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมาหน่อย “ตอนออกล่า ข้ามักจะไม่คิดเรื่องอื่นเพราะความกดดัน แต่เวลานี้พวกเราไม่มีอันตราย พวกเราแค่กำลังตามจับนายน้อยและพาเขากลับไปหาหัวหน้า แค่มันน่าตกใจที่พวกเต่าที่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านมากับพวกเราด้วย”
เต่าเป็นชื่อเล่นของยามที่แทบไม่เคยออกจากหมู่บ้าน พวกเขาช้ากว่าเมื่อเทียบกับนักรบและการไม่ออกจากหมู่บ้านทำให้เหมือนกับเต่าที่ซ่อนตัวอยู่ในกระดอง จึงกลายเป็นชื่อเล่นที่มีคนหนึ่งสร้างขึ้นและแพร่ไปจนสุดท้ายทุกคนเรียกยามว่าเต่า
แน่นอน คนถูกเรียกโกรธ แต่ใช่ว่าชื่อนี้จะไม่มีเหตุผลเลย
“ตกลงว่าตอนเดนเบอร์กหนีออกจากบ้าน เขาเอาสมบัติของหมู่บ้านไปด้วย?”
“ใช่ ทุกคนคิดอย่างนั้น” แมคตอบตรงๆ
“อืม ก็ไม่ผิดนะ”
“อะไรนะ?! นายน้อยเอาสมบัติหมู่บ้านหนีไปจริงๆเหรอ?! พระเจ้า! ข้าอยู่ในหมู่บ้านมาตั้งนานไม่รู้เลยว่ามีสมบัติด้วย”
“ทำไม? ถ้ารู้เจ้าจะเอามันหนีไปเหรอไง?”
แมคโบกมือเบาๆปัดคำถามกาเวนไป “โฮ่ย กัปตันกับนายน้อยเป็นลูกชายของหัวหน้า ถ้าถูกจับได้พวกท่านก็แค่โดนลงโทษนิดหน่อย ถ้าเป็นข้าหนีไปกับสมบัติแล้วถูกจับได้คงถูกประหารตรงนั้น”
“ไม่ ถ้าหนีไปกับสมบัติที่ต้องไล่ตามกันขนาดนี้ แม้จะเป็นพวกข้าก็ไม่จบแค่การลงโทษธรรมดาหรอก”
แมคถามโดยไม่สนใจคำของกาเวน “ตกลงนายน้อยขโมยอะไร?”
“ไม่ได้ขโมยอะไร”
กาเวนตอบ แมคกระซิบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เฮ้ ตรงนี้มีแค่ข้ากับกัปตัน ตอบมาเถอะ”
“ไม่มีจริงๆ เขาเอาไปแค่อาหารแห้งกับแผนที่”
แล้วก็เงินกับผ้าห่มด้วย แต่นั่นไม่สำคัญ
“อะไร? แต่ท่านบอกว่าเขาขโมย?” แม้จะพูดอย่างนั้น น้ำเสียงแมคเหมือนจะถามว่าทำไมเขาโกหก
กาเวนแค่นเสียง “ตอนไหน? ข้าแค่บอกว่าเขาทำคล้ายๆแบบนั้นแต่ไม่เคยบอกว่าเขาขโมยอะไร”
“งั้นมันอะไร? กัปตัน หรือท่านกำลังจะพูดเหลวไหลว่าตัวนายน้อยเป็นสมบัติ?”
“ถูกต้อง”
ฟังคำพูดของกาเวนแล้วแมคหยุดมองหาร่องรอยแล้วถอยห่างจากกาเวนด้วยสีหน้าระแวง
“ตลกสิ้นดี ข้าไม่นึกว่าท่านจะเป็นพวกบ้ากาม!”
“ใครบ้ากาม!”
‘ถอนหนวดแพะนั่นออกมาซะเลยดีกว่า’
กาเวนคิดอย่างนั้น และแมคยกมือบังหนวดของเขาทันทีแล้วพูด “นั่นมันสายตาจ้องทำร้ายหนวดเรียวงามของข้า!”
แทนที่จะสงสัยว่าแมคเรียนทักษะอ่านใจมาหรือเปล่า กาเวนโกรธมากกว่าที่เขาปิดหนวดแต่ไม่ยอมปิดปากพูดมาก
กาเวนตัดสินใจจะถอนมันทีหลังแน่นอน แล้วถาม “เจ้าคิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในหมู่บ้าน?”
แมคตอบอย่างไม่ลังเล “สิ่งสำคัญที่สุด แน่นอน คือหัวหน้า”
เป็นคำตอบที่ถูกต้อง
ไม่มีใครในหมู่บ้านแทนที่ดูมสโตนได้ สำหรับชาวบ้าน อาวุธเทพหรือเวทมนตร์ก็ไม่ต่างจากไม้เท้าและมายากลเมื่อเทียบกับดูมสโตนผู้นำหมู่บ้าน
“แล้วมันจะสำคัญขนาดไหนถ้าพ่อมีผู้สืบทอด?”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น