วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 6

บทที่ 6 – หนีออกจากบ้าน (6)


กลุ่ม 1 กับกลุ่ม 2 ที่ผ่านจุดตั้งแคมป์ที่สองไปตอนนี้อยู่ใกล้บริเวณจุดตั้งแคมป์ที่สี่ จุดตั้งแคมป์ที่ใกล้ขอบเหวที่สุดคือจุดตั้งแคมป์ที่หก ดังนั้นถ้าสองกลุ่มเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นรูปพัดเริ่มจากขอบเหวมาถึงจุดตั้งแคมป์ที่หกแล้ว, รวมกับกลุ่มที่เจอร่องรอยของเดนเบอร์ก, พวกเขาสามารถออกไล่ล่าโดยรวมเป็นกลุ่มเดียวกัน

เฮสเทียผูกกระดาษที่เขียนแผนการนี้กับขาเหยี่ยวสื่อสารและส่งมันออกไป

***

กริ๊ง กริ๊ง!

เสียงดังกะทันหันทำให้ผมสะดุ้งตื่น

“อ๊ะ!”

เพราะผมขยับตัวจึงเกือบร่วงจากกิ่งไม้ขนาดใหญ่กว่าตัวผมสองเท่า สุดท้ายผมทรงตัวไว้ได้และมองไปรอบๆ

ในป่ายังมืด แต่มองท้องฟ้าไกลๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มก็เข้าใจได้ว่ามันใกล้เช้าแล้ว

กริ๊ง กริ๊ง!

ผมหยิบนาฬิกาออกมาปิดเสียงปลุกอย่างโล่งอกที่ได้รู้ว่าเสียงมันมาจากนาฬิกาในกระเป๋าเสื้อของผม

5:45 น.

ผมถูหน้าปลุกตัวเอง

มีหมู่ดาวเป็นตัวบอกทาง ผมเดินทางจนถึงห้าทุ่ม เมื่อตัดสินใจว่าเดินทางต่อมันจะอันตรายเกินไปผมก็ปีนต้นไม้ใกล้ๆ หลับบนกิ่งของมัน

อา หนาวจริง แม้ใกล้ฤดูร้อนแล้วกลางคืนในป่ายังหนาวจนผ้าห่มบางเอาไม่อยู่ ที่จริงถึงผมจะเรียกที่นี่ว่าป่า แต่บริเวณหลังหมู่บ้านถือเป็นหนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดของโลกและป่าก็เป็นทิวเขากลายๆ

ผมเก็บข้าวของและปีนลงต้นไม้ แม้จะห่มผ้าห่มอยู่ก็ยังตัวสั่นด้วยความหนาว ผมอยากจุดไฟให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น แต่ทำอย่างนั้นในสถานการณ์นี้ก็ไม่ต่างจากกรีดเลือดตัวเองต่อหน้าสุนัขล่าเนื้อให้กลิ่นเลือดแรงกว่าเดิม

ผมหยิบเนื้อแห้งหนึ่งชิ้นจากกระเป๋าเข้าปาก จากนั้นเอียงถุงน้ำอย่างระมัดระวังเพื่อรินน้ำใส่แก้วมิธริลที่สลักเวทมนตร์ไว้ การควบคุมปริมาณน้ำสำรองเป็นสิ่งสำคัญขณะถูกไล่ล่า ผมไม่รู้เลยว่าจะได้เติมน้ำเมื่อไหร่ดังนั้นหยดน้ำแม้แต่หยดเดียวก็สามารถเปลี่ยนผลของการไล่ล่า

เมื่อรินน้ำใส่แก้วมิธริลผมก็ใส่พลังเวทเข้าไป แก้วไม่มีปฏิกิริยา สมกับที่เป็นหนึ่งในเจ็ดเขตหวงห้ามของทวีป จะใส่พลังเวทเข้าไปในแก้วให้ดียังยาก

หลังจากผมอัดพลังเวทเข้าไปมากกว่าเดิม สลักเวทมนตร์ในที่สุดก็เรืองแสงจางๆ น้ำเริ่มมีไออุ่นลอยออกมา ถ้าเป็นในหมู่บ้าน ใส่พลังเวทขนาดนี้เข้าไปในแก้วน้ำก็จะระเหยไปทันที แต่ที่นี่แค่เพิ่มอุณหภูมิน้ำให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก็ยากแล้ว ผมต้องเก็บพลังเวทไว้เผื่อฉุกเฉินจึงไม่กล้าอุ่นอะไรไปมากกว่าน้ำหนึ่งแก้ว

หมู่บ้านของผมตั้งอยู่ตรงกลางป่าโอลิมปัสซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะสัญลักษณ์ของภูเขาโอลิมปัส ไม่เกินไปเลยหากจะบอกว่าป่านี้คือดินแดนต้องห้ามของนักเวท พลังเวทแลบไปแลบมาและการไหลเวียนของมันในป่าไม่แน่ไม่นอน เพราะเหตุนี้ ถ้าใช้เวทสร้างไฟก็จะเห็นบ่อยๆว่าไฟที่สร้างขึ้นนั้นเหมือนไฟจากไม้ขีด  ในกรณีสุดโต่งจริงๆ ร่างของคนร่ายอาจติดไฟและถูกไฟคลอกตาย

ในหมู่บ้าน การใช้เวทจะง่ายเพราะนักเวทหลายต่อหลายรุ่นสลักอักษรรูนสำหรับรักษาเสถียรภาพของพลังเวท นอกหมู่บ้านไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะอย่างนี้พ่อถึงมองเวทมนตร์เป็นแค่กลหลอกเด็ก

ผมดื่มน้ำอุ่นแล้วสะพายกระเป๋า ห่างไปดวงอาทิตย์กำลังขึ้น เปลี่ยนท้องฟ้าเป็นสีแดงและน้ำเงิน

ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง

*** 

ตอนรุ่งสาง ข่าวมาถึงบอกว่าหน่วยไล่ตามจะเริ่มออกไล่ตามอีกครั้ง

กาเวนเป็นหัวหอกพร้อมกับกองรบของเขา ขณะที่กัลลาฮาดนำหน่วยยามอยู่ข้างหลัง หน่วยไล่ตามกำลังมุ่งหน้าไปยังจุดตั้งแคมป์ที่หกโดยใช้เส้นทางบนแผนที่ตามคำสั่งของเฮสเทียเมื่อคืนก่อน ไม่ว่าเดนเบอร์กจะเร็วแค่ไหนก็ไม่เร็วไปกว่าคนที่เดินทางบนเส้นทางที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี

ถึงกระนั้น เฮสเทียยังตัดสินใจเตรียมแผนสำรองเอาไว้

***

ผ่านบ่ายโมงครึ่ง ผมตัดสินใจพักกินมื้อเที่ยง

ผมเอาเนื้อแห้งและขนมปังแห้งออกจากกระเป๋า อมให้มันค่อยๆนุ่มเพื่อไม่ให้ติดคอพร้อมกับดูแผนที่ไปช้าๆ

การเรียนอ่านแผนที่สมัยอยู่ในกองทัพเมื่อชาติที่แล้วของผมกลายเป็นให้ประโยชน์กว่าที่คาด แม้ผมจะไม่กลับเข้ากองทัพอีกแน่ๆ (หรือต่อให้อยากก็ทำไม่ได้อยู่ดี) ผมก็ได้กระจ่างแจ้งถึงคำว่ารู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม

ตอนวางแผนออกจากหมู่บ้านผมเคยคิดจะเข้ากองทัพของจักรวรรดิ ลุงของผมมีตำแหน่งสูงในกองทัพ ผมจึงคิดว่าถ้าเข้ากองทัพคงได้ใช้ชีวิตสะดวกสบาย

ทีแรกผมคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี แต่คิดไปคิดมากลับนึกได้ว่าที่จริงมันเป็นความคิดที่แย่มาก ผมคงบ้าไปแล้ว มันคือกองทัพ แม้แต่ในกองทัพเกาหลีที่สร้างบนรากฐานของการรบสมัยใหม่ที่มีเครื่องบินเจ็ทบินบนฟ้า ทหารราบหกพันคนยังต้องถูกฝึกบนเขาและผ่านความเจ็บปวดยากลำบากทุกอย่าง

การทหารในชาติก่อนของผมสงบสุขเพราะมีสัญญาสงบศึก กองทัพของจักรวรรดิตอนนี้ต้องดิ้นรนกับการสกัดกั้นสัตว์ประหลาดและปีศาจที่ราชาปีศาจนำมาเมื่อ 120 ปีก่อน ไม่นับกองลาดตระเวน กองกำลังป้องกันในเมืองหลวง และกองกำลังปกป้องชายแดนแล้ว กองทัพของจักรวรรดิทุ่มกำลังคนทั้งหมดเพื่อหยุดสัตว์ประหลาดและปีศาจที่ลงมาจากชายแดนทางเหนือ

ถ้าผมเข้ากองทัพจักรวรรดิโดยอาศัยลุง เป็นไปได้ว่าเขาจะเอาผมไปชายแดนทางเหนือและบังคับให้ผมสู้กับสัตว์ประหลาดไปทั้งชีวิต

เรื่องนั้นยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ทำไมผมถึงลงแรงไปมากมายเพื่อออกจากหมู่บ้านตั้งแต่แรก? เพื่อชีวิตสงบสุขไร้ความรุนแรงไม่ใช่หรือไง?

ความฝันสูงสุดของผมคือการมีรายได้พอควรด้วยการทำงานประเภทนั่งโต๊ะและใช้ชีวิตให้เต็มที่

ผมลุกขึ้นหลังกินเสร็จ

มาส่งกำลังใจให้อนาคตอันรุ่งโรจน์กัน!

***

“กัปตัน”

แมค รองกัปตันของกองรบเรียกกาเวนขณะพวกเขาไล่ตามเดนเบอร์ก

“มีอะไร?”

“มีอย่างนึงที่ข้าไม่เข้าใจ”

“อะไร?”

“ถึงคนหนีจะเป็นนายน้อยก็เถอะ พวกเราต้องทุ่มกำลังคนขนาดนี้เพื่อคนๆเดียวเหรอ? หรือว่านายน้อยขโมยสมบัติล้ำค่าของหมู่บ้านไปด้วย?”

ที่แมคถามก็ถูก กาเวนมุ่งแต่จะตามจับเดนเบอร์จนไม่ได้อธิบายอะไรกับเหล่านักรบ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาติดใจ

“ทำไมเจ้าไม่ถามตอนพวกเราออกมา?”

แมคตอบพลางเกาท้ายทอย “เอ่อ ตอนนั้นข้าไม่ทันคิด ถ้าคิดก่อนทำก็ไม่ใช่พวกเราสิ”

กาเวนถอนหายใจใส่ลูกน้องที่หัวเราะคิกคักกับตัวเอง “ทำไมคิดเรื่องที่เจ้าไม่ปกติไม่เคยคิด พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกไหมนี่?”

“เคะๆ ข้าก็ว่างั้น พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตก”

แมคที่กำลังหัวเราะจู่ๆก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมาหน่อย “ตอนออกล่า ข้ามักจะไม่คิดเรื่องอื่นเพราะความกดดัน แต่เวลานี้พวกเราไม่มีอันตราย พวกเราแค่กำลังตามจับนายน้อยและพาเขากลับไปหาหัวหน้า แค่มันน่าตกใจที่พวกเต่าที่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านมากับพวกเราด้วย”

เต่าเป็นชื่อเล่นของยามที่แทบไม่เคยออกจากหมู่บ้าน พวกเขาช้ากว่าเมื่อเทียบกับนักรบและการไม่ออกจากหมู่บ้านทำให้เหมือนกับเต่าที่ซ่อนตัวอยู่ในกระดอง จึงกลายเป็นชื่อเล่นที่มีคนหนึ่งสร้างขึ้นและแพร่ไปจนสุดท้ายทุกคนเรียกยามว่าเต่า

แน่นอน คนถูกเรียกโกรธ แต่ใช่ว่าชื่อนี้จะไม่มีเหตุผลเลย

“ตกลงว่าตอนเดนเบอร์กหนีออกจากบ้าน เขาเอาสมบัติของหมู่บ้านไปด้วย?”

“ใช่ ทุกคนคิดอย่างนั้น” แมคตอบตรงๆ

“อืม ก็ไม่ผิดนะ”

“อะไรนะ?! นายน้อยเอาสมบัติหมู่บ้านหนีไปจริงๆเหรอ?! พระเจ้า! ข้าอยู่ในหมู่บ้านมาตั้งนานไม่รู้เลยว่ามีสมบัติด้วย”

“ทำไม? ถ้ารู้เจ้าจะเอามันหนีไปเหรอไง?”

แมคโบกมือเบาๆปัดคำถามกาเวนไป “โฮ่ย กัปตันกับนายน้อยเป็นลูกชายของหัวหน้า ถ้าถูกจับได้พวกท่านก็แค่โดนลงโทษนิดหน่อย ถ้าเป็นข้าหนีไปกับสมบัติแล้วถูกจับได้คงถูกประหารตรงนั้น”

“ไม่ ถ้าหนีไปกับสมบัติที่ต้องไล่ตามกันขนาดนี้ แม้จะเป็นพวกข้าก็ไม่จบแค่การลงโทษธรรมดาหรอก”

แมคถามโดยไม่สนใจคำของกาเวน “ตกลงนายน้อยขโมยอะไร?”

“ไม่ได้ขโมยอะไร”

กาเวนตอบ แมคกระซิบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เฮ้ ตรงนี้มีแค่ข้ากับกัปตัน ตอบมาเถอะ”

“ไม่มีจริงๆ เขาเอาไปแค่อาหารแห้งกับแผนที่”

แล้วก็เงินกับผ้าห่มด้วย แต่นั่นไม่สำคัญ

“อะไร? แต่ท่านบอกว่าเขาขโมย?” แม้จะพูดอย่างนั้น น้ำเสียงแมคเหมือนจะถามว่าทำไมเขาโกหก

กาเวนแค่นเสียง “ตอนไหน? ข้าแค่บอกว่าเขาทำคล้ายๆแบบนั้นแต่ไม่เคยบอกว่าเขาขโมยอะไร”

“งั้นมันอะไร? กัปตัน หรือท่านกำลังจะพูดเหลวไหลว่าตัวนายน้อยเป็นสมบัติ?”

“ถูกต้อง”

ฟังคำพูดของกาเวนแล้วแมคหยุดมองหาร่องรอยแล้วถอยห่างจากกาเวนด้วยสีหน้าระแวง

“ตลกสิ้นดี ข้าไม่นึกว่าท่านจะเป็นพวกบ้ากาม!”

“ใครบ้ากาม!”

‘ถอนหนวดแพะนั่นออกมาซะเลยดีกว่า’

กาเวนคิดอย่างนั้น และแมคยกมือบังหนวดของเขาทันทีแล้วพูด “นั่นมันสายตาจ้องทำร้ายหนวดเรียวงามของข้า!”

แทนที่จะสงสัยว่าแมคเรียนทักษะอ่านใจมาหรือเปล่า กาเวนโกรธมากกว่าที่เขาปิดหนวดแต่ไม่ยอมปิดปากพูดมาก

กาเวนตัดสินใจจะถอนมันทีหลังแน่นอน แล้วถาม “เจ้าคิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในหมู่บ้าน?”

แมคตอบอย่างไม่ลังเล “สิ่งสำคัญที่สุด แน่นอน คือหัวหน้า”

เป็นคำตอบที่ถูกต้อง

ไม่มีใครในหมู่บ้านแทนที่ดูมสโตนได้ สำหรับชาวบ้าน อาวุธเทพหรือเวทมนตร์ก็ไม่ต่างจากไม้เท้าและมายากลเมื่อเทียบกับดูมสโตนผู้นำหมู่บ้าน

“แล้วมันจะสำคัญขนาดไหนถ้าพ่อมีผู้สืบทอด?”



สารบัญ                                      บทที่ 7




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น