บทที่ 10 – หนีออกจากบ้าน (10)
สามวันแล้วนับแต่วันที่ผมหนี มันเป็นเช้าที่สดใส ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเต็มที่และท้องฟ้าเพิ่งจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า
ผมเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากทำการอบอุ่นร่างกาย
แม้จะมีสุมทุมพุ่มไม้หนาแน่นรอบตัว ผมยังแอบเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่บินขึ้นฟ้า บางครั้งก็เห็นเงาของกวางตัวสามเมตรและแมวตัวห้าเมตร (ขนาดนี้น่าจะเรียกพวกมันว่าเสือเขี้ยวดาบกับเบเฮมอทมากกว่า)
ตอนนี้ ผมกำลังรีบเร่งหาชีวิตที่ปลอดภัยและสงบสุข
เมื่อคืน หลังจากใคร่ครวญอย่างหนักถึงวิธีเลี่ยงการแข็งตายโดยไม่ทิ้งร่องรอย ผมก็ตัดสินใจขุดหลุมก่อกองไฟ
การก่อกองไฟเป็นวิธีโง่เง่าที่จะทิ้งร่องรอยชัดเจนให้หน่วยไล่ตามและดึงดูดปีศาจในแถวนั้น แต่ผมไม่มีทางเลือกนัก
หลังจากจุดไฟทิ้งไว้สามชั่วโมง ผมเก็บกรวดหินที่วางในกองไฟเข้ากระเป๋าหนังก่อนออกเดินทาง
ผมนอนตรงที่ห่างจากจุดที่ก่อกองไฟ ใช้ความร้อนจากกรวดหินอบอุ่นร่างกาย ผมเติมฟืนเพิ่มอีกก่อนจากเพียงเพื่อทำให้หน่วยไล่ตามสับสนว่าผมออกเดินทางตอนไหนแน่
ผมกางแผนที่และตรวจทานตำแหน่งที่ผมอยู่อีกครั้ง ตอนนี้แนวป่าอยู่ใกล้ผมมากกว่าหมู่บ้านมาก ถ้าผมอ่านแผนที่ถูกต้อง จุดตั้งแคมป์ที่เจ็ดที่เป็นจุดตั้งแคมป์ที่ใกล้ตำแหน่งของผมที่สุดนั้นห่างไป 100 กม. หากต้องเลี่ยงเส้นทางบนแผนที่เพื่อหลบหลีกหน่วยไล่ตาม ผมยังต้องเดินทางอีกประมาณ 200 กม.ถึงจะหลุดจากป่า
การบินข้ามเหวทำให้ระยะทางสั้นลงมาก ด้วยระยะทางที่เหลืออยู่เท่านี้ก็เป็นไปได้ที่จะหนีผู้ไล่ตามและออกจากป่าก่อนหมดวัน และเมื่อผมออกจากป่าได้ ไม่ว่าหน่วยไล่ตามจะพยายามวางกับดักสักเท่าไหร่ผมก็มั่นใจว่าจะหนีพ้น
ไม่แค่หนีพ้น ผมยังมีเวลาเล่นกับพวกเขาด้วย แน่นอน มีข้อแม้ว่าผมต้องมีพลังเวทเหลืออีกเยอะ
ตอนนี้ผมมีพลังเวทสำรองอยู่ประมาณ 56% ผมคงฟื้นพลังเวทเต็มไปแล้วถ้าเป็นในหมู่บ้าน แต่เพราะพลังเวทที่พลุ่งพล่านในป่า ผมจึงฟื้นพลังเวทได้ช้าลง
***
นอกจากแนวหน้าหยิบมือหนึ่ง ทุกคนมารวมกันที่จุดตั้งแคมป์ที่เจ็ด นักรบที่กาเวนนำมา กัลลาฮาดและยามของเขา กระทั่งหน่วยที่ไปไกลที่สุดที่ถูกส่งไปตามทางบนแผนที่ ทั้งหมดมารวมกันที่นี่ตามคำสั่งของเฮสเทีย
แม้หน่วยนักรบของกาเวนจะได้นอนเพียงสี่ถึงห้าชั่วโมงเพราะพลาดจากเดนเบอร์กที่เหว มันไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับพวกเขา พวกเขาสามารถไม่นอนติดต่อกันสองคืนขณะออกล่าในป่า
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มที่ เช่นเดียวกับกัลลาฮาดที่อยู่ต่อหน้ากาเวน
“เฮ้ เราจะจับเดนเบอร์กได้ไหม?” เสียงกัลลาฮาดขาดความเชื่อมั่น
กัลลาฮาดไม่ได้เห็นแม้แต่เสี้ยวหน้าของเดนเบอร์กตลอดการไล่ตาม เขาคงกำลังคิดว่าตัวเองไม่มีส่วนช่วยในการไล่ตาม แต่เขาไม่อาจแยกจากตำแหน่งที่ถูกมอบหมายได้ น่าเสียดายแต่นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
ป่าเป็นบ้านของนักรบ และยามไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในที่นี้ อีกอย่าง วงล้อมของกัลลาฮาดเป็นส่วนสำคัญของแผนที่ไม่อาจเอาออก
แทนที่จะปลอบใจพี่ชาย กาเวนส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้ การไล่ตามมันเปลี่ยนเป็นเกมระหว่างเดนเบอร์กกับเฮสเทียไปแล้ว ข้ากับเจ้าไม่ได้ฉลาดนัก”
“จริง เลชา เจ้าคิดว่าไง?” กัลลาฮาดหันไปทางเลชา เธอติดมาด้วยเพื่อแนะนำเรื่องเวทมนตร์ของเดนเบอร์กให้พวกเขา
เดิมที กาเวนสงสัยว่าเดนเบอร์กหรือเลชาจะทำอะไรได้ในป่าที่พลังเวทพยศแบบนี้ แต่การเห็นน้องชายของเขาบินข้ามหน้าผาเปลี่ยนความคิดเขาและตอนนี้เขาดีใจที่มีน้องสาวอยู่แนะนำเขา
“ข้าก็อยากฟังเหมือนกัน คำแนะนำจากนักเวทเหมือนเดนเบอร์กจะช่วยได้มาก”
เลชาเป็นนักเวทและฉลาด พวกเขาจึงคาดหวังนิดๆว่าเธออาจอ่านความคิดของเฮสเทียและเดนเบอร์กได้
แต่เธอส่ายศีรษะเคร่งขรึม “ข้าไม่รู้ พูดตรงๆนะ ข้าไม่เชื่อตอนฟังว่าเดนเบอร์กบินข้ามรอยแยก”
“มันน่าประทับใจจริงๆนั่นล่ะ แต่เจ้าก็เป็นนักเวทเหมือนเขา” กาเวนพูด
เลชาส่ายหน้าอีกครั้ง ดูเหนื่อย “ไม่ พวกเราคนละระดับกันเลย เดนเบอร์กเป็นจอมเวทที่ข้าไม่มีทางไล่ตามทัน กาเวน เจ้าก็รู้สินะเพราะเจ้าก็เคยเรียนเวทมนตร์มา”
“ไม่ ความรู้ของข้าก็แค่จุดไฟหรือเสกน้ำ ข้าจึงไม่เข้าใจท่าทีของเจ้า แต่ข้าเข้าใจดีว่ามันน่าประทับใจขนาดไหนที่เดนเบอร์ก-”
เลชาพูดขัดกาเวน “ไม่ พี่ไม่เข้าใจ สิ่งที่เดนเบอร์กทำตรงรอยแยกไม่ใช่แค่มหัศจรรย์ ด้วยความสามารถแบบนั้น ถ้าเดนเบอร์กร่ายเวทด้วยทุกอย่างที่เขามีนอกป่า ภัยพิบัติที่เขียนไว้แต่ในตำนานจะเกิดขึ้น”
ดวงตาเลชาเต็มไปด้วยความเกรงขาม เหมือนของกัลลาฮาดและกาเวนยามพวกเขามองดูมสโตน หรืออาจจะยิ่งกว่า
ถ้าเดนเบอร์กอยู่ที่นี่ เขาจะคิดว่าเป็นปฏิกิริยาที่เกินเลยไปแล้วกับแค่การบินบนท้องฟ้า
ทันใดนั้นเอง คนจากกระทรวงต่างประเทศก็วิ่งมาพร้อมกับจดหมายในมือ
“แม่ทัพ มีข้อความจากผู้บัญชาการครับ”
กัลลาฮาดรับจดหมายมาอ่านออกเสียง
ตอนนี้ นักรบ 300 คนจะแบ่งเป็นสามกลุ่มเท่ากัน
นักรบกลุ่ม 1 ให้ไล่ตามร่องรอยของเดนเบอร์กต่อไป เมื่อพบตัวเขาแล้วอย่าเข้าไปใกล้เกินไป
นักรบกลุ่ม 2 ให้ตรงไปจุดสีน้ำเงินบนแผนที่ก่อน 9 น. และรอ
นักรบกลุ่ม 3 ให้ไปที่จุดสีแดงก่อน 10 น.
ยามให้แบ่งเป็นสองกลุ่มเท่าๆกัน ยามกลุ่มแรกให้สร้างวงล้อมเริ่มจากจุดเริ่มต้นของนักรบกลุ่ม 1 ถึงจุดหมายของนักรบกลุ่ม 3 ก่อนเที่ยง ให้รักษาตำแหน่งนั้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งอื่น
ยามกลุ่มที่สองให้ตามนักรบกลุ่ม 2 ไปและสร้างวงล้อม ระยะห่างระหว่างสองกลุ่มควรไม่น้อยกว่า 1 กม.
แผนผังที่เฮสเทียวาดบนแผนที่มองเหมือนสามเหลี่ยมที่รอยแยกและเส้นทางของกระทรวงต่างประเทศทำหน้าที่เป็นด้าน แม้ว่ามันจะดูโค้งเกินกว่าจะเป็นสามเหลี่ยมจริงๆ
“เฮ้ รู้ไหมทำไมพวกเราเคลื่อนที่แบบนี้?”
กัลลาฮาดกระซิบถามใส่หูกาเวน คนหลังส่ายศีรษะ
“ถ้าข้ารู้ ตอนนี้ข้าก็อยู่ในหมู่บ้านไปแล้ว”
***
10:03 น.
ผลจากการผลีผลามบินข้ามรอยแยกของผม เมื่อวานหน่วยไล่ตามจึงเสนอการท้าทายใหม่ ผมเชื่อว่าควรจะวางแผนใหม่เพื่อตอบรับการท้าทายของพวกเขา
ผมสำรวจแผนที่และพยายามอ่านแผนการของเฮสเทีย ถ้าผมเป็นเธอ ผมจะพยายามตรวจสอบตำแหน่งของผมใหม่
ก่อนผมข้ามรอยแยก รอยแยกทำหน้าที่เป็นบาเรียที่ทำให้ปิดล้อมผมได้ง่าย ตอนนี้ นอกจากทิศของรอยแยก ด้านสามด้านที่เหลือเป็นพื้นที่ว่างและต้องใช้กำลังคนมากเกินไปถ้าจะปิดล้อมผมอย่างสมบูรณ์ เพราะเหตุนี้ เธอต้องหาตำแหน่งของผมให้ชัดเจนเพื่อสร้างวงล้อมที่มีประสิทธิภาพ และดึงเรี่ยวแรงไปจากผมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมเป็นสิ่งผิดปกติที่สามารถบินข้ามรอยแยก 10 กม.ทั้งๆที่ควบคุมพลังได้ไม่เต็มที่ พูดอีกอย่างคือ ผมสามารถบินข้ามวงล้อมได้ตราบใดที่ยังมีพลังเวทเหลืออยู่ เพราะเหตุนี้ เฮสเทียต้องดึงพลังเวทไปจากผมให้มากที่สุด
แม้ผมจะมีพลังเวทเหลือมากกว่าที่คิด การใช้มันแบบไม่ยั้งคิดในสภาพแวดล้อมที่อัตราฟื้นฟูน้อยกว่าหนึ่งในร้อยของอัตราการใช้ย่อมส่งไปสู่การถูกจับ
ข้อได้เปรียบเดียวสำหรับผมหากเฮสเทียใช้แผนดูดพลังเวทไปจากผม นั่นคือ เธอต้องสร้างวงล้อมให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ถ้าให้อธิบาย มาตอบคำถามกัน ‘สภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการใช้เวทเป็นแบบไหน?’
แม้คำตอบจะประกอบด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ถ้าเราไม่สนเรื่องความยากง่ายของการร่ายเวท ปัจจัยเด่นชัดที่สุดคือสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ยกตัวอย่าง ถ้ามีคนไล่ตามผม ผมคงไม่อยากใช้เวทมนตร์เพราะอาจไปทำร้ายคนไล่ตาม แต่ถ้าผู้ไล่ตามอยู่ห่าง ผมก็สามารถร่ายเวทได้ง่ายๆเพื่อถ่วงเวลาพวกเขาโดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ถ้าพวกเขาแค่จะไล่ตามผม ผมก็สามารถวิ่งหนีเหมือนเดิม แต่ถ้าเป้าหมายของพวกเขาคือทำให้ผมเสียพลังเวท คอยโจมตีผมย่อมดีกว่า
และผมก็จะไม่มีทางอื่นนอกจากโต้กลับ
ความคิดแรกที่ผุดในหัวของผมคือพวกเขาอาจยิงธนูใส่ แต่พวกเขาจะยิงใส่คนในครอบครัวเชียวเหรอ
อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปที่ได้คือถ้าพวกเขาขยายวงล้อม วงล้อมย่อมบางลงด้วย
แต่ผมสงสัย... พวกเขาจะยิงธนูใส่ฉันเลยทีเดียวเชียวรื้อ?
***
กาเวนนำนักรบกลุ่มแรกไปถึงจุดที่ยามเจอเดนเบอร์กครั้งล่าสุด เป็นเรื่องดีที่เขาสามารถลงจากเหวและมาถึงตรงนี้รวดเร็วโดยไม่ต้องฝ่าป่า
ร่องรอยของเดนเบอร์กตรงนี้หาพบง่าย เพราะหลังจากใช้พลังเวทและเข้าสู่การปะทะครั้งใหม่ทันที ทำให้เขาเดินทางโดยไม่ได้ลบร่องรอย ผิดจากตอนเริ่มไล่ตาม คราวนี้หน่วยไล่ตามสามารถเคลื่อนที่ตามร่องรอยของเดนเบอร์กที่มีอยู่ทั่วได้อย่างรวดเร็ว
“กองไฟ?” นักรบที่นำทางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
กาเวนยิ้มเมื่อเห็นร่องรอยการก่อกองไฟ นี่แสดงว่าเดนเบอร์กทนความหนาวไม่ไหวและพ่ายแพ้ต่อป่า ดูเหมือนเหตุผลที่ร่องรอยของเขาก่อนหน้านี้ชัดเจนนักเพราะเดนเบอร์กรู้ว่าพวกเขาจะเห็นกองไฟที่นี่ ดังนั้นการลบร่องรอยจึงเปล่าประโยชน์
กองไฟเป็นตัวบอกว่ากาเวนและนักรบตามมาถูกทาง นี่คือเหตุผลว่าทำไมกองไฟจึงเป็นสิ่งต้องห้ามขณะหลบหนี มันทำหน้าที่เหมือนหลักกิโลเมตร
กระทั่งนักล่าที่จัดเจนยังไม่สามารถลบร่องรอยการใช้กองไฟได้หมด แม้จะใช้ดินกลบ แต่สีดินก็จะเปลี่ยนไปชัดเจน
ที่จริงแล้ว ร่องรอยของเดนเบอร์กที่ผ่านมานั้นถูกอำพรางอย่างดีจนบางครั้งร่องรอยจะนำไปสองทางตรงข้ามกันหรือจู่ๆก็หายไป บางครั้งก็ไม่รู้ว่าร่องรอยมันเป็นของเดนเบอร์กหรือสัตว์ป่า สัตว์ประหลาดหรือปีศาจ
“แปลก”
แปลก กองไฟไม่มีร่องรอยของการกลบเกลื่อนเลย
“ร่องรอยของเดนเบอร์กไปทางไหน?”
“เอ่อ... ข้าหาไม่เจอ”
“อะไร? เขาลบร่องรอยไปเหรอ? หรือเขาบิน?”
การบินในป่าเป็นข้อสันนิษฐานไร้สาระจนกระทั่งเมื่อวาน ตอนนี้มันต้องถูกนำมาคิดแล้ว
กาเวนเริ่มปวดศีรษะเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่เพิ่มขึ้น
“แม่ทัพ ไม่มีร่องรอยว่านายน้อยนอนอยู่ที่นี่เลย”
กาเวนสับสนกับคำพูดของแมค
กับดักเหรอ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น