วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 138

บทที่ 138 – จ้าวแห่งโรคระบาด


ดวงตาโตกระจ่างใสของบิบิมีแรงดึงดูดประหลาดจับตาคนมอง

ไม่ใช่ เธอเป็นเผ่าอสูร นี่คงเป็นเวทของเธอ?

โดลเซมีเลือดท่วมตัว มันพุ่งเข้าหากลุ่มแต่แล้วก็เริ่มลังเล

มันช้าลงจนกลายเป็นเดิน

“นี่ล่ะโดลเซจิงของพวกเรา เป็นเด็กดีหรือเปล่า?”

เลือดไหลออกจากตัวมันทุกก้าวเดิน ร่างของมันหดลงพร้อมกับเลือดไหลลงไปนองพื้น

“โดลเซจิงของพวกเราโกรธเหรอ?”

[โก]

ความโกรธของมันหลุดออกมา เหมือนสัตว์ร้ายหลุดจากกรง มันรู้สึกเคียดแค้นสิ่งมีชีวิต แต่ เสียงของบิบิเปลี่ยนเป็นพลังงานอบอุ่นอย่างหนึ่งและปลอบประโลมหัวใจของโดลเซ

“พี่สาวเข้าใจนะ ตอนนี้เลิกโกรธเถอะ ดีไหม?”

มือเล็กๆของบิบิแตะศีรษะโดลเซ

[โก]

เลือดที่แข็งตัวรอบดวงจิตโกเลมละลายอย่างรวดเร็ว เลือดเหนียวเหนอะเลอะรองเท้าบิบิแต่เธอไม่ขยับหนี

วิ้ง

เมื่อเลือดหายไป ดวงจิตโกเลมกลับไปเป็นแสงสว่างและวนรอบๆศีรษะบิบิ เธอยิ้มแล้วยกไม้เท้าชี้ไปทางกลุ่มรถที่จอดอีกด้านของลานจอดรถ

มันคือส่วนใกล้ทางเข้าสถานีโทรทัศน์ รถตรงนั้นดูหรูหรา

“ฮิๆ โดลเซที่ใจดีของพวกเรา เขาว่ารถตรงโน้นทนทานกว่า”

วิ้ง

โดลเซดึงรถเข้ามาและกลับไปเป็นโกเลมเหล็ก

“เอาล่ะ พอถอนต้นไม้นี่ได้แล้วพวกเรากลับไปหาเจ้านายกันดีกว่าไหม?”

[โก]

โดลเซขยับไปทางต้นไม้ที่กำลังโตขึ้นเรื่อยๆ

***

อาคารจัดงานชุมนุมศิษย์เก่าที่จีวอนเข้าร่วมนั้นหาไม่ยาก อาคารหลังใหญ่ถูกใยแมงมุมคลุมจนมิด แม้แต่ตึกรอบๆก็ถูกแมงมุมเข้ายึด

“มีตัวน่ารำคาญมาที่นี่”

ลอร์ดมิติประเภทแมลงมีลักษณะนิสัยเหมือนลูกน้องที่มันปกครอง พวกมันขยายพันธุ์รวดเร็วมาก พวกมันปกติแล้วรับมือยากเพราะมีจำนวนมาก

แต่ศัตรูแบบนี้สำหรับวูจินแล้วจัดการง่ายมาก

หอกกระดูกจากมือวูจินพุ่งทะลุเหล่าแมงมุม

เมื่อศพเริ่มกองสุมขึ้น เขาก็เรียกทหารโครงกระดูกออกมาทันที

เดี๋ยวนี้วูจินใช้ค่าบงการไปกับอสูรของเขาเท่านั้น

ถ้าไม่นับรีลิคจากเผ่าราทิคซึ่งเป็นอัศวินมรณะตนล่าสุด อสูรตนอื่นอยู่กับเขามานาน ต่อให้ไม่ใช้ค่าบงการในฐานะเนโครแมนเซอร์ อสูรเหล่านั้นก็ยังเป็นสหายของเขา

ค่าบงการที่เข้าต้องใช้เพื่อเรียกอสูรรับใช้ออกมารวมกันแล้วต่ำกว่า 100 เพราะเหตุนี้วูจินจึงสามารถเรียกทหารโครงกระดูกออกมาเกิน 2,000 ตัวอย่างง่ายดาย

“มาดูกันว่าใครจะเร็วกว่า”

นี่เป็นการแข่งขันว่าวูจินจะฆ่าเร็วกว่าหรือศัตรูจะขยายพันธุ์เร็วกว่า

ทหารโครงกระดูกตัดผ่านใยแมงมุมเข้าไปในอาคาร วูจินเรียกดาบยาวออกมา

เขาได้ทักษะเปลี่ยนอาวุธของนักรบเป็นดาบยาวเมื่ออาชีพนักรบถึงเลเวล 70 รูปร่างพื้นฐานของอาวุธนี้คือไม้เท้า แต่มันสามารถเปลี่ยนเป็นหอก,ค้อน,ดาบสองมือ,ขวานและธนู รวมทั้งหมด 7 แบบ

นอกจากธนูแล้วรูปร่างอื่นล้วนสำหรับการต่อสู้ประชิดตัว

ช่วงนี้วูจินชอบใช้ดาบ ดาบยาวเบาเหวี่ยงง่ายและเขาสามารถเปลี่ยนรูปร่างของอาวุธได้ตามใจ

ใยแมงมุมมีเต็มผนังและเพดาน เขาฝ่าไปพลางตัดใยแมงมุมเหล่านั้น บางครั้งแมงมุมกระโจนใส่เขา เขาตัดมัน บางตัวถึงลำตัวถูกผ่าครึ่งไปแล้วก็ยังไม่ตาย ร่างมันกระตุก

วูจินเหยียบแมงมุมจบชีวิตของมัน

ไม่ว่าใครก็แย่งชิงชีวิตของผู้อื่นได้ แต่วูจินสามารถมอบชีวิตให้กับสิ่งที่ตายไปแล้ว

เผียะ!

ศพแมงมุมระเบิด แล้วนักเวทโครงกระดูกก็ถูกเรียกออกมา

“เผาให้หมด”

นักเวทโครงกระดูกใช้เวทได้แค่ประเภทเดียว และประเภทที่จะใช้ได้ก็สุ่มไปทุกครั้งที่เรียกออกมา วูจินยังเลเวลไม่ถึง 80 เขาจึงไม่ได้ลิช ดังนั้นจึงได้แต่สุ่มเรียกนักเวทโครงกระดูกออกมา

ถ้าโชคดีก็ได้นักเวทโครงกระดูกที่ใช้เวทไฟ

วูจินเรียกอสูรของเขาออกมา มันเป็นอสูรที่สิงในเงาของเขาและเป็นอสูรที่ไม่น่าคบหาที่สุด

“กาเกบิ”

[คึๆ ข้าเกือบลืมเสียงของเจ้านายไปแล้ว]

“หนวกหู ไปหาจีวอน...”

[คิดว่าข้าจะหาไม่เจอหรือ?]

กาเกบิละลายเข้าไปในตึกและเริ่มมองหาโดจีวอน

[แหม แหม นางดูไม่ดีเลย]

“ทำไม”

[ดูเหมือนนางกำลังจะกลายเป็นอาหารแมงมุม คึๆ]

วูจินขมวดคิ้ว ดูเหมือนคนจะถูกใช้เป็นที่ฟักไข่ของแมงมุม

เขามีเวลาไม่มาก

“กลับมา”

[คึๆ ความตายของคู่หมั้นจะปลุกผู้ไม่ตายขึ้นมาไหมนะ?]

“หุบปากแล้วกลับมา”

[คึๆๆ]

กาเกบิกลับเข้าไปในเงาของวูจิน วูจินได้รู้เห็นสิ่งที่กาเกบิเจอมา

จีวอนอยู่ที่ชั้น 7

ลานจัดเลี้ยงปกคลุมไปด้วยใยแมงมุม มนุษย์อยู่ในดักแด้ ห้อยลงมาจากเพดาน บนพื้น ลูกแมงมุมกำลังขยับไปมาเป็นกลุ่มใหญ่

มนุษย์แมงมุมตัวหนึ่งรู้สึกถึงพลังจากวิญญาณบริสุทธิ์ของจีวอนจึงเดินไปหาเธอ เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว

วูจินมองไปที่เพดาน

เขาเปลี่ยนอาวุธเป็นค้อน

พลังงานจากทักษะ ‘ทุบพื้น’ เปลี่ยนค้อนเป็นสีแดง

วูจินงอเข่า รวมพลังจาก ‘พุ่งตัว’ และ ‘กระโดด’ ไว้ที่ขา

ร่างวูจินพุ่งไปเหมือนกระสุน พื้นพังทลาย แรงลมทำกระจกแตกเป็นทาง

ร่างของเขาทำลายผ่านแต่ละชั้นจนมาถึงชั้น 7

ตัวตึกสั่น

มนุษย์แมงมุมชาร์ล็อตตกใจเมื่อเห็นวูจินปรากฎตัวด้วยวิธีนี้ แต่ไม่นานนางก็หัวเราะ

[โย่โฮะๆ นึกไม่ถึงว่าโลกจะมีนักรบระดับเจ้า]

โลกมีเราส์ระดับสูงแบบเดียวกับมนุษย์ตรงหน้าเธอหลายคนหรือไม่? หรือว่านี่คือเหตุผลที่ลอร์ดมิติเชื่อมต่อกับโลกอย่างลำบาก

วูจินเดินมาโดยไม่พูดอะไร

[โย่โฮ พวกนักรบช่างไม่ระวังเลย]

ชาร์ล็อตเตรียมเวทสำหรับวูจินที่เดินมาอย่างไม่เกรงกลัว แต่แล้วเขาก็ผ่านชาร์ล็อตและเดินไปทางดักแด้หนึ่ง

นางพูดเสียงแหลมเมื่อวูจินเฉียดผ่านนางไป

[สามหาว!]

เขาเดินมาใกล้จนเกือบสัมผัสตัวนางได้

เขามั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ? นางถูกจำกัดพลังตามอัตราส่วนของการประสาน แต่ถึงอย่างนั้นเขากล้าเมินลอร์ดมิติเช่นนางได้อย่างไร?

นางกางมือออกทันที

ก่อนที่เล็บพิษของนางจะถึงตัววูจิน เกราะผีรอบตัววูจินก็ทำงาน แรงต้านแรงจนเหวี่ยงชาร์ล็อตออกไป

[กรี๊ด!]

วูจินยืนเบื้องหน้าดักแด้

เขาแหวกใยแมงมุมออกและเห็นใบหน้าโดจีวอน เธอถูกแขวนห้อยหัว ดูเหมือนเธอจะถูกแขวนอยู่นาน ใบหน้าเธอแดงฉานเหมือนจะระเบิด

“ว...วูจินอา”

วูจินฉีกดักแด้ออกอย่างง่ายดาย

“อึก”

เลือดเธอกลับไปไหลเหมือนปกติ จีวอนยืนไม่อยู่ เธอพิงตัวกับวูจิน แขนของวูจินโอบรอบเอวของเธอ

“วูจินอา”

วูจินโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงเศร้าของเธอ

เขายังไม่สายไป

“เพื่อนๆของเรา...”

วูจินมองรอบๆ ในนี้มีดักแด้มากกว่า 100 ตัว มีอีกมากที่ยังถูกแขวน แต่มีบางตัวที่ระเบิดไปแล้ว กระดูกกองสุมใต้ดักแด้ที่ถูกระเบิดออก

คนในนี้เคยเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของเขา

“ฉันมาช้าไป”

ถ้าเขามาร่วมงานจะช่วยทุกคนได้หรือเปล่า?

แต่เสียใจไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ได้

เขาบอกไว้ชัดเจนว่าจะไม่มางานชุมนุมศิษย์เก่า แต่คนยังมาเพื่อความเป็นไปได้น้อยนิดที่จะได้เจอเราส์ที่เก่งที่สุดในโลก คังวูจิน พวกเขาคงอยากได้รูปถ่ายเป็นการยืนยันว่าเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับคนดัง?

[ฮึ่ม มนุษย์กล้าทำอย่างนี้กับข้าได้อย่างไร]

มีสิ่งเดียวที่เขาจะทำให้เพื่อนที่จากโลกไปก่อนวัยอันควรได้

[แมงมุม แกชื่ออะไร?]

[ทำไมเจ้าพูดกับข้าได้?]

ตอนที่ปลาหมึกเดรดและลอร์ดมิติคนอื่นมาเยี่ยม วูจินกินยาภาษาไปหลายเม็ด

[IQ แกขาดไปเพราะเป็นแมงมุมเหรอ?]

[คึ เจ้า...]

[แกชื่ออะไร?]

[ข้าคือลอร์ดมิติจากสหพันธ์กิ้งก่าเหลือง ชาร์ล็อต]

[แกมาจากสหพันธ์เดียวกับปลาหมึกนั่น]

วูจินยกค้อนขึ้นพาดบ่า

ชาร์ล็อตจ้องเขา

[ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงเป็นลอร์ดมิติที่มันพูดถึง คังวูจินใช่ไหม? ใช่แล้ว มันบอกว่าเจ้ามาจากโลกนี้]

ชาร์ล็อตมองหน้าวูจินอย่างไตร่ตรอง เดรดพยายามดึงเขาเข้าสหพันธ์แต่ถูกหักหลัง

[ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมด]

[ฮึ สำหรับลอร์ดมิติแล้วความตาย...]

[แกจะคืนชีพ แล้วฉันจะฆ่าอีก แกจะคืนชีพเรื่อยๆและฉันก็จะฆ่าพวกแกเรื่อยๆ]

เขาจะฆ่าพวกมันทุกครั้งที่พวกมันคืนชีพ ถ้าไม่ยอมรับคำท้าดวล เขาก็แค่ไปที่ดันเจี้ยนในโลกจาคุเพื่อฆ่าพวกมันให้หมด เขาจะทำลายอาณาเขตมิติของพวกมันให้ราบคาบ เขาจะแย่งฐานะลอร์ดมิติจากพวกมัน สุดท้ายพวกมันจะตายอย่างแท้จริง

[…]

[มาสู้กัน]

[น่าสงสัยจริง นี่เป็นเพราะการขัดแย้งเล็กน้อยระหว่างเจ้ากับเดรดเหรอ? มีเหตุผลไหมที่เจ้ามาขัดขวางพวกเราขนาดนี้? ถ้าคิดสักหน่อยเจ้าจะรู้ว่าสิ่งที่เจ้าทำมันไร้ประโยชน์]

ที่เขาเกลียดพวกนางขนาดนี้ เป็นเพราะความขัดแย้งกับเดรด? หรือเพราะพวกนางบุกรุกโลกของเขา?

วูจินยิ้มพลางยกค้อนขึ้น

[จะฆ่าแมลงสักตัวต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?]

[…]

ก็อง!

ค้อนของวูจินทุบพื้น แรงกระแทกแผ่ไปตามพื้น

คลื่นกระแทกทำให้ลูกแมงมุมระเบิด ตึกทั้งตึกส่งเสียงครืน

[บังอาจนัก ลูกๆของข้า...]

ก่อนชาร์ล็อตจะได้จ้องวูจินด้วยความโกรธนางก็ต้องประหลาดใจ ความเจ็บจี๊ดขึ้นมาจากท้องและนางรู้สึกว่าร่างถูกยกลอยขึ้น

วูจินพุ่งเข้ามาและเปลี่ยนค้อนเป็นหอก หอกแทงทะลุท้องชาล็อตและตรึงนางไว้กับเสา

ขาทั้งสี่ที่เปี่ยมพิษของชาร์ล็อตพยายามแทงวูจิน แต่วูจินปล่อยหอกแล้วกระโดดหลบ

[คึก]

เมื่อเห็นชาร์ล็อตถูกตรึงกับเสา วูจินก็อดหัวเราะไม่ได้

‘ฉันคงบ้าไปแล้ว’

วูจินได้แต่ยอมรับ เขาจริงจังอยู่นานไม่ได้ ตอนนี้ความโกรธของเขาไม่ได้รุนแรงเท่าเดิมแล้ว

เมื่อเห็นสภาพชาร์ล็อต วูจินนึกถึงการบ้านตอนปิดเทอมหน้าร้อนสมัยเด็ก มันเป็นการบ้านที่เขาต้องปักหมุดแมลง

[รอวันที่แกคืนชีพไว้เลย ฉันจะไปฆ่าแก]

วูจินเรียกบรรดาหอกกระดูกและขว้างทั้งหมดในทีเดียว พวกมันปักใส่ทั่วร่างของชาร์ล็อต

[นี่...หยามกันนัก! ข้าจะ...]

ปึก!

หอกอันสุดท้ายปักเข้าไปในศีรษะชาร์ล็อต นางหยุดนิ่ง

“ว...วูจินอา”

ลูกแมงมุมรุมล้อมจีวอน พวกมันเป็นตัวลูกแต่ขนาดไม่เล็กกว่ามือคน ที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่าตัวคน
วิญญาณในเกราะผีกลายเป็นหอกผี มันพุ่งใส่พวกแมงมุม พวกมันล้มตายจนหมด

“ลุกขึ้น!”

นักเวทและทหารโครงกระดูกถูกเรียกมาตามคำสั่งของวูจิน พวกมันมีมากกว่า 500 ตัว

“กวาดที่นี่ให้เรียบ”

เคะๆๆ

เหล่าโครงกระดูกเริ่มแทงลูกแมงมุม เมื่อการกวาดล้างจบลง ทหารโครงกระดูกผ่าดักแด้และช่วยคนข้างในออกมา

“อา”

“ฮือๆ วูจินอา”

“ขอบคุณนะ นึกว่าจะตายซะแล้ว”

“ไม่น่ามาที่นี่เลย อ๊าก”

“ฉันยังไม่ตาย ฮึก ฉันยังไม่ตาย!”

ด้านวูจิน เวลาผ่านไป 15 ปีแล้ว แต่สำหรับเพื่อนร่วมชั้นของเขาเวลาผ่านไปเพียง 5 ปี หน้าตาพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปนัก ความทรงจำสมัยก่อนเริ่มหวนกลับมา

วูจินจำชื่อไม่ได้ แต่ใบหน้าของพวกเขาคุ้นตา

“...”

ไม่ได้เจอกันเป็นนาน เขาควรจะพูดอะไรดี?

นี่ไม่ใช่ที่เหมาะสมจะคุยกับคนที่กำลังกลัวเหล่านี้ เขาไม่มีอะไรจะพูดนัก

“ไว้เจอกันใหม่นะ”

วูจินเรียกชิงชิง อุ้มจีวอนขึ้นไปนั่งพร้อมกัน

เมื่อแมงมุมถูกกำจัดหมด โครงกระดูกก็ถูกเรียกกลับไป ถ้าโครงกระดูกเหล่านี้ไม่ถูกควบคุมมันจะกลายเป็นมอนสเตอร์ผีดิบเมื่อวูจินอยู่ห่างจากพวกมัน

‘เลเวลฉันใกล้ 80 แล้ว’

ดูท่าอสูรของพวกเขาจะล่าได้สำเร็จ ค่าประสบการณ์ของเขาเพิ่มพรวด แต่โซลยังอยู่ในอันตราย วูจินยังมีงานต้องทำ

ชิงชิงวิ่งผ่านห้องโถงกระโดดออกไปทางหน้าต่าง ชิงชิงใช้ควบปีศาจวิ่งผ่านอากาศ ซินดี้ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดมองพวกเขาอย่างเหม่อลอย

‘คังวูจิน’

หัวใจซินดี้เริ่มเต้นแรง




สารบัญ                                                           บทที่ 139



วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 137

บทที่ 137 – โกเลมเลือด (2)


“ฮืม แมวตัวใหญ่”

เสือพูม่าตัวใหญ่ชื่อจูเปียคำรามเมื่อได้ยินคำบรรยายสั้นๆของบิบิ

[ไม่มีใครพูดกับข้าแบบนี้แล้วรอดไปได้]

“ฮึ”

บิบิมองจูเปียแล้วเชิดหน้าไปทางอื่น

[ใจกล้าไม่เบา]

จูเปียหรี่ตามองบิบิ มันย่องไปทางเธอพร้อมประเมิน หลังจากสู้ในสงครามมิติมานาน มันรู้ว่าสิ่งโง่เขลาคือการตัดสินศัตรูจากภายนอก

เด็กคนนี้ปล่อยพลังงานออกมาจำนวนมหาศาล

จูเปียหยุดนิ่ง สองฝ่ายจ้องหน้ากัน โลกเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง

หิมะตกลงมา มันเกลียดหิมะที่สุด

‘เวทน้ำแข็งหรือ?’

จูเปียส่ายศีรษะ ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน

นี่ไม่ใช่เวทธาตุ มันเป็นจิตสำนึก...

ดวงตาสีเหลืองของจูเปียสว่างวาบ มันแยกเขี้ยวใส่บิบิ เด็กคนนี้ให้ความรู้สึกต่างจากมนุษย์คนอื่นจริงๆและมันรู้ในที่สุดว่าความรู้สึกคุ้นเคยที่มันประสบอยู่นี้มาจากไหน

[เจ้าเป็นนางมารรัตติกาล]

นางไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นอสูร ซัคคิวบัสแห่งฝันร้ายผู้ควบคุมความฝันของผู้อื่น

แสงพุ่งจากดวงตาของจูเปียทำให้โลกสว่าง หิมะหายไป ภาพรอบๆสลายไปด้วย จากนั้นมันก็ได้เห็นบิบิที่กำลังยิ้มกว้าง

“ฮิๆ ดูท่าการโจมตีของเราจะไม่ได้ผลตอนเราอยู่คนเดียว”

[พวกมายากลในงานเลี้ยง]

ผลอาจต่างไปหากจูเปียกำลังต่อสู้อยู่ แต่ตอนนี้มันอยู่ในสภาพผ่อนคลาย การโจมตีของบิบิจึงไม่ได้ผล

“เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับจูเลียล?”

แท่นที่สอง จูเลียล

เมื่อได้ยินคำถาม จูเปียหน้าบึ้งทันที

[มันเป็นพี่น้องร่วมครอกกับข้า]

“เห นายเป็นพี่น้องกับหมาบ้านั่นเหรอ? ยอดไปเลยน้า?”

[...]

จูเปียมองบิบิอย่างระแวง

[เท่าที่ข้ารู้ โลกไม่มีโลกอสูร แล้วทำไมเจ้าจึงมาขัดขวางข้า?]

บิบิยิ้มสดใส นิสัยของเธอตรงกันข้ามกับจูเปีย

เธอคุยกับมันได้ไม่เป็นไร แต่จูเปียวางแผนอะไรเอาไว้?

เธอเห็นต้นไม้ที่โตขึ้นเรื่อยๆ

“เจ้านายของเรารักโลกนี้เอามากๆ”

[เจ้านายของเจ้า?]

“เจ้าไม่เคยไปที่อัลเฟนเหรอ?”

[อัลเฟน? ที่นั่นคือสนามรบของเหล่าเกรทลอร์ดไม่ใช่รึ?]

“ฮิๆ แสดงว่าเจ้าไม่รู้เรื่องของเขาเลย”

[อะไร?]

“เจ้านายของเราน่ากลัวมาก”

[…]

ปีศาจน้อยตัวนี้ต้องการอะไรกันแน่?

“ฮิๆ เราเริ่มกันเลยดีไหม ฉันรู้สึกว่ามันจะน่ารำคาญถ้าปล่อยให้ต้นไม้แตกใบ”

[...]

เธอพูดถูก เมื่อต้นไม้ได้รับพลังงานเต็มที่มันจะกลายเป็นฐานระหว่างอาณาเขตมิติกับโลก แต่มันต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวันเต็มจึงจะโตเต็มที่และแตกใบ

จูเปียหันไป มันเดินไปทางต้นไม้

การต่อสู้ให้เป็นหน้าที่ตัวอื่น มันต่างจากจูเลียลฝาแฝดของมันที่ทำอะไรง่ายๆ

เสือดำในบงการของมันมารวมตัวกัน มองผ่านๆมีประมาณ 200 ตัว ไม่ใช่สิ่งที่แม่มดแห่งฝันร้ายจะรับมือได้

“ฮิๆ เปลี่ยนกัน โดลเซจิง!”

วิ้ง

ขณะโดลเซมุ่งไปข้างหน้า บรรดารถในลานจอดก็ถูกดึงไปยังดวงจิตของโกเลม

รถถูกบดและแยกส่วนจากนั้นก็กลายเป็นร่างของโกเลม ในระหว่างนั้นถังน้ำมันรถถูกบดแก๊สและน้ำมันไหลออกมาท่วมร่างโดลเซ ร่างของมันเริ่มมีควัน

กึง กึง!

โดลเซกระแทกกำปั้นใส่กัน จากนั้นพุ่งเข้าหาเหล่าเสือดำ

บิบิสังเกตการณ์พลางพูดกับเจมิน

“นักเรียนเจมิน พอถอนต้นไม้นั้นได้เราก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ”

“ครับ”

ซูลกิกับเหล่าไอดอลที่ตามอยู่ข้างหลังเจมินรอเงียบๆ พวกเขาไม่รู้ว่าจะถูกบิบิทำอะไรหากพวกเขาทำนอกเหนือคำสั่งอย่างจุนซุง

***

อลันดาล

ซุงกูและฮีซอลกำลังยืนในลานฝึกกว้างใหญ่ พวกเขากำลังมองไปทางนัมซานอย่างกังวล

“คุณคิดว่ามันจะถล่มหรือเปล่า?”

“ดิฉันว่าใช่ค่ะ”

หอคอยนัมซานถูกทำลายไปตอนเกิดดันเจี้ยนระเบิดครั้งแรก มันถูกซ่อมแซมใหม่ไม่นานเพราะถือเป็นสัญลักษณ์ของโซล แต่ดูเหมือนหอแห่งนี้จะถูกทำลายอีกครั้งโดยมังกรตัวหนึ่ง

ซุงกูชี้

“คุณคิดว่าจะฝึกมันได้ไหม?”

“...ต้องยากมากแน่ค่ะ”

เธอจะฝึกมังกรตัวใหญ่ระดับนั้นได้อย่างไร? มองแวบเดียวเธอก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ฮีซอลคิดว่าเธอน่าจะทำลายไวเวิร์นที่อยู่รอบๆมังกรนั้นได้สักสองสามตัว

“ฮืม พวกเราเสียเปรียบถ้าต้องสู้กลางอากาศ... ถ้าพวกมันพุ่งมาหาเราจะทำยังไงดี?”

ความกังวลของซุงกูมีเหตุผล เครื่องบินรบสามลำมาทิ้งระเบิดใส่มัน แต่มังกรป้องกันการโจมตีได้ง่ายๆ

จรวดไม่สามารถผ่านบาเรียของมังกรไปได้ และเครื่องบินรบก็กลายเป็นชิ้นๆเมื่อถูกลมหายใจมังกร

[หึ มังกรกระจอกไม่ใช่ปัญหาของพวกเรา]

“โอ้! สมเป็นท่านอัศวิน”

ซุงกูได้ฟังคำพูดห้าวหาญของแรมสันแล้วก็ตาเป็นประกาย อัศวินมรณะ 3 ตนกลับมาที่อลันดาล ที่เหลือกำลังไล่ล่ามอนสเตอร์ในโซล

ถ้าพวกมอนสเตอร์ไม่ทำอะไรก่อนวูจินมาถึงก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่เช่นนั้น ซุงกู,ฮีซอล,อัศวินมรณะทั้ง 3 และสตรีศักดิ์สิทธิ์ต้องรวมพลังกันปกป้องอลันดาล

ตอนนี้พวกเขาได้แต่หวังว่าวูจินและอัศวินมรณะที่เหลือจะมาถึงเร็วที่สุด

“ให้ทีมนั้นมีแค่บิบิกับโดลเซจะไม่เป็นไรเหรอ?”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ตอบความกังวลของซุงกู

“คุณไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาหรอก ไททันแห่งการทำลายและแม่มดมายาก็เพียงพอค่ะ”

“เหรอครับ? แต่ถ้าลอร์ดมิติออกมาล่ะ? แบบนั้นไม่แปลว่ามอนสเตอร์ระดับมังกรนั่นอาจอยู่แถวนี้เหรอ?”

ซุงกูชี้ไปทางมังกร

“พวกเราต้องส่งอัศวินไปจับมอนสเตอร์ระดับนั้นไม่ใช่เหรอ?”

เมโลดี้หัวเราะเบาๆ

“ถ้าวัดพลังการต่อสู้ของคนๆเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพผีดิบคือไททันแห่งการทำลายค่ะ”

“หา?”

ซุงกูมองแรมสันอย่างสงสัย ซุงกูและฮีซอลเคยฝึกต่อสู้กับอัศวินมรณะ เขาเจอพลังต่อสู้อันล้นเหลือของพวกมันมากับตัว

โดลเซเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ? เขาไม่เคยเห็นโดลเซฝึกหรือทำอะไรแบบนั้นเลย

แรมสันพูดขึ้นเหมือนจะยืนยันคำพูดของเมโลดี้

[เราต้องการหินเพื่อจับมังกร]

“อืม”

ซุงกูยักไหล่ อสูรของวูจินล้วนแต่แข็งแกร่ง แต่เขาไม่เคยคิดว่าโดลเซจะแข็งแกร่งขนาดนั้น ไม่ใช่สิ เขารู้ว่าโดลเซเก่ง แต่เขาคิดว่าหน้าที่หลักของโดลเซคือกวาดล้างมอนสเตอร์อ่อนแอ

“ไททันแห่งการทำลายเป็นแนวหน้าของกองทัพผีดิบเสมอ”

เมโลดี้ตัวสั่นเมื่อนึกถึงครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับมันในฐานะศัตรู

“ผมไม่รู้เลย”

เป็นเพราะการล่าที่เขาเข้าร่วมด้วยง่ายไปสำหรับโดลเซหรือเปล่านะ? มาคิดดู เขาเคยเห็นโดลเซสู้ครั้งเดียวตอนมันหยุดยั้งดันเจี้ยนเบรกในอเมริกาด้วยตัวคนเดียว

วูจินเป็นคนกำจัดบอสเสมอ ดังนั้นซุงกูจึงนึกว่าโดลเซจะถูกใช้แค่กำจัดมอนสเตอร์อ่อนแอ...

“เอ๋? เหมือนพวกมันกำลังจะเคลื่อนที่แล้วเลย?”

พวกไวเวิร์นมารวมตัวรอบนัมซานและบินเป็นขบวน ซุงกูพยายามปลอบใจตัวเองตอนมองพวกไวเวิร์นที่เคลื่อนที่อย่างจริงจัง

“ประธานกลับมาเร็วๆเถอะ...”

“ผู้ไม่ตาย”

ฮีซอลและเมโลดี้ภาวนาให้วูจินกลับมาเร็วๆ

***

ลานจอดรถสีดำยิ่งมืดลงอีก

ลานจอดรถเต็มไปด้วยเลือดและศพของเสือดำ กลิ่นโลหะของเลือดเข้มข้น จูเปียไม่ขยับตัวกระทั่งลูกน้องทั้งหมดของมันถูกฆ่า ถ้ามันได้ครอบครองพลังงานมันจะเรียกลูกน้องกลับมาใหม่ได้อีก

สิ่งสำคัญคือศัตรูของมันเหนื่อยแล้ว

[ดูเหมือนเจ้าใกล้หมดแรงแล้ว]

จูเปียยืนขึ้นอย่างเฉื่อยชา มันต่างจากจูเลียล มันสู้อย่างมีเหตุผลและตัดสินใจใช้พลังงานเพื่อทำให้ศัตรูเหนื่อย

เสียงเสียดหูดังทุกครั้งที่โดลเซขยับตัว ถังน้ำมันลุกไหม้ ตอนนี้จะเรียกโดลเซเป็นโกเลมไฟก็ไม่ผิด

แต่โดลเซขยับตัวอย่างลำบากกว่าเดิมจริงๆ

ร่างใหญ่โตของจูเปียฝ่าอากาศ มันกระโดดใส่โดลเซ

ทุกครั้งที่มันสะบัดกรงเล็บ แผงเหล็กของรถก็ถูกกระชากออก

มันก้มหัวหลบหมัดของโดลเซที่เหวี่ยงมาแล้วใช้เฮดบัตใส่ทันที วิธีต่อสู้ของมันตรงๆและสมเป็นสัตว์ป่าต่างจากวิธีการพูด

[โก]

โดลเซคำรามขณะต่อสู้อย่างลำบาก แต่จูเปียแข็งแกร่งเกินไป ยิ่งกว่านั้นมันยังเร็วมากจนการโจมตีของโดลเซไม่เฉียดโดน ปัญหาอยู่ที่ความเร็ว

พลังของทั้งสองต่างกันจนคนที่ดูอยู่มองออก

“ฮือ เราจะทำยังไงดี?”

“เราตายแน่”

ถ้าโดลเซตาย พวกเขาก็ตายด้วย ไม่รู้ทำไมแต่เราส์และกองทัพไม่มาช่วยพวกเขา

“ชิ มันน่าจะสร้างร่างจากรถนอกนะ”

ชายคนหนึ่งพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นร่างของโดลเซถูกฉีกออกอย่างง่ายดาย เจมินส่ายหน้า

“พ่อบ้านบิบิ มีอะไรที่พวกเราทำได้ไหม?”

“ฮิๆ มีสิ”

บิบิยังมีสีหน้าสบายใจ ทำให้ความกังวลของเจมินลดลงไปมาก

“นายรู้ไหมว่าทำไมโดลเซจิงแสนน่ารักของพวกเราถึงได้ชื่อเล่นว่าไททันแห่งการทำลาย?”

“เพราะเขาตัวใหญ่?”

“ถูก แล้วที่เรียกการทำลายได้มาจากไหนล่ะ?”

“อืม ผมไม่รู้”

เจมินจะรู้ได้อย่างไร? เขาไม่ใช่คนอัลเฟน

“ฮิๆ โดลเซจิงน่ากลัวมากเลยล่ะเวลาโกรธ รู้ไหมทำไมเจ้านายให้เราอยู่ทีมเดียวกับเขา?”

“ผม...ไม่แน่ใจ?”

“ถ้าโดลเซจิงโกรธ เราอยู่ที่นี่เพื่อหยุดเขา ฮิๆ”

“...”

“อา แมวนั่นลำบากแล้วล่ะ”

เมื่อบิบิพูดจบก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น

ขณะที่ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด ร่างของโดลเซก็ระเบิดขึ้นมา ชิ้นส่วนร่างกายของมันกระเด็นไปทั่ว

วิ้ง

จูเปียหัวเราะเมื่อเหลือแต่ดวงจิตของโดลเซลอยอยู่

[ยอมแพ้แล้วรึ?]

คำนั้นไม่เข้ากับอสูรของผู้ไม่ตายเลย

วิ้ง!

ดวงจิตของโกเลมหมุนด้วยความเร็วสูงและเริ่มดูดเลือดจากรอบๆเข้ามา

เลือดสีแดงลอยขึ้นและหมุนเข้าหากันเหมือนลมหมุน

มีดวงจิตของโกเลมเป็นศูนย์กลาง เลือดรวมตัวกันเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง มันเล็กเกินจะคิดว่านั่นคือโดลเซ มันสูงประมาณ 2 เมตรและมีร่างเหมือนมนุษย์

เลือดจากรอบๆมีพอให้มันสร้างร่างกายได้สูงเท่านี้ แต่นั่นไม่สำคัญ เมื่อเลือดจากศัตรูไหลร่างกายของมันจะยิ่งโตขึ้นอีก

[โก!]

จูเปียหรี่ตาเหมือนรู้สึกถึงอันตรายจากเสียงคำรามของโดลเซ

[ไม่ได้มีแต่เจ้าที่แปลงกายได้]

ร่างของจูเปียสั่นและหดลง ความร้อนประหลาดถูกปล่อยออกมาจากร่างของมัน

ขาหลังของมันเหยียดตรง กรงเล็บหน้ากลายเป็นมือ เล็บของมันยาวขึ้นและหางแข็งขึ้น

ไลเคนโธรป

มันสามารถเปลี่ยนร่างเป็นครึ่งแมวครึ่งคน ความสามารถด้านการต่อสู้ของมันสูงขึ้นมาก

[เจ้าก้อนเลือด]

จูเปียออกวิ่ง มันยิ่งเร็วกว่าเดิม

โชคร้าย โดลเซเมื่อกลายร่างเหมือนอยู่คนละโลก จูเปียไม่เคยเห็นอะไรเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้มาก่อน

หมัดชกใส่หน้าของจูเปียติดต่อกัน จูเปียครองสติไว้แทบไม่อยู่ขณะแทงกรงเล็บออกไป แต่กรงเล็บทะลุร่างของโดลเซไป

จากนั้นเลือดก็แข็งตัว

[อั่ก?]

มือของจูเปียเข้าไปในร่างของโดลเซและติดอยู่ในนั้น

ก้อนเลือดไม่มีตาจมูกปาก แต่จูเปียเห็นมันยิ้ม มันแน่ใจว่าเห็น

กำปั้นของโดลเซชกใส่หน้าจูเปียต่อไป

[ด...เดี๋ยวก่อน...]

ทำไมถึงได้มีเจ้าบ้าคลั่งไร้เหตุผลแบบนี้?

มันต้องทำลายดวงจิตของโกเลม มือซ้ายมันติดอยู่ มันจึงใช้มือขวาแทงใส่ตำแหน่งหัวใจ แต่ไม่มีการต่อต้าน

‘มันย้ายที่หัวใจ’

จูเปียครางเมื่อมือทั้งสองข้างถูกจับ

โดลเซหัวเราะแล้วเฮดบัตใส่จูเปีย

กึง กึง กึง!

จูเปียถูกกระแทกล้มแล้วถูกดึงกลับมาใหม่เหมือนตุ๊กตาล้มลุก หน้ามันเงยไปข้างหลังกระทั่งคอหัก

ร่างของจูเปียสลายไปพลางส่องแสงสีเทา โดลเซคำราม

มันต้องการฉีกร่างศัตรูเป็นชิ้นๆและดื่มเลือด เลือด มันต้องการเลือด

มันต้องการสิ่งมีชีวิต

โดลเซหันไปมองเจมินและผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ

[โก]

โดลเซกำลังพุ่งเข้ามาเหมือนเจอเหยื่อ ทุกคนตัวเกร็ง เขาแยกมิตรศัตรูไม่ออกเหรอ? บิบิก้าวเข้ามาขวางโดลเซที่วิ่งเข้ามาด้วยแรงมหาศาล


สารบัญ                                              บทที่ 138



จูเลียลอยู่ในบทที่ 100 ค่ะ เราไม่สงสัยทำไมหมากับแมวเป็นพี่น้องกัน แต่สงสัยทำไมบิบิรู้ว่าสองคนนี้เกี่ยวข้องกัน XD

เราเห็นนิยายเรื่องอื่น (เทพปีศาจหวนคืน) แปล immortal ว่าผู้เป็นอมตะ เท่อะ อยากเปลี่ยนมั่งแต่ขี้เกียจกลับไปแก้ เอาเป็นว่าฉายาของวูจินได้มาเพราะตอนอยู่อัลเฟนเขาเข้าสู่ระดับเดียวกับเทพแล้วน่ะค่ะ


วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 136

บทที่ 136 – โกเลมเลือด


“ทำไมพวกมันถึงมีเยอะนัก?”

วูจินขมวดคิ้วเมื่อมองมอนสเตอร์มารวมกันเป็นฝูง

พวกมันทำตัวเหมือนมอนสเตอร์ในอัลเฟน

พวกมันจะยึดพื้นที่แถบหนึ่งและเริ่มสร้างอาณานิคม จากนั้นจะเริ่มดื่มพลังงานของโลก...

“เชี่ย ไอ้ห่ามิวิช”

เขาเสียเวลากับการต่อสู้ไปมาก ไม่แค่เวลา เขายังเสียอัศวินมรณะไป 10 ตน

“ทักษะเฉพาะของอาณาเขตโคตรน่ารำคาญ”

ในโหมดพิชิต คนที่ท้าสู้กับลอร์ดจะอยู่ในฐานะนักผจญภัย ลอร์ดที่เป็นฝ่ายใช้ทักษะเฉพาะของอาณาเขตได้เปรียบกว่ามาก

ถ้าเขาเจอมิวิชบนโลกหรือที่อัลเฟน อัศวินมรณะ 2 ตนก็เพียงพอจะล้มเขา แต่ในอาณาเขต มิวิชแสดง
พลังงานมหาศาลและพาอัศวินมรณะ 10 ตนตกตายตามไปด้วย

“จะเริ่มจากที่ไหนก่อนดี?”

ในโซล มีพื้นที่ 7 แห่งที่มอนสเตอร์มารวมกัน คงเป็นลอร์ดมิติ 7 ตนกำลังสร้างอาณานิคม

ถ้าพวกมันสร้างฐานทัพได้สำเร็จจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เขาต้องกำจัดพวกมันให้เร็วที่สุด

“เจ้าบ้านั่นก่อนไปก็ไม่ยอมทิ้งมือถือไว้ให้เลยนะ”

ก่อนวูจินเข้าดันเจี้ยนเขาฝากโทรศัพท์มือถือไว้กับซุงฮุนกันหาย หน่วยสนับสนุนที่ควรจะรอเขาได้หายไปหลังจากทิ้งโน๊ตไว้...

โชคดีที่วูจินมีวิธีติดต่อสื่อสารอย่างอื่น

[นายอยู่ไหน?]

วูจินสามารถสื่อใจกับข้ารับใช้ในอาณาเขตของเขา เขาตั้งโดเจมินให้เป็นนักกลยุทธ์เพื่อเป็นตัวแทนเขาในสงครามมิติ

[น...นี่มันอะไรกัน?]

[ฉันถามว่านายอยู่ไหน?]

[เฮือก เราจะตายแล้วสินะถึงได้ยินเสียงหลอน]

[นี่ฉัน พี่นาย]

[...]

ครู่หนึ่ง ความคิดของเจมินก็พรั่งพรูออกมา

[พี่! ตอนนี้วุ่นวายไปหมดแล้ว ผมติดอยู่ในสถานีโทรทัศน์]

[สถานีโทรทัศน์? ไม่ได้อยู่ที่กิลด์เหรอ? นายไปทำอะไรที่นั่น?]

[ผมออกมาพร้อมพี่จีวอน ตอนนี้ผมอยู่ MBS]

วูจินขมวดคิ้ว เขาจำได้ว่าโดจีวอนไปงานชุมนุมศิษย์เก่า

[พี่นายไปที่ไหน?]

[ครับ? ไปที่โรงแรม BB…]

วูจินหน้าเครียดเมื่ออ่านโน้ตอีกครั้ง โรงแรม BB เป็นหนึ่งในสถานที่ 7 แห่งในรายชื่อ

[ซ่อนตัวดีๆ ฉันจะส่งโดลเซไป]

[ครับ...]

อัศวินมรณะ 10 ตนของเขาถูกทำลายจึงเรียกออกมาไม่ได้ เขาต้องรอให้พวกมันคืนชีพก่อน ตอนนี้เหลืออัศวินมรณะ 44 ตนให้เขาใช้ได้

เขายังมีช่วงคุ้มครองเหลือ จึงตัดสินใจทิ้งรีลิค อัศวินมรณะคนล่าสุดไว้เฝ้าดันเจี้ยนเผื่อมีใครบุกดันเจี้ยนเข้ามา วูจินเรียกอัศวินมรณะ 43 ตนและโดลเซกับบิบิ

“ออกมา โดลเซ บิบิ”

“ว้าว โลกล่ะ”

บิบิไม่ได้ถูกเรียกออกมาที่โลกนานแล้ว เธอยิ้มกว้าง ถ้านึกถึงจำนวนทหารโครงกระดูกในสังกัดของอัศวินมรณะแต่ละตน วูจินมีกำลังพลไม่มากนัก

เขาตัดสินใจแบ่งกองทัพผีดิบไปกวาดล้างพื้นที่ 7 แห่งพร้อมกัน

ต้องใช้อัศวินมรณะอย่างน้อย 10 ตนจึงจะสู้กับลอร์ดมิติได้อย่างปลอดภัย เขาแบ่งอัศวินมรณะ 40 ตนออกเป็น 4 ทีม

“นายไปที่นี่ ส่วนนายที่นี่”

[รับบัญชา!]

วูจินหันไปมองบิบิและโดลเซ

“พวกนายไปที่ MBS ช่วยเจมินและฆ่าศัตรูที่อยู่ใกล้ๆ”

“ฮิๆ ได้จ้า สนุกล่ะทีนี้!”

บิบิเอาคทาออกมาแล้วบินจากไปโดยมีโดลเซตามไปด้วย

“คิบะ นายไปอลันดาล อย่าไปมีเรื่องกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ล่ะ”

[...รับบัญชา]

เสียงคิบะฟังไม่พอใจและตอบรับเนือยๆ แต่เขาจะไม่ขัดคำสั่งเด็ดขาด วูจินไม่รู้ว่าตอนนี้ซุงกูกับฮีซอลอยู่ที่ไหน แต่เขาไม่ห่วงอลันดาลนักเพราะเมโลดี้อยู่ที่นั่น

เมื่ออสูรของเขาจากไปหมด จู่ๆวูจินก็คิดถึงมิวิชขึ้นมาอีก

“ไอ้เวรนั่น ถ้าเจออีกฉันฆ่ามันแน่”

วูจินฆ่ามิวิชไปแล้ว แต่เขาสัญญาว่าจะฆ่าอีก

เขาเสียอัศวินมรณะหลายตนไปอย่างไม่จำเป็น ยิ่งกว่านั้นมันยังให้ค่าประสบการณ์ไม่มาก วูจินเลยยังเลเวลไม่ถึง 80 เขาเสียเวลาเก็บเลเวลไปมาก

“เวลาแบบนี้ถ้ามีเจนิสอยู่...”

ถ้าเขามีลิชเจนิส ครูของเขา ลอร์ดมิติพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาสักนิด

“ไปดีกว่า”

สุดท้าย วูจินเรียกอสูรตัวสุดท้ายออกมาแล้วขี่มัน

ฮี้!

ชิงชิงวิ่งข้ามถนน ทิ้งเส้นทางที่ถูกมอนสเตอร์ทำลายไว้และกระโดดสู่ท้องฟ้า

***

ชั้นสองของสถานีโทรทัศน์ MBS

มีคน 17 คนกำลังซ่อนตัวหลังกองเอกสาร

โดเจมินกำลังจับมือลีซูลกิมั่น

เพราะรับรู้ถึงความตั้งใจของเขาที่จะปกป้องเธอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามหรือเปล่านะ? ซูลกิเลยไม่รู้สึกหวาดกลัวในสถานการณ์ตอนนี้

เด็กผู้ชายที่เธอชอบกลายเป็นเราส์และมาปรากฏตัวตรงหน้าเธอ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นตอนที่เธอตกอยู่ในอันตราย

โรแมนติกและงดงามขนาดไหน?

แต่ไอดอลคนอื่นไม่คิดอย่างเธอ

“นึกว่าพวกเราจะออกไปข้างนอกซะอีก ทำไมหยุดล่ะ?”

จุนซุงอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับโทนี่ เขากำลังหงุดหงิด

เราส์มาช่วยพวกเขา สังหารบรรดามอนสเตอร์ได้สำเร็จ แต่จู่ๆเราส์ก็หยุดและบอกให้ทุกคนซ่อนตัว พวกเขาอยากออกไปจากสถานีโทรทัศน์ให้เร็วที่สุด การต้องซ่อนตัวอย่างนี้ทำให้ทุกคนกระวนกระวายและหงุดหงิด

“เจมินบาดเจ็บ”

เจมินสู้บรรดามอนสเตอร์คนเดียวและปกป้องทุกคนไปด้วย เขามีรอยกรงเล็บบาดลึกตรงไหล่และมีเสื้อเชิร์ตพันท้องหลังจากถูกแทง

“เชี่ย เห็นอยู่แล้ว แต่เขาเป็นเราส์นะ”

“อะไรนะ? คำพูดนายไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ?”

“หา? ยัยหน้าใหม่! เธอมาจากกลุ่มไหนนะ? กล้าพูดแบบนี้กับรุ่นพี่ได้ยังไง...”

จุนซุงจ้องซูลกิเขม็ง ซูลกิมีชื่อเรื่องอารมณ์ร้ายมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว เธอเกือบจะออกฤทธิ์แล้วแต่โดเจมินห้ามไว้

“ซูลกิ ฉันไม่เป็นไร”

“เจมิน...”

“ฮ้า”

หน้าเจมินไร้สีสัน เขาเกือบถึงขีดจำกัดแล้วตอนที่ได้ยินเสียงวูจิน กำลังเสริมจะมาในอีกไม่ช้า เขาไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองอีก

เขาแค่ต้องรอกำลังเสริมมาถึง

“ฮ้า ฮ้า”

เขาไม่ได้หอบเพราะบาดแผล แต่ต้นเหตุเป็นเพราะร่างกายของเขาที่พยายามรักษาบาดแผล

เลือด...

เขาหิวเลือด เจมินรู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียเหตุผลไป เขาพยายามอดทนเต็มที่

“เจมิน นายดูไม่ดีเลย”

“ฮ้า ฉันไม่เป็นไร”

“น่ารำคาญ รีบรักษาตัวแล้วพาพวกเราออกไปจากที่นี่สิ”

ทุกคนเมื่อได้ยินคำพูดของจุนซุงก็หันไปมองเจมิน 17 คนในนี้ต่างมีปฏิกิริยาต่างกันไป

มีคนที่สำนึกขอบคุณเจมินที่สู้แทนพวกเขา แต่พวกเขาเป็นดารานักร้องที่ถือว่าการที่เราส์ต้องเสียสละตัวเองเป็นเรื่องที่พวกเขาควรได้รับอยู่แล้ว

เจมินเริ่มโกรธกับคำพูดของจุนซุง

พูดตรงๆแล้วเขาไม่สนใครนอกจากซูลกิ

“งั้นนายมาช่วยฉันรักษาแผลไหม?”

“ฮึ่ม ว่าแล้วว่านายต้องมีวิธี”

เจมินหรี่ตา เขาไม่มีเหตุผลต้องปิดบังความโกรธจึงจ้องจุนซุงเขม็ง

“งั้นก็ขอเลือดนายให้ฉันได้ไหม? ถ้าฉันได้ดื่มเลือดแป๊บเดียวแผลก็หาย”

“...”

มันเป็นวิธีที่ประหลาดจนจุนซุงพูดไม่ออก

“ถ้านายอยากออกไปนักก็น่าจะเสียสละสักหน่อยใช่ไหม?”

“ท...ทำไมฉันต้อง...”

จุงซุนถอยหลังไปหลายก้าว แสงในดวงตาเจมินทำให้เขากลัว จุงซุนขาสั่น เขารู้สึกเหมือนถูกอสรพิษจ้อง

“ถ้าไม่ก็หุบปาก นายทำให้ฉันรำคาญ”

“หา? นายไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นใคร ฉันจุงซุนนะ จุงซุนคนนั้นน่ะ”

แน่นอน เจมินรู้ว่าจุงซุนเป็นใคร เขาเป็นไอดอลที่เป็นที่นิยมที่สุดในเกาหลี

เจมินไม่อยากยุ่งกับเขาอีกเลยหันหน้าไปทางอื่น

ซูลกิมองเจมินแล้วขยับเข้ามาหา

“ฉันจะให้นายเอง”

“หา?”

“เลือดน่ะ”

“...”

“ฉันบริจาคเลือดบ่อยนะ”

เจมินมองซูลกิอย่างประหลาดใจ สายตาเธอแสดงความเป็นห่วง ความชอบและขอบคุณ

ความรู้สึกของเธอทำให้เจมินตัดสินใจลำบาก ความต้องการเลือดของเขาถูกกระตุ้น เขาอยากกัดเธอ อยากดื่มเลือดของเธอ

“อ่า ฉันทำไม่ได้”

ถ้าเขาดื่มเลือดเธอ เธอไม่จำเป็นต้องกลายเป็นทาสของแวมไพร์ เขามีสิทธิ์เลือกว่าจะสร้างทาสหรือไม่ แค่ต้องหยุดดื่มเลือดก่อนถึงระดับที่จะกลายเป็นทาส... แต่เขาไม่กล้าให้ซูลกิเห็นตัวตนใหม่ของเขา

“ฮ้า ไม่ล่ะ”

เจมินห้ามตัวเองไว้อย่างยากลำบากเขาจึงหันหน้าไปทางอื่น ถ้ายังมองซูลกิต่อไปเขารู้สึกเหมือนจะยอมแพ้ให้กับการเชื้อเชิญ

เขาจำเป็นต้องรักษาแผล แต่เหตุผลนี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาดื่มเลือดของเธอ เขาจะไม่ทำให้ซูลกิต้องเสียเลือดเพราะความต้องการของเขา

กึง กึง

ทุกคนทำหน้าวิตกกังวลเมื่อฟังเสียงมอนสเตอร์ด้านนอก ตอนนี้คนเดียวที่พวกเขาพึ่งได้คือเจมิน

ฮื่อๆ

พวกเขายิ่งวิตกมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหายใจของมอนสเตอร์ดังขึ้นเรื่อยๆ ซูลกิรอไม่ไหวอีกแล้ว เธอยื่นข้อมือไปจ่อที่ปากเจมิน

“กัดสิ”

“อึก”

ข...เขาไม่ควรทำแบบนี้... เจมินรู้สึกมึนงงขณะที่เขี้ยวของเขาฝังลงไปในข้อมือซูลกิ

เลือดของซูลกิถูกดูดออกไป เธอครางและรู้สึกจะเป็นลม

‘ห...หวานจัง’

เลือดของเธอเป็นคนละระดับกับกาแฟเลือดที่ขายในร้านกาแฟ ความสุขล้นทำให้เจมินมึน แผลที่ไหล่และท้องของเขาปิดอย่างรวดเร็ว

“ฮะ”

เจมินอ้าปากอย่างตกใจและเขารู้สึกเสียใจทีหลัง

‘ฉ...ฉันดื่มเลือดซูลกิ...’

ดวงตาของเจมินสั่นไหวอย่างปิดไม่อยู่ ซูลกิกอดเขาแน่นเหมือนเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร

เจมินเป็นคนที่สู้กับพวกมอนสเตอร์น่ากลัวเพื่อช่วยเธอไว้ไม่ใช่เหรอ?

เธอถือว่าเลือดที่เสียไปไม่ต่างจากการบริจาคเลือด

“...ฉันไม่เป็นไร”

“ซ...ซูลกิ”

“ฉันเข้าใจ”

“ซูลกิ”

เจมินแทบร้องไห้เมื่อกอดซูลกิ มีคนอื่นนอกจากพี่วูจินและพี่สาวของเขาที่เชื่อใจเขา เขามีความสุขจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้

“เฮอะ หยุดไร้สาระสักทีเหอะ รีบออกไปจัดการมอนสเตอร์ข้างนอกสิ!”

จุงซุนกลัวถึงขีดสุดเมื่อได้ยินเสียงมอนสเตอร์ เขาจึงตะโกนออกมา

“อา นายปากเสียจริงๆเลยนะ...”

หลังจากหายจากอาการบาดเจ็บ เจมินขมวดคิ้วและกำลังจะลุกขึ้น เขาตาโตเมื่อเห็นตรงหน้าของเขามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนไม้คทา

“เจอนายจนได้ อาจารย์!”

“พ...พ่อบ้านบิบิ”

กำลังหนุนของเขามาแล้ว ถ้าเจมินรู้ว่าเธออยู่ที่นี่คงไม่ดื่มเลือดของซูลกิ...

บิบิลงจากไม้คทา โดลเซหมุนอยู่รอบๆศีรษะของเธอ

วิ้ง

“ฮิๆ นักเรียนเจมิน นายกลัวหรือเปล่า?”

“ครับ ผมนึกจริงๆว่าจะตายแล้ว”

“ฮิๆ นายไม่ต้องห่วงแล้วล่ะนะ”

เจมินรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคำพูดของบิบิ เธอช่างพึ่งพาได้

แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนคิดเหมือนเจมิน

“ยัยจิ๋วนี่ใครวะ?”

จุนซุงมีแผลทางใจจากการตายของโทนี่ ความกลัวตายทำให้จุนซุงปากจัด

“นายเป็นใครน่ะ?”

“หา? ยัยเด็กนี่ไม่รู้จักฉันเหรอ?”

“เราจำเป็นต้องรู้จักนายด้วยเหรอ?”

“ฉันจุนซุง ลีจุนซุง!”

บิบิทำแก้มป่อง

“เราจะไปจำนายได้เหรอ? นายดูสกปรกมาก”

“ยัยเด็กนี่! บ้าไปแล้วเหรอ?”

จุนซุงขมวดคิ้ว บิบิจ้องเขาเขม็ง

เด็กเป็นคำที่เธอเกลียดที่สุด

“นายอยากตายสินะ?”

“อะไรนะ?”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตายไปซะ”

“อะไรของ...”

จุนซุงกำลังจะตะโกนด้วยความโกรธแต่แล้วเขาก็ตาเหลือกและร่วงลงไปนอนบนพื้น เขาจะถูกทรมานในฝันร้ายและเมื่อถึงตอนจบของฝันเขาก็จะตาย

“ฮึ”

บิบิอารมณ์เสีย เธอหันไปพูดกับเจมิน

“รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ เราต้องไปจับแมวตัวใหญ่ข้างนอก”

“ครับ”

เพราะพวกเขาเสียงดังเกินไปหรือเปล่า?

เสือดำสามตัวเข้ามาในสตูดิโอและส่งเสียงคำราม

ในนี้มีมนุษย์มากมาย เสือดำตั้งใจจะกินให้หมด

“ลูกแมวน้อยทั้งหลาย!”

เมื่อดวงตาของเสือดำมองไปทางเด็กน้อย... พวกมันก็ตาเหลือกแล้วล้มลง

“รีบออกไปกันเถอะ นักเรียนเจมิน”

“...”

บิบิเดินแกว่งแขนออกไปจากตึก เจมินกับซูลกิตามเธอไป คนอื่นที่ยืนรอบๆอย่างเก้ๆกังๆตามพวกเขาไป พวกเขาไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มของจุนซุงแบกเขาขึ้นหลัง

“หือ? ทิ้งศพไปเถอะ”

“...”

จุนซุงยังหายใจอยู่ เขาจะตายได้อย่างไร...

“ช่างเถอะ อยากเหนื่อยฟรีก็แล้วแต่นาย”

มนุษย์คนนั้นจะตายเมื่อความฝันสิ้นสุด แต่ไม่ใช่เรื่องของเธอ

สุดท้าย คนสำคัญของเธอก็มีแค่เจมิน

เมื่อบิบิออกจากสถานีโทรทัศน์ เธอมองไปทางต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งตรงกลางที่จอดรถขนาดใหญ่ เสือพูม่าตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังเฝ้าต้นไม้ต้นนั้น มันย่องมาทางเธอ



สารบัญ                                                     บทที่ 137



วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 135

บทที่ 135 – มิวิช (2)



มิวิชหัวเราะ

“แล้วคิดว่าทำไมข้าจึงอยู่ที่นี่?”

“โง่แล้ว ฉันจะไปรู้เรอะ?”

“...”

คำพูดของวูจินทำให้มิวิชอึ้งไป ไม่นานเขาก็หัวเราะลั่น

“ฮ่าๆๆ เจ้าเป็นแบบนี้เสมอ สมแล้ว สมแล้วที่เป็นผู้ไม่ตาย!”

คำพูดของมิวิชเต็มไปด้วยความประชดประชัน วูจินขมวดคิ้ว

“นายมีเป้าหมายแบบเดียวกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เหรอ?”

“สตรีศักดิ์สิทธิ์? เมโลดี้? โฮ่ นางยังไม่ตายอีกเรอะ?”

“...?”

พูดบ้าอะไรอีก?

เขาคิดว่าเมโลดี้ตายไปแล้ว?

“ฮ่าๆ โชคชะตาเป็นหญิงใจง่ายจริงๆ”

“จะพูดให้กำกวมไปทำไม พูดมาตรงๆสิ”

มาวิชหัวเราะเมื่อเห็นวูจินหมดความอดทน

“ฮ่าๆ ดูเหมือนเจ้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน”

“ฉัน?”

“เจ้ากำลังร้อนรน”

“...”

วูจินกระพริบตา

เขาเหรอ?

เขากำลังร้อนใจจริงๆ

วูจินผ่อนคลายลงแล้วกระตุกยิ้ม

“ก็ได้ ฉันยอมรับว่ากำลังร้อนใจ”

“โฮ่ เจ้ายอมรับ? นึกไม่ถึงว่าผู้ไม่ตายจะทำตัวแบบนี้ วิญญาณแค้นในอัลเฟนคงคืนชีพขึ้นมาเพราะตกใจจริงๆ”

วูจินยักไหล่ให้กับคำพูดหยอกล้อของมิวิช

เล่นด้วยก็ได้

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ช่วยฉันอยู่”

“โฮ่ นางทรยศพวกเรางั้นหรือ?”

“นายต่างหากที่ทรยศ”

“...นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรพูด”

ตั้งแต่แรก ผู้ไม่ตายนั่นเองคือผู้ที่ไม่เคยใช้พลังของเขาเพื่อสหพันธ์ใด พวกเขาสู้กันเรื่อยมาจนในที่สุดก็ทำสัญญาไม่รุกรานกันจนได้ เรื่องทรยศไม่ใช่สิ่งที่จ้าวแห่งอลันดาลควรพูดขึ้นมาอย่างหน้าด้านๆ

“ในบรรดาผู้กล้าชื่อดังของอัลเฟน นายเจ้าเล่ห์ที่สุด”

“ข้าเป็นคนที่ยึดหลักเหตุผลที่สุด”

วูจินยิ้ม

“เพราะอย่างนั้นถึงไปเกาะทราห์เน็ตเหรอ?”

“ฮ่าๆๆ”

“อายเหรอถึงได้หัวเราะ”

“ฮ่าๆๆ ไม่ ไม่ใช่เลย”

มิวิชหัวเราะเป็นนานจากนั้นจึงพูดอย่างเคร่งขรึม

“เจ้าเข้าใจผิดทั้งหมด”

“...”

“เราไม่ควรต่อต้านทราห์เน็ตตั้งแต่แรก”

วูจินเงียบ เขาสังหรณ์ว่ามิวิชเข้าใจสถานการณ์ดีกว่าเขา ถ้าเขาเงียบ มิวิชจะให้ข้อมูลนั้นออกมาเอง

“นี่คือระบบใหม่ แม้แต่เทพก็ไม่อาจหยุดกฎสูงสุดของทราห์เน็ตได้!”

“พูดบ้าๆ”

“คนทรยศ? ไม่ถูกต้อง ถ้าเช่นนั้นแล้วเจ้าเล่า?”

“ฉัน?”

“ตลอดชีวิตข้าสู้เพื่ออัลเฟน สุดท้ายข้าไม่อาจปกป้องมันได้ แต่เจ้าเล่า เจ้ายอมรับทราห์เน็ตแต่โดยดีเลยไม่ใช่หรือ?”

“อะไร? ฉันเหรอ?”

“หลักฐานก็คือการที่เจ้ายืนอยู่ตรงนี้”

“...”

“ทำไมเจ้าไม่ปกป้องโลก? ทำไมเจ้ากลายมาเป็นลอร์ดมิติ?”

ลอร์ดมิติ

พวกเขาคือสมาชิกที่สำคัญที่สุดของทราห์เน็ต

วูจินส่ายศีรษะ

“นายมีอะไรจะพูดอีกไหม?”

“เจ้ามันคนขี้ขลาด เจ้าสละบ้านเกิดของตนก่อนจะสู้เพื่อมันด้วยซ้ำ”

วูจินกลายเป็นลอร์ดมิติ ตั้งแต่ก่อนเลือกปกป้องโลก ไม่ใช่ว่าเขาเลือกรักษาชีวิตตัวเองก่อนหรือ? เขาทำตัวเหมือนนักการเมือง มิวิชจึงมองเขาไม่ดี

“หึ นั่นอาจเป็นทางเลือกที่ฉลาด เจ้าชิงยอมแพ้และปรับตัว”

วูจินขมวดคิ้ว มิวิชพ่นถ้อยคำนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธ

“นายบ้าไปแล้วเหรอ?”

“...”

“ปรับตัวอะไร? กฎสูงสุดที่นายพูดถึงคืออะไร?”

“ดูท่าว่าเจ้ายังไม่ยอมรับความจริง เจ้าหยุดมันไม่ได้หรอก”

“หยุดอะไร?”

“โลกจะถูกอิทธิพลของทราห์เน็ตกลืนกิน...”

“ฉันจะหยุดทำไม?”

“อะไรนะ?”

มิวิชจ้องวูจินอย่างแปลกใจ

“ฉันจะหยุดมันไปทำไม?”

“...”

ทำไมต้องหยุด เพราะโลกเป็นดาวบ้านเกิดของเขาไม่ใช่เหรอ?

“ทุกชีวิตในมิติรู้สึกผูกพันเป็นพิเศษกับดาวบ้านเกิดของตน...”

“ไร้สาระ”

วูจินเปลี่ยนอาวุธเป็นดาบยาว มันเป็นดาบสองมือที่ช่วงนี้เขาชอบใช้

“ถ้าพวกมันอยากบุกก็บุกมา”

“...”

“ฉันแค่ต้องฆ่ามันให้หมด”

“ถึงอย่างนั้น สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน...”

“ทราห์เน็ต? กฎ?”

“มันไม่มีทางเปลี่ยน”

“ฉันจะทำลายมัน”

“...?”

นี่เป็นสิ่งที่ควรพูดจากปากของลอร์ดมิติเหรอ?

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะทำตัวให้ตกอยู่ในอันตราย...”

“เงียบ ไอ้บ้า”

วูจินถือดาบสองมือขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้า

“...”

“ถ้ากลัวตายก็ไม่ควรเข้ามาในสนามรบตั้งแต่แรกแล้ว”

“...!”

ด้วยคำพูดนั้น วูจินกระโดดสูงและฟันดาบลงมาที่มิวิช

กึง!

มิวิชชักดาบของเขาที่ซ่อนใต้เสื้อคลุมออกมาป้องกัน คำพูดก่อนหน้าของวูจินทำให้มิวิชหวั่นไหว

กึง! กึง! กึง!

มิวิชป้องกันการโจมตีดุเดือดของวูจินอย่างอัตโนมัติ

หลังผลัดกันโจมตีหลายครั้ง มิวิชเริ่มสงบลง รอยยิ้มระบายเต็มหน้าของเขา

“เข้าใจแล้ว”

เขาปัดการโจมตีออกแล้วถอดเสื้อคลุม

“เจ้าอาจไม่ใช่คนขี้ขลาด ข้าอาจใช่”

วูจินได้ยินแล้วพูดท้าทาย

“แหงล่ะ”

“โฮ่”

มิวิชยิ้มไม่หยุด

“เจ้าเรียนวิธีใช้ดาบตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ไม่นานมาก”

“หึ มาสู้กัน”

มิวิชตั้งท่า แรงกดดันแหลมคมกระจายออกมาจากร่างของเขา บรรยากาศเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้

มิวิชเป็นหนึ่งในสุดยอดนักดาบของอัลเฟน

วูจินมีสองอาชีพ แต่เขาเป็นแค่เราส์แรงค์ AA มิวิชก้าวเข้าสู่วงแหวนที่ 9 แล้ว วูจินยังไม่ถึงขั้นสู้กับนักดาบแรงค์ SS

“พรรคพวก”

สิ้นคำเรียกของวูจิน เหล่าอัศวินมรณะก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมควันดำ

“...”

พริบตาเดียว สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็น 30:1 มิวิชคิ้วกระตุก

“ไม่โกงไปหน่อยเรอะ?”

วูจินยิ้ม

“โง่”

“...”

อัศวินมรณะ 30 ตนเริ่มล้อมกรอบมิวิช มิวิชยิ้มรับแรงกดดันอย่างสงบ

“ช่วยไม่ได้นะ”

ศัตรูของเขาคือเนโครแมนเซอร์ ราชาของผู้ตาย จ้าวแห่งอลันดาล

ถ้ามิวิชต้องการฝังดาบไว้ที่ร่างผู้ไม่ตาย เขาต้องผ่านกองทัพผีดิบให้ได้ก่อน

โชคดีที่ไม่มีลิชอยู่ ดังนั้นนี่อาจเป็นไปได้...

ที่แห่งนี้เป็นถิ่นของเขา มันคือที่ราบของมิวิช

“ซื้ด”

เขาสูดลมหายใจลึก

เขาสูดลมหายใจต่อไป พลังงานไร้สภาพมารวมตัวรอบๆเขาและไหลเข้าไปในร่าง วูจินขมวดคิ้วเมื่อพลังของมิวิชเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง

‘เสียเวลาแน่’

เลเวลของเขายังไม่กลับมาเท่าเดิมแต่ต้องมาเจอศัตรูตัวปัญหา คนที่มีพลังมากขนาดนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ บัลลังก์ทั้ง 72 อาจจะเท่ากัน...

ดวงตาวูจินเปล่งประกายวูบหนึ่ง

“ขอถามอะไรสักข้อ”

“อะไร?”

ผู้ไม่ตายพร้อมสู้แต่ไม่เหมือนสมัยก่อน มีความเห็นใจอยู่ในดวงตาของเขา ผู้ไม่ตายทำตัวเป็นมิตร... นี่ทำให้มิวิชประหลาดใจ

“ทำไมแรงค์ของนายถึงต่ำนัก?”

“ฮะๆ”

เมื่อลอร์ดมิติเข้ามาในอาณาเขตของลอร์ดคนอื่น พวกเขาสามารถเห็นข้อมูลพื้นฐานเช่นแรงค์และชื่อของอีกฝ่ายได้

แรงค์ของมิวิชคือ 4,231 ต่ำกว่าวูจินมาก

“แรงค์ไม่มีความหมายสำหรับข้า”

“ทำสงครามมิติไม่เก่งเหรอ? งั้นก็ท้าดวลสิ อย่างนายควรจะอยู่ระดับเดียวกับ 72 บัลลังก์ของทราห์เน็ต”

“มันไม่สามารถเปลี่ยนคืนได้”

“...?”

“ท้าดวลจะทำให้เจ้าสูญเสียทุกอย่างในที่สุด”

วูจินงง เขากลัวตายเหรอ? เพราะอย่างนั้นถึงไม่ต้องการดวล?

มิวิชมองวูจินแล้วพูด

“เจ้าไม่สามารถเพิ่มแรงค์ด้วยการดวล เป็นไปไม่ได้แม้แต่ท้าทายบัลลังก์ผ่านการดวล”

มิวิชพูดความจริง

“หากเป้าหมายของเจ้าคือบัลลังก์ เจ้าต้องให้ความสำคัญกับสงครามมิติมากกว่านี้”

บัลลังก์มีเพียง 72 บัลลังก์ คนที่ไม่คู่ควรไม่อาจครอบครองมันได้

“นักปกครองไม่จำเป็นต้องมีพลังต่อสู้ ที่พวกเขาต้องการคือความสามารถในการดูแลจัดการ”

“...”

“สู้กันต่อไหม?”

แสงสีขาวเปล่งออกมาจากดาบของมิวิช แสงสีดำเปล่งออกมาจากอาวุธของเหล่าอัศวินมรณะ แล้วอาวุธของพวกเขาก็ปะทะกัน

“ผู้ปกครอง...”

วูจินใช้เวทกดดันมิวิช เขายังใช้ทักษะของนักรบไม่คล่องนักและศัตรูของเขาก็ไม่ง่าย

มิวิชใช้ทักษะอาณาเขตของเขา เขาปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนอยู่อัลเฟน

เขาอาจต้องเรียกอัศวินมรณะออกมาทั้งหมด

เหล่าอัศวินผู้ผ่านชีวิตและความตายยังสู้ต่อไปในทุ่งราบ

***

สถานีมกดองทางออกที่ 4

“เวร”

วูซุงฮุนสบถออกมา

รายการถ่ายทอดสดสถานการณ์ปัจจุบันถูกตัดไป ดูเหมือนจะมีปัญหาด้านเครื่องมือสื่อสาร อินเตอร์เน็ตจึงล่ม สมาร์ทโฟนกลายเป็นไร้ประโยชน์ เขาเปิดวิทยุฟังข่าวในรถทันที

โซลตกอยู่ในความโกลาหล

ไม่ใช่แค่โซล ในแดกู กวางจูและปูซานก็ด้วย

ญี่ปุ่น จีน อเมริกาและฝรั่งเศสล้วนเผชิญกับดันเจี้ยนเบรก

[ซ่าๆ บอสที่แข็งแกร่งมากกำลังสั่งการพวกมอนสเตอร์... ซ่าๆๆ... อาวุธปืนไม่มีผล...]

นี่ต่างจากดันเจี้ยนเบรกธรรมดา มอนสเตอร์อยู่ในการควบคุมของมอนสเตอร์อื่น มอนสเตอร์ที่ไร้การควบคุมก็อันตรายอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ ผลเลวร้ายที่ตามมานั้นเกินกว่าจะจินตนาการได้

หากการกำจัดมอนสเตอร์ที่แล้วมาคือการล่า สถานการณ์ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปมาก

มันคือสงคราม

พวกมันเคลื่อนไหวเป็นกองทัพ สงครามกำลังเกิดขึ้นในที่ต่างๆ

“หัวหน้าแผนกครับ ที่นี่อันตราย”

“ฉันรู้”

วูซุงฮุนเม้มปาก ประธานยังไม่มีทีท่าจะออกมาและข่าวร้ายก็เกิดขึ้นตามที่ต่างๆในโซล

ฝูงมอนสเตอร์กำลังมุ่งหน้าไปทางนัมซาน เขาเป็นห่วงอลันดาลที่อยู่บริเวณนั้น

เมื่อมอนสเตอร์ปรากฏตัว พวกมันไม่ได้คลั่งอาละวาด แต่จัดเป็นกลุ่ม การที่มอนสเตอร์เคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบทำให้คนกลัวมากขึ้น มันเหมือนระเบิดที่ใกล้จะระเบิด

ไซคลอปตัวหนึ่งเฝ้าที่สนามเบสบอลมกดอง และพวกมอนสเตอร์มารวมกลุ่มกันรอบๆไซคลอป ถ้าพวกมันอาละวาด สถานีมกดองจะพังทลายในพริบตาเดียว

อาจจะดีกว่าถ้าอพยพออกไปก่อนพวกมอนสเตอร์จะโจมตี

“เชี่ย ถอยกันเถอะ”

ถ้ายังรอประธานต่อไป เขาอาจตายก่อนวัยอันควร

“หาอะไรมาให้ฉันเขียนหน่อย”

“ครับ?”

“เร็วๆ”

“ได้ครับ”

พนักงานเอากระดาษโน้ตออกมาจากรถ ซุงฮุนเขียนสถานการณ์ในโซลและทั้งโลกตอนนี้ลงไปอย่างรวดเร็ว

มอนสเตอร์รวมกันอย่างเป็นระเบียบ ในนัมซาน สนามเบสบอลมกดอง กังนัม มหาวิทยาลัยโซล ป้อมซูวอน ฮวาซ็อง...

เขาเขียนย่อๆถึงข่าวที่ได้ยินมา...

กระดาษโน้ตเต็มไปด้วยข้อมูล เขาติดมันไว้ที่ทางเข้าสถานี

“เฮ้อ ไปกันเถอะ”

“ร...เราจะไปที่ไหนครับ?”

“ไปอลันดาลกันก่อน”

“ครับ”

อาจจะปลอดภัยที่สุดหากเขาออกจากโซล แต่เขาจะหนีไปคนเดียวได้อย่างไร? แม้จะแค่ในนามแต่ซุงฮุนถือตัวว่าเป็นรัฐมนตรีการต่างประเทศของอลันดาล ถ้าจะอพยพเขาก็ต้องไปพร้อมกับทุกคน

‘ถ้ากับกรรมการฮงและกรรมการเชก็เป็นไปได้’

พลังของฮงซุงกูและเชฮีซอนไม่อาจมองข้ามได้ พวกเขาเป็นเราส์ที่สามารถแย่งตำแหน่งสูงๆของเราส์ในโลก

ยิ่งกว่านั้นยังมีกองทหารมากมายรอบๆทำเนียบประธานาธิบดี

“รีบออกมาเถอะประธาน ก่อนพวกเราจะตายกันหมด”

ซุงฮุนมองบาเรียที่ไม่มีทีท่าจะหายไปตาละห้อย จากนั้นเขาและพนักงานคนอื่นๆเข้าไปในรถแล้วขับจากไป

ผ่านไปเป็นเวลานาน บาเรียก็เริ่มสลายตัว

วูจินออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า

“อะไรเนี่ย? คนอื่นไปไหนหมด?”

มันเป็นการต่อสู้ที่ยากเย็น เขาอยากพักผ่อนในอ่างน้ำอุ่น แต่ซงฮุนและพนักงานแผนกเลขานุการหายไปหมด

“หา?”

วูจินขมวดคิ้วพลางอ่านกระดาษโน้ตที่แปะตรงกำแพง

เขาไม่มีเวลาพัก ต่อให้มีตัวเขาอีก 10 คนก็จัดการเรื่องพวกนี้แทบไม่ทัน





สารบัญ                                                 บทที่ 136