วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 139

บทที่ 139 – เจ้าแห่งโรคระบาด (2)


อลันดาลกำลังถูกกดดันอย่างหนัก

“ร...เราจะทำยังไงกันดีคะ?”

ฮีซอลถามด้วยความกังวล พวกไวเวิร์นกระจายเต็มท้องฟ้าและเริ่มการล่าไม่เลือกหน้า ไม่ใช่แค่บนท้องฟ้า บนพื้นก็มีมอนสเตอร์มากกว่าอีกหลายเท่า ทุกครั้งที่มังกรคำราม มอนสเตอร์จะกระจายออกไปโดยมีนัมซานเป็นจุดศูนย์กลาง

เหล่าทหารจัดแถวต่อสู้ขึ้นมาหยาบๆขณะที่มอนสเตอร์มารวมตัวกัน กองทัพเริ่มทิ้งระเบิด

“ถามทำไมครับ เราก็ทำสิ่งที่เราทำได้”

คำพูดของซุงกูทำให้ฮีซอลควบคุมอารมณ์ได้ ปกติแล้วเขาจะดูขาดๆเกินๆ แต่ในสถานการณ์คับขัน คำพูดของซุงกูมีผลกับเธอมาก

เขาไม่ได้ซื่อเพราะฉลาดน้อย

เขาถูกวูจินฝึกให้เป็นแบบนี้

“เราแค่ต้องป้องกันมอนสเตอร์ที่มาทางนี้ ทำสิ่งที่เราทำได้ให้มากที่สุด ถึงตอนนั้นลูกพี่ก็มาถึงที่นี่แล้ว”

ซุงกูยกดาบที่วูจินมอบให้ขึ้นมา

ดาบของถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ ไม่ใช่แค่นั้น ทั่วร่างของซุงกูก็ถูกเปลวไฟคลุม

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ครับ ถ้าผมใกล้ตายช่วยรักษาผมด้วย”

“...ยกให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะค่ะ”

วูจินที่เป็นเชือกช่วยชีวิตไม่อยู่ ซุงกูได้แต่ฝากชีวิตไว้กับสตรีศักดิ์สิทธิ์

“ไปก่อนล่ะ”

กองไฟฮงซุงกูพุ่งไปข้างหน้า

สไตล์ต่อสู้ของเขาไม่เหมาะจะสู้ร่วมกับพวกเดียวกัน เขาจะสู้ได้ดีที่สุดเมื่อพุ่งเข้าไปในกลุ่มศัตรู เปลวไฟของเขาไม่แยกศัตรูหรือสหายจึงอาจทำร้ายพวกเดียวกันโดยไม่ตั้งใจ

ดังนั้นซุงกูจึงเป็นเราส์ที่เชี่ยวชาญเรื่องดึงความสนใจจากศัตรู

“เราก็เตรียมตัวกันเถอะ”

ฮีซอลเตรียมพร้อมมอนสเตอร์ของเธอ

ฮีซอลเคลื่อนที่เสือดำแจ็คสัน ฝูงกาปากมีด จระเข้หุ้มเกราะและมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ พวกมันมีสัญลักษณ์ของอลันดาลบนตัวเพื่อแยกออกจากมอนสเตอร์ทั่วไป

“แสดงสปิริตของพวกเราให้ทุกคนเห็นกัน”

ฉายาของเชฮีซอลคือเจ้าของสวนสัตว์ซาฟารี วันนี้เธอจะแสดงให้เห็นว่ามอนสเตอร์ของเธอไม่ได้มีไว้โชว์เฉยๆ

“โฮก!”

มอนสเตอร์ออกเดินด้วยท่าทางคึกคัก

[ทหาร!]

อัศวินมรณะทั้งสามเรียกทหารโครงกระดูกในอาณัติออกมา พวกมันเลเวล 50 แล้วและได้ทหารเพิ่มเมื่อเลเวลเพิ่มเลเวลละ 10 ตัว อัศวินมรณะแต่ละตัวมีทหารโครงกระดูก 500 ตัว ดังนั้นพริบตาเดียวก็ปรากฏกองทัพใหญ่

เคะๆๆ

ทหารโครงกระดูกปรากฏตัวพร้อมเสียงน่าขนลุก พวกมันจัดขบวนทัพโดยหลีกให้ห่างจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ราวกับเตรียมตัวมาก่อนแล้ว เห็นดังนั้นสตรีศักดิ์สิทธิ์จึงถอยไปข้างหลัง

“ฉันจะคอยดูแลคนเจ็บเองค่ะ”

เธอไม่มีประโยชน์ต่อมอนสเตอร์ผีดิบ ทำได้แค่ร่วมมือกับซุงกูและฮีซอล แต่สองคนนี้ชินกับการสู้แบบบ้าระห่ำ พวกเขาจึงไม่แม้แต่คิดจะรับบัฟจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาพุ่งเข้าสู่สนามรบทันที

[โจมตี!]

[รักษาขบวนทัพไว้!]

ทหารโครงกระดูกแยกกัน กองทัพส่วนหนึ่งพุ่งไปข้างหน้า ที่เหลือรักษาตำแหน่งอยู่ด้านหลัง ซุงกูกลับมาหลังจากสร้างความวุ่นวาย เขาต้องรักษาพื้นที่จนกว่าทหารโครงกระดูกจะจัดทัพใหม่

ซุงกูเหมือนปลาได้น้ำ เขาไปทุกที่

ทุกการเคลื่อนไหวของเขาทำให้เกิดรอยไฟ อาคารต่างๆระเบิดและลุกไหม้เมื่อเขาเหวี่ยงดาบเพลิง

แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาโจมตีโดยไม่วางแผน

เขาสร้างกำแพงไฟขึ้นระหว่างอาคาร เปลี่ยนเส้นทางของพวกมอนสเตอร์อย่างชำนาญ เขาควบคุมสนามรบเพื่อให้ทัพโครงกระดูกสู้กับมอนสเตอร์ได้

“ฮู้ว”

พลังเวทของเขาหมดอย่างรวดเร็ว ซุงกูถอนหายใจ ลมหายใจของเขาร้อน มอนสเตอร์มีไม่สิ้นสุดแม้ว่าเขาจะคอยเผาพวกมันตลอด

นี่เขากำลังเหนื่อยหรือกังวลนะ?

“ฮะๆ”

ซุงกูหัวเราะตัวสั่น

นี่ไม่ใช่เพราะกลัว เขาตัวสั่นด้วยความสนุก

“สุดๆเลย”

เขายังไม่ได้วัดระดับจากสมาคมผู้มีพลังพิเศษอย่างเป็นทางการ แต่การวัดระดับคร่าวๆในอลันดาล ซุงกูเป็นนักเวทวงแหวนที่ 7 เราส์แรงค์ AA

ในโลกมีเราส์ระดับเขาเพียงหยิบมือ

เขาควบคุมไฟได้เพียงขยับมือ

ครอบครัวของเขาหลบภัยในหลุมหลบภัยใต้ดินของอลันดาล เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบมากมายบนบ่า แต่การรู้ว่าตัวเองมีพลังพอปกป้องครอบครัวทำให้เขามีกำลังใจ

เขาไม่ได้ไร้พลังและไม่ต้องวิ่งหนี เขามีพลังที่จะต่อสู้และจะปกป้องครอบครัวอย่างห้าวหาญ

“มาเลย!”

ซุงกูเหวี่ยงดาบทำให้เกิดระเบิด

ตอนนั้นเอง ไวเวิร์นตัวหนึ่งดิ่งลงมาทางซุงกู

ซุงกูยกมือขึ้น เปลวไฟพุ่งออกจากฝ่ามือของเขา ไฟสีขาวเปลี่ยนไวเวิร์นให้กลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ศพของมันหล่นลงมาทับตัวเขา

“อุ๊บ”

ซุงกูถูกมอนสเตอร์ร่างยักษ์ทับ เขาพยายามคลานออกมาจากใต้ศพ ในด้านความแข็งแกร่งทางร่างกาย เขาอยู่ระดับเดียวกับเราส์สายกายภาพ

“โยชช่า!”

เขายืนขึ้นและผลักศพไวเวิร์นไปข้างๆ

ก๊าซ!

มอนสเตอร์นับไม่ถ้วนโจมตีเขา แต่ดวงตาของซุงกูเปี่ยมด้วยความมั่นใจ เขาเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวคนเดียวบ่อยๆ เขามีพลังเวทจำกัด แต่ได้เรียนรู้วิธีเปลี่ยนพละกำลังไปเป็นพลังเวทมาแล้ว

ซุงกูทำลายมอนสเตอร์ที่บุกเข้ามา และตอนนี้กองทัพโครงกระดูกเข้ามาควบคุมการรบ ตรงจุดยุทธศาสตร์สำคัญมีมอนสเตอร์ของฮีซอลร่วมต่อสู้ด้วย

ตอนนั้นเอง มังกรบนหอคอยก็คำราม

ไม่แค่เสียงดัง มันผสมพลังประหลาดในนั้น คลื่นเสียงรบกวนเครื่องมือสื่อสารของกองทัพ ผลจากทักษะความกลัวไม่หยุดแค่นี้ มันมอบบัฟหลายอย่างให้พวกมอนสเตอร์ พวกมันยิ่งบ้าคลั่งหนักกว่าเดิม

“ทำยังไงดี?”

มอนสเตอร์พุ่งเข้าหาซุงกูอย่างบ้าคลั่ง จำนวนมอนสเตอร์ดูจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกและซุงกูคิดถอย ลางสังหรณ์เขาถูกต้อง พวกมอนสเตอร์ต่อสู้ไม่เป็นระเบียบแต่เสียงคำรามของมังกรทองชี้นำพวกมันทั้งหมดมายังที่ๆซุงกูเฝ้าอยู่ มังกรส่งพวกมอนสเตอร์มาที่อลันดาล

ทหารที่เฝ้าอยู่อีกด้านสบายขึ้น แต่ซุงกูกำลังเสียพลังไปเพราะมอนสเตอร์โจมตีต่อๆกัน

‘ฉันต้องการเวลาพักสักหน่อย’

สนามรบต่างจากการเคลียร์ดันเจี้ยน

ในดันเจี้ยน เขาสามารถหาที่ปลอดภัยเพื่อฟื้นฟูพลัง แต่ในสงครามเขาไม่อาจถอยหลังได้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าเขาล้มลง เพื่อนร่วมรบของเขาจะเจอปัญหา ยิ่งกว่านั้นครอบครัวเขาอยู่ด้านหลัง พวกเขาเชื่อใจเขา

‘ทำยังไงดี?’

นี่เขามั่นใจในตัวเองเกินไปหรือเปล่า?

เขารีดเวทเฮือกสุดท้ายออกมา ในหัวซุงกูมีความคิดผ่านเข้ามามากมาย การเคลื่อนไหวเริ่มสะเปะสะปะ ตอนนั้นเอง แผ่นคอนกรีตก็หล่นลงมาจากฟ้า

[โก!]

กองคอนกรีตลอยขึ้นและเก็บกวาดมอนสเตอร์พร้อมๆกับเสียงคำรามเข้มแข็ง บิบิบินมาที่ด้านข้างซุงกู

“เฮะๆ ทำได้ดีจ้าซุงกูจิง”

“บิบิ!”

ซุงกูดีใจมากที่เห็นบิบิ

เมื่อหันไป เขาเห็นกองทัพทหารโครงกระดูกเพิ่มจำนวนขึ้นหลายเท่า

‘อัศวินคนอื่นก็มาแล้ว’

ซุงกูได้รับการฝึกมาจากเหล่าอัศวินมรณะ เขารู้ว่าพวกมันแข็งแกร่งขนาดไหนจึงโล่งใจ

“ลูกพี่กลับมายัง?”

“เจ้านายยังไม่มาเลย ไปพักก่อนเถอะ”

“ได้ ฝากด้วยนะ บิบิ”

นี่เป็นช่วงสุดท้ายของการรบ ยังมีมอนสเตอร์เหลืออีกมาก แทนที่จะอยู่เกะกะ เขาไปพักฟื้นพลังแล้วกลับมาช่วยสู้ใหม่ดีกว่า ซุงกูขยับไปแนวหลังและเห็นฮีซอลนอนเหนื่อยอยู่ข้างสตรีศักดิ์สิทธิ์

“มาทางนี้ค่ะ ฉันจะรักษาคุณให้”

“โอ้ ครับ ฝากตัวด้วย”

บนร่างซุงกูมีรอยขีดข่วน และเขาใช้พลังเวทไปจนหมดจึงรู้สึกคลื่นไส้ปวดศีรษะ เมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์แตะเขา แผลก็เริ่มหายอย่างรวดเร็ว และพลังเวทของเขาสงบลง เขารู้สึกเหมือนพลังเวทฟื้นตัวขึ้นเร็วกว่าปกติ

ซุงกูถาม

“คิดว่าลูกพี่จะมาถึงเมื่อไหร่ครับ?”

“ภายใน 10 นาทีครับ”

คนตอบคำถามเป็นโดเจมิน เขามาช้าเพราะต้องพาซูลกิไปยังที่หลบภัยของอลันดาล เจมินเป็นข้ารับใช้ของลอร์ดมิติและเป็นหนึ่งในสามคนที่สามารถติดต่อทางจิตกับวูจินได้

ที่จริงในสามคนนี้ไม่ใช่คนทั้งนั้น หนึ่งเป็นแวมไพร์ หนึ่งเป็นนางปีศาจและอีกหนึ่งเป็นอัศวินมรณะ

“เอ๊ะ? นักเรียนเจมิน”

“ไม่เจอกันนานนะครับ”

“ฮ่าๆ นายเป็นไงบ้าง”

“ดีแล้วครับ”

“ดีมาก นายต้องเข้มแข็งเข้าไว้ ใครจะสนล่ะว่านายจะเป็นมนุษย์หรือเปล่า นักเรียนเจมินน่ะหล่อ”

“...”

“แว่นกันแดดเท่ดีนะ ไอ้หยา”

บทสนทนารู้สึกไม่เข้ากับการรบเร่าร้อนรอบๆ ซุงกูทำให้เจมินนึกถึงวูจินอย่างประหลาด เจมินยิ้ม ทำไมเขาถึงรู้สึกสบายใจนักนะเมื่อนึกถึงวูจิน?

“แต่ว่านะ เราจะทำไงกับพวกนี้ดีครับ? เราป้องกันเขตของเรา แต่โซลคงถูกทำลาย”

นี่เทียบกับดันเจี้ยนเบรกครั้งก่อนๆไม่ได้เลย ปัญหาใหญ่คือพวกมอนสเตอร์รวมกันเป็นกองทัพ

“คิดว่าพี่วูจินจะจัดการพวกนี้ได้หมดไหมครับ?”

ซุงกูที่กำลังรับการรักษาผงกศีรษะเมื่อได้ยินคำถามของเจมิน

“ถ้าลูกพี่มาถึงทำได้แน่ ฉันได้ยินมาว่าเขาใกล้จะอัญเชิญลิชได้แล้ว”

เมโลดี้ผงะเมื่อได้ยินซุงกูพูด

พลังงานอบอุ่นที่ช่วยเขาฟื้นฟูเวทติดขัดไป ซุงกูหันไปมองเธอ

“เอ๋? มีอะไรเหรอครับ?”

“อ๊ะ เปล่าค่ะ”

“คุณตัวสั่น...”

เมโลดี้ตัวสั่นเล็กน้อย เธอสงบใจ

“คุณบอกว่าจ้าวแห่งโรคระบาดกำลังจะมา...”

“เอ๋? โรคระบาด?”

“นั่นเป็นฉายาของลิชเจนิสค่ะ”

“ฉายานั่นออกจะ...”

“คุณรู้หรือเปล่าค่ะว่าคนตายไปกี่คนตอนที่กาฬโรคระบาดในอัลเฟน?”

ซุงกูไม่เก่งวิชาประวัติศาสตร์ ยิ่งประวัติศาสตร์ของโลกอื่นเขาจะไปรู้ได้อย่างไร?

“...กี่คนครับ?”

“20 ล้าน”

“เยอะจัง...”

“รู้ไหมคะว่า 200 ปีที่ผ่านมา ลิชเจนิสสังหารไปกี่คน?”

ซุงกูเริ่มรู้สึกอึดอัด

“กี่คนครับ?”

“สามสิบล้าน”

“...”

“ตัวเขาก็คือโรคระบาดนี่เอง ดังนั้นจะเรียกเขาว่าจ้าวแห่งโรคระบาดก็ไม่เกินไป”

ซุงกูหน้าเครียด

ทำยังไงดี ลูกพี่บอกให้เขาเรียนเวทจากลิช...

ลูกพี่เรียกฆาตกรหมู่ที่สุดยอดมากคนนั้นว่าครู และตอนนี้เขาเป็นอสูรของวูจิน

“ฮ่าๆ คุณเจนิสดูสุดยอดกว่าลูกพี่อีกนะครับ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของซุงกู มือเธอสั่น

“คุณรู้ไหมคะว่ามีคนตายกี่คนในการต่อสู้กับกองทัพผีดิบของผู้ไม่ตาย”

ซุงกูไม่กล้าถามเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของสตรีศักดิ์สิทธิ์

ฮงซุงกูนับนิ้ว ถ้าลิชฆ่าไป 30 ล้านคนใน 200 ปี 20 ปีก็น่าจะประมาณ...

“สามล้าน?”

นั่นก็มากแล้วนะ แต่...

“ร้อยล้านค่ะ”

“...”

อา ลูกพี่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเสมอ

จากที่ฟังมา ดูเหมือนมีขุมอำนาจสามแห่งบนอัลเฟน ทราห์เน็ต อลันดาล และสหพันธ์...

ดูเหมือนวูจินจะเป็นผู้ก่อสงครามโลก

“น...นั่นออกจะเยอะไปนิด”

“นี่แค่ประมาณคร่าวๆค่ะ ตัวเลขจริงสูงกว่านี้มาก”

ซุงกูมีสีหน้าซับซ้อน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเมโลดี้กลัววูจินนัก

“หายนะ”

“ครับ?”

“เพียงผู้ไม่ตายก้าวเดินก็เป็นหายนะ”

“เอ่อ...”

ซุงกูหน้าเครียด

ลูกพี่ ผมจะนับถือลูกพี่ต่อไปดีหรือเปล่า?

“ใครนินทาฉันหรือเปล่า?”

“โอ๊ยโหย ตกใจหมด!”

ซุงกูตั้งใจฟังจนไม่ได้ดูรอบๆ จู่ๆวูจินก็โผล่หน้ามา ซุงกูตกใจมาก

“อึก อึก”

สตรีศักดิ์สิทธิ์สะอึกตาแดงก่ำ เธอทำตัวไม่ถูก

วูจินมองพวกเขาแล้วยิ้ม

“ถ้าสนุกพอแล้วก็ไปล่ากันเถอะ”

“ค...ครับผม!”

ซุงกูลุกทันที เขาต้องตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี

“ขอโทษนะครับลูกพี่ ตกลงว่าลูกพี่ใกล้จะเรียกลิชที่พูดถึงคราวก่อนได้แล้วยัง...”

วูจินยิ้มกริ่ม



สารบัญ                                                            บทที่ 140



2 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียน ลบ มันคืออะไรนะ

    ตอบลบ