วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 169

บทที่ 169 – การสร้างใหม่ (2)


คนแคระโนซามเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิศกรรมเครื่องจักร เขาออกไปตรวจดูเรือบรรทุกเครื่องบินแล้วกลับมารายงานบิบิ

“ยอดเยี่ยม วิทยาการของโลกทำให้ข้าประหลาดใจนัก”

“เหรอ? มันจะบินได้ไหม?”

“มันไม่เหมาะกับการบิน... เรือนี้ใช้สำหรับลอยบนน้ำ...”

“อะไรนะ? นายกำลังจะบอกว่ามันบินไม่ได้เหรอ?”

บิบิถลึงตาใส่โนซาม เขาค้อมศีรษะลงอย่างตกใจ สำหรับผู้อพยพแล้วผู้จัดการมิติมีอำนาจเป็นลำดับสองรองจากลอร์ดมิติ

“ข้าจะพยายามเต็มที่”

“ดี รีบๆซ่อมมันนะ เราว่ามันบินไม่ได้เพราะมันเสียอยู่”

“...”

“นายจะบอกว่าซ่อมไม่ได้เหรอ?”

“ไม่...ไม่ขอรับ ข้าจะพยายามเต็มที่”

“ถ้าต้องการอะไรก็บอกได้เลย เราได้สิทธิ์ใช้แต้มได้ไม่จำกัด”

“โฮ่”

โนซามค้อมศีรษะต่ำลงอีก ถ้าลอร์ดมิติให้เธอใช้แต้มได้ไม่จำกัดหมายความว่าเธอเป็นคนสนิทของเขา ผูกมิตรกับเธอไว้มีแต่ได้ไม่มีเสีย

“ข้าจะส่งพิมพ์เขียวออกมาในไม่นาน”

“ดี เราจะรอนะ”

บิบิตาเป็นประกายด้วยความคาดหวัง

โนซามคำนับ ตอนเขากำลังจะออกไปก็เจอกับจุงมินชานตรงประตู ทั้งสองทักทายกันอย่างไม่คุ้นเคย มินชานเข้ามาหาบิบิ

“พ่อบ้านบิบิ พวกที่อยู่ๆก็โผล่ขึ้นมาบนดาดฟ้าพวกนั้นมันอะไร?”

“คิดว่าอะไรล่ะ? สถานที่สำคัญทั้งนั้นเลยนะ”

เธอซื้ออาคารหลายแห่งมาจากร้านค้ามิติมาตั้งบนดาดฟ้า เธอจ้างคนงานใหม่และประชากรในอลันดาลย่อมจะเดินทางไปมาระหว่างอาณานิคมกับอาณาเขตมิติด้วย

“ถ้าคุณสร้างอาคารพวกนั้นบนดาดฟ้าทั้งหมด แล้วจะทำยังไงกับเครื่องบิน?”

ถ้ารันเวย์ถูกสิ่งก่อสร้างยึดที่ไปก็จะเหลือเพียงที่ว่างพอให้ใช้เฮลิคอปเตอร์ มินชานไม่รู้ว่าบิบิวางแผนอะไรไว้เขาจึงมาถาม

“อ๋อ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น เจ้านายจะให้เฮลิ-อะไรนั่นกับโดลเซ เขาว่าใช้ไวเวิร์นดีกว่า”

บิบิได้ฟังแผนการจากวูจินแล้ว ไวเวิร์นสามารถบินขึ้นได้ตรงๆจึงไม่ต้องใช้รันเวย์ ส่วนนอกของเมืองอาณานิคมให้บิบิตกแต่งได้ตามดุลยพินิจของเธอ

“อืม ถ้าเราใช้พวกไวเวิร์น...”

มินชานคิดแล้วพยักหน้า

แต่ว่า พวกอาคารเหล่านี้มันเกี่ยวอะไร...

“ทำไมคุณสร้างคาเฟ่กับร้านขนม...”

เขาจะเข้าใจถ้าเป็นรังไวเวิร์นหรือลานฝึก ทำไมการสร้างคาเฟ่ถึงเป็นสิ่งแรกในกำหนดการไปได้?

“มันสำคัญมากนะ”

“...”

มินชานอึ้งไปกับคำยืนยันหนักแน่นของบิบิ ในตอนนี้ ร้านอาหาร,ที่พักผ่อนหย่อนใจและพิพิธภัณฑ์,ห้องสมุด ถูกสร้างในตัวเรือแล้ว

แต่บิบิเติมดาดฟ้าเรือด้วยสิ่งก่อสร้างที่ไม่เกี่ยวกับการสู้รบ ยิ่งกว่านั้นเผ่าพันธุ์อื่นข้ามมาจากอาณาเขตมิติ และคนของอลันดาลไม่ชินกับภาพที่เห็น เขากลัวว่าจะเกิดความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่ม

“ที่สำคัญคือคนของเราคุยกับคนในอาณาเขตมิติไม่รู้เรื่อง...”

“อ้อใช่ เราต้องขายยาแปลภาษา”

บิบิแก้ปัญหาโดยตรง

ง่ายอย่างนี้เลยเหรอ?

มินชานพูดไม่ออก บิบิซื้อร้านขายยาแปลภาษาจากร้านค้ามิติทันที เธอจะสร้างมันตรงฐานหอบังคับการนี่เลย

อย่างไรเสียเมืองอาณานิคมก็สร้างขึ้นด้วยการใช้แต้ม ถ้าบิบิทำพิมพ์เขียวเสร็จ ร้านขายยาก็จะสร้างเสร็จภายในหนึ่งวัน

“นายไปบอกคนในอาณาเขตมิติให้ซื้อยาแปลภาษากิน ซื้อด้วยหินบลัดสโตนนะ”

นายกฯมินชานกับพ่อบ้านบิบิคุยถึงปัญหาต่างๆเป็นนาน

ขณะนี้ เมืองที่คนในอาณาเขตมิติกับคนของโลกสามารถรวบรวมบลัดสโตนบนโลกได้กำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้น

วิ้ง

“หือ? นั่นอะไร?”

บนดาดฟ้าด้านล่างของหอบังคับการเกิดอุโมงค์ใหม่ ที่สะดุดตาคืออุโมงค์ใหม่นี้สีต่างไปจากอุโมงค์สีแดงที่อยู่ข้างมัน

“ท่าทางเจ้านายจะสร้างอาณานิคมในอัลเฟนแล้ว แต่ว่ายังใช้งานไม่ได้นะ”

เรือบรรทุกเครื่องบินมีอุโมงค์หลายอุโมงค์

อุโมงค์ที่เชื่อมต่อกับอาณาเขตมิติอลันดาล, สถานีโซลทางออกที่ 1 และเสานีเซียบนโลกจาคุ
เมื่ออุโมงค์ใหม่นี้เปิดเต็มที่ เส้นทางสู่อัลเฟนจะเกิดขึ้น

“งั้นถ้าผ่านอุโมงค์นี่จะไปถึงอัลเฟนเหรอ?”

“อื้ม แต่นายต้องได้รับอนุญาตจากเจ้านายก่อน”

“พระราชาสร้างอาณานิคมสำเร็จแล้วหรือนี่”

“ของมันแน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

เทียบกันแล้ว บิบิศรัทธาในตัวคังวูจินลึกซึ้งยิ่งกว่าใคร เธอเป็นอสูรรับใช้ตนแรกของเขาและอยู่เคียงข้างเขานานที่สุด

มินชานหัวเราะพลางพูด

“ผมจะไปเตรียมทีมที่สอง”

อีกไม่นาน เชฮีซอล บลังกาและหน่วยแฟนธ่อมก็จะต้องผ่านอุโมงค์ไป

“เอาสิ”

บิบิตอบรับแล้วเปิดร้านค้ามิติ เธอเริ่มงานตกแต่งเรือบรรทุกเครื่องบิน

แต้มอาณาเขตมิติลดลงฮวบฮาบ

***

ต้นไม้ต้นหนึ่งถูกนำมาปลูกเหนือภูเขาเซารุส ลาตาชาตกตะลึงเมื่อเห็นว่ามันโตเร็วขนาดไหน

“ทำไมเจ้าถึงมีต้นไม้โลกได้...”

พฤกษาแห่งชีวิต

มารดาต้นไม้โลกสื่อสารกับโลก แต่เนโครแมนเซอร์ผู้เรียนรู้ความตาย คนที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับต้นไม้โลกที่สุดกลับเป็นคนปลูกมัน

แน่นอน มันเป็นแค่สัญลักษณ์ที่ถูกเลือกให้อาณานิคม ไม่มีความหมายอะไรนักสำหรับวูจิน แต่คนอื่นคิดไม่เหมือนเขา

“ตราของสหพันธ์เป็นแบบไหนแล้วนะ?”

ผู้กล้าของอัลเฟนประหลาดใจกับคำถามของวูจิน

“แปลกใจอะไร? พวกนายคิดว่าถ้าฉันชูธงของฉันจะมีคนมารวมกันเหรอ?”

พวกเขาต้องทำให้เป็นที่รู้กันว่าใครอยู่ในภูเขาเซารุส วูจินไม่ได้เลือกที่นี่เพราะศัตรู เขาสร้างอาณานิคมที่นี่เพราะนึกถึงสมาชิกสหพันธ์ที่เหลือรอดอยู่

“ใช่...ใช่แล้ว เราต้องประกาศไปว่าสหพันธ์ยังอยู่ดี”

ที่น่าตกใจคือคำพูดเหล่านั้นมาจากปากของผู้ไม่ตาย

ตอนนี้ คนที่ทำทุกอย่างอย่างมีเหตุผลคือผู้ไม่ตาย

เมโลดี้มองวูจินแล้วแนะขึ้น

“คุณควรชูธงอลันดาลนะคะ”

“อืม ถ้าทำอย่างนั้น คนจะไม่หลีกห่างจากที่นี่เหรอ?”

“อา...”

เมโลดี้ถอนหายใจ แค่มองหน้าเหล่าผู้กล้าเธอก็รู้ว่าทุกคนเกรงกลัววูจินลึกซึ้ง เธอตระหนักว่าความคิดที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปมากขนาดไหน

‘คุณคังวูจินไม่ใช่คนไม่ดี’

ไม่ใช่สิ เขาอาจไม่ใช่คนดี แต่ไม่ใช่เนโครแมนเซอร์ที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อแบบที่เธอเคยคิด อย่างน้อยเขาเป็นคนที่สามารถคุยด้วยได้

เธอเฝ้ามองวูจินตอนอยู่ข้างกายเขาบนโลก และนี่เป็นความรู้สึกของเธอ

“เอาล่ะ ใช้อันนี้ด้วย”

วูจินหยิบธงที่บิบิซื้อไว้ออกมา มันมีรูปแมวทำท่าเหมือนกำลังคำราม ต่างจากสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอลันดาลในอัลเฟนค่อนข้างมาก

“หัวหน้านักบวชของลีเซียยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”

“เขาพยายามต่อต้านกองทัพผีดิบ...”

ดูเหมือนเขาจะฆ่าไปแล้ว วูจินหัวเราะแห้งๆ

“ไม่มีผู้สืบทอดเหรอ?”

“...”

เมโลดี้เพิ่งกลับมาจากโลกพร้อมกับวูจิน เธอไม่มีคำตอบ

ลาตาชาเป็นคนตอบ

“หัวหน้านักบวชที่ได้รับไอเทมศักดิ์สิทธิ์จากลีเซียพักอยู่ทางเหนือ เมืองลิทาน”

“โฮ่ ดี เธอนำทางสิ”

“ทำ...ทำไมข้าต้อง...”

“ไปเถอะน่า”

“...”

ลาตาชาขมวดคิ้วแต่เธอไม่มีทางเลือก เธอออกเดิน

“อาณานิคมจะทำงานในอีกหนึ่งวัน ปกป้องมันดีๆล่ะ”

อาณานิคมของเขาเพิ่งสร้าง จนกว่ามันจะทำงานวูจินไม่มีอะไรให้ทำที่นี่ เขาจะสร้างเมืองทีหลังผ่านร้านค้ามิติ

ตอนนี้เขาควรออกไปหาไอเทมจำเป็นดีกว่า

“ฉันจะออกไปเก็บกวาดข้างนอก พวกนายพักผ่อนสักหน่อย ไว้ฉันจะกลับมา”

กองทัพของโกชูชูสลายไปแล้ว และเขายังยึดอาณานิคมของจูเลียลมา

ลอร์ดมิติในแถบนี้ตายไปสองตน แต่ลูกน้องยังอยู่ แต่วูจินไม่จำเป็นต้องไล่ล่าพวกมันเมื่อไม่มีลอร์ดมิติแล้ว มีซุงกูและผู้กล้าของอัลเฟนก็เพียงพอกับการจัดการพวกมัน

สิ่งสำคัญคือเขาสร้างฐานทัพขึ้นที่นี่ เขาต้องมีเมืองอาณานิคมหรือไม่ก็เมือง

เมื่อเวลาผ่านไป มอนสเตอร์จะมารวมตัวกันที่ภูเขาเซารุส

ขณะที่วูจินเดินแผนยึดดันเจี้ยนและอาณานิคมของลอร์ดมิติตนอื่น พวกมันจะเริ่มทำการโต้ตอบ

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

“...”

ลาตาชามองต้นไม้โลกอีกครั้งแล้วลอยตัวขึ้น

“ตามข้ามา”

ร่างของเธอถูกห่อหุ้มด้วยสายลมแรงขณะลอยไปกับภูติลม วูจินขี่ชิงชิงตามไป

เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว เมโลดี้คลี่ผืนธงออก

“หืม? นี่เป็นสัญลักษณ์อลันดาลจริงๆเหรอ?”

“ให้สองอย่างนี้มารวมกันมันออกจะ...”

คนสติดีที่ไหนจะคิดถึงอลันดาลเมื่อเห็นภาพแมว? เมโลดี้เห็นมันหลายครั้งแล้วแต่ก็อดหัวเราะไม่ได้

“ชักธงขึ้นเถอะ”

“อืม”

“เราต้องป่าวประกาศการร่วมมือกันระหว่างสหพันธ์ของอัลเฟนกับอลันดาล”

พวกเขาชักธงที่แสดงถึงกองกำลังสองกองกำลังตรงหน้าต้นไม้โลกที่โตเหนือยอดเขาเซารุส

“แล้วทำไมผู้ไม่ตายถึงไปหาหัวหน้านักบวชของลีเซีย?”

“นั่น...”

เวลาเราคาดเดาถึงพฤติกรรมของคนๆหนึ่ง เรามักจะคิดถึงสิ่งที่เขาทำในอดีต ในอดีต...

ผู้ไม่ตายข่มขู่ ปล้นและฆ่าตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมีสีหน้าเคร่งเครียด

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ไม่ตายกับนักบวชที่บูชาพระเจ้านั้นย่ำแย่เป็นพิเศษ

“หรือว่า... หรือเขาคิดจะขโมยไอเทมศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว...”

ทัวริคเป็นพระของเทพสเกีย เขาหน้ามุ่ย เขาเคยเจอมากับตัวแล้ว

ทัวริคกัดฟันเมื่อนึกถึงตอนที่ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ รองเท้าบูทของสเกียถูกถอดออกจากเท้าของเขา

“ดูเหมือนเขายังคิดจะรวบรวมไอเทมศักดิ์สิทธิ์เหมือนเดิม”

ในอดีตนี่เป็นหัวข้อที่ถูกกล่าวถึงเป็นเวลานาน นิสัยประหลาดชอบสะสมไอเทมศักดิ์สิทธิ์ของผู้ไม่ตาย

เขาหักกิ่งต้นไม้โลก ขโมยไอเทมศักดิ์สิทธิ์จากวิหารทุกแห่ง...

กองทัพผู้ไม่ตายกลายเป็นปัญหาใหญ่เมื่อเขาเริ่มรวบรวมสมบัติเหล่านี้

ทัวริคก้มมองรองเท้าบูทของเขา

รองเท้าบูทของสเกียทำให้คนใส่วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อย สมเป็นไอเทมของเทพแห่งการผจญภัย

ไอเทมศักดิ์สิทธิ์จะถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อเกิดหัวหน้านักบวชคนใหม่

รองเท้าของเขาเป็นคู่ที่ 21 สร้างขึ้นหลังจากผู้ไม่ตายขโมยคู่ก่อนไป รองเท้านี้เป็นสมบัติยืนยันว่าเขาเป็นพระองค์แรกของเทพสเกีย

“ทำไมเขาไม่ต้องการไอเทมของข้า?”

ถ้าเขายังต้องการไอเทมศักดิ์สิทธิ์ ไอเทมของทัวริคควรเป็นไอเทมแรกที่ถูกเอาไป การที่ผู้ไม่ตายไม่ทำแบบนั้นทำให้ทัวริครู้สึกแปลก

“อืม ข้าก็ไม่รู้”

พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมผู้ไม่ตายไปหาหัวหน้านักบวชของลีเซีย แต่ต้องไม่ใช่เพราะจะไปขโมยไอเทมอย่างไร้เหตุผลเหมือนเมื่อก่อนแน่ พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน

น่าจะเป็นเช่นนั้น...

***

พวกเขามาถึงทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในแถบเหนือ

“นี่คือทะเลสาบลิทานเหรอ?”

“ใช่”

“มีเมืองตรงนี้เหรอ?”

“ที่นี่คือเมืองสุดท้ายที่ยังไม่ถูกทำลายของสหพันธ์ แต่มีเพียงคนที่ถูกเลือกเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้”

ทะเลสาบลิทานกว้างใหญ่เหมือนทะเล มีเกาะตั้งอยู่โดดเดี่ยวเหนือผืนน้ำ

“ต้องถูกเลือกด้วย?”

“มังกรวารีขัดขวางผู้บุกรุกไม่ให้เข้าไปในทะเลสาบ”

เพราะเหตุนี้เมืองลิทานจึงหลบเลี่ยงการบุกรุกของลอร์ดมิติมาได้ ขณะเดียวกันก็มีคนจากสหพันธ์ไม่มากนักที่เข้าไปได้

นี่เป็นฐานลับของพวกเขา และยังเป็นสถานที่ส่งเสบียงหลักที่สุดท้ายของสหพันธ์

ลาตาชานั่งลงตรงท่าเรือแล้วหันไปมองวูจิน

“แม้แต่ข้าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ยามของเกาะลิทานคงเห็นพวกเราแล้ว อีกไม่นานคงมีคนมาคุยกับเรา”

วูจินขมวดคิ้ว

“ต้องรอด้วยเหรอ?”

“นี่เป็นทางเดียวที่เจ้าจะได้เจอกับหัวหน้านักบวชของลีเซีย”

ถ้าขึ้นเกาะลิทานไม่ได้ก็ต้องรอคนบนเกาะออกมา

แต่วูจินยิ้มพลางคว้าคอเสื้อของลาตาชา

“เจ้า...เจ้าจะทำอะไร?”

“ในโลกนี้ไม่มีหรอก ทางเดียวอะไรนั่นน่ะ”

มันเป็นสองทาง มีหรือไม่มี

แทนที่จะเดินบนทาง ผู้ไม่ตายมักจะสร้างเส้นทางของตัวเอง เขาจับคอเสื้อลาตาชาแล้วชิงชิงก็บินขึ้น

“มังกรวารีจะโจมตี...”

ลาตาชาห้อยต่องแต่ง เธอหน้าซีด ในทะเลสาบเริ่มเกิดน้ำวน 17 น้ำวน

เหล่ามังกรวารีเตรียมโจมตีด้วยลมหายใจมังกร






                                           สารบัญ                                         บทที่ 170


บิบิคิดว่าเรือบินได้เพราะเข้าใจคำว่าเครื่องบิน แต่ไม่เข้าใจคำว่าบรรทุกค่ะ เหมือนเราเลย XD ตอนแรกเราก็แปลไปว่าวูจินจะเอาเครื่องบินเหมือนกัน
ทำไมวูจินไม่เอารองเท้าของทัวริค – เพราะมีอยู่แล้ว

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 168

บทที่ 168 – การสร้างใหม่ (1)


กองทัพโกชูชูถูกทำลาย

ไม่ใช่ถูกต้านทาน พวกมันไม่มีโอกาสถอยด้วย มันแค่ถูกทำลายไปทั้งอย่างนั้น

ศพบนอาณาเขตที่สลายไปของโกชูชูถูกปลุกเป็นผีดิบ และผู้ไม่ตายเป็นผู้นำทัพ

ผู้หลบหนีจากการบุกโจมตีของโกชูชูต่างสับสน

“ข้าไม่เชื่อ นี่ต้องเป็นบทแรกของหายนะ”

“นั่นสิ ผู้ไม่ตายมีเหตุผลอะไรถึงช่วยเรา?”

คนพวกนี้หวาดกลัวและปฏิเสธผู้ไม่ตายจนแทบเป็นสัญชาติญาณไปแล้ว คนมากมายสูญเสียครอบครัวไปในการทำสงครามกับอลันดาล พวกเขาไม่สามารถแม้แต่เก็บศพคนเหล่านั้นเพราะถูกทำให้กลายเป็นผีดิบ

เมโลดี้รวบรวมคนมาอย่างลำบาก พวกเขากำลังคุยกันเสียงเบา พวกเขากำลังกระสับกระส่าย

เหล่าผู้กล้าที่เป็นความหวังของสหพันธ์ก็สับสนเช่นกัน

“เขามีเป้าหมายอะไร?”

“ข้าไม่เชื่อ ท่านจะบอกว่าเขาทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ไม่หวังผลตอบแทนเหรอ?”

เมโลดี้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น

เธอเข้าใจดีที่คนของเธอรู้สึกสับสน เธอก็ถูกทำให้ผู้ไม่ตายประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน

เธอมองผู้กล้า 6 คนที่มาอยู่ที่นี่

กราแฮม ทัวริคและลาตาชา นอกจากนั้นยังมี คอนทซ์ กษัตริย์หนุ่มของอาณาจักรฮอนชู ครูเกอร์ หัวหน้าเผ่าออร์ค และราอูล ราชาคนแคระ

“มีเรื่องที่พวกท่านควรรู้ไว้”

“...”

“ผู้ไม่ตายเป็นมนุษย์ เขาเหมือนกับพวกเรา”

“ไร้สาระ!”

“อารมณ์ขันของท่านย่ำแย่มาก ท่านเสียงแห่งอาเรีย!”

เมโลดี้พูดเสียงดังขึ้น

“ข้าเดินตามคำพยากรณ์ของเทพี ข้าถูกนำทางไปยังโลกและเห็นตัวตนที่แท้จริงของผู้ไม่ตาย พวกเราต่างหากที่เข้าใจเขาผิด”

“...”

ราชาคนแคระ ราอูลถามขึ้น

“ที่นั่นเขาเป็นอย่างไร ใจร้อนน้อยกว่า โหดร้ายน้อยกว่า เผด็จการน้อยกว่าที่นี่หรือ?”

“บนโลกเขา...”

เมโลดี้ทวนคำถามแล้วเม้มปาก

บนโลกเขาทั้งใจร้อนและเป็นเผด็จการ เขาทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการ

“ข้าว่าแล้ว ผู้ไม่ตายคือผู้ไม่ตาย เขาคือตัวตนของหายนะ เราไม่เต้นรำยินดีหรอกเพราะเขาเป็นตัวตนอันเลวร้าย เราสูญเสียมากเกินกว่าจะยินดี”

คำพูดของเขาถูกต้อง แต่ว่า...

“แต่ว่า เขากำลังช่วยเราจริงๆ”

“...”

นั่นคือความจริง ตอนนี้อาณานิคมของโกชูชูกำลังถูกล้มล้างไป ดันเจี้ยนทั้งหมดของโกชูชูถูกพิชิตและมันไม่มีฐานทัพบนโลกนี้อีกแล้ว ถ้าต้องการกลับมาที่อัลเฟน โกชูชูต้องใช้ดันเจี้ยนอื่นซึ่งมันจะยังอีกนาน

สรุปคือลอร์ดมิติที่สร้างความหวาดกลัวในดินแดนแถบนี้จากไปแล้ว เพราะเหตุนี้คนที่หนีไปจึงสามารถมารวมกันที่นี่
ในนี้มีคนจำนวนพันกว่าคน พวกเขาไม่อยากเหนื่อยและกลัวอีกแล้ว

“เขาคือความหวังของเรา... นี่คือคำของเทพีข้า”

เหล่าผู้กล้ายังไม่พอใจแม้จะฟังคำขอร้องของเมโลดี้แล้ว คำพูดของเธออาจเป็นความจริงแต่ความรู้สึกเป็นศัตรูของพวกเขาที่มีต่อผู้ไม่ตายมันมากเกินไป ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังไม่อาจเก็บซ่อนความกลัวและระแวงต่อผู้ไม่ตายได้

“ข้าเกรงว่ามันจะเหมือนเอามังกรมาไล่ไวเวิร์น”

“นั่นน่ะสิ อนาคตของพวกเรายังไม่แน่นอนถ้าเราพึ่งเขา”

เมโลดี้หน้าเครียดลงเล็กน้อยขณะพูด

“ที่สำคัญคือเขาเสียสละเพื่อพวกเรา”

“หือ? ผู้ไม่ตายต้องเสียสละอะไร?”

“...”

ขณะพวกเขาสนทนากันวกไปวนมา ม้าปีศาจตัวหนึ่งวิ่งมาทางพวกเขา เมื่อผู้ไม่ตายเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เหล่าผู้กล้าจับอาวุธในมือแน่นอย่างไม่ตั้งใจ

“โย่”

วูจินลงจากหลังชิงชิงมายืนท่ามกลางพวกเขา

“พวกนายทำอะไรกันอยู่?”

“...”

วูจินขมวดคิ้ว พวกเขาบ้างก็มองหน้ากันเอง บ้างก็ก้มหน้ามองพื้น

“บรรยากาศแบบนี้มันอะไร?”

ผู้กล้าตัวเกร็งกับคำพูดเล่นของวูจิน เมโลดี้ตอบเบาๆ

“พวกเขายังรู้สึกแปลกๆที่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านผู้ไม่ตายค่ะ... อีกหน่อยพวกเขาจะชินเอง...”

“อ๋อ”

วูจินยิ้มมองพวกคนที่ไม่อาจสบตาเขา

“เราเคยสู้กันเกือบตาย แต่จู่ๆฉันกลับมาทำตัวสนิทกับพวกนาย แบบนั้นใช่ไหม?”

“...”

“สหพันธ์ นี่คือกองกำลังผสมนะ มีใครไม่เคยเป็นศัตรูกันบ้าง อย่าทำตัวเป็นเด็กน่า”

วูจินกวาดตามองพวกเขาทีละคนจนหยุดที่ลาตาชา

“เธอยังไม่เลิกทำตัวแบบนี้เหรอ?”

วูจินใช้นิ้วสองนิ้วชี้ไปที่ตาเธอ ลาตาชาเงยหน้ามองเขา

“ถ้ายังจ้องฉันแบบนี้อีก ฉันจะเลาะกระดูกเธอออกมาแขวน”

“...”

ด้วยศักดิ์ศรีลาตาชาจึงไม่หลบตา แต่ดวงตาเธอสั่น ดวงตาของผู้ไม่ตายบอกว่าเขาเอาจริง

“คนแค้นไม่ได้มีแต่พวกนายข้างเดียว ฉันจะกลบฝังความแค้นที่มีต่อพวกนาย เพราะงั้นต่างคนต่างห้ามใจตัวเองไว้ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆก็มาสู้ฉันได้ พวกนายคิดว่าฉันฆ่าเพิ่มอีกคนสองคนมันจะต่างจากเดิมมากเหรอ?”

“...”

ผู้ไม่ตายอาจเป็นคนเดียวในโลกที่พูดคำเหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่สิ ต่อให้หาไปทั่วมิติก็มีเขาแค่คนเดียว

“ถ้าไม่อยากตาย อย่ามองฉันแบบนั้น โอเค้?”

“...”

“ไม่ตอบเหรอ?”

“...เข้าใจแล้ว”

ลาตาชาเค้นคำตอบออกมา วูจินยิ้ม

“ดีล่ะ ฉันอยากฟังพวกนายเสนอความเห็นเรื่องอาณานิคม”

“อาณานิคมอะไร?” 

“ฉันต้องตั้งฐานหลักให้กองกำลังทั้งหมดของสหพันธ์มารวมกัน”

ผู้กล้ามองหน้ากัน พวกเขามีสีหน้าสดใสขึ้น พวกเขากำลังจะสร้างกองกำลังของสหพันธ์ที่กระจัดกระจายไปแล้วขึ้นมาใหม่...

“ต้องเป็นที่ๆง่ายต่อการป้องกันใช่ไหม?”

ราชาคนแคระเริ่มร่างแผนที่ลงบนพื้น

“ตรงนี้มีหุบเขาลึก ดีพอสำหรับการรวบรวมคน”

วูจินมองแผนที่ เขาชี้ไปตรงจุดหนึ่ง

“ตรงนี้คือที่ไหน?”

“ภูเขาเซารุส ตรงส่วนนี้ค่อนข้างเป็นที่เปิดจึงทำให้ศัตรูหาง่าย”

“ที่เปิด...”

“มันอยู่ในที่สูง แต่ไม่แน่ว่าจะใช้เป็นข้อได้เปรียบในการป้องกัน อีกอย่าง มันจะถูกโดดเดี่ยวและตัดเส้นทางเสบียงได้ง่าย ที่สำคัญคือเจ้าจูเลียลนั่นตั้งอาณานิคมตรงนั้น”

“บ้านหมาอยู่ตรงนี้สินะ?”

เกรทลอร์ดของทราห์เน็ต จูเลียล บัลลังก์ที่สอง

วูจินหัวเราะและวางแท่งไม้ลงตรงพื้นที่นั้น

“ฉันจะสร้างอาณานิคมตรงนี้”

“ข้าบอกว่าที่นั่นมัน...”

ราอูลกำลังจะคัดค้าน แต่เขาหุบปากเมื่อเห็นดวงตาวูจิน

“ฉันจะเป็นคนเก็บกวาดพื้นที่ พวกนายแค่เตรียมตัวขนย้าย”

“...”

เมื่อวูจินพูดจบ เขาเรียกน้องชายทั้งสองที่กำลังเดินมาทางพวกเขา

ลูกบอลไฟร่วงลงมาจากฟ้าพร้อมกับการระเบิดเล็กๆ เมื่อไฟมอดลง ชายคนหนึ่งที่มีท่าทางอบอุ่นทักทายพวกเขา

“สวัสดีครับ”

ฝูงค้างคาวรวมตัวกันเป็นคนๆหนึ่ง เขาค้อมศีรษะทักทาย

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

พวกผู้กล้าพยักหน้าอย่างเก้ๆกังๆ

“พวกนายสองคนทำความรู้จักพวกเขาไว้ จากนี้ไปต้องไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”

“ฮะๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

“ฝากตัวด้วยครับ”

วูจินแอบยิ้มเมื่อเห็นซุงกูกับเจมินทักทายอย่างไร้เดียงสา ทำให้เขานึกถึงตอนที่เขายังอยู่ ม.ปลายปี 3และถูกอัญเชิญมายังอัลเฟน

มันเป็นช่วงยากลำบากที่สุดในชีวิตของเขา

“เอ๋? พี่จะไปไหนครับ?”

“ฉันจะไปเก็บกวาดสถานที่ที่เราจะย้ายเข้าไปอยู่”

“อะไรนะ? ที่นี่มีอพาร์ทเมนท์ด้วยเหรอ?”

“...”

วูจินไม่เสียเวลาตอบ เขาขี่ชิงชิง โบกมือลาแล้วจากไป

“ฮะๆ ยังรู้สึกแปลกหน้าต่อกันสินะครับ งั้นเรามาตั้งวงก๊งเหล้าไหม?”

“...”

คนยังลังเลกับคำพูดของซุงกู เขาจึงหันไปทางเจมิน

“เฮ้ เจมิน เอาของออกมาจากคลังอาณาเขตที เหล้ากับ...”

“ครับ...”

วูจินมอบอำนาจให้โดเจมิน เขาจึงสามารถเข้าถึงบางส่วนของคลังอาณาเขตมิติได้ ส่วนใหญ่มันใช้เก็บสมบัติที่พวกเขาปล้นได้ แต่ก็เอาของในนั้นออกมาได้ด้วย

เจมินเอาอาหารกับเหล้าออกมา ซุงกูเทใส่แก้วอย่างตั้งใจ

“ดื่มกันเลยไหม?”

เหล้าถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ ซุงกูยิ้มสดใส

มันกลายเป็นความทรงจำในอดีตไปแล้ว แต่ชีวิตนักศึกษาของเขาไม่เปล่าประโยชน์

มีวิธีอะไรช่วยขจัดความเคอะเขินได้ดีกว่านี้? เหล้าและเกมส์คือวิธีที่ดีที่สุดในการทำความสนิทสนมต่อกัน

“เอาล่ะ วันนี้เป็นวันแรก เอาให้เต็มที่เลย ส่งไปให้ทุกคนเลยครับ”

ในที่นี้มีคนเกือบสองพันคน แต่คลังอาณาเขตมิติใหญ่โต ต่อให้แจกครบทุกคนอาหารก็ยังเหลือล้น

โดเจมินเอาอาหารออกมาไม่หยุด ชาวบ้านไม่ได้กินอิ่มแบบนี้มานานแล้ว

บางทีสิ่งที่คนต้องการจริงๆคือไม่ต้องทนหิวและปลอดภัยมากกว่าการได้แก้แค้น

ที่ผ่านมาพวกเขาสู้เต็มที่เพื่อเอาชีวิตรอด มีชีวิตเหมือนแค่เพียงยังไม่ตาย...

“ดื่ม! ดื่ม! กรอกเข้าไป!”

“...”

ซุงกูเป็นคนนำ งานเลี้ยงมีไปจนถึงเช้า

***

ตรงยอดเขาเซารุส

จูเลียลมองเนโครแมนเซอร์คังวูจินที่พากองทัพผีดิบมาถึงหน้าบ้านมันอย่างพูดไม่ออก

“ข้าไม่เข้าใจ”

“อะไร?”

“เจ้ามีความแค้นอะไรกับข้า? เราต่างเป็นลอร์ดมิติ ทำไมต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรมาสู้กันด้วย?”

“นายคิดว่านี่เป็นเรื่องสิ้นเปลือง?”

“เปล่าประโยชน์ ที่สุดแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา นี่คือการเสียพลังไปเปล่าๆไม่ใช่เหรอ?”

“หืม”

วูจินลูบคาง

นอกจากตาย จะได้อะไรจากการสู้กัน? บางทีเขาอาจจะได้รู้สักหน่อยว่าพวกลอร์ดมิติคิดอย่างไร

วูจินวางเหยื่อ

“นายมีรหัสสินะ?”

“เจ้ามุ่งหวังในบัลลังก์? ถ้าอย่างนั้นแล้วทำแบบนี้ทำไม?”

ดวงตาวูจินเป็นประกาย

“นายเป็นบัลลังก์ที่สองไม่ใช่เหรอ?”

“เจ้าไม่รู้เรื่องลำดับเลยนะ ข้าขโมยอีกหนึ่งบัลลังก์ ตอนนี้ข้าเป็นบัลลังก์ที่สาม”

เขาเข้าใจ 

เกรทลอร์ดของทราห์เน็ตมี 72 ตน

บัลลังก์มีหมายเลขตั้งแต่ 1 – 72

นี่เป็นลำดับที่พวกมันปกป้องไว้ และขึ้นอยู่กับว่าครอบครองบัลลังก์ไว้เท่าไหร่

ถ้าต้องการขโมยตำแหน่งก็ต้องสะสมแต้ม เมื่อถึงลำดับที่ 73 ก็จะมีคุณสมบัติท้าชิงบัลลังก์แรก

“มีรหัสที่ฉันยังหาไม่เจอ...”

วูจินพูดพึมพำและจูเลียลพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“อ้อ เจ้าหมายถึงรหัส เจ้ากลับมาอัลเฟนเพื่อหามันสินะ?”

“รหัสก็เหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ?”

“พูดบ้าอะไร? อำนาจของแต่ละรหัส...”

จูเลียลหน้าตึงแล้วลุกพรวด

“บังอาจ เจ้าไม่รู้เรื่องรหัส”

วูจินยักไหล่

“ถ้าฉันรู้ จะหลอกถามนายทำไม?”

“บังอาจนัก!”

วูจินยิ้มแล้วหยิบอาวุธนักรบออกมา

“เรื่องหมาให้บิบิจัดการดีที่สุด”

ถ้าบิบิอยู่ที่นี่ เธอจะได้ใช้ภาพลวงตา คงจะได้ข้อมูลมากกว่านี้

วูจินรู้สึกผิดหวังแต่ลืมมันไปทันที

‘ช่วยไม่ได้ เธอมีงานอื่นต้องทำ’

ตอนนี้เธอคงสนุกกับการตกแต่งอาณานิคม เธอมีประสบการณ์สร้างอาณาเขตมิติมาแล้วดังนั้นคงทำงานนี้ได้ดี

“เจ้าชั่ว! บังอาจหลอกข้า!”

“คนผิดคือคนที่ยอมให้ถูกหลอกต่างหาก”

“อ๊าก!”

วูจินกับจูเลียลปะทะกัน

***

บิบิกำลังอยู่ในหอบังคับการมองลงมายังเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ เถาวัลย์โตปกคลุมหอบังคับการกลายเป็นสัญลักษณ์ของอาณานิคม 

“อืม” 

ดาดฟ้าเรือกว้างใหญ่ แต่ที่สิ่งอำนวยความสะดวกประจำวันส่วนใหญ่อยู่ตรงที่พักผู้โดยสาร

“บิบิ กลุ้มใจอะไรเหรอ?”

“อ๊ะ โซอา”

บิบิทักทายโซอาอย่างยินดี โซอาตัวเท่าๆกับเธอ ตอนนี้พวกเธอจึงเหมือนเด็กเล็กๆสองคนยืนด้วยกัน เด็กคนนี้รู้หรือเปล่านะว่าบิบิเคยเป็นแมว?

“เรากำลังคิดว่าจะตกแต่งที่นี่ยังไงดี”

“อ๋อ”

“โซอา เธอรู้หรือเปล่าว่าเรือบรรทุกอากาศยานคืออะไร?”

“เรือบรรทุกอากาศยานเหรอ?”

โซอาเอียงคองง เธอเป็นนักเรียนอนุบาล ดังนั้นคำนี้จึงอาจจะยากเกินไป โซอากลายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเทพีแห่งโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าความรู้ของเธอจะกว้างไกลขึ้น

“ฉันรู้ว่าอากาศยานหมายความว่าอะไร”

“อากาศยาน?”

“มันใช้คำยากกว่า แต่ความหมายเหมือนกับเครื่องบิน”

“อ๋อ เพราะอย่างนี้เขาถึงเรียกเรือบรรทุกอากาศยาน”

บิบิมองดาดฟ้ากว้างพลางพยักหน้า

“อย่างนี้นี่เอง”

“งั้นบรรทุกแปลว่าอะไรนะ?”

บิบิเอียงคองง

เธอใช้สิทธิ์เข้าไปหาในร้านค้ามิติ เธอต้องการผู้เชี่ยวชาญมาซ่อมแซมเมืองอาณานิคมเก่าๆนี่

<โนซาม> - 1,400 p

หนึ่งในวิศวกรคนแคระ เผ่าเหมืองดำ

เขาชำนาญด้านสร้างเครื่องจักรเวทมนตร์

ตัวเลือกการออกแบบ – เรือบิน, โกเลมจักรกล, รถถัง...

ตัวเลือกการสร้าง – ปืนกล, กระสุนลูกปราย...

“นี่ไงล่ะ!”

เธอเจอผู้เชี่ยวชาญที่จะมาซ่อมแซมเรือบรรทุกเครื่องบินแล้ว บิบิใช้แต้มจ้างเขามาโดยไม่ลังเล


สารบัญ                                                   บทที่ 169

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 167

บทที่ 167 – สู่อัลเฟน (2)


เคะๆๆ

เสียงชวนขนลุกของโครงกระดูกดังก้องหู

[ข้าเคยเห็นนังเอลฟ์นั่นหรือเปล่า?]

[ฮ่าๆ เทศกาล มันคือเทศกาล!]

[จะพนันกันรึ ข้าย่อมชนะเช่นเคย]

เหล่าอัศวินมรณะคุยกันอย่างออกรส มนุษย์กลั้นหายใจเมื่อพวกมันผ่านไป อัศวินมรณะไม่มีท่าทีมุ่งร้าย แต่มนุษย์รู้ว่าพวกมันน่ากลัวขนาดไหน

พวกนี้สามารถตัดศีรษะมนุษย์ขณะกำลังหัวเราะ

กองทัพของผู้ไม่ตาย

ผู้ประหารแห่งความตาย

ทหารโครงกระดูกและซอมบี้ก็ผ่านพวกเขาไป มนุษย์ถูกทำเหมือนไม่มีตัวตน

ฝูงวีสิคและทิวดอนถูกฆ่าอย่างไร้ทางสู้

เมื่อกองทัพผ่านไปแล้ว มนุษย์ผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้

“เฮ้อ”

พวกเขาถูกพลังสะกดไว้จนกระทั่งขยับปากไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้น?”

กองทัพผู้ไม่ตายเคียดแค้นสิ่งมีชีวิตเป็นที่สุด แต่พวกมันเพียงผ่านมนุษย์ที่อยู่ต่อหน้าพวกมันไป...

ยิ่งกว่านั้น ผู้ไม่ตายปรากฏตัวพร้อมกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกลักพาตัว

“ดูนั่น เราต้องช่วยสตรีศักดิ์สิทธิ์”

“กองทัพอยู่ห่างไปแล้ว นี่เป็นโอกาสดี”

“แต่ ไอ้เวรนั่นมีอสูรตัวอื่นอีก...”

ขณะพวกเขาลังเลใจ ผู้ไม่ตายขี่ม้าปีศาจมาหาพวกเขา

“โย่ ไม่เจอกันนานนะ”

วูจินไม่รู้จักชื่อคนพวกนี้ แต่พอจำหน้าได้ เขายกมือทักอย่างอบอุ่น

“...”

ทัวริคและผู้กล้าคนอื่นตัวแข็งทื่อ พวกเขาจ้องวูจินเขม็ง

“เจ้าลักพาตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปคิดจะทำอะไร?”

“ลักพาตัวอะไร?”

วูจินให้เมโลดี้ลงจากหลังม้า

เมโลดี้ควบคุมสีหน้าไม่อยู่ เธอดีใจและขอโทษเมื่อเห็นคนรอดชีวิต สีหน้าเธอเปลี่ยนกลับไปกลับมา

“ขอโทษที่ข้ามาช้า เพื่อช่วยอัลเฟน ข้าไปที่โลกเพื่อขอกำลังเสริม”

“ท่านพูดอะไร?”

“ผู้ไม่ตายตกลงช่วยพวกเราเอาอัลเฟนคืนมา”

“...!”

ทัวริค กราแฮมและลาตาชามองหน้ากัน เมโลดี้หัวเราะทั้งน้ำตาเมื่อเห็นสีหน้าพวกเขา

เมโลดี้ก็ประหลาดใจมากเช่นกัน

ชื่อของผู้ไม่ตายที่มีความหมายเดียวกับหายนะ กลายมาเป็นพวกเดียวกับเธอ

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ตายแล้ว!”

“นางกลายเป็นหุ่นเชิดของผู้ไม่ตาย!”

“ไอ้ปีศาจ!”

เมโลดี้ผงะไปเมื่อเห็นพวกเขาจับอาวุธแน่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ผิดแล้ว เขามาเพื่อช่วยสหพันธ์จริงๆ...”

“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! ข้ารู้แล้ว ปีศาจเงากำลังควบคุมนางอยู่”

“เฮ้อ ไม่น่าเชื่อว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ของอาเรียจะจากไปแบบนี้”

ทัวริคดูเสียใจจริงๆ เขาน้ำตาไหล

“เข้าใจผิดแล้ว ข้ายังไม่ตาย ผู้ไม่ตาย...”

“ใช่แล้ว นางคือแม่มดมายา! นี่คือภาพลวงตา”

“โอ สเกีย โปรดประทานพลังให้ข้า”

แสงสีชมพูท่วมท้นทัวริค เขาเตรียมตัวพร้อมบุก

วูจินถอนหายใจ

“เออนี่ เราต้องมานั่งอธิบายจริงๆเหรอ?”

“ฉันต้องแก้ไขความเข้าใจผิดค่ะ...”

“นี่ไม่ใช่ของที่แก้ได้ด้วยคำพูด”

วูจินกระโดดลงจากชิงชิง เรียกอาวุธนักรบออกมา ยิ้มอย่างขี้เล่น

“เธอแค่ต้องให้พวกนั้นรู้ด้วยร่างกาย”

เมื่อวูจินแสดงท่าทีเตรียมพร้อมสู้ ทัวริคพุ่งใส่วูจินเป็นคนแรก น้ำตาเขาไหลอย่างห้ามไม่อยู่

“ข้าเคยฝันถึงวันนี้ โอกาสทำลายผู้ไม่ตายที่ไม่มีกองทัพคุ้มครองเขา ท่านสเกียให้โอกาสข้า”

ไม่มีใครเคยสังหารผู้ไม่ตายได้ เพราะเขาจะมีอสูรและผีดิบนับหมื่นห้อมล้อมอยู่เสมอ

ทัวริคไม่รู้ว่าทำไม แต่กองทัพของผู้ไม่ตายมุ่งแต่สังหารกองทัพทราห์เน็ต นี่เป็นโอกาสทองของเขา

กระบองของทัวริคถูกกันโดยไม้เท้าเหล็กของวูจิน เขาลืมตาโตอย่างแปลกใจ ทัวริคเป็นพระของสเกีย เทพของนักเดินทาง พละกำลังของเขาไม่อ่อนด้อย

ไม่เท่านั้น วูจินออกแรงผลักทัวริคถอยไป จากนั้นใช้ไม้เท้าเหล็กทุบที่หัวเข่าของทัวริค

“อั่ก!”

ทัวริคเคยคิดว่าด้านพละกำลังเขาไม่มีทางแพ้ ผู้ไม่ตายแข็งแกร่งขนาดนี้มาตลอดเหรอ? ยิ่งกว่านั้นการโจมตีต่อเนื่องก็รวดเร็ว

เขาเร็วพอๆกับลาตาชายามเธอเอาจริง

“...”

ทัวริคตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่ตาย ไม้เท้าเหล็กทุบหัวเข่าของเขาแตก จากนั้นถูกทุบที่ศีรษะ

เลือดทะลักจากศีรษะล้านของเขา ทัวริคเลี่ยงความตายไปได้แต่ต้องสลบไป เขาล้มลงบนพื้น ตาเหลือกขาว

วูจินทิ้งทัวริคไว้ด้านหลัง เขาพุ่งไปทางกราแฮมทันที

“ฮ่า!”

กราแฮมใช้คาถาเคลื่อนย้ายระยะสั้นชื่อ บลิงค์ ร่างเขาหายไปในพริบตาและปรากฏในอีกที่ไม่ไกลนัก
แต่...

วู่ม

วิญญาณในเกราะผีเปลี่ยนเป็นหอกไล่ตามกราแฮม

“ฮึ่ย!”

หอกวิญญาณจะไล่ตามจนกว่าจะถูกเป้าหมาย กราแฮมกำลังหลบหอกวิญญาณอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย คังวูจินเปลี่ยนอาวุธเป็นธนูแล้วยิง

ปุ!

“อ๊าก!”

กราแฮมร่ายเวทป้องกันไว้ แต่ไหล่ของเขายังระเบิดเละเทะ กราแฮมกลิ้งไปบนพื้น

“ศัตรูของท่านพ่อ!”

ลาตาชา

เธอขึ้นเป็นลอร์ดเอลฟ์ด้วยวัยเพียง 60 ปี มันเป็นความจำเป็นเพราะผู้อาวุโสกว่านับไม่ถ้วนสละชีพไปในสนามรบ

ผู้ไม่ตายเป็นคนฆ่าพ่อของเธอ!

แก๊ง แก๊ง

ลาตาชาแกว่งมีดในมือทั้งสองข้าง วูจินเปลี่ยนอาวุธเป็นมีดเผชิญหน้ากับเธอ

มีดสี่เล่มปะทะกัน การต่อสู้ยืดเยื้อออกไป ลาตาชามีสายเลือดของเอลฟ์ เผ่าพันธุ์ที่ไม่เป็นรองใครในด้านความเร็ว แต่วูจินเร็วเท่ากับลาตาชา

เธอไม่เคยคิดเลยว่าผู้ไม่ตายจะเร็วขนาดนี้

ผู้ไม่ตายเคยต่อสู้ด้วยตัวเองเพียงน้อยครั้งจึงไม่แปลกที่นาตาชาจะไม่รู้ว่าผู้ไม่ตายมีความสามารถขั้นไหน เธอได้ยินเรื่องเลวร้ายของเขามานับไม่ถ้วนแต่เธอเคยเผชิญหน้ากับเขาเพียงสองครั้ง

นี่เป็นครั้งที่สาม

ผู้ไม่ตายฉวยช่องว่างที่เกิดขึ้นเพียงวูบเดียวแทงใส่ขาลาตาชา

“อั่ก”

บาดแผลไม่สาหัสแต่รุนแรงพอจะตัดสินผลการต่อสู้

คังวูจินสะบัดมีดจนเกิดบาดแผลทั่วร่างลาตาชา

สุดท้าย มีดทั้งสองเล่มปักไหล่ทั้งสองข้างของเธอ ผนึกการเคลื่อนไหวของแขน

“อ๊าก!”

ลาตาชาใช้แรงเฮือกสุดท้ายเตะต่ำ อาจเพราะเธอควบคุมแรงไม่ได้หน้าแข้งจึงหักไป เธอล้มลง ขาเธอบิดในองศาประหลาด

“ไอ้บ้าเอ๊ย! ถึงข้าตายไปแล้วก็จะสาปแช่งเจ้า”

วูจินยิ้ม

“เราลืมเรื่องในอดีตกันเถอะ”

“เจ้าจะให้ข้าลืมความแค้นสังหารครอบครัว?”

“เธอก็ทำร้ายลูกน้องของฉันเหมือนกัน”

“...”

แม้ว่าลาตาชาจะเคยสู้กับกองทัพผีดิบ เธอที่อยู่แนวหลังสังหารไปเพียงเท่าไหร่?

“ข้าสังหารผีดิบไร้วิญญาณ จะเทียบกับการสูญเสียครอบครัว...”

“ฉันไม่สน พวกนั้นสำคัญสำหรับฉัน”

“เจ้าเล่ห์...”

“พวกเรามีความแค้นระหว่างกัน เพราะงั้นถือว่าไม่ติดค้างกัน”

“...”

วูจินเก็บอาวุธนักรบที่ปักไหล่ลาตาชากลับไป เลือดทะลักออกจากปากแผล

วูจินเหลือบมองด้านหลังและเห็นเมโลดี้หน้าซีด และชาวบ้านที่กลัวจนไม่กล้าสบตาเขา

“เอาล่ะ คราวนี้ฉันจะไปช่วยจริงๆแล้ว”

“...ไม่เห็นต้องรุนแรงนักเลยค่ะ...”

เมโลดี้พูดพึมพำแต่สุดท้ายก็หยุด ทั้งสามคนยังไม่ตาย ปัญหาคือพวกเขาบาดเจ็บสาหัส

“เธอจัดการไป”

วูจินขึ้นไปนั่งบนหลังชิงชิงแล้วเรียกเจนิสกับโดลเซออกมา

[เราจะช่วยอัลเฟนแล้วใช่หรือไม่!]

วูจินยิ้มพลางมองซุงกูที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับเฟริส

“จะเริ่มเดี๋ยวนี้ล่ะ”

[...]

ร่างเจนิสบินขึ้นไป

[ข้าจะช่วยปลดปล่อยพวกเจ้าจากชีวิตเลวร้ายนี่!]

ไม้เท้าของเจนิสปล่อยไฟออกมา มันปะทะกับฝูงเวสิคนับไม่ถ้วนที่กำลังรุมล้อมมาทางพวกเขา

“ฉันต้องรวบรวมวิญญาณก่อนสินะ?”

วูจินมีการปกป้องของทราช ความสามารถของมันถูกผนึกเป็นส่วนใหญ่เพราะเสียหาย แต่มันทำให้เขาเก็บวิญญาณในเกราะผีได้ไม่จำกัด ดังนั้นวูจินจึงรับวิญญาณนับพันไว้อย่างยินดี

เขายังเห็นลอร์ดมิติ โกชูชู ที่กำลังนำกองทัพเข้าสู่สนามรบ

“ไปกันเถอะ โดลเซ”

[วิ้ง]

โดลเซรวมเลือดในสนามรบเข้ามา บิบิไม่ได้มาด้วย การทำให้โกเลมเลือดสงบลงจะเป็นงานยาก แต่ไม่มีอะไรเป็นคำเตือนถึงโลกนี้ได้ดีกว่าโกเลมเลือดที่กำลังคลั่งอีกแล้ว

คังวูจิน... ไม่ใช่ กองทัพผีดิบของผู้ไม่ตายกลับอัลเฟนแล้ว

***

ยักษ์ตาเดียวโกชูชูกำลังนอนบนพื้น เขากลายเป็นกองเลือดเละเทะ

“เจ้าปลาเน่ากลับมาแล้ว”

“ฉันรู้ว่านายคิดถึงฉัน ใช่ไหมล่ะ?”

“กำหนดอาณาเขตของเจ้า ข้าจะไม่บุกรุกมัน”

วูจินพาดขวานบนบ่า เขายืนอยู่หน้าดวงตาข้างเดียวของไซคลอป

“ทำไงดี?”

“เจ้าพูดถึงอะไร?”

“ฉันอยากครอบครองทั้งดาวนี้เลย”

“...”

โกชูชูกระพริบตา

“เจ้าอยากได้รหัสของอัลเฟนสินะ?”

“...”

วูจินขมวดคิ้ว

“รหัสที่ว่ามันคืออะไร?”

โกชูชูกลอกตา

“เข้าใจล่ะ เจ้าไม่รู้เรื่องของมัน เพราะอย่างนี้เจ้าจึงช่วยคนในโลกนี้อย่างไร้ความหมาย”

ถ้ารู้ เขาคงตั้งใจทำสงครามมิติมากกว่านี้ ผู้ไม่ตายทำตัวประหลาดจนมองไม่เหมือนลอร์ดมิติ

“นายควรจะทำตัวให้เป็นมิตรมากกว่านี้นะ บอกฉันหน่อยไม่ได้เหรอว่ามันเรื่องอะไร?”

“ทำไมข้าต้องทำอย่างนั้นด้วย?”

วูจินขมวดคิ้ว เขาออกแรงฟาดขวานในมือ

“ถ้าคิดจะเล่นยี่สิบคำถามก็ไปตายซะ”

ขวานปักลงในศีรษะไซคลอป ร่างของมันกลายเป็นแสงสีเทาแล้วสลายไป

“น่ารำคาญ”

72 บัลลังก์ของทราห์เน็ตอาจมารวมกันที่อัลเฟนเพราะรหัส เทียบกันแล้วลอร์ดมิติที่โลกจาคุอ่อนแอกว่าที่อัลเฟน

วูจินปัดมือแล้วมองเจมินกับซุงกู

“พวกนายคิดว่าไหวไหม?”

“เอ่อ ผมไม่เห็นว่ามันจะต่างจากงานที่เราทำครั้งก่อนเท่าไหร่”

วูจินมองไปยังจุดที่โกชูชูสลายไป และมองซากศพมอนสเตอร์ที่มีอยู่เต็มพื้นที่

“เจ้าพวกนี้มันแค่ปลาซิวปลาสร้อย อย่าวางใจนัก”

“ครับลูกพี่”

“ครับพี่”

“งั้นพวกนายสะสางรอบๆ ถ้าเห็นอะไรมีประโยชน์ก็เก็บมา”

“ครับผม!”

เมื่อพวกเขาจากไป วูจินดูดวิญญาณที่กำลังลอยอยู่รอบๆ จากนั้น...

เปรี้ยง!

เคะๆๆ!

โครงกระดูกนับพันลุกขึ้นใหม่แทนตัวที่ถูกทำลายไป

“ฉันต้องรวบรวมเซ็ทไอเทมให้เร็วที่สุด”

ถ้าได้เซ็ทไอเทมครบ เขาจะสามารถควบคุมกองทัพใหญ่กว่านี้

วูจินไปหาเมโลดี้

เธอรักษาทัวริค กราแฮมและลาตาชา เสร็จแล้วไปรักษาชาวบ้าน เธอกำลังอวยพรให้พวกเขาอยู่
เมื่อรู้แล้วว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอเป็นของจริง ทัวริคและคนอื่นๆมองวูจินอย่างอึ้ง

“ทำไม...เจ้าไว้ชีวิตพวกข้า?”

“นายอยากให้ฉันฆ่านาย?”

พวกเขาไม่ได้ขอให้วูจินฆ่า แค่สงสัยว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น

“ทำไมเจ้าช่วยสหพันธ์?”

“เออ มีกฎห้ามไว้เหรอ?”

“...”

ผู้ไม่ตายแข็งแกร่ง และยังกวนตีนเช่นเดิม

“ฉันจะสะสางเรื่องนี้ให้พวกนายเอง แค่อย่ามาขวางงานฉัน”

วูจินจะล่าพวกมันให้หมด อย่างน้อย เขาอยากกลับโลกพร้อมกับรงรง

วูจินพูดจบแล้วเดินจากไป ทุกคนมารวมกันรอบเมโลดี้

“คนนั้นเป็นผู้กล้าเหรอ ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์?”

เธอหัวเราะแห้งๆกับคำถามของเด็ก

“...ข้าไม่รู้..”

ลาตาชาคำรามเสียงต่ำขณะมองแผ่นหลังของผู้ไม่ตาย

“ข้าไม่รู้เขาคิดอะไรอยู่ สุดท้ายเขาต้องทำร้ายพวกเราแน่”

“เรื่องนั้นข้าไม่แน่ใจ”

สตรีศักดิ์สิทธิ์มองวูจินด้วยสายตาเศร้าจางๆ

‘ทั้งๆที่เขารู้เทพยากรณ์แล้ว...’

เมโลดี้ถ่ายทอดคำของอาเรียแล้ว

ถึงกระนั้น วูจินยังเหมือนเดิม เขายังมาอัลเฟนโดยไม่ลังเล เธอไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของวูจิน แต่เธอรู้ว่าเธอสมควรขอบคุณเขา

เมโลดี้ค้อมศีรษะไปทางแผ่นหลังของวูจิน



สารบัญ                                                            บทที่ 168




โกชูชูน่าจะเป็นเพื่อนเก่าของเราตอนบทที่ 50-52 ที่ราบสูงทาริวห์มั้งคะ? ตอนนั้นเป็นตัวประกอบไม่มีชื่อ แต่เป็นไซคลอปเหมือนกัน มาจากอัลเฟนด้วย


วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 166

บทที่ 166 – ทางสู่อัลเฟน


ในวิหารร้างไร้ชื่อแห่งหนึ่ง...

ที่นี่มีเสาหลายต้น มีหญ้าขึ้นรก ยังมีเศษหินที่เคยใช้ตกแต่งวิหาร มีคนเริ่มออกมาจากระหว่างเสาเหล่านี้ทีละคน

“ฮึบ”

หลังจากสูดหายใจลึก คังวูจินก็มาถึง

“นานแล้วนะ”

วูจินซื้อดันเจี้ยน วิหารของรฮาต มันตั้งบนภูเขาลูกหนึ่ง จากตรงนี้สามารถมองเห็นได้ไกลหลายไมล์ แน่นอน วิวไม่สวยนัก

“โอ้ ที่นี่คืออัลเฟนเหรอ?”

“ดูโหวงเหวงจัง”

ซุงกูกับเจมินมาถึงด้านหลังวูจิน พวกเขาขมวดคิ้วมองรอบๆ ภูเขามีต้นไม้ที่ถูกเผาประปราย มีกระดูกและซากศพที่ดูไม่ออกว่าเป็นของสัตว์หรือมอนสเตอร์ ในอากาศมีกลิ่นเหม็น

บางศพยังดูใหม่

“น่าจะสู้กันเพราะแย่งเข้าดันเจี้ยนฉัน”

เมื่อวิหารรฮาตถูกวูจินซื้อไปก็จะเกิดดันเจี้ยนรีเซ็ท

ถ้าไม่มีกฎควบคุมว่าใครจะได้เข้าดันเจี้ยนก่อนก็ต้องใช้กำลังเป็นตัวตัดสิน ดูเหมือนจะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่นี่

“...”

เมโลดี้มาถึงเป็นคนสุดท้าย เธอข่มเสียงครางเมื่อเห็นภาพเลวร้ายรอบตัว

ทางเข้าถล่มไปแล้ว จึงยากจะเห็นว่ามันอยู่ตรงไหน วูจินเดินออกจากวิหารพลางถามเมโลดี้

“คิดว่าเราอยู่ตรงไหน?”

“ฉันเชื่อว่าเป็นฝั่งตะวันตกของทุ่งรฮาตค่ะ”

“...”

เมโลดี้มองหน้าวูจินเมื่อเห็นเขาเงียบไป วูจินพูดอย่างเซ็ง

“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่ามันที่ไหน? สหพันธ์ล่ะ?”

“อา ถ้าเราไปทางตะวันออกเฉียงเหนือจะถึงอลันดาลเก่าค่ะ ถ้าไปทางตะวันออกจะเป็นดินแดนของสหพันธ์ ฉันไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับทางนั้น แต่...”

“เข้าใจแล้ว ไปดูกันเถอะ”

วูจินหันไปมองซุงกูกับเจมิน

“พวกนายบินได้ใช่ไหม?”

“ครับลูกพี่”

“ครับพี่”

วูจินเรียกชิงชิงออกมาขี่

“ทำอะไรอยู่? เธอขึ้นมาสิ”

“คะ? ค่ะ...”

เมโลดี้ตกใจที่วูจินยื่นมือมาให้ไม่เหมือนเขาตอนปกติ เธอจับมือเขาแล้วขึ้นไปบนหลังชิงชิง

ฮี้!

ชิงชิงไม่ชอบให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นนั่งบนหลังมันจึงส่งเสียงพรืด แต่มันไม่ทำอะไรมากกว่านี้

“เราจะดูรอบๆอลันดาล จากนั้นไปที่ดินแดนของสหพันธ์...”

เขาไม่รู้ว่าอลันดาลยังอยู่หรือถูกทำลายไปแล้ว แต่เขาจะไปดูด้วยตาตัวเอง เขาอยากดูว่าจะสามารถสร้างอาณานิคมตรงนั้นได้หรือไม่

“อ้อ ก่อนอื่น...”

ที่นี่เต็มไปด้วยของขวัญต้อนรับการกลับมาของเขา วูจินไม่ควรทิ้งมันไว้

“ลุก!”

พลังเวทไหลออกจากร่างวูจินและไหลวนรอบศพ พวกมันลุกขึ้นเป็นผีดิบ

พวกที่ดูเคลื่อนไหวรวดเร็วถูกเปลี่ยนเป็นผีดิบ พวกที่เหลือถูกเปลี่ยนเป็นทหารโครงกระดูก

“ไปกันเถอะ”

ชิงชิงวิ่งไปบนท้องฟ้า ซุงกูรวมร่างกับไฟแล้วบินไปเหมือนจรวด เจมินเปลี่ยนร่างเป็นค้างคาวแล้วไล่ตามพวกเขาไป

พริบตาเดียว ผีดิบหลายร้อยตัวก็ถูกสร้างขึ้น พวกมันไล่ตามวูจินอย่างบ้าคลั่ง

ชิงชิงวิ่งด้วยความเร็วสูง เมโลดี้กลัวว่าจะหล่นจากหลังม้า เธอจับเอววูจินแน่นขึ้น

***

ฝูงวีสิค ตั๊กแตนตำข้าวตัวมหึมากำลังไล่ตามคน

น้ำลายพิษย้อยจากปากพวกมันขณะกำลังขยับขาอย่างไม่รู้จักเหนื่อย ถ้าพวกวีสิคไล่ตามทันก็หมายถึงความตายของคนกลุ่มนั้น

“พยายามเข้า!”

หัวหน้ากลุ่มเป็นชายร่างใหญ่แข็งแรง เขาวิ่งอยู่ข้างหลังสุด

“ฮึบ”

ชายหัวล้านท่าทางกล้าหาญยกกระบองขึ้นทุบหัวพวกวีสิค 3 ตัวแตกในทีเดียว แต่มีตัวหนึ่งกระโดดขึ้นสูง

“ท่านทัวริค ข้างบน!”

เสียงเด็กผู้หญิงตะโกน ทัวริคเหวี่ยงกระบองขึ้นตามเสียงโดนร่างของวีสิค เคียวแขนของมันเฉียดศีรษะเขาไปทำให้เกิดรอยบาดสีแดงจางบนหัวล้าน

“ฮึ่ย! หนีไปเร็วเข้า!”

ทัวริคหันร่างแล้วเร่งความเร็ว เขากุมศีรษะด้วยมือข้างที่ไม่ได้ถือกระบอง

แสงสว่างเกิดขึ้น แผลบนศีรษะเขาหายไปจนหมด เมื่อเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งไม่ไหวล้มลง เขาอุ้มเธอแล้ววิ่งต่อ

“ฮือ ท่านทัวริค”

“อย่าร้อง เด็กเอ๋ย”

แสงไหลออกจากร่างทัวริคไปล้อมกลุ่มคนที่วิ่งอยู่ข้างหน้า

“ออกแรงให้มากกว่านี้!”

พวกเขาวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาต้องอยู่ต่อไป แรงกลับคืนสู่ขาสั่นเทาของพวกเขา ผู้ใหญ่อุ้มเด็กคนละหนึ่งหรือสองคน พวกเขากอดเด็กๆแน่นขึ้น

“เราจะตายเหรอ?”

เด็กหญิงตัวเล็กถาม ทัวริคยิ้มอย่างมีชีวิตชีวาเช่นเคย

“อย่ากลัวไปเลย! เราแค่ต้องรอดไปให้ได้และหวังให้เกิดปาฏิหาริย์ มันจะเกิดขึ้น”

“ฮึก ค่ะ! หนูวิ่งเองได้แล้ว”

ทัวริควางเด็กหญิงลง เด็กหญิงเร่งฝีเท้าจนทันกลุ่มผู้ใหญ่

มีวีสิค 20 ตัวกำลังไล่ตามพวกเขา

ถ้าพวกมันได้ยินเสียงเอะอะ พวกมันจะมารวมกันมากขึ้น แต่ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่เพียงสู้พลางหนีพลาง คนที่กำลังหนีอยู่คือผู้เหลือรอดทั้งหมดของหมู่บ้าน

ถ้าพวกเขาจะสู้ก็ได้ แต่พวกเด็กจะบาดเจ็บล้มตาย แม้จะเป็นงานอันลำบาก ทัวริคเลือกอยู่ข้างหลังเพื่อลดจำนวนวีสิคที่ไล่ตามพวกเขา

“พวกบ้านี่ตื๊อจริง!”

วีสิคตายทุกครั้งที่ทัวริคเหวี่ยงกระบอง ถ้าเขาบาดเจ็บเขาจะรักษาตัวเอง เมื่อสังหารวีสิคไปอีก 2 ตัว เขากำลังจะวิ่งต่อแต่แล้วก็ต้องแปลกใจ

“หา? พวกเจ้าทำไมหยุด...”

คนด้านหน้าหยุดวิ่ง เมื่อเขาไปรวมกลุ่มก็รู้โดยไม่ต้องถาม มอนสเตอร์แมงมุมมีหนวดที่เรียกว่า ลันเชอร์ 12 ตัวขวางหน้าพวกเขา

ฝูงตั๊กแตนตามพวกเขาทันในที่สุด พวกมันตั้งวงล้อมกลุ่มมนุษย์

“ท่านทัวริค...”

สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พวกผู้ใหญ่วางเด็กลงและจับอาวุธ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสู้ แม้สุดท้ายจะไม่มีคนเหลือรอดก็ตาม

ไม่สิ จะมีคนเหลือรอด

พระทัวริคผู้รับใช้เทพสเกียจะไม่ตาย

“โอ สเกีย...”

ทัวริคภาวนาเบาๆขณะกระชับกระบอง

ในตอนนั้นเขาไม่ได้ถูกความสิ้นหวังครอบงำ เขาผ่านเส้นทางยากลำบากมาจนไม่อาจยอมแพ้ได้แล้ว

กล้ามเนื้อของเขาขยายตัว เสื้อผ้าบนร่างกระพือรอบตัว

ในการต่อสู้ เขาไม่อาจปกป้องทุกคน เด็กๆจะตาย หลังจากการต่อสู้ความเศร้าจะมาเยือน

ทัวริคตัดสินใจใช้ทักษะโกรธ เขาจะลงมือก่อนด้วยการทำให้ศัตรูหวาดกลัว

แสงสีชมพูล้อมรอบตัวทัวริค

“ท่านทัวริค! ดูนั่น!”

ตอนนั้นเอง เด็กหญิงตะโกนขึ้นมา

บอลไฟลูกหนึ่งหล่นจากฟ้า มันตรงไปยังมอนสเตอร์แมงมุม

“หา?”

ทัวริคลืมตาโตอย่างแปลกใจ

ฉึก!

ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งทะลุวีสิคที่พุ่งเข้ามา ทัวริคหันไปมองทางที่ลูกธนูนั้นพุ่งมา

“โอ พระเจ้า...”

ในโลกนี้มีผู้กล้าเหลืออยู่ไม่มากแล้ว

คนพวกนี้คือผู้กล้าของสหพันธ์ ความหวังสุดท้ายของดินแดนนี้ พวกเขาร่วมมือกันรวบรวมชิ้นส่วนมิติจากฐานทัพศัตรู

นักเวทกราแฮม และเอลฟ์สาว เลดี้ลาตาชา

“มีคนมาช่วยพวกเรา!”

“ท่านกราแฮม!”

“ศรเงิน!”

บางคนในกลุ่มเคยร่วมสงครามกับผู้กล้าเหล่านี้ พวกเขาส่งเสียงเชียร์เมื่อจำทั้งสองได้

เมื่อสองกลุ่มร่วมมือกัน ฝูงวีสิคกับลันเชอร์ก็ถูกกำจัดไปทันที

ทัวริคทักทายพวกเขาอย่างยินดี

“พวกเจ้ามาทันเวลาพอดี! ยินดีที่ได้เจอ!”

“เจ้าทำได้ดีแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้าน?”

ทัวริคส่ายศีรษะเมื่อได้ยินคำถามกราแฮม หมู่บ้านลับถูกเจอและถูกทำลาย ชาวบ้านส่วนใหญ่เสียชีวิต คน 30 คนในนี้คือเท่าที่เหลือ

ยิ่งกว่านั้น ครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก

“เชี่ย! มีพวกเวรวีสิคอยู่ทุกที่เลย”

เอลฟ์ลาตาชามีใบหน้างดงาม แต่เธอพ่นคำหยาบเป็นชุด ป่าของเธอถูกทำลาย ไม่มีเอลฟ์ที่ห้ามตัวเองไม่ให้เอาชีวิตผู้อื่นเหลืออีกแล้ว

มีแต่นักสู้ที่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้

“เกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นที่ไปโจมตีอาณานิคมโกชูชูกับเจ้า?”

กราแฮมส่ายศีรษะ

“เราทำไม่สำเร็จ พวกเราแยกย้ายกันไปช่วยเหลือคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“อา...”

ข่าวที่ได้ยินมีแต่ทำให้หมดหวัง

โกชูชูเป็นลอร์ดมิติที่ตั้งเมืองอาณานิคมแห่งใหม่ในดินแดนแถบนี้ มอนสเตอร์ในอาณาเขตมีจำนวนมหาศาล พวกมันคุกคามอาณาเขตรอบๆ

ถ้าอาณานิคมของมันถูกทำลาย พวกเขาจะสามารถหยุดยั้งการแพร่พันธุ์ของพวกมอนสเตอร์ ทำให้หายใจคล่องขึ้นบ้าง แต่พวกเขาล้มเหลว มีแต่ต้องทิ้งดินแดนนี้ไปหาที่อยู่ที่อื่น

การโจมตีไม่ได้เกิดแต่ที่เมืองของทัวริค เมืองอื่นล้วนถูกโจมตี เหล่าผู้กล้าตัดสินใจแบ่งเป็นกลุ่มสองสามคนเพื่อไปช่วยเมืองเหล่านั้น

ตอนนั้นเอง สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ปรากฏตัวบนท้องฟ้า ส่งเสียงร้องยาว

“เวร! นั่นมันเฟริส!”

มันคือปลากระเบนยักษ์บินได้

มันใหญ่จนบังดวงอาทิตย์ได้ ขนาดมันเทียบได้กับมังกร เหตุผลที่ทุกคนกลัวมอนสเตอร์นี้เพราะมันทำหน้าที่ขนมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ

ฝูงวีสิคบนหลังเฟริสกางปีกแมลงปอแล้วบินลงมา

ไม่แค่นั้น พื้นรอบตัวพวกเขาสั่นและมอนสเตอร์ตุ่น ทิวดอน โผล่หัวขึ้นมา พวกทิวดอนมาล้อมพวกเขา

“ฮะ ดูท่าความสามารถของทัพโกชูชูจะเหนือกว่าที่พวกเราคาด”

ทัวริค กราแฮมและนาตาชาหน้าเครียดเมื่อเห็นมอนสเตอร์จำนวนล้นหลาม

พวกเขาหนีไปได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นคนสามสิบคนจะตาย หรือแม้พวกเขาสู้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปกป้องชีวิตทุกคนได้

ที่แย่ที่สุดคือเด็กเหล่านี้ในอนาคตอาจกลายเป็นผู้กล้าหรือจอมเวท ชีวิตของเด็กพวกนี้จะดับไปกลายเป็นว่างเปล่า

“หนีเถอะ”

กราแฮมพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของลาตาชา พระทัวริคเม้มปากแน่น เขากำลังจะเอ่ยปากเมื่อรู้สึกถึงมือเล็กๆแตะมือหยาบของเขา

เด็กคนหนึ่งจับมือเขา ดวงตามีน้ำตาเอ่อเต็ม เงยหน้าขึ้นถาม

“เรากำลังจะตายเหรอ?”

“...”

“ไม่มีปาฏิหาริย์เหลือแล้วเหรอ?”

“...”

ทัวริคมองเพื่อนของเขา

“สู้เถอะ”

“นั่นมันไร้เหตุผลนะ”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าหนีไปยังที่ปลอดภัย ข้าจะพยายามช่วยคนเหล่านี้...”

กราแฮมพูดอย่างระวัง

“เจ้าเป็นพระของสเกีย ไม่ควรบุ่มบ่าม เจ้ามีภารกิจสำคัญกว่านี้ ข้าไม่อาจปล่อยให้เจ้าตายอย่างเปล่าประโยชน์”

“หน้าที่ของข้าคือช่วยเด็กๆ ไม่มีอะไรสำคัญกว่านั้น”

“เฮ้อ...”

กราแฮมส่ายศีรษะเมื่อทัวริคยืนกราน เรื่องยิ่งเลวร้ายลงอีกเมื่อเฟริสปรากฏตัวเพิ่มอีก 2 ตัว ฝูงวีสิคบินลงมาจากหลังพวกมันเช่นกัน

ฟ้าปกคลุมไปด้วยฝูงตั๊กแตนตำข้าว มันไม่ใช่ภาพอันน่ามอง

“หากท่านสเกียลิขิตให้ข้าตายที่นี่ ข้าก็ยอมรับ”

ทัวริคพูดอย่างหนักแน่น กราแฮมยกไม้เท้าขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้”

ทัวริคเป็นคนสำคัญที่ผู้รอดชีวิตในอัลเฟนต้องการ สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่แล้ว ไม่มีผู้กล้าคนใดเชี่ยวชาญมนตร์รักษาเท่าทัวริค

ถ้าพวกเขาต้องการหนีหลังจากกำจัดฝูงมอนสเตอร์ นี่เป็นโอกาสสุดท้าย พวกเขาต้องทำก่อนลอร์ดมิติโกชูชูจะมาถึง

พวกเขากำลังเตรียมตัวสู้เมื่อสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

เสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมกับเฟริสบนฟ้าร่วงลงมาทั้งเปลวไฟ

จากนั้นพวกเขาได้ยินเสียงพื้นสะเทือน และเห็นกองทัพผีดิบปรากฏเหนือสันเขา

ที่นำหน้ากองทัพคืออัศวินมรณะขี่ม้าปีศาจพุ่งเข้ามา

“พระเจ้า”

ลาตาชาหน้าซีด

“กองทัพของผู้ไม่ตาย”

กราแฮมตัวสั่น ไม้เท้าตกพื้น

เปล่าประโยชน์ ดิ้นรนเอาชีวิตรอดไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

กระทั่งทัวริค ตัวแทนของความหวังยังส่ายศีรษะ

“ปาฏิหาริย์ไม่มีวันมาถึง...”

เขานึกไม่ถึงว่าจะเจอกับกองทัพผู้ไม่ตายที่นี่...

ชาวบ้านทรุดลงอย่างหมดหวังพลางมองกองทัพผีดิบพุ่งมายังพวกเขา สิ่งเดียวที่รอพวกเขาอยู่คือความตาย

ตอนนั้นเอง เด็กคนหนึ่งตะโกนขึ้น

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ นั่นท่านเมโลดี้!”

“...!”

ทัวริคเงยหน้าขึ้น

เขามองไปด้านหลังของกองทัพผีดิบ ผู้ไม่ตายขี่หลังม้าปีศาจตัวใหญ่ เหยาะย่างมาทางพวกเขา
ไม่น่าเชื่อ สตรีศักดิ์สิทธิ์ซ้อนท้ายเขา

“เฮ้ย! ผู้ไม่ตายเป็นคนลักพาตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปเหรอ?”

สตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นแสงแห่งความหวังของพวกเขา ไม่มีข่าวคราวของเธอมานาน พวกเขาต้องลำบากมากระหว่างที่เธอหายตัวไป แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้ไม่ตายเป็นคนพาตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์ไป
ระหว่างที่ทัวริคถลึงตาใส่ผู้ไม่ตาย กองทัพผีดิบก็พุ่งใส่ฝูงวีสิค



สารบัญ                                                 บทที่ 167

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 165

บทที่ 165 – ปราสาทของบิบิ (4)


วูซุงฮุนเดินมาเจอฮงซุงกูตรงทางเดินด้านในอลันดาล ซุงฮุนยิ้มกว้างให้ซุงกู

“กลับมาแล้วเหรอ? ผมได้ยินว่าคุณเจองานหนักเลย”

“เฮ้อ อย่าพูดถึงมันเลยครับ ว่าแต่ วันนี้มีอะไรเหรอ? ผมเห็นมีดาราอยู่ที่นี่ด้วย”

“หา?”

“คนนั้นไง คุณซินดี้จากยูริเกิร์ลส ผมขอลายเซ็นเธอด้วยล่ะ เฮะๆ”

ซุงกูแกว่งกระดาษโชว์พลางยิ้มกว้าง

“อ้อ เธอเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเดียวกับพระราชากับคุณโดจีวอน มาพักที่นี่เมื่อสองสามวันก่อน”

“ว้าว! ลูกพี่เป็นเพื่อนกับดาราเหรอ?”

“ก็...อย่างนั้นแหละ”

“ข่าวใหญ่เลยนั่น ไม่ใช่ว่าเธอกำลังดังเหรอ หลังจากเปลี่ยนมาเล่นหนัง”

“อ่า อืม...”

ถ้าพูดถึงความดัง ราชาของอลันดาลมีคนสนใจมากกว่าดารา...

“ฮ้าย ดีจังเลย แปลว่าลูกพี่กินข้าวโต๊ะเดียวกับเธอด้วย”

“หืม ถ้าชอบก็จีบเลยสิครับ?”

“ฮะ ผมจะไปจีบดาราได้ยังไง?”

“...”

วูซุงฮุนอึ้งมองซุงกูที่กำลังเขินอาย

คนนี้ไม่รู้เหรอว่าตัวเองอยู่ระดับไหนในสังคม?

“ถ้าเป็นกรรมการฮง ผมว่าเธอไม่ปฏิเสธนะ”

“ไม่ไหวหรอก อย่างผมนะเหรอ? ฮะๆ ผมได้ลายเซ็นเธอมาแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว”

“...”

คนนี้ไม่รู้จริงๆน่ะว่าตัวเองมีชื่อเสียงแค่ไหน?

ถ้าพูดถึงคุณชายไฟ ไม่มีใครในเกาหลีไม่รู้จัก ไม่สิ คนรู้จักฮงซุงกูกันทั่วโลก แต่เขาไม่รู้ตัวเลย

“ลูกพี่ล่ะ?”

“อยู่ที่ห้องทำงานท่านครับ”

“เข้าใจล่ะ ผมไปก่อนนะ”

“ครับ”

ซุงกูพับกระดาษลายเซ็นของซินดี้เก็บอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินต่อ

***

ห้องทำงานของพระราชาอลันดาล

ซุงกูเคาะประตูแล้วเข้ามา เห็นคนกำลังนั่งกันบนโซฟา วูจินเอียงหน้ามามองเขา

“กลับมาแล้วเหรอ?”

“ครับลูกพี่”

“เจนิสบอกว่านายไปได้?”

เมื่อได้ยินคนพูดถึงเจนิส ซุงกูขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ

“เอ่อ อย่างน้อยเขาก็บอกว่าผมไปที่ไหนก็ไม่ตาย”

วูจินยิ้ม ถ้าเจนิสพูดแบบนั้นแสดงว่าซุงกูไม่เป็นตัวถ่วงแน่

“นายทำได้ดี”

“เฮะๆ แล้วทำไมพวกเรามาอยู่กันที่นี่หมดล่ะครับ?”

“นั่งสิ”

“ครับ”

ซุงกูนั่งลงข้างเจมิน

บลังกาและเชฮีซอลนั่งตรงข้าม

“เหลือแค่รอเมโลดี้”

ซุงกูถามอีกรอบ

“แล้วทำไมเรามาอยู่ที่นี่ครับ?”

“คิดว่าไงล่ะ? นี่เป็นประชุมก่อนออกเดินทาง”

“หืม มันไม่เหมือนตอนโลกจาคุเหรอครับ? แค่ไปที่นั่นแล้วก็อาละวาด?”

วูจินยักไหล่

“ไม่เหมือน มีศัตรูเก่งกว่า ที่นั่นมีดันเจี้ยนนับไม่ถ้วนเป็นของบัลลังก์ทั้ง 72”

“ใครครับ? เก่งเหรอ?”

“พวก 72 ตัวนี่มีแต้มมากที่สุดในหมู่ลอร์ดมิติ”

“แต้มเยอะแปลว่าเก่งเหรอครับ?”

“ประมาณนั้น แต้มเอาไว้ใช้เติมกำลังทหาร แต้มพวกมันคงแทบไม่มีวันหมด ดันเจี้ยนเยอะเกินไป...”

อาณาเขตมิติของพวกมันมีขนาดใหญ่ และพวกมันครอบครองดันเจี้ยนมากมาย ยังมีแต้มที่ได้จากการเก็บภาษีของประชากรอีก มันเหมือนน้ำพุที่ไม่มีวันแห้งเหือด

“เหมือนคนรวยใช้เงินแหลกแต่ขนหน้าแข้งไม่ร่วง”

“เป็นคำเปรียบที่เหมาะสมค่ะ”

ตอนนั้นเอง เมโลดี้เปิดประตูเข้ามา

“เหตุผลเดียวที่ตอนนั้นผู้ไม่ตายสู้กับพวกมันได้เพราะเขาสามารถเติมกำลังพลในสังกัดของเขา”

กำลังพลของวูจินนับเป็นหนึ่งในสามของกำลังพลทั้งหมดในอัลเฟน

กำลังพลทั้งสามคือสหพันธ์ของชาวอัลเฟน,เหล่าลอร์ดมิติของทราเน็ต และผู้ไม่ตาย จ้าวแห่งอลันดาล

การต่อสู้ดำเนินไปโดยขุมกำลังสองแห่งไม่ลดจำนวนลง แต่สหพันธ์ไม่สามารถหาคนมาทดแทนคนที่ตายไปได้เร็วเท่า ดุลอำนาจจึงเริ่มเอนเอียง ระหว่างนั้นผู้ไม่ตายก็หายตัวไป สหพันธ์ล่มสลายในพริบตา

“มาแล้วก็นั่งสิ”

“...”

ก่อนเมโลดี้จะนั่ง เธอค้อมหัวให้ทุกคน หรือที่ถูกคือเธอค้อมหัวให้คังวูจิน

“ต้องขอบคุณคุณจริงๆค่ะที่ตั้งใจช่วยอัลเฟน”

“อืม เราต้องช่วยเหลือกัน”

เมโลดี้ช่วยงานวูจิน และเขาต้องไปอัลเฟนเพื่อหาเซ็ทไอเทมของทราชอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นเมโลดี้ก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจ

เธอนึกไม่ถึงว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากโลกและผู้ไม่ตาย พลังทำนายอนาคตของเทพีอาเรียที่ทำนายเรื่องนี้ได้ช่างมหัศจรรย์นัก

“งั้นฉันจะบอกแผนแล้ว”

วูจินบอกแผนการเรียบง่ายที่เขาคิดไว้

“ฉันสร้างประตูระหว่างอาณาเขตมิติที่โลกกับอัลเฟนไว้แล้ว”

มีผู้เข้ามาเคลียร์ดันเจี้ยนเป็นบางครั้ง แต่คิบะล้มพวกนั้นทั้งหมด คิบะกำลังทำหน้าที่ปกป้องหินรีเทิร์นสโตนเป็นอย่างดี

“แนวหน้าจะเป็นซุงกู เมโลดี้ เจมิน ฉัน”

“แล้วพวกเราจะตามไปเมื่อไหร่ครับ?”

“8 ชั่วโมง ประมาณ 2 วันบนอัลเฟน ระหว่างนั้น พวกฉันจะหากองกำลังของสหพันธ์ที่ยังไม่ตาย จากนั้นฉันจะสร้างเมืองอาณานิคม มันจะเป็นฐานหลักของพวกเราในการยึดอัลเฟนคืน”

เขาจะสามารถใช้อุโมงค์เชื่อมต่อโลกกับอัลเฟนโดยตรง

“ถึงตอนนั้น บลังกากับฮีซอลจะพาเราส์ใหม่มา แล้วเราจะแบ่งกลุ่มเป็นหน่วยช่วยเหลือ หน่วยปราบปราม หน่วยลาดตระเวน”

ทุกคนตั้งใจฟังที่วูจินพูด

“หน่วยช่วยเหลือมีฮีซอล บลังกา เมโลดี้ พวกนายกับหน่วยแฟนธ่อม”

สองกลุ่มนี้เหมาะจะทำงานร่วมกัน บลังกามีบัฟ เมโลดี้แข็งแกร่งในส่วนของเธอ หน่วยแฟนธ่อมจะแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาภายใต้การบังคับบัญชาของฮีซอล

ซุงกูเอียงคองง

“งั้นผมอยู่หน่วยลาดตระเวนกับนักเรียนเจมินเหรอ?”

วูจินส่ายศีรษะ

“พวกนายอยู่หน่วยปราบปราม ทำลายดันเจี้ยนกับอาณานิคมของลอร์ดมิติ”

“เอ๋?”

“แค่พวกนายสองคนคงยาก ไปร่วมมือกับสหพันธ์ของอัลเฟน”

เขาวางแผนสร้างกองกำลังตอบโต้โดยใช้กองกำลังของสหพันธ์ที่เหลือรอด ตอนนี้คนที่มีคุณสมบัติจะอยู่ในหน่วยนี้มีแต่ซุงกูกับเจมิน

“งั้นลูกพี่...”

วูจินยิ้ม

“ฉันจะไปล่าสมบัติ”

แน่นอน เขาไม่แอบล่าเงียบๆ...

“ฉันจะทำลายทุกอย่างระหว่างทาง”

เงียบ ซุงกูยกมือขึ้น

“งั้นผมมีเวลาว่างถึงตอนเช้าเหรอครับ?”

ซุงกูต้องสู้เพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ ทุกวัน ทุกนาทีทุกวินาที แต่...

“นายต้องเตรียมตัวย้ายบ้าน เราจะไปปูซาน”

“...?”

ซุงกูเพิ่งกลับมาเลยยังไม่รู้เรื่องนี้

“เอาล่ะ แยกย้ายได้”

“หา?”

ฮีซอลพาซุงกูที่ยังงงออกไปข้างนอก

ทุกคนออกไป เหลือแต่เมโลดี้กับวูจินในห้อง

“เธอไม่ไปเหรอ?”

“ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณค่ะ”

“อะไร?”

“ฉันได้รับเทพยากรณ์มา ดูเหมือนว่าฉันต้องบอกเนื้อหาของมันกับคุณ”

“ว่า”

“...”

เมโลดี้ลังเล เธอถอนหายใจเบาก่อนจะเอ่ยปาก

***

 ถ้ำมานจังกุล

ทางเข้ามีสิ่งกีดขวางกั้นไว้ ข้ออ้างคือกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ตรงนั้นกำลังมีเสียงโวยวาย

“เฮ้ ผมแค่มาดูว่าก่อสร้างไปถึงไหนแล้ว แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ?”

“ตรงนี้ห้ามเข้าครับ”

“ผมทำงานที่นี่เกิน 10 ปีแล้ว!”

พนักงานยืนกรานไม่ให้คิมเทจิคเข้าไป เขาโวยวายไร้เหตุผลแบบนี้มา 30 นาทีแล้ว

ถึงตอนนี้ รถซีดานสีดำหยุดตรงหน้าทางเข้า

กระจกหน้าต่างรถลดลงให้เห็นหน้าลีซังโฮ คิมเทจิครีบเดินไปหาเขา

“ผู้จัดการลีซังจุน”

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่มีอะไร ผมแค่มาดูว่าการก่อสร้างไปถึงไหนแล้ว แต่พวกเขาไม่ให้ผมเข้าไป”

“ทำไมคุณอยากรู้เรื่องนั้น?”

“แปลกเหรอ? ผมทำงานที่นี่เป็น 10 ปี ไม่เคยได้ยินหรือเห็นงานซ่อมบำรุงใหญ่ขนาดนี้ อีกอย่าง ผมเห็นของถูกย้ายเข้าไปเรื่อยๆ...”

“ผมจะพาคุณไปดู ขึ้นรถเถอะ”

“ฮ่าๆ ดูเหมือนผู้จัดการกับผมจะเข้ากันได้นะ”

คิมเทจิคเข้าไปนั่งข้างลีซังโฮ รถผ่านทางเข้าและจอดตรงที่จอดรถ

เมื่อลีซังโฮเริ่มออกเดิน คิมเทจิคคุยต่อ

“เอ่อ ผมรู้ว่าผู้จัดการลีทำงานเก่งอยู่แล้ว แต่ที่นี่เป็นมรดกโลก ผมกลัวว่ามันจะเสียหาย”

“แน่นอน ผมเข้าใจ เข้าไปข้างในเถอะ”

คิมเทจิคกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นลีซังโฮอารมณ์เสีย แต่เขาเดินตามอย่างเต็มใจ เขามาที่นี่หลายวันติดกันเพื่อจะเข้าไปข้างใน แต่ถูกห้าม ยิ่งทำให้เขายิ่งอยากจะเข้าไปให้ได้

แน่นอน คิมเทจิครู้สึกว่าเขามีสิทธิ์ทำแบบนี้

พวกเขาปิดที่ขายบัตรผ่าน กระทั่งพนักงานในร้านอาหารยังให้หยุดงานระหว่างมีงานซ่อมบำรุง เขาไม่เคยเห็นที่นี่ทำงานซ่อมบำรุงที่ต้องปิดสถานที่ทั้งหมดมาก่อน

หลายอย่างน่าสงสัย แต่เขาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนรับผิดชอบงานก่อสร้างไม่ได้...

เขาอยากเห็นด้วยตัวเองว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี

“ลงไปกันเถอะ”

คิมเทจิคกำลังเดินลงบันไดไปยังถ้ำมันจัง เขาตัวสั่นเมื่อรู้สึกถึงพลังงานดำมืด

เขาได้ยินเสียงจากในถ้ำและรู้สึกขนหัวลุก

“มีอะไร?”

“เมื่อกี๊...เมื่อกี๊คุณได้ยินเสียงไหม?”

“เสียงอะไร?”

“เอ่อ ค้างคาวหรือเปล่า?”

ลีซังโฮแค่ยักไหล่ คิมเทจิคเกาศีรษะก่อนจะออกเดินต่อ แต่...ไม่ทันได้ทำตามที่คิด

เขารู้สึกว่าร่างตัวเองลอยขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นเขากลิ้งลงบันไดจนถึงพื้นล่าง


ร่างเขากระแทกพื้น คิมเทจิคร้องอย่างเจ็บปวด

“อ๊าก จะตายแล้ว ช่วยด้วย”

คิมเทจิคยื่นมือออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่สีหน้าเขาแข็งค้างไป ลีซังโฮยิ้มกว้าง ดูเหมือนคนเสียสติ

“คุณ...”

“ตัวเองยังเอาไม่รอด แต่คิดจะดูแลอนุสาวรีย์ธรรมชาติ”

ลีซังโฮพูดอย่างเย็นชาแล้วเดินผ่านเขาเข้าไปในถ้ำ

หลังจากลีซังโฮหายเข้าไปในถ้ำ เสียงกรีดของมอนสเตอร์ก็ดังขึ้น มันโยนคิมเทชิคขึ้น

“อ๊าก!”

เขากรีดร้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นอาหารของพวกมอนสเตอร์

ลีซังโฮเดินไปยังใจกลางถ้ำที่เต็มไปด้วยอากาศเย็นจัด อิเอลโลกำลังนั่งบนบัลลังก์น้ำแข็ง

[ผู้ไม่ตายเป็นอย่างไรบ้าง?]

“เขากำลังย้ายฐานไปยังเมืองอาณานิคมครับ”

[เมืองอาณานิคม?]

“ครับ เรือบรรทุกเครื่องบิน... เขาสร้างอาณานิคมบนเรือลำหนึ่ง”

[มีอะไรอีก?]

“เขาวางแผนจะไปยังโลกอัลเฟนเป็นการสำรวจ”

[อัลเฟน!]

“ครับ เขาจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า”

[โฮ่ๆ เจ้าโง่...ปล่อยที่นี่ไว้โดยไม่มีคนคุ้มครอง]

อิเอลโลมองลีซังโฮที่กำลังก้มหัวอย่างนอบน้อม

เขาออกคำสั่งไปไม่นาน แต่ลีซังโฮนำข่าวสำคัญกลับมา

[นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีประโยชน์ถึงขั้นนี้]

“...”

ลีซังโฮแค่ไปร้านอินเตอร์เน็ตในเมือง เขาคิดหนักว่าควรจะบอกอิเอลโลเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตกับข่าวสารประเภทต่างๆดีไหม

[ข้าจะให้รางวัลเจ้า]

“ขอบคุณครับ”

ลีซังโฮคุกเข่า อิเอลโลยื่นมือออกมา พลังงานเย็นออกมาจากมือนั้นและถูกดูดเข้าไปทางจมูกลีซังโฮ

“เฮือก”

เขารู้สึกถึงพลังงานเย็นจำนวนมากในร่าง เขาเห็นทักษะจำนวนหนึ่งกระพริบตรงหน้า

“ผมจะรับใช้ท่านอย่างดี”

ดูเหมือนเขาไม่บอกเรื่องโทรทัศน์หรือสมาร์ทโฟนไว้ก่อนจะดีกว่า

***

<อาณานิคมของท่านสร้างสำเร็จ กรุณาตั้งชื่อ>

วูจินลูบคางมองต้นไม้ที่โตเต็มที่ภายในหนึ่งวัน ตอนนั้นเอง บิบิปรากฏตัวข้างเขาทั้งที่ไม่ได้เรียก เธอกระโดดขึ้นๆลงๆ

“ให้เรา ให้เรานะ! เจ้านายเคยบอกว่าจะให้เรา”

“หืม”

“ฮื้อ เจ้านายเคยบอกว่าจะให้เรา”

วูจินก้มมองบิบิที่กำลังกอดขาเขาอยู่ เขาพยักหน้า ถึงอย่างไรก็ต้องยกสิทธิ์ควบคุมอาณานิคมให้ใครสักคน ต้องมีคนเรียกกำลังป้องกันและป้องกันเมืองแทนเขา

“ได้ แต่ว่าฉันไม่ให้เอาแต้มไปตกแต่งมากนะ”

ถ้าบิบิตกแต่งจนเหมือนอาณาเขตมิติคงแย่ เขาไม่อยากได้สวนดอกไม้แล้ว

“แน่นอน!”

“ถ้าเพื่อป้องกัน ใช้ให้หมดได้เลย”

“อย่าห่วง! เชื่อใจเราได้เลย!”

ถ้าเป็นเรื่องป้องกันเขาไม่สนใจว่าต้องเสียแต้มไปเท่าไหร่ ความปลอดภัยของครอบครัวเขาสำคัญกว่า

“ดี ฉันให้เธอดูแลอาณานิคมนี้”

“เย้! รักเจ้านายที่สุดเลย”

บิบิกระโดดเหยงๆ

ปราการลอยฟ้า นี่คือการอุบัติของปราสาทบิบิ


สารบัญ                                                     บทที่ 166