วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 165

บทที่ 165 – ปราสาทของบิบิ (4)


วูซุงฮุนเดินมาเจอฮงซุงกูตรงทางเดินด้านในอลันดาล ซุงฮุนยิ้มกว้างให้ซุงกู

“กลับมาแล้วเหรอ? ผมได้ยินว่าคุณเจองานหนักเลย”

“เฮ้อ อย่าพูดถึงมันเลยครับ ว่าแต่ วันนี้มีอะไรเหรอ? ผมเห็นมีดาราอยู่ที่นี่ด้วย”

“หา?”

“คนนั้นไง คุณซินดี้จากยูริเกิร์ลส ผมขอลายเซ็นเธอด้วยล่ะ เฮะๆ”

ซุงกูแกว่งกระดาษโชว์พลางยิ้มกว้าง

“อ้อ เธอเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเดียวกับพระราชากับคุณโดจีวอน มาพักที่นี่เมื่อสองสามวันก่อน”

“ว้าว! ลูกพี่เป็นเพื่อนกับดาราเหรอ?”

“ก็...อย่างนั้นแหละ”

“ข่าวใหญ่เลยนั่น ไม่ใช่ว่าเธอกำลังดังเหรอ หลังจากเปลี่ยนมาเล่นหนัง”

“อ่า อืม...”

ถ้าพูดถึงความดัง ราชาของอลันดาลมีคนสนใจมากกว่าดารา...

“ฮ้าย ดีจังเลย แปลว่าลูกพี่กินข้าวโต๊ะเดียวกับเธอด้วย”

“หืม ถ้าชอบก็จีบเลยสิครับ?”

“ฮะ ผมจะไปจีบดาราได้ยังไง?”

“...”

วูซุงฮุนอึ้งมองซุงกูที่กำลังเขินอาย

คนนี้ไม่รู้เหรอว่าตัวเองอยู่ระดับไหนในสังคม?

“ถ้าเป็นกรรมการฮง ผมว่าเธอไม่ปฏิเสธนะ”

“ไม่ไหวหรอก อย่างผมนะเหรอ? ฮะๆ ผมได้ลายเซ็นเธอมาแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว”

“...”

คนนี้ไม่รู้จริงๆน่ะว่าตัวเองมีชื่อเสียงแค่ไหน?

ถ้าพูดถึงคุณชายไฟ ไม่มีใครในเกาหลีไม่รู้จัก ไม่สิ คนรู้จักฮงซุงกูกันทั่วโลก แต่เขาไม่รู้ตัวเลย

“ลูกพี่ล่ะ?”

“อยู่ที่ห้องทำงานท่านครับ”

“เข้าใจล่ะ ผมไปก่อนนะ”

“ครับ”

ซุงกูพับกระดาษลายเซ็นของซินดี้เก็บอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินต่อ

***

ห้องทำงานของพระราชาอลันดาล

ซุงกูเคาะประตูแล้วเข้ามา เห็นคนกำลังนั่งกันบนโซฟา วูจินเอียงหน้ามามองเขา

“กลับมาแล้วเหรอ?”

“ครับลูกพี่”

“เจนิสบอกว่านายไปได้?”

เมื่อได้ยินคนพูดถึงเจนิส ซุงกูขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ

“เอ่อ อย่างน้อยเขาก็บอกว่าผมไปที่ไหนก็ไม่ตาย”

วูจินยิ้ม ถ้าเจนิสพูดแบบนั้นแสดงว่าซุงกูไม่เป็นตัวถ่วงแน่

“นายทำได้ดี”

“เฮะๆ แล้วทำไมพวกเรามาอยู่กันที่นี่หมดล่ะครับ?”

“นั่งสิ”

“ครับ”

ซุงกูนั่งลงข้างเจมิน

บลังกาและเชฮีซอลนั่งตรงข้าม

“เหลือแค่รอเมโลดี้”

ซุงกูถามอีกรอบ

“แล้วทำไมเรามาอยู่ที่นี่ครับ?”

“คิดว่าไงล่ะ? นี่เป็นประชุมก่อนออกเดินทาง”

“หืม มันไม่เหมือนตอนโลกจาคุเหรอครับ? แค่ไปที่นั่นแล้วก็อาละวาด?”

วูจินยักไหล่

“ไม่เหมือน มีศัตรูเก่งกว่า ที่นั่นมีดันเจี้ยนนับไม่ถ้วนเป็นของบัลลังก์ทั้ง 72”

“ใครครับ? เก่งเหรอ?”

“พวก 72 ตัวนี่มีแต้มมากที่สุดในหมู่ลอร์ดมิติ”

“แต้มเยอะแปลว่าเก่งเหรอครับ?”

“ประมาณนั้น แต้มเอาไว้ใช้เติมกำลังทหาร แต้มพวกมันคงแทบไม่มีวันหมด ดันเจี้ยนเยอะเกินไป...”

อาณาเขตมิติของพวกมันมีขนาดใหญ่ และพวกมันครอบครองดันเจี้ยนมากมาย ยังมีแต้มที่ได้จากการเก็บภาษีของประชากรอีก มันเหมือนน้ำพุที่ไม่มีวันแห้งเหือด

“เหมือนคนรวยใช้เงินแหลกแต่ขนหน้าแข้งไม่ร่วง”

“เป็นคำเปรียบที่เหมาะสมค่ะ”

ตอนนั้นเอง เมโลดี้เปิดประตูเข้ามา

“เหตุผลเดียวที่ตอนนั้นผู้ไม่ตายสู้กับพวกมันได้เพราะเขาสามารถเติมกำลังพลในสังกัดของเขา”

กำลังพลของวูจินนับเป็นหนึ่งในสามของกำลังพลทั้งหมดในอัลเฟน

กำลังพลทั้งสามคือสหพันธ์ของชาวอัลเฟน,เหล่าลอร์ดมิติของทราเน็ต และผู้ไม่ตาย จ้าวแห่งอลันดาล

การต่อสู้ดำเนินไปโดยขุมกำลังสองแห่งไม่ลดจำนวนลง แต่สหพันธ์ไม่สามารถหาคนมาทดแทนคนที่ตายไปได้เร็วเท่า ดุลอำนาจจึงเริ่มเอนเอียง ระหว่างนั้นผู้ไม่ตายก็หายตัวไป สหพันธ์ล่มสลายในพริบตา

“มาแล้วก็นั่งสิ”

“...”

ก่อนเมโลดี้จะนั่ง เธอค้อมหัวให้ทุกคน หรือที่ถูกคือเธอค้อมหัวให้คังวูจิน

“ต้องขอบคุณคุณจริงๆค่ะที่ตั้งใจช่วยอัลเฟน”

“อืม เราต้องช่วยเหลือกัน”

เมโลดี้ช่วยงานวูจิน และเขาต้องไปอัลเฟนเพื่อหาเซ็ทไอเทมของทราชอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นเมโลดี้ก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจ

เธอนึกไม่ถึงว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากโลกและผู้ไม่ตาย พลังทำนายอนาคตของเทพีอาเรียที่ทำนายเรื่องนี้ได้ช่างมหัศจรรย์นัก

“งั้นฉันจะบอกแผนแล้ว”

วูจินบอกแผนการเรียบง่ายที่เขาคิดไว้

“ฉันสร้างประตูระหว่างอาณาเขตมิติที่โลกกับอัลเฟนไว้แล้ว”

มีผู้เข้ามาเคลียร์ดันเจี้ยนเป็นบางครั้ง แต่คิบะล้มพวกนั้นทั้งหมด คิบะกำลังทำหน้าที่ปกป้องหินรีเทิร์นสโตนเป็นอย่างดี

“แนวหน้าจะเป็นซุงกู เมโลดี้ เจมิน ฉัน”

“แล้วพวกเราจะตามไปเมื่อไหร่ครับ?”

“8 ชั่วโมง ประมาณ 2 วันบนอัลเฟน ระหว่างนั้น พวกฉันจะหากองกำลังของสหพันธ์ที่ยังไม่ตาย จากนั้นฉันจะสร้างเมืองอาณานิคม มันจะเป็นฐานหลักของพวกเราในการยึดอัลเฟนคืน”

เขาจะสามารถใช้อุโมงค์เชื่อมต่อโลกกับอัลเฟนโดยตรง

“ถึงตอนนั้น บลังกากับฮีซอลจะพาเราส์ใหม่มา แล้วเราจะแบ่งกลุ่มเป็นหน่วยช่วยเหลือ หน่วยปราบปราม หน่วยลาดตระเวน”

ทุกคนตั้งใจฟังที่วูจินพูด

“หน่วยช่วยเหลือมีฮีซอล บลังกา เมโลดี้ พวกนายกับหน่วยแฟนธ่อม”

สองกลุ่มนี้เหมาะจะทำงานร่วมกัน บลังกามีบัฟ เมโลดี้แข็งแกร่งในส่วนของเธอ หน่วยแฟนธ่อมจะแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาภายใต้การบังคับบัญชาของฮีซอล

ซุงกูเอียงคองง

“งั้นผมอยู่หน่วยลาดตระเวนกับนักเรียนเจมินเหรอ?”

วูจินส่ายศีรษะ

“พวกนายอยู่หน่วยปราบปราม ทำลายดันเจี้ยนกับอาณานิคมของลอร์ดมิติ”

“เอ๋?”

“แค่พวกนายสองคนคงยาก ไปร่วมมือกับสหพันธ์ของอัลเฟน”

เขาวางแผนสร้างกองกำลังตอบโต้โดยใช้กองกำลังของสหพันธ์ที่เหลือรอด ตอนนี้คนที่มีคุณสมบัติจะอยู่ในหน่วยนี้มีแต่ซุงกูกับเจมิน

“งั้นลูกพี่...”

วูจินยิ้ม

“ฉันจะไปล่าสมบัติ”

แน่นอน เขาไม่แอบล่าเงียบๆ...

“ฉันจะทำลายทุกอย่างระหว่างทาง”

เงียบ ซุงกูยกมือขึ้น

“งั้นผมมีเวลาว่างถึงตอนเช้าเหรอครับ?”

ซุงกูต้องสู้เพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ ทุกวัน ทุกนาทีทุกวินาที แต่...

“นายต้องเตรียมตัวย้ายบ้าน เราจะไปปูซาน”

“...?”

ซุงกูเพิ่งกลับมาเลยยังไม่รู้เรื่องนี้

“เอาล่ะ แยกย้ายได้”

“หา?”

ฮีซอลพาซุงกูที่ยังงงออกไปข้างนอก

ทุกคนออกไป เหลือแต่เมโลดี้กับวูจินในห้อง

“เธอไม่ไปเหรอ?”

“ฉันมีเรื่องต้องบอกคุณค่ะ”

“อะไร?”

“ฉันได้รับเทพยากรณ์มา ดูเหมือนว่าฉันต้องบอกเนื้อหาของมันกับคุณ”

“ว่า”

“...”

เมโลดี้ลังเล เธอถอนหายใจเบาก่อนจะเอ่ยปาก

***

 ถ้ำมานจังกุล

ทางเข้ามีสิ่งกีดขวางกั้นไว้ ข้ออ้างคือกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ตรงนั้นกำลังมีเสียงโวยวาย

“เฮ้ ผมแค่มาดูว่าก่อสร้างไปถึงไหนแล้ว แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ?”

“ตรงนี้ห้ามเข้าครับ”

“ผมทำงานที่นี่เกิน 10 ปีแล้ว!”

พนักงานยืนกรานไม่ให้คิมเทจิคเข้าไป เขาโวยวายไร้เหตุผลแบบนี้มา 30 นาทีแล้ว

ถึงตอนนี้ รถซีดานสีดำหยุดตรงหน้าทางเข้า

กระจกหน้าต่างรถลดลงให้เห็นหน้าลีซังโฮ คิมเทจิครีบเดินไปหาเขา

“ผู้จัดการลีซังจุน”

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่มีอะไร ผมแค่มาดูว่าการก่อสร้างไปถึงไหนแล้ว แต่พวกเขาไม่ให้ผมเข้าไป”

“ทำไมคุณอยากรู้เรื่องนั้น?”

“แปลกเหรอ? ผมทำงานที่นี่เป็น 10 ปี ไม่เคยได้ยินหรือเห็นงานซ่อมบำรุงใหญ่ขนาดนี้ อีกอย่าง ผมเห็นของถูกย้ายเข้าไปเรื่อยๆ...”

“ผมจะพาคุณไปดู ขึ้นรถเถอะ”

“ฮ่าๆ ดูเหมือนผู้จัดการกับผมจะเข้ากันได้นะ”

คิมเทจิคเข้าไปนั่งข้างลีซังโฮ รถผ่านทางเข้าและจอดตรงที่จอดรถ

เมื่อลีซังโฮเริ่มออกเดิน คิมเทจิคคุยต่อ

“เอ่อ ผมรู้ว่าผู้จัดการลีทำงานเก่งอยู่แล้ว แต่ที่นี่เป็นมรดกโลก ผมกลัวว่ามันจะเสียหาย”

“แน่นอน ผมเข้าใจ เข้าไปข้างในเถอะ”

คิมเทจิคกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นลีซังโฮอารมณ์เสีย แต่เขาเดินตามอย่างเต็มใจ เขามาที่นี่หลายวันติดกันเพื่อจะเข้าไปข้างใน แต่ถูกห้าม ยิ่งทำให้เขายิ่งอยากจะเข้าไปให้ได้

แน่นอน คิมเทจิครู้สึกว่าเขามีสิทธิ์ทำแบบนี้

พวกเขาปิดที่ขายบัตรผ่าน กระทั่งพนักงานในร้านอาหารยังให้หยุดงานระหว่างมีงานซ่อมบำรุง เขาไม่เคยเห็นที่นี่ทำงานซ่อมบำรุงที่ต้องปิดสถานที่ทั้งหมดมาก่อน

หลายอย่างน่าสงสัย แต่เขาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนรับผิดชอบงานก่อสร้างไม่ได้...

เขาอยากเห็นด้วยตัวเองว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี

“ลงไปกันเถอะ”

คิมเทจิคกำลังเดินลงบันไดไปยังถ้ำมันจัง เขาตัวสั่นเมื่อรู้สึกถึงพลังงานดำมืด

เขาได้ยินเสียงจากในถ้ำและรู้สึกขนหัวลุก

“มีอะไร?”

“เมื่อกี๊...เมื่อกี๊คุณได้ยินเสียงไหม?”

“เสียงอะไร?”

“เอ่อ ค้างคาวหรือเปล่า?”

ลีซังโฮแค่ยักไหล่ คิมเทจิคเกาศีรษะก่อนจะออกเดินต่อ แต่...ไม่ทันได้ทำตามที่คิด

เขารู้สึกว่าร่างตัวเองลอยขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นเขากลิ้งลงบันไดจนถึงพื้นล่าง


ร่างเขากระแทกพื้น คิมเทจิคร้องอย่างเจ็บปวด

“อ๊าก จะตายแล้ว ช่วยด้วย”

คิมเทจิคยื่นมือออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่สีหน้าเขาแข็งค้างไป ลีซังโฮยิ้มกว้าง ดูเหมือนคนเสียสติ

“คุณ...”

“ตัวเองยังเอาไม่รอด แต่คิดจะดูแลอนุสาวรีย์ธรรมชาติ”

ลีซังโฮพูดอย่างเย็นชาแล้วเดินผ่านเขาเข้าไปในถ้ำ

หลังจากลีซังโฮหายเข้าไปในถ้ำ เสียงกรีดของมอนสเตอร์ก็ดังขึ้น มันโยนคิมเทชิคขึ้น

“อ๊าก!”

เขากรีดร้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นอาหารของพวกมอนสเตอร์

ลีซังโฮเดินไปยังใจกลางถ้ำที่เต็มไปด้วยอากาศเย็นจัด อิเอลโลกำลังนั่งบนบัลลังก์น้ำแข็ง

[ผู้ไม่ตายเป็นอย่างไรบ้าง?]

“เขากำลังย้ายฐานไปยังเมืองอาณานิคมครับ”

[เมืองอาณานิคม?]

“ครับ เรือบรรทุกเครื่องบิน... เขาสร้างอาณานิคมบนเรือลำหนึ่ง”

[มีอะไรอีก?]

“เขาวางแผนจะไปยังโลกอัลเฟนเป็นการสำรวจ”

[อัลเฟน!]

“ครับ เขาจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า”

[โฮ่ๆ เจ้าโง่...ปล่อยที่นี่ไว้โดยไม่มีคนคุ้มครอง]

อิเอลโลมองลีซังโฮที่กำลังก้มหัวอย่างนอบน้อม

เขาออกคำสั่งไปไม่นาน แต่ลีซังโฮนำข่าวสำคัญกลับมา

[นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีประโยชน์ถึงขั้นนี้]

“...”

ลีซังโฮแค่ไปร้านอินเตอร์เน็ตในเมือง เขาคิดหนักว่าควรจะบอกอิเอลโลเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตกับข่าวสารประเภทต่างๆดีไหม

[ข้าจะให้รางวัลเจ้า]

“ขอบคุณครับ”

ลีซังโฮคุกเข่า อิเอลโลยื่นมือออกมา พลังงานเย็นออกมาจากมือนั้นและถูกดูดเข้าไปทางจมูกลีซังโฮ

“เฮือก”

เขารู้สึกถึงพลังงานเย็นจำนวนมากในร่าง เขาเห็นทักษะจำนวนหนึ่งกระพริบตรงหน้า

“ผมจะรับใช้ท่านอย่างดี”

ดูเหมือนเขาไม่บอกเรื่องโทรทัศน์หรือสมาร์ทโฟนไว้ก่อนจะดีกว่า

***

<อาณานิคมของท่านสร้างสำเร็จ กรุณาตั้งชื่อ>

วูจินลูบคางมองต้นไม้ที่โตเต็มที่ภายในหนึ่งวัน ตอนนั้นเอง บิบิปรากฏตัวข้างเขาทั้งที่ไม่ได้เรียก เธอกระโดดขึ้นๆลงๆ

“ให้เรา ให้เรานะ! เจ้านายเคยบอกว่าจะให้เรา”

“หืม”

“ฮื้อ เจ้านายเคยบอกว่าจะให้เรา”

วูจินก้มมองบิบิที่กำลังกอดขาเขาอยู่ เขาพยักหน้า ถึงอย่างไรก็ต้องยกสิทธิ์ควบคุมอาณานิคมให้ใครสักคน ต้องมีคนเรียกกำลังป้องกันและป้องกันเมืองแทนเขา

“ได้ แต่ว่าฉันไม่ให้เอาแต้มไปตกแต่งมากนะ”

ถ้าบิบิตกแต่งจนเหมือนอาณาเขตมิติคงแย่ เขาไม่อยากได้สวนดอกไม้แล้ว

“แน่นอน!”

“ถ้าเพื่อป้องกัน ใช้ให้หมดได้เลย”

“อย่าห่วง! เชื่อใจเราได้เลย!”

ถ้าเป็นเรื่องป้องกันเขาไม่สนใจว่าต้องเสียแต้มไปเท่าไหร่ ความปลอดภัยของครอบครัวเขาสำคัญกว่า

“ดี ฉันให้เธอดูแลอาณานิคมนี้”

“เย้! รักเจ้านายที่สุดเลย”

บิบิกระโดดเหยงๆ

ปราการลอยฟ้า นี่คือการอุบัติของปราสาทบิบิ


สารบัญ                                                     บทที่ 166

3 ความคิดเห็น: