บทที่ 50 – ที่ราบสูงทาริวท์
วูจินชี้ก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งขนาดพอๆกับตัวเขา
“ลองโยนสิ”
“โก”
โดลเซใช้แรงโยนเต็มที่
ก้อนหินไปได้เกือบถึงอีกฝั่งแต่หล่นเสียก่อน ขว้างก้อนหินข้ามที่ว่าง 200
เมตรยังเป็นไปได้ แต่ถ้าจะขว้างให้พ้นกำแพงหน้าผา 300 เมตรยังต้องใช้แรงอีกมาก
“รอแป๊บ”
วูจินเพิ่มเลเวลให้ทักษะเรียกโกเลมจนถึงเลเวล 10
ทักษะเรียกโกเลม
ใช้สื่อกลางเรียกหัวใจโกเลมมาสถิต
จากหัวใจก่อรูปเป็นร่างกาย
ค่าบงการที่ต้องใช้ลดลงตามความซื่อสัตย์และเชื่อใจต่อผู้เรียก
อสูรอัญเชิญที่แรกเริ่มต้องควบคุมบงการสามารถเปลี่ยนเป็นสหายที่ไว้ใจได้
สื่อกลางที่ใช้ได้ :
ดิน,หิน,? (เลเวล 20 ปลดล็อก)
ต้องใช้เวทย์ 30 ต้องใช้บงการ 0 ( -99
จากค่าความซื่อสัตย์, -99 จากค่าความเชื่อใจ)
“โกโอๆๆ”
แสงปาดผ่านโดลเซหลายครั้ง
และร่างเขาเริ่มโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสูงเขาเกือบถึง 8 เมตรแล้ว
วูจินเงยมองโดลเซโดยนวดคอตัวเองไปพลาง
“โฮ้ย โดลเซ ไปหาหินกินกัน”
“โก”
ดินที่สร้างเป็นร่างของโดลเซร่วงลงมา เหมือนรถขนดิน 10
คันเทดินลงมาพร้อมกัน วูจินกระโดดหลบโดยมีบิบิติดมือมาด้วย
“อ่า น่าจะหลบไปทิ้งทางอื่นนะ”
วูจินบ่น ทำให้ร่างจริงของโดลเซ
หรือก็คือแกนกลางของโกเลมสั่น บิบิแตะโดลเซอย่างอ่อนโยน
“โดลเซจินเสียใจเหรอ เราจะส่งเจ้านายไปนอนเดี๋ยวนี้เลย
จุ๊บๆ”
วิ้งๆ
วูจินขมวดคิ้วเมื่อเห็นแสงกระพริบรับถี่ๆ
“เล่นอะไรของพวกเธอ”
“ฮิๆ พวกมนุษย์เค้าเล่นแบบนี้”
วูจินจดไว้ในใจว่าต้องดูว่ามาเชี่ยนไวรัสเป็นรายการแบบไหน
ระหว่างที่คิดแบบนั้นเขาชี้ไปที่หินใหญ่ก้อนหนึ่ง
“โดลเซ เลิกเล่น กินหินได้แล้ว”
วิ้ง
แกนกลางของโกเลมดูดหินเข้าไป
หินขยับและเริ่มแตกตัวออกช้าๆ แล้วก่อตัวขึ้นใหม่ มันสูงประมาณ 4 เมตร ไม่สูงเท่าเดิม
ส่วนพละกำลังเยอะกว่าตอนเป็นโกเลมดินมาก
วู่ม
โดลเซโยนหินอีกก้อน มันข้ามไปถึงอีกฝั่ง แต่ไม่สูงพอ
“แบบนี้ไม่ไหว”
ถ้าเพิ่มเลเวลให้ทักษะเรียกโกเลมอีก
โดลเซจะมีพลังมากพอหรือไม่? เลเวลของโดลเซจะเพิ่มขึ้นเองตอนช่วยเขาสู้ ถ้าด่วนใช้แต้มทักษะไปตอนนี้เขารู้สึกเปลืองเปล่าๆ
“ถึงยังไงก็ต้องอัพเวลให้ตัวเองอยู่แล้ว”
ถ้าวูจินเลเวลถึง 40 เขามีวิธีข้ามผานี้
ป่ากว้างและมีมอนสเตอร์มากมาย สิ่งเดียวที่เขากังวลคือดันเจี้ยนเบรก
เขาลองคำนวณว่ามันจะเกิดขึ้นตอนไหน
หินรีเทิร์นสโตนจะออกมาเมื่อถึงวันที่ 30
ของเวลานอกดันเจี้ยน ในดันเจี้ยนคือ 120 วันมอนสเตอร์ถึงจะหลุดออกไป
ต้องเก็บหินรีเทิร์นสโตนมาให้ได้ก่อนถึงตอนนั้น
“ฉันเข้ามาตอนไหนนะ?”
ประมาณ 1 ถึง 2 ทุ่ม
ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดพรุ่งนี้ตอนบ่าย 2 โมง 11 นาที ดังนั้นเขามีเวลาประมาณ 18? 19
ชั่วโมง?
ไม่รู้เวลาไหนแน่
เวลาในนี้จะช้ากว่าข้างนอก 4 เท่า
ดังนั้นเขาน่าจะมีเวลาประมาณ 3 วันกับอีก 4 ชั่วโมง
เปอร์เซ็นคลาดเคลื่อนกว้างมาก
“งั้นเอาเป็น 3 วัน”
นั่นคือเวลาที่เขาต้องได้หินรีเทิร์นสโตนมาแล้ว
เขาคงไม่อาจใช้เวลาทั้งหมดไปกับการกระโดดข้ามหน้าผา
“ประเด็นหลักคือต้องเก็บให้ได้ถึงเลเวล 40”
เขาต้องไปถึงเลเวล 40 ภายในวันเดียว วูจินมองป่า
โดลเซใช้หินเป็นสื่อกลางก่อร่าง ดังนั้นสู้กับพวกโอเกอร์คงง่ายพอดู
ต้องเก็บเลเวลให้ถึง 40 โดยเร็วที่สุด เมื่อได้อสูรตัวใหม่มาก็ใช้ข้ามหน้าผานี้
การเก็บหินรีเทิร์นสโตนมาก่อนเกิดดันเจี้ยนเบรกเป็นเป้าหมายหลักของเขา
เมื่อวูจินกำหนดแผนได้แล้วก็เริ่มเคลื่อนไหว
***
สถานีจูกจุง เขตตั้งรับดันเจี้ยนเบรกเส้นที่หนึ่ง
จุดตรวจที่สาม
“อ๊ะ สิบเอกคิมครับ”
“อะไร”
“อุ อุโมงค์มันหายไป”
“พูดบ้าๆ”
สิบเอกคิมกำลังนอนหันข้าง เขายันตัวขึ้นแล้วมองไปทางสถานีจูกจุงทางออกที่สาม
อุโมงค์ที่เคยอยู่ตรงหน้าบันไดหายไปแล้ว
“หะ..มันหายไปตอนไหน?”
“เมื่อกี๊ครับ
ชายหนึ่งคนเข้าไปก่อนจากนั้นผู้หญิงหนึ่งคนก็ตามเข้าไป แล้วอุโมงค์ก็...”
“ห่า นายเฝ้าไว้”
“ครับ”
สิบเอกคิมเรียกทหารสื่อสารทันที รายงานของเขาส่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
และไปถึงผู้บัญชาการหน่วยที่ 50 ในไม่นาน
นายทหารผู้ช่วยเข้าไปในห้องพักโรงแรมที่ผู้บัญชาการหน่วยพักอยู่
“ใครเข้าไป?”
“เราส์ครับ คุณคังวูจิน กับคุณลียุนฮี”
ลีจุนเท ผู้บัญชาการหน่วยขมวดคิ้ว
ตั้งแต่แรกสองคนนั้นก็มีท่าทางอวดดี คราวนี้ก็เข้าอุโมงค์ไปทั้งคู่
“คิดจะเล่นเป็นวีรบุรุษหรือไง?”
ลีจุนเทมองทหารผู้ช่วย
“แล้วพวกนักข่าวล่ะ?”
“ยังไม่ทราบเรื่องครับ รอบๆพื้นที่ปฏิบัติการมีแต่ทหาร
แต่คงรู้เรื่องในอีกไม่นาน”
อุโมงค์ปล่อยแสงออกมา
ต่อให้อยู่ไกลก็เห็นได้ถ้าใช้กล้องส่องทางไกล ถ้าพวกนักข่าวสังเกตเห็นแล้วถามเขาก็ปิดเรื่องนี้ไม่ได้
“ฮึ่ย”
ลีจุนเทกลุ้มใจ เรื่องนี้จะส่งผลกับเขาอย่างไร? เขาคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆแล้วสรุปว่าความเสียหายที่เขาจะได้รับมีน้อย
“ถ้าพวกเขาเคลียร์ดันเจี้ยนได้ล่ะ?”
“ผมคิดว่าไม่น่า...”
“งั้นคงต้องถือว่าพวกเขาตายไปแล้ว”
ดังนั้นดันเจี้ยนเบรกจะเกิดขึ้นตามเวลาที่กำหนด
ไม่มีอะไรเปลี่ยน ที่เปลี่ยนคือการสูญเสียน้องสาวของประธานกิลด์ฮวาราง ลียุนฮี?
คังวูจินเป็นประธานกิลด์อลันดาลที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นไม่กี่วัน
ลีจุนเทไม่สนใจนักถ้าจะขาดเขาไป
“ไม่มีอะไรเปลี่ยน ลงโทษทหารที่เฝ้าอยู่แล้วเตรียมตัวตามแผน”
“รับทราบครับ”
เมื่อทหารผู้ช่วยออกไป
ลีจุนเทหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรออก เรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อเขา
แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนเขา
“ฉันเอง”
[ครับ
ทำไมผู้บัญชาการหน่วยถึงโทรหาผมตอนดึกดื่น...?]
อวดดี ไอ้เวรนี้พูดจาอวดดีเสมอ
“ลียุนฮีเพิ่งเข้าอุโมงค์ไป
ฉันแน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่แผนที่วางไว้”
[...]
เขารู้ว่าความเงียบของอีกฝ่ายมาพร้อมกับความสับสนไม่น้อย
ลีจุนเทยิ้ม
“นักข่าวคงเริ่มหาข่าวแล้ว จะเอายังไง?”
[ผมจะโทรหาอีกทีหลังจากทำความเข้าใจกับสถานการณ์แล้ว]
“เข้าใจแล้ว”
[กรุณารั้งนักข่าวไว้ ผมจะไปที่นั่นทันที]
หลังจบการสนทนาลีจุนเทหัวเราะ
ไอ้นี่หยิ่งนักเพราะได้เป็นประธานกิลด์ตั้งแต่อายุน้อย
ลีจุนเทรู้สึกดีกับสถานการณ์ตอนนี้
ชายผู้วางแผนนี้
ตอนนี้น้องสาวร่วมสายเลือดของชายคนนั้นกำลังถูกใช้เป็นเบี้ย
***
“เตรียมเฮลิคอปเตอร์ให้ฉัน”
“ครับ”
ใบหน้าลีซังโฮกระด้าง
เขาโทรศัพท์หารองหัวหน้าทีมของลียุนฮี
[ครับท่านประธาน]
“เจ้าบื้อ หัวหน้าทีมนายอยู่ไหน?”
[อะไรครับ? หัวหน้าทีมตามคุณคังวูจินไป]
หน้าผากของลีซังโฮมีเส้นประสาทนูนขึ้นมา
“ไอ้ห่า!
ฉันบอกให้คอยจับตาดู ไม่ให้ยัยยุนฮีหาเรื่องใส่ตัว!”
[อะไรครับ?]
รองหัวหน้าทีมตอบงงๆเพราะไม่รู้ทำไมถึงถูกด่า
ยิ่งทำให้ลีซังโฮเสียงดังขึ้นอีก
“ไอ้ห่าเอ๊ย ยุนฮีเข้าไปในอุโมงค์แล้ว!”
[...]
“ฉันกำลังเดินทางไปที่นั่น ก่อนฉันไปถึง
หาให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวนี้!”
[ครับ]
ตู๊ดๆ
“เฮ้อ”
ลีซังโฮสูดลมหายใจลึกเพื่อข่มความโกรธ หน้าเขาแดง
ตาเป็นสีเลือด ความโกรธเขาไม่มีทีท่าลดลงเลย
ตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีก
ลีซังโฮขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรมา
“ทำไมตาแก่นี่หูผีนัก”
ลีซังโฮกดรับสาย
“ครับท่านประธาน”
[ประธานลี เกิดอะไรขึ้น]
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ”
[หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่
น้องสาวคุณเข้าดันเจี้ยนไป เธอคิดจะเคลียร์ดันเจี้ยนเรอะ?
คุณคิดจะทำให้ผมอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหรอ?]
“จะเป็นไปได้ยังไงครับ?
เงินที่ผมลงทุนไปก็ไม่น้อยเหมือนกัน ยุนฮีทำตามใจตัวเอง นี่ไม่ใช่จุดยืนของฮวาราง”
[ฮึ่ม รอดูแล้วกันว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง]
“ดันเจี้ยนเบรกจะเป็นไปตามกำหนดการแน่ครับ”
[ก็ได้ เสียใจด้วยเรื่องน้องสาวคุณ]
“ขอโทษที่ทำให้ท่านกังวลใจครับ”
เมื่อวางสาย
หน้าของลีซังโฮเป็นสีแดงก่ำจวนเจียนจะระเบิด
“ไอ้สัตว์ เสียใจด้วย กล้าพูดว่าเสียใจด้วยเหรอ?”
น้องสาวเขากำลังจะตายกลับพูดแค่เสียใจ?
ลีซังโฮกำลังจะเขวี้ยงโทรศัพท์แต่เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีก
เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ลีซังโฮหัวเราะเสียงเย็น
“ร้อนใจน่าดูเลยสิ นี่วางหูตาไว้เท่าไหร่วะเนี่ย
ข่าวไวยังกับ 4G”
แถลงการณ์ถึงสื่อมวลชนยังไม่ออกมาด้วยซ้ำ
ทำไมคนๆนี้ถึงรู้แล้วโทรหาลีซังโฮเร็วขนาดนี้ ต้องมีคนของเขาเยอะแน่
แน่นอน เรื่องแบบนี้ไอ้พวกนี้เก่งนักล่ะ
ลีซังโฮรับสาย
“ครับ ท่านสมาชิกรัฐสภาปาร์ก”
[คิดจะเล่นตลกกับผมเหรอ! ฮวารางคิดจะเล่นตุกติกใช่ไหม!]
“เราไม่คิดจะเล่นตุกติกอะไรเลยครับ
ดันเจี้ยนเบรกต้องเกิดขึ้นแน่”
[หลังเมืองถูกทำลายจนหมด
เราจะต้องพัฒนาเมืองนั่นใหม่!
เข้าใจที่ฉันกำลังพูดอยู่ใช่ไหม รู้หรือเปล่าว่าฉันใช้เงินลงทุนไปเท่าไหร่ เงินของฉัน!]
“แน่นอนครับ กรุณาอย่ากังวลเลย”
ตู๊ดๆ
หลังคุยเสร็จ ลีซังโฮไม่เหลือแรงโกรธแล้ว
เขานั่งแปะลงกับพื้นแล้วหัวเราะแห้งๆ
“ฮะๆ ฮะ...”
ลียุนฮี ลียุนฮี
ลีซังโฮเป็นแค่เราส์แรงค์ B
ดังนั้นลียุนฮีต่างหากเป็นหน้าเป็นตาของกิลด์ฮวาราง ถ้าเธอไม่อยู่
ฮวารางในตอนนี้ก็ไม่มีเช่นกัน
ลีซังโฮ หัวหน้ากิลด์ของกิลด์ที่ยิ่งใหญ่หนึ่งในสามกิลด์ของเกาหลีก็ไม่มีเช่นกัน
“ยัยประสาท ไม่รู้จักสงบสติอารมณ์เลย ห่า...”
เขาทั้งปลอบทั้งล่อจนยัยจอมหยาบคายนั่นมาไกลถึงจุดนี้
แต่แล้วยัยนั่นก็ทำเรื่องจนได้ ยิ่งกว่านั้นยังฆ่าตัวตาย...
“ถึงอยากตายขนาดไหนก็ไม่น่ามาฆ่าตัวตายเอาตอนสำคัญแบบนี้...”
ใบหน้าลีซังโฮเย็นชา
ลีซังโฮได้ยินเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังแว่วมา
เขาจึงลุกขึ้น
ในใจลีซังโฮไม่ใช่ความโศกเศร้า แต่เป็นความโกรธ
เรื่องที่เขาสูญเสียเราส์แรงค์ A ไปหนึ่งคนสำคัญกับเขามากกว่าเรื่องที่เขาเสียน้องสาวไป
ปีกที่นำเขาไปยังสิ่งที่เขาทะเยอทะยานอยากหักเสียแล้ว
“เฮ้อ”
สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจืดจางเกินกว่าเขาจะรู้สึกโศกเศร้าให้น้องสาว
***
“ฮึ่ย ปวดฉี่”
ลียุนฮีมองลอดแท่งกระดูกที่หนาเท่าแขนเธอไปรอบๆ
แต่ไม่เห็นวูจินอยู่ที่ไหนเลย ผ่านไปก็นานแล้ว วูจินคงไปไกลมากแล้ว
“ไอ้ประสาท ลงมือกับผู้หญิงได้ไงวะ ยิ่งสวยๆแบบฉันด้วย?”
ยุนฮีด่าวูจินแล้วหักคุกกระดูกออกมาแท่งหนึ่ง
เธอเป็นเราส์แรงค์ A
ที่มีความสามารถทางกายภาพ
กับคุกกระดูกแค่นี้เธอแหกออกมาได้ไม่มีปัญหา
เธอแข็งแรงกว่าคนธรรมดาหลายเท่า
“อะไรวะ มันเป็นนักเวทย์ไม่ใช่เหรอ ทำไมไปเร็วนัก”
นึกถึงวูจินแล้วทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้
เมื่อหักกระดูกแท่งที่สอง รูก็กว้างพอให้ผู้หญิงคนหนึ่งลอดออกไปได้
เมื่อออกมาได้แล้ว ยุนฮีเก็บดาบของเธอที่หล่นอยู่แล้วมองสำรวจรอบๆ
จากนั้นถอดกางเกงจัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว
เธอมองทางที่วูจินไป และเห็นรอยเท้าบนพื้น
“ไอ้นักเลงเอ๊ย ทำเป็นเดินวางก้าม”
ลียุนฮีอยู่ในวงการมานาน
แต่ไม่เคยเห็นเนโครแมนเซอร์แบบวูจินมาก่อน
แต่จริงๆแล้วเธอไม่เคยเคลียร์ดันเจี้ยนกับเราส์คนอื่นนอกจากทีมตัวเอง
เมื่อดึงกางเกงขึ้น ยุนฮีเอียงคออย่างสงสัย
“หรือมันคิดจะเคลียร์ดันเจี้ยนเองคนเดียวจริงๆ”
นึกถึงท่าทางเชื่อมั่นเหลือล้นของวูจิน
ยุนฮีแน่ใจว่าเขาคิดอย่างนั้น
ยิ่งคิดถึงสายตาของวูจินที่จ้องมาที่เธอ
ร่างของยุนฮีสั่นเทิ้ม
“ห่า”
ศักดิ์ศรีเธอถูกหยาม เธอรู้สึกจะบ้า
มันแย่ยิ่งกว่าความตาย
แต่ตอนนั้นความกลัวจับใจกับความต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปทำให้เธอทำตาม ตอนนี้ความรู้สึกว่าถูกหยามทำให้เธอทนรับไม่ได้
“เฮอะ ถ้าคิดว่าฆ่าฉันได้ก็ลองสิ”
แน่นอน เธอไม่คิดตาย
แต่แรกก็ไม่ใช่ว่าเธอเคลียร์ดันเจี้ยนนี้ไม่ได้
เธอเลือกที่จะไม่เคลียร์มัน
กลุ่มของเธอพักในส่วนแรกของดันเจี้ยน และไม่แม้แต่จะลองเข้าไป
ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าโอกาสเคลียร์ดันเจี้ยนนี้สำเร็จเป็นเท่าไหร่
ถ้าทีมของเธอตั้งใจจริงๆ โอกาสล้มเหลวก็ยังมี
แต่ลียุนฮีเองมั่นใจว่าเธอทำได้
ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของพี่
ทีมสีชาดของเธอคงเคลียร์ดันเจี้ยนนี้ไปแล้ว
“คนที่ออกจากที่นี่คนแรกต้องเป็นฉัน”
เธอไม่มั่นใจว่าจะสู้กับมอนสเตอร์ได้ทุกตัว
แต่มั่นใจว่าเธอจะหารีเทิร์นสโตนเจอและหนีไปได้
เธอเป็นนักดาบแรงค์ A
เป็นนักล่าในเงา ลียุนฮี
ขอบคุณครับ
ตอบลบ