บทที่ 51 – ที่ราบสูงทาริวท์ (2)
บนยอดต้นไม้สูงต้นหนึ่งมีคนๆหนึ่งห้อยโหนอยู่
ป่ากำลังไหม้ เปลวไฟลุกโพลง ควันไฟลอยคละคลุ้ง
“เพิ่งจะได้เจอคนบ้ากว่าฉันเป็นครั้งแรก”
ลียุนฮียอมรับอย่างไม่ยากเย็น
เขามันบ้าแท้ ดันเจี้ยนเบรกกำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นาน แต่วูจินออกล่าอย่างสบายใจ แล้วยังเผาป่าอีก
คังวูจินเป็นไอ้บ้า ลียุนฮีมั่นใจ
“ฉันต้องรีบหามันให้เจอ จะได้ออกไปซักที”
เคลียร์ดันเจี้ยนคงไม่ยากนัก อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งที่ลียุนฮีคิด
เธอแค่ต้องเอาหินรีเทิร์นสโตนกลับไปที่บาเรียน จากนั้นเมื่อบาเรียเปิดออกเธอก็ออกไปได้
ปัญหาอยู่ที่บอสตัวสุดท้าย แต่ลียุนฮีมั่นใจในความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องสู้ได้ แต่มั่นใจว่าเธอจะขโมยรีเทิร์นสโตนแล้วหนีไปได้ เธอมั่นใจในความสามารถเคลื่อนไหวไร้ร่องรอยของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เธอได้ชื่อว่า นักล่าในเงา
ลียุนฮีหลบไฟเข้าไปใจกลางป่า เธอมองไปยังหุบเหวไกลๆพลางคาดคะเนทิศทาง
“น่าจะแถวๆนี้ล่ะ”
เมื่อสถานีจูกจุงทางออกที่ 3 เกิดรีเซ็ทและกลายเป็นดันเจี้ยน 6 ดาว ทีมแรกที่เข้าดันเจี้ยนแห่งนี้ก็คือทีมสีชาดของกิลด์ฮวาราง ทีมที่เธอเป็นผู้นำ
การลองพิชิตดันเจี้ยนครั้งที่สอง ทีมผสมระหว่างทีมของกิลด์ฮวารางกับ KH ก็มีเธอร่วมด้วย พวกเธอสำรวจดันเจี้ยนและประเมินว่าการเคลียร์ดันเจี้ยนนี้จะได้กำไรหรือไม่ สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เคลียร์มัน
การประเมินตัดสินว่าผลได้ทางเศรษฐกิจของการเกิดดันเจี้ยนเบรกนั้นสูงกว่าการเคลียร์ดันเจี้ยน 6 ดาวสำเร็จ
แต่เธอไม่สนใจเรื่องเงินหรือเศรษฐกิจ ภารกิจแบบนี้ไม่ถูกใจเธอเลย
“สำหรับฉันแบบนี้อาจจะดีกว่า”
ลียุนฮีไม่เคยชอบวิธีการทำธุรกิจของพี่ชายเธอ เขานำกิลด์ฮวารางไปยังทางแปลกๆ
อย่างไรเสียคนก่อเรื่องก็ไม่ใช่เธอ คังวูจินต่างหากที่เข้าอุโมงค์มาก่อน
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าคังวูจินตายก็ไม่มีอะไรหยุดดันเจี้ยนเบรกได้ ถ้าคังวูจินเคลียร์ดันเจี้ยนได้จริงๆล่ะเรื่องใหญ่
กิลด์ฮวารางเคลียร์ดันเจี้ยนไม่สำเร็จ กิลด์ KH ไม่สำเร็จ กิลด์เฮนเนสซี่จากญี่ปุ่นก็ไม่สำเร็จ ถ้าสิ่งที่พวกเธอทำไม่ได้ กิลด์หน้าใหม่อย่างอลันดาลกลับทำได้ พวกเธอคงตกที่นั่งลำบาก
ชื่อเสียงของทีมสีชาดจะตกต่ำ
ลียุนฮีต้องป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
‘ฮวารางต้องไม่เป็นรองใคร’
ฮวารางสำคัญสำหรับลียุนฮีและลีซังโฮ
ปัญหาคือพวกเธอคิดต่างกันว่าจะทำให้กิลด์ฮวารางเป็นอันดับหนึ่งอย่างไร
เดินเลียบผาอยู่ครู่ ลียุนฮีก็เจอเชือกที่ถูกซ่อนไว้
ลียุนฮีดึงเชือกจนตึง
พวกเธอเตรียมมันไว้ระหว่างสำรวจดันเจี้ยนครั้งแรก
ข้ามหุบเขาไปมีมอนสเตอร์เพียง 3 ตัว เมื่อพวกเธอเห็นดังนั้นก็ตัดใจจากการเคลียร์ดันเจี้ยน เมื่อประมาณจำนวนอาร์ติแฟคและบลัดสโตนที่ได้จากมอนสเตอร์ 3 ตัวแล้วก็ตัดสินว่าไม่มาก
ทีมสีชาดถอยกลับตรงนี้
ลียุนฮีผูกเชือกเข้ากับต้นไม้
“ไอ้บ้าเอ๊ย ดันเจี้ยนจะระเบิดอยู่แล้วยังมานั่งล่ามอนสเตอร์...”
แค่ฉวยหินรีเทิร์นสโตนหนีไปยังอาจไม่ทัน ลียุนฮีวิ่งไต่ไปตามเชือกอย่างมั่นคง
***
บอลไฟพุ่งไปทุกทิศทางในป่าไหม้ไฟ มอนสเตอร์ตั้งแต่ใหญ่จนเล็กถูกล่าทันทีที่วิ่งออกมาจากป่า แม้แต่โอเกอร์ก็ถูกล้ม
กึง!
ร่างบึกบึนของโดลเซตอกใส่โอเกอร์เหมือนรถแทรกเตอร์
เมื่อโอเกอร์ล้มลง วูจินไม่พลาดโอกาส เขาพุ่งเข้าไป กู่ร้องแล้วปักหอกเข้าไปที่ปากของโอเกอร์จนทะลุ
[ท่านเปลี่ยนระดับเป็น 40]
วูจินเรียนทักษะที่ปลดล็อกเมื่อถึงเลเวล 40 ทั้งหมดโดยไม่ลังเล
[เรียกม้าผี]
ม้าศึกเลือดลมร้อนระอุยังคงควบตะบึงต่อไปแม้สิ้นชีพ
ค่าบงการที่ต้องใช้ลดลงตามความซื่อสัตย์และเชื่อใจต่อผู้เรียก อสูรอัญเชิญที่แรกเริ่มต้องควบคุมบงการสามารถเปลี่ยนเป็นสหายที่ไว้ใจได้
ใช้เวทย์ 30 ใช้บงการ 1 (-99 จากค่าความซื่อสัตย์ -99 จากค่าความเชื่อใจ)
ทักษะ : ควบวิญญาณ, ? (เลเวล 10 ปลดล็อก)
“ดีมาก”
วูจินเรียกม้าผีออกมาทันที อากาศว่างเปล่าถูกฉีกออกเมื่อม้าผีรูปร่างเลือนรางกระโดดออกมา จากนั้นจึงก่อร่างขึ้น
จากร่างโปร่งใสจนถึงสีดำมืดมิดของเที่ยงคืน ระดับความโปร่งใสของมันเปลี่ยนไปตามจังหวะหายใจ
“ชิงชิง คิดถึงพี่สาวหรือเปล่า?”
“พรืด”
คนแรกที่วิ่งไปหามันคือบิบิ เธอกอดคอมันไว้แล้วเอาหน้าถูไถ
อสูรของวูจินทุกตัวถูกกักไว้ในห้องผนึก ถ้าพวกมันสามารถออกมาได้เมื่อได้ยินเสียงของวูจิน เขาต้องรีบเพิ่มเลเวลให้ไว
วูจินยังเรียนทักษะเลเวล 40 ของอาชีพของเนโครแมนเซอร์ด้วย
[เกราะผี]
รวบรวมวิญญาณเร่ร่อนมาล้อมเจ้าเหนือหัว พวกมันเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องเจ้าของมัน
วิญญาณที่อยู่ใต้บังคับบัญชา : 0/10
[หอกปีศาจ]
เรียกหอกปีศาจออกมาโจมตีศัตรู หอกปีศาจจะไล่ตามศัตรูไม่พลาดจนสิ้นสุดการโจมตี
ใช้เวทย์ : 1
เกราะผี หอกปีศาจ เป็นทักษะขู่เข็ญวิญญาณระดับสูง
เกราะผีจะล้อมรอบวูจิน ใช้เป็นบาเรียได้ และยังใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ด้วย เมื่อฉุกเฉิน เขาสามารถรีดเร้นพลังจากวิญญาณมาฟื้นฟูพลังให้ตัวเอง และสามารถเอาวิญญาณที่อยู่ใต้บังคับบัญชามาเปลี่ยนเป็นหอกปีศาจเพื่อใช้โจมตีได้
วูจินเพิ่มทักษะเกราะผีขึ้นไปถึงระดับ 10 ทำให้จำนวนวิญญาณที่เขาเอามาเป็นทาสได้เพิ่มเป็น 100
“ออกมาพวกผีร้าย...”
วูจินมองเหล่าวิญญาณที่ลอยอยู่รอบๆ วิญญาณเหล่านั้นสั่นไหวแล้วแล้วมารวมตัวกันรอบตัววูจินเหมือนเป็นดาวบริวาร
วูจินเรียนทักษะเลเวล 40 ของอาชีพนักรบ
ตอนนี้อาวุธหลักของนักรบสามารถเปลี่ยนจากไม้เท้าเป็นหอก ค้อน และดาบใหญ่ เขาเรียนทักษะการใช้ดาบใหญ่และเรียนท่าโจมตีทรงพลังชื่อ จู่โจมในดาบเดียว
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ โดลเซมานี่”
โดลเซสลัดร่างหินของตัวเองออกเปลี่ยนกลับเป็นหัวใจโกเลมดวงเล็ก มันย้อนไปเกาะอยู่ข้างวูจิน
วูจินขึ้นขี่ชิงชิง บิบิกระโดดมานั่งข้างหน้าเขา
วูจินมองทหารโครงกระดูกรอบๆอย่างเสียดาย เขาไม่อาจพามันข้ามเหวได้
เคร้ง
วูจินดึงเวทย์กลับมา ทหารโครงกระดูกทั้งหมดกลายเป็นกองกระดูก มันน่าเสียดายแต่วูจินปลอบใจตัวเองว่าข้ามเหวนี้ไปยังมีมอนสเตอร์อีกมาก
“ไปเล้ย”
วูจินยิ้มเมื่อได้ยินเสียงบิบิ เขาคว้าบังเหียนของชิงชิง
ชิงชิงร้อง ยกขาหน้าขึ้นแล้วทะยานไปทางหน้าผา
“ควบวิญญาณ”
วูจินพูดแล้วถนนวิญญาณก็เป็นรูปเป็นร่างตรงหน้าชิงชิง ถนนวิญญาณก่อตัวหน้าชิงชิง สลายไปเมื่อม้าควบผ่าน เป็นอย่างนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ
“ฮะๆๆ ไปเลยๆ”
ชิงชิงวิ่งไปทางวิหารยักษ์
***
“ฟู่ว”
ลียุนฮีสูดหายใจเฮือก ภาพตรงหน้าเพียงพอขู่ขวัญเธอในทันที
ภูมิประเทศมีรูปทรงเหมือนแอ่งน้ำ เป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนปล่องภูเขาไฟ
ในแอ่งยักษ์นั่นมีรูปปั้นขนาดใหญ่อยู่ทั่ว
มันถูกแกะอย่างประหลาดยิ่งกว่ารูปปั้นโมอาย มองคร่าวๆน่าจะมีประมาณหลายร้อยถึงพันตัว
ในนี้ไม่มีสิ่งก่อสร้างอย่างอื่น
ตรงกลางแอ่ง มีหอคอยใหญ่หลังหนึ่ง หินรีเทิร์นสโตนลอยอยู่เหนือมัน มันสูงเกินคนทั่วไปจะมองเห็น แต่สายตาของเราส์ดีกว่าคนทั่วไปนัก
มีมอนสเตอร์ 3 ตัวเดินรอบแท่นวางหินรีเทิร์นสโตน
มีเพียงสามตัวเท่านั้น
“แต่ถ้าต้องสู้คนเดียวจะลำบากไปหรือเปล่า?”
ลียุนฮีมาถึงวิหารยักษ์แล้วไม่อาจก้าวต่อไป
“เดี๋ยวไอ้เวรนั่นคงมา”
มันมั่นใจขนาดนั้นคงกระโดดเข้าไปแบบไม่คิด ลียุนฮีเร้นกายเข้าไปในเงาของหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
“อยากเห็นมันโดนยำชะมัด”
มันกล้าตบเธอ ถ้ามีโอกาสเธอจะแก้แค้น ถ้าไม่มีก็ช่าง เธอแค่รอดูไอ้เวรนั่นสู้กับมอนสเตอร์ จากนั้นก็ฉกหินรีเทิร์นสโตนหนีไป
ร่างของลียุนฮีกลืนไปกับสภาพแวดล้อม หายไปอย่างไร้ร่องรอย
***
บ่ายโมง
ประธานกิลด์ฮวาราง ลีซังโฮ อยู่ในงานแถลงข่าว
“ในความเห็นของคุณมีโอกาสที่คุณลียุนฮีกับคุณคังวูจินรอดชีวิตไหม?”
“น้อยมากถึงไม่มีเลยครับ”
“เหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนดันเจี้ยนเบรก เท่าที่รู้คือคุณลียุนฮีเป็นน้องสาวแท้ๆของคุณ ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร?”
ลีซังโฮจ้องไปที่นักข่าวที่ถามเขม็ง
“ถามอะไรของคุณ?”
คนในครอบครัวของเขากำลังจะตายอยู่แล้วแต่เขากลับถูกถามแบบนี้... แบบนี้ไงพวกนี้ถึงถูกเรียกว่านักข่าวหมาๆ แน่นอน ลีซังโฮรู้สึกโกรธและโล่งใจมากกว่าเสียใจ
เหลือเวลาแค่ 1 ชั่วโมง
หมายถึงทั้งสองไม่รอด ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดขึ้นตามกำหนดการ ลีซังโฮพูดด้วยสีหน้าโศกเศร้าตรงข้ามกับที่รู้สึกในใจ
“ผมขอตอบเท่านี้”
ตาแดงก่ำของเขาเหมือนกำลังกลั้นน้ำตา สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าและความโกรธ ลีซังโฮลุกจากที่พร้อมปาดน้ำตา
“รอก่อนครับ!”
“ประธานฮวาราง”
นักข่าวลุกตาม แต่ถูกสมาชิกกิลด์ฮวารางกันไว้ระหว่างประธานกิลด์ออกไป
หลังออกมาจากห้องจัดงานแถลงข่าว ลีซังโฮหันไปถามสมาชิกกิลด์
ใบหน้าของเขาปราศจากความเสียใจ กลายเป็นเย็นชาเหมือนหน้ากาก
“ดันเจี้ยนล่ะ?”
“ไม่มีอะไรเปลี่ยนครับ”
“เฮ้อ โชคดีไป”
“...”
“ไปที่ศูนย์บัญชาการ”
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานถึงตอนนี้ ลีซังโฮเต็มไปด้วยความกดดัน เขารอว่าลียุนฮีหรือคังวูจินอาจจะออกมาหลังเคลียร์ดันเจี้ยนสำเร็จ...
ลีซังโฮและสมาชิกกิลด์ขึ้นรถ พวกเขาผ่านเส้นป้องกันที่สามมุ่งไปยังเส้นป้องกันที่หนึ่งบนถนนว่างเปล่า
มีทหารจำนวนหนึ่งตรงหน้าศูนย์บัญชาการ และกลุ่มคนโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอก สีหน้าลีซังโฮกระด้างเมื่อเห็นคนเหล่านั้น
“ทำไมคนธรรมดาถึงมาอยู่ที่นี่”
“ผมจะไปถามดูครับ”
“ไม่ ไปดูด้วยกันเลย”
ลีซังโฮเข้าไปใกล้ เขาเห็นคน 5 คนถกเถียงกับทหาร
“ผมไม่ได้บอกว่าอยากเข้าไป เขาเป็นหัวหน้ากิลด์อลันดาล ผมแค่อยากรู้รายละเอียดว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“รายละเอียดก็ตามที่แถลงการณ์ไป”
จุงมินชานถามทหารดีๆ แต่พวกทหารพูดตอบแต่คำเดิม
จุงมินชาน ฮงซุงกู วูซุงฮุน แม้แต่โดจีวอนก็อยู่ที่นั่น แต่ละคนมีสีหน้าดื้อดึง
“พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วคุณ ตอนนี้เป็นเวลา 13 นาฬิกา 6 นาที อีก 5 นาทีตรง เราจะบังคับย้ายคนที่เหลือออกไปจากที่นี่”
หนึ่งชั่วโมงก่อนดันเจี้ยนเบรก ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้ต้องอพยพออกไป
ปกติกองทัพจะจับพลเรือนที่เข้ามาในเขตปฏิบัติการ
แต่ในการปฏิบัติการครั้งนี้ กองทัพเป็นฝ่ายขอความร่วมมือจากกิลด์อลันดาล หัวหน้ากิลด์คังวูจินมาตามคำขอ สมาชิกของกิลด์อลันดาลมาที่นี่ทันทีที่ได้ยินว่าเกิดเรื่อง
พวกเขาเถียงจนผ่านเส้นป้องกันที่ 3 และ 2 มาได้ แต่เมื่อมาถึงที่นี่ พวกเขาไม่สามารถพบกับผู้บัญชาการ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ตอนนั้นเอง ลีซังโฮถามอย่างอ่อนโยน เขาแอบมองโดจีวอน แม้แต่ในสถานการณ์โกลาหลเช่นนี้ รูปร่างหน้าตาของเธอยังโดดเด่นพอดึงดูดสายตาเขา
“เราเป็นสมาชิกกิลด์อลันดาล ได้ยินว่าประธานของเราเข้าดันเจี้ยนไป...”
“อ้อ อลันดาล ผมได้ยินเรื่องพวกคุณมา”
ใบหน้าลีซังโฮเปลี่ยนเป็นเย็นชา ไอ้ห่านั่นทำแผนเขารวน แถมยังทำให้เขาเสียลียุนฮีไป
“ดันเจี้ยนเบรกจะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมง ไว้จัดการเรื่องนี้แล้วค่อยพูดเรื่องความรับผิดชอบหรือค่าเสียหายทีหลัง”
“หา?”
“น้องของผม ลียุนฮี ต้องโดนลูกหลงไปด้วยจากการกระทำของประธานกิลด์พวกคุณ เด็กอ่อนโยนคนนั้นเสียสละตัวเองเพื่อช่วยประธานกิลด์ของพวกคุณไม่ใช่เหรอ?”
จุงมินชานผงะ แต่ฮงซุงกูตะคอกด้วยความโกรธ
“เสียสละอะไร? ลูกพี่ของเราต้องออกมาหลังเปิดบาเรีย...”
ลีซังโฮจ้องฮงซุงกูด้วยสายตาแผดเผา ไอ้อ่อนนี่กล้าเถียง... ซุงฮูไม่ยอมแพ้จ้องกลับ
“เฮอะ ตลก... คังวูจินไม่มีทางเคลียร์ดันเจี้ยนได้ พวกคุณควรจะกลับไป! ผมจะส่งทนายไปทีหลัง”
สีหน้าทุกคนมืดคล้ำเมื่อได้ยินเสียงด่าของลีซังโฮ
ตอนนั้นเอง
บรรดาทหารที่อยู่อีกด้านของเส้นป้องกันที่ 1 เอะอะขึ้นมา
“เอ๊ะ? มีอะไรกัน?”
“ผมจะไปดูครับ”
ลีซังโฮตะคอกถาม สมาชิกกิลด์รีบไปที่ศูนย์บัญชาการทันที ไม่นานก็หน้าซีดกลับมา
“บะ...บาเรีย สลายไปแล้ว”
“...”
ลีซังโฮหน้าเคร่ง ซุงกูตะโกน
“นั่นล่ะลูกพี่เรา”
ลีซังโฮจ้องซุงกูระหว่างถามสมาชิกกิลด์ของเขา
“ใคร? ใครออกมา?”
“คือว่า...”
สมาชิกคนนั้นอึกอัก
โดจีวอนยืนกังวลอยู่อีกด้าน น้ำตาของเธอเริ่มไหลลงมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น