วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 46

บทที่ 46 – ยาฟื้นฟูสภาพ (4)


ในรถแท็กซี่เงียบสงบ วูจินมองจีวอนที่นั่งอึดอัดแล้วถามขึ้น
“ทำไมเธอไม่รับโทรศัพท์ฉัน?”
“เอ๊ะ ก็...”
มีคำตอบที่ไม่ชัดเจนมากกว่า “ก็...” อีกไหม
“ฉันทำให้เธออึดอัดเหรอ?”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น”
เธอไม่ได้อึดอัด แต่กังวลใจ
เธออาจจะชอบเขา
เธอกังวลว่าอาจจะชอบเขาทั้งๆที่ไม่มีสิทธิ์
ดังนั้นจึงบังคับตัวเองให้ไม่สนใจเขา แต่เขามาหาเธอ...
“แล้วเหตุผลจริงๆที่นายมาที่นี่คือ?”
“ไม่มีเหตุผล ฉันแค่มีของจะให้ แล้วไหนๆก็มาแล้วก็น่าจะไปเดทด้วยกัน”
“ดะ...เดท?”
อา เหตุการณ์ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นติดๆกันจนจีวอนมึน
“ถึงแล้ว ไปเถอะ”
เธอลงจากรถตามคำของวูจิน และก็พบว่ากำลังอยู่ที่เขตดาวน์ทาวน์ของพย็องแท็ก ที่นี่มีคนมากเกินไปเธอจึงไม่เคยมาที่นี่สักครั้ง
“จะกินข้าวเย็นก็เร็วไปหน่อย ไปดูหนังกัน”
“วูจิน แถวนี้มัน...”
วูจินมองจีวอนแล้วถาม
“ทำไม? เพราะคนเยอะเหรอ?”
“อ๊ะ? อืม”
“เธอกลัวคนอื่นมองขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เอ๊ะ?”
หน้าเธอเป็นอย่างนี้จะไม่ให้กลัวสายตาคนอื่นได้เหรอ?
จีวอนกดหมวกให้บังหน้าเธอไว้
วูจินมองแล้วนำเธอไปยังแผงลอยแห่งหนึ่ง เขาซื้อหน้ากากถูกๆมาสองใบ
“เธออยากเป็นไอรอนแมนหรือสไปเดอร์แมน?”
“เอ๋?”
อะไรกัน? เขาเป็นคนแบบไหนกัน?
ระหว่างจีวอนสับสน วูจินก็ใส่หน้ากากไอรอนแมน เขาใส่สูทแต่กลับใส่หน้ากากแบบเด็กๆ เขาดูตลก
“ใส่สิ”
“...”
จีวอนตกใจเมื่อวูจินถอดหมวกของเธอออก เขาใส่หน้ากากสไปเดอร์แมนให้เธอ
“เป็นไง?”
“เอา...เอาหมวกคืนมาเถอะ”
สำหรับโดจีวอนหมวกก็เหมือนเสื้อ ไม่มีมันเธอรู้สึกเหมือนกำลังเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น วูจินจับไหล่คู้งอของจีวอนให้หันไปทางกระจกหน้าต่างบานหนึ่ง
“เป็นไง?”
เป็นไงน่ะเหรอ... เธอเหมือนคนบ้า สไปเดอร์แมนกับไอรอนแมน
“ดีใช่ไหม งั้นไปต่อเถอะ”
“นาย... จะไปทั้งอย่างนี้เหรอ?”
“มีปัญหาตรงไหนล่ะ หรืออยากได้หน้ากากแบบอื่น?”
“ไม่...”
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
วูจินจูงมือจีวอนเดินต่อ เธอมองเงาของพวกเขาในหน้าต่างใส
ไอรอนแมนในชุทสูทกำลังเดินจูงมือสไปเดอร์แมนผมยาว
ทุกครั้งที่เดินผ่านคน คนเหล่านั้นจะจ้องมองทั้งสอง
“ว้าว อะไรน่ะ ตลกดี”
“สุดยอดอ่ะ”
จีวอนห่อตัว
“ว้าว พวกเขาหุ่นดีนะ เป็นดาราหรือเปล่า?”
“มีอีเวนท์อะไรหรือเปล่า?”
“จะว่าฮัลโลวีนก็ยังเร็วไปนะ”
ทั้งสองยืนรอข้ามถนน จีวอนรู้สึกว่ากำลังถูกรุมมอง
สายตา สายตา สายตา
เป็นสายตาจับจ้องเปิดเผยที่เธอเจอมาตลอด
แต่มีบางอย่างต่างไป ความรังเกียจความสงสารเปลี่ยนเป็นความอยากรู้อยากเห็น
“ว้าว ผู้หญิงหุ่นดีเป็นบ้า หน้าต้องสวยแน่”
“มองอะไรน่ะพี่ บ้าหรือเปล่า?”
จีวอนอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินคู่รักข้างๆทะเลาะกัน
“อะไร?”
วูจินไม่สนใจเสียงกระซิบรอบๆ เขาหันมาทางจีวอน
“มันไม่เหมือนที่คิดเลย...”
“ทำไม?”
“มันตลก แล้วก็ตื่นเต้นดีด้วย...”
“อืม ข้ามได้แล้ว ไปเถอะ”
วูจินคว้ามือจีวอนเดินไป จีวอนบีบมือวูจินแน่นขึ้น ไหล่คู้งอเหยียดตรงขึ้นและเธอเดินอย่างมั่นใจขึ้นมาหน่อย
เธอโยนความอายทิ้งไป ไอรอนแมนกับสไปเดอร์แมนเดินเข้าโรงหนัง
***
“อ้า แย่จัง”
วูจินเกาศีรษะ
ตั๋วหนังทุกรอบขายหมดแล้ว
จีวอนดึงแขนวูจิน
“ไม่ต้องดูหนังก็ได้นี่”
“แย่จัง”
วูจินกำลังจะหันกลับไป แต่ชายใส่หมวกกับผ้าปิดปากคนหนึ่งตบบ่าวูจินไว้ก่อน
“ผมมีธุระด่วน คุณอยากดูหนังเรื่องนี้ไหม?”
“อะไร?”
“ขอให้สนุกครับ ผมมีธุระด่วนจริงๆ”
วูจินรับตั๋วไปทั้งยังงงๆ เขามองชายคนนั้นเดินดุ่มๆจากไป
คุ้นๆแฮะ
ชายคนนั้นหันกลับมาแล้วกระพริบตาให้วูจิน จากนั้นก็หายไป
หมอนั่นตามมาทำไม
วูจินโบกตั๋วตรงหน้าจีวอน
“ถือว่าโชคดีใช่ไหม?”
“น่ะ...นั่นสินะ”
จีวอนกับวูจินซื้อข้าวโพดคั่ว เมื่อพวกเขาเข้าไปแล้ว ชายที่สวมหมวกปิดหน้าก็โผล่มาใหม่ เมื่อดึงผ้าปิดปากลงก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากวูซุงฮุน
เขาไปที่ช่องขายตั๋วแล้วหยิบตั๋วหนังออกมาปึกหนึ่ง
“ขอเงินคืนด้วยครับ”
“เอ๊ะ? ก็คุณบอกว่าจะมาดูกันหลายคน...”
“อ้า ขอเงินคืนไม่ได้เหรอ? เหลืออีกตั้ง 20 นาทีกว่าหนังจะฉาย”
“...”
ระหว่างพนักงานกำลังรับมือลูกค้าคนนี้ วูจินกับจีวอนที่อยู่ข้างในต่างมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ
***
“ไหนบอกว่าตั๋วขายหมดแล้ว แต่ในนี้ไม่มีใครเลย” จีวอนมีสีหน้าแปลกใจ
“จริงด้วยสิ”
ลูกน้องเขาทำเกินไป
“เฮ้อ ช่างเถอะ มาดูกัน”
วูจินนั่งในโรงหนังว่างเปล่า เขานั่งตรงกลางที่มองได้ดีที่สุด
“ในนี้ไม่มีใคร ถ้าอึดอัดก็ถอดออก”
“ได้เหรอ?”
จีวอนถอดหน้ากากออกแล้วหันไปทางวูจิน
“ขอหมวกคืนด้วย”
“ไม่เป็นไรน่า ดูไปอย่างนี้แหละ”
“นายจะไม่อึดอัดเหรอ”
“ทำไมล่ะ ฉันต้องมองเธอแปลกๆหรือเสียใจกับเธอด้วยเหรอ?”
“ไม่...ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...”
คำตอบของวูจินแทงใจ
จีวอนผงะ วูจินพูด
“เธอสวยนะ อย่าดูถูกตัวเองเพราะมีแผล”
“...”
“คนน่าเกลียดต่อให้ไม่มีแผลก็น่าเกลียด เหมือนพวกออร์คกับก็อบลินก่อนหน้านี้ไง”
“ออร์คกับก็อบลิน?”
“ผู้หญิงสองคนนั่นไง วูบหนึ่งฉันนึกว่าหลงเข้าไปในดันเจี้ยนซะอีก”
“อ๋อ... แต่นายไม่ควรตัดสินคนที่ภายนอกนะ”
“เอ่อ นอกจากหน้าตา วิญญาณสองคนนั่นก็ไม่ได้สวยนะ เลอะ”
“วิญญาณเหรอ?”
“วิญญาณเธอสวย สีขาวบริสุทธิ์”
“...”
จีวอนขนลุก เขาพูดประโยคเลี่ยนๆออกมาได้หน้าตาเฉย
ก่อนหน้านี้จีวอนไม่ได้รู้จักวูจินดีนัก แต่นิสัยของวูจินเหมือนมิติที่สี่
เขาไม่ตกใจเมื่อเห็นแผลของเธอ ไม่แม้แต่นิดเดียว เขาไม่ได้มองมาอย่างอคติ เรื่องนี้ทำให้หัวใจจีวอนหวั่นไหว
เขาซื้อหน้ากากเพื่อเธอ...
“อ๊ะ เริ่มแล้ว”
วูจินดูหนังพลางกินข้าวโพดคั่วอย่างตั้งใจ จีวอนมองสลับระหว่างวูจินกับหนัง
***
“เฮ้อ สนุกนะ”
“ฮู้ว ฉันไม่ได้ดูหนังมา 5 ปีได้”
“ของฉัน 20 ปีมั้ง”
“ฮะๆๆ อะไรของนาย”
วูจินยิ้มเมื่อจีวอนหัวเราะ
ต่อให้ใส่หน้ากากอยู่ วูจินก็รู้ว่าเธอกำลังอารมณ์ดี เขารู้สึกถึงความสุขจากวิญญาณบริสุทธิ์ของเธอ
“เป็นไงล่ะ หัวเราะเป็นเรื่องดีใช่ไหม?”
“...”
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน”
วูจินผละไปเข้าห้องน้ำ จีวอนกุมแก้มตัวเอง
“ทำไงดีล่ะฉัน?”
หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรง
“ทำไงดีล่ะ?”
ระหว่างจีวอนกำลังเครียด วูจินเข้าห้องน้ำ โทรศัพท์ของวูจินสั่น เขาเช็คข้อความที่ส่งมา
[ผมใช้ชื่อของท่านประธานจองที่ไว้ที่ห้องอาหาร xx แวะไปหน่อยนะ]
มันเป็นข้อความจากซุงฮุน
“หมอนี่คิดจะทำอะไร?”
แต่เขาก็วางแผนจะหาอะไรกินอยู่แล้ว...
วูจินกับจีวอนออกจากโรงหนัง เขาดูแผนที่แล้วก็เห็นว่าห้องอาหารอยู่ไม่ห่างนัก พวกเขาต้องเดินถนนที่คนเดินแน่น แต่ไม่เป็นไร
จีวอนชินกับหน้ากาก เธอจึงตื่นเต้น
“โอ้ คู่ฮีโร่ตรงนั้น มาหมุนสักครั้งสิครับ ฟรีนะ”
ดูเหมือนกำลังมีอีเวนท์ขายของที่ให้คนมาหมุนวงล้อ จีวอนกับวูจินไปเข้าแถวไม่นานก็ถึงตาของพวกเขา วงล้อมีช่องให้รางวัลเกือบทั้งหมด โอกาสพลาดรางวัลมีเพียง 10%
จีวอนหมุนวงล้อแล้วพนมมือ
“อา กับเรื่องแบบนี้ฉันจะดวงไม่ดีเลย”
ทั้งๆที่ภาวนาไว้แล้ว จีวอนยังหมุนไม่ได้รางวัล
“อ้า น่าเสียดาย”
“ฮะๆ แล้วไอรอนแมนจะหมุนด้วยไหมครับ ถ้าได้ของขวัญให้แฟนก็ดีนะ”
“อืม”
วูจินหมุน
วงล้อหมุน แล้วค่อยๆหมุนไปตรงพลาด จีวอนมองลุ้น วูจินมองเธอ ชายที่ดูแลกิจกรรมนี้เดิมพันชีวิตไว้กับมัน อารมณ์ของทั้งสามคนปะทะกัน
วงล้อกำลังจะหยุดตรงพลาด
“ฮึ้ย”
ชายคนนั้นแอบตบวงล้อ ทำให้มันหมุนต่อไปอีกหน่อย วูจินชนะรางวัล
“โอ้ คุณได้รางวัลพิเศษ ยินดีด้วยๆ”
ชายคนนั้นส่งกระเป๋าใบเล็กให้วูจิน รางวัลของเขาต่างจากคนอื่นที่ได้พวกทิชชู่ ขวดน้ำ
วูจินหรี่ตามอง ซุงฮุนขยิบตาตอบ
“เฮ้อ ไปเถอะ”
วูจินเริ่มเดินต่อ
ระหว่างจีวอนเล่นเกม มองของที่วางขาย พวกเขาเดินไปเอื่อยๆ คนรอบข้างยังมองพวกเขาอย่างสนใจ แต่พวกเขาไม่ใส่ใจ
ทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องใหม่ จีวอนรู้สึกขอบคุณกับทุกสิ่ง
เธอรู้สึกอย่างนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ? ปกติเธอเดินก้มหน้าก้มตาเหมือนถูกใครไล่ตาม...
จีวอนรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป
ถ้ามันเป็นความฝัน ฉันก็ไม่อยากตื่นเลย
เธอกำลังสวมหน้ากาก แต่ถ้าไม่มีวูจินอยู่ด้วย เธอก็ไม่กล้าทำเรื่องอย่างนี้
ไอรอนแมนกับสไปเดอร์แมนไม่สนใจเสียงซุบซิบในห้องอาหาร เมื่อกินเสร็จ พวกเขาเดินไปที่สวนใกล้ๆ
ทางเดินในสวนมีคนหลายคน ครอบครัวออกมาเดินเล่น คู่รักออกมาเดท มีกระทั่งนักเรียนเดินไปมา แต่ก็ยังไม่คนเยอะเท่าถนนหลัก
ทั้งสองเดินไปเงียบๆ
ทั้งสองนั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่ง
จีวอนหัวเราะออกมา
“ตลกจัง”
“ตลกตรงไหน?”
“ตรงนี้ไง เราใส่หน้ากากพิลึกเข้าโรงหนัง ใส่หน้ากากกินข้าวในห้องอาหาร คนอื่นต้องคิดว่าเราแปลกแน่”
“ไม่เห็นสนใจเลย”
“นั่นสินะ”
รอยยิ้มของจีวอนจางลง ดีจัง เขามีความกล้าที่จะเมินเฉยสายตาคนอื่น
“ฉันไม่กล้าพอ นี่เหมือนฝันเลย ฉันได้เดินในถนนคนแน่นๆ ได้ดูหนัง ได้กินข้าวในห้องอาหาร”
“...”
แม้จะเป็นแค่ไม่นาน เธอก็ขอบคุณวูจินที่ทำให้เธอได้ฝัน
ชั่วครู่หนึ่ง จีวอนเผลอคิดไปว่าวูจินชอบเธอ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆเธอก็ไม่กล้าตอบรับเขา
เธอไม่ดีพอสำหรับเขา
“ขอบคุณจริงๆนะ”
“...”
“เหมือนฝันเลย ฉันไม่ได้ไม่กลัวสายตาคนรอบข้างมานานมากแล้ว ขอบคุณจริงๆ”
วูจินรับรู้ได้ว่าเธอขอบคุณจากใจจริง ต่อให้เธอไม่พูดออกมา
มันเป็นเวลาไม่นาน แต่จีวอนรู้สึกเหมือนเป็นนางเอกในนิยาย แต่ชีวิตไม่ใช่นิยาย ในที่สุดก็ต้องตื่นขึ้นมา ถึงเวลากลับสู่ความจริงแล้ว
ถ้ายังฝันนานไปกว่านี้ เธอคงตกหลุมรักวูจิน
“สไปเดอร์แมนจะกลับไปเป็นฮัลค์แล้วนะ”
“...”
จีวอนปิดตาแน่นแล้วถอดหน้ากากออก
วูจินยิ้ม
“สำหรับความกล้าของเธอ ฉันมีของขวัญจะให้”
วูจินหยิบขวดยา
ตอนนั้นเอง
ฟิ้ว ปุ ปุ้ง
ทันใดนั้นดอกไม้ไฟก็ระเบิดกลางฟ้า ผู้คนที่เดินเล่นอยู่ส่งเสียงเชียร์ แต่ละคนถือดอกไม้คนละดอก
“ว้าว ยินดีด้วย”
“ยินดีด้วย”
ผู้คนมารายล้อมแสดงความยินดีกับทั้งสอง แต่เมื่อเห็นหน้าของจีวอนก็ผงะไป
“กรี๊ด อะไรกัน?”
“หน้าคนนั้น...”
“อา เขาต้องรักเธอจริงๆ”
คนพวกนี้ถูกซุงฮุนจ้างมา พวกเขาเริ่มส่งเสียงหนวกหู
วูจินกดขมับแน่น
วูซุงฮุน นี่... เฮ้อ
วูจินมองจีวอน เธอถอดหน้ากากออก ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอแข็งทื่อ เหมือนวิญญาณกำลังหลุดจากร่าง
เธอตัวสั่นเหมือนกำลังจะช็อค วูจินเรียกกำแพงกระดูกออกมา
ม้านั่งเป็นศูนย์กลาง วูจินจีวอนถูกกำแพงกระดูกล้อมไว้เหมือนโดม ตัดขาดจากผู้คนรอบๆ
พวกเขาไม่ได้ยินเสียงคนอื่น ไม่ได้ยินเสียงดอกไม้ไฟ
วูจินถอดหน้ากากตัวเองออก
“วู...วูจิน...”
จีวอนดูไม่สงบ วูจินเอายาฟื้นฟูสภาพออกมา
“ใส่หน้ากากนั่นแล้วไม่อึดอัดเหรอ?”
“เอ๋?”
“ปิดตาสิ ฉันมีของจะให้”
“เอ๋?”
“เธอพูดถูก เธอต้องตื่นจากฝันนี่”
“...”
วูจินทายาฟื้นฟูสภาพที่มือ แล้วลูบแผลของจีวอน เมื่อมือเขาแตะเธอ จีวอนตัวสั่น
ฝันร้ายมันแย่มาก
เรื่องนี้วูจินรู้ดีกว่าใคร จีวอนลำบากมามาก เขาเข้าใจ
ถึงเวลาตื่นจากฝันร้ายที่ยาวนานเสียที
วูจินทายาอย่างระมัดระวังเหมือนกำลังภาวนา
ยาฟื้นฟูสภาพซึมเข้าไปในแผลของจีวอน




วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

TGS - บทที่ 2

บทที่ 2

เด็กชายส่วนใหญ่เก็บเงินค่าขนมเพื่อขนม ไม่ก็ของเล่น นิคไม่สนใจทั้งสองอย่าง เขามีขวดโหลข้างเตียงซึ่งจะมีเหรียญเติมลงไปช้าๆจนเมื่อถึงขอบโหล เขาจะรู้ว่าเขามีเงินพอซื้อตั๋วรถม้าไปเมืองรันวาร์ เมืองหลวงของรันวาร์

ตลอดหลายปีเขาเดินทางไปที่นั่นนับไม่ถ้วน ไม่ใช่เพื่อไปสนุกในเมืองใหญ่ แต่เพื่อสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจหาได้จากที่อื่น ลิบราเรี่ยม ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดของรันวาร์

การโดยสารรถม้าใช้เวลาสามชั่วโมงและไม่สะดวกสบายนัก มันมักจะแน่นเอี้ยด กลิ่นอย่างแย่และเขย่าร่างของคุณตามจังหวะม้าห้อไปตลอดทาง มีการเดินทางแบบอื่นที่สะดวกสบายกว่าแต่นิคไม่มีเงินพอ หรือถึงมีเขาก็ไม่เลือก เขาจะไปให้บ่อยกว่าเดิม ยิ่งเดินทางไปลิบราเรี่ยมได้บ่อยเท่าไหร่เขาก็จะสั่งสมความรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น

มันเป็นปิดเทอมฤดูร้อนและนิคไม่มีอะไรทำนอกจากรอเปิดเทอมใหม่ เขาควรจะพักหาอะไรสนุกๆทำสักหน่อย แต่เขาไม่รู้จะทำอะไร แทนที่จะทำอย่างนั้นเขาจึงซื้อตั๋วไปรันวาร์ซิตี้ทันทีที่เก็บเงินได้

“เหมือนเดิม?” ผู้หญิงในที่ขายตั๋วถาม เขาซื้อตั๋วไปที่นั่นตั้งแต่สิบขวบ ทุกคนในสถานีรถม้ารู้จักเขา

“ครับ ได้โปรด” เขาจ่ายเงินแล้วรับแผ่นกระดาษสีเหลืองที่ประทับจุดหมายของเขาไว้บนนั้นมา

“อ้อ แล้วก็ทำได้ดีมาก” เธอยิ้มแล้วพยักหน้าให้เขาซึ่งทำให้รู้สึกกระวนกระวายแปลกๆ

“เอ่อ ขอบคุณครับ” เขายิ้มตอบแล้วหาทางไปยังรถม้าที่รอออกอย่างรวดเร็ว ถ้าได้ที่นั่งติดหน้าต่างจะหายใจได้สะดวกขึ้น

ตอนนี้เป็นช่วงเช้ามืด รถม้าออกเป็นเที่ยวแรก ดวงอาทิตย์ยังไม่ทำให้อากาศอุ่น นิคสวมผ้าพันคอกับหมวก แม้จะเป็นหน้าร้อน รอสักพักจะร้อนมาก แต่รถม้าที่ออกวิ่งตอนเช้าเปิดหน้าต่างและอากาศที่กรูผ่านเข้ามาสามารถทำให้ปลายจมูกเย็นเจี๊ยบถ้าไม่เตรียมรับมือไว้

ขณะที่เขาปีนขึ้นรถม้า คนขับรถก็แสดงความยินดีกับเขาเช่นกัน ต่างคนส่งยิ้มพยักหน้า ถ้ายังเป็นแบบนี้อีก นิคคิด คงต้องหาวิธีตอบให้ดีกว่านี้ เขาสงสัยว่าที่ลิบราเรี่ยมมีหนังสือที่เขียนถึงหัวข้อนี้ไหม

ไม่นานรถม้าก็เต็ม ที่จริงกระเป๋าต้องวางบนเพดานแต่ผู้โดยสารยืนยันจะเอาบางใบมาไว้กับตัว อาหารถูกเอาเข้ามา แม้แต่สัตว์เลี้ยง นกแก้วในกรงยังไม่เท่าไหร่ แพะที่มีแค่เชือกบางๆจูงนี่สิปัญหา

โชคดีที่การเดินทางเที่ยวนี้ไม่มีสัตว์ ลงท้ายนิคถูกเบียดเข้ามุมโดยสุภาพบุรุษร่างใหญ่ที่วางกระเป๋าเดินทางใบเล็กไว้บนตักแต่นิคไม่เดือดร้อน เขาได้ที่นั่งติดหน้าต่าง หมวกก็ถูกดึงมาปิดหู เมื่อรถม้าออกวิ่งเขาจะหลับไปภายในไม่กี่นาที

รักษาพลังงานเอาไว้ตอนนี้จะทำให้เขาใช้เวลาได้คุ้มค่าที่สุด เมื่อคุณมีทุนจำกัดกับความต้องการไม่จำกัด การวางแผนอย่างรอบคอบเป็นสิ่งจำเป็น

พวกเขามาถึงสถานีรถม้าในเมืองหลวงตอนสิบโมงเช้า สถานีของที่นี่ใหญ่กว่าที่แฮมมอนด์มาก ซึ่งสมเหตุสมผล รถม้าจากที่ต่างๆมาแล้วก็ไป ผู้คนจากทิศทางต่างๆหลั่งไหลเข้ามา

นิคเร่งเดินออกจากสถานี หาจังหวะซอกซอนระหว่างฝูงชนอย่างช่ำชอง ถ้าเป็นในเมืองเขาจะไม่รู้ไปทางไหนดี แต่ทางระหว่างสถานีรถม้าไปถึงลิบราเรี่ยมนั้นเขาคุ้นเคยเหมือนเดินจากประตูบ้านไปประตูสวน

สิบนาทีต่อมานิคกระโดดขึ้นบันไดหินของลิบราเรี่ยม มุ่งมั่นประหยัดเวลาให้ได้มากที่สุด เขายัดหมวกกับผ้าพันคอเข้ากระเป๋า ไม่จำเป็นต้องใช้จนกว่าตอนนั่งรถม้าขากลับเที่ยวดึก

ลิบราเรี่ยมเป็นอาคารหิน ข้างนอกขาวเหมือนชอล์ก ข้างในเป็นตู้หนังสือสุดลูกหูลูกตา รูปปั้นสองอันวางขนาบทางเข้า อันหนึ่งเป็นกริฟฟิน อีกอันเป็นมังกร พวกมันตระหง่านค้ำศีรษะคนมองและวางคอทาบทับกันตรงซุ้มประตู พวกมันเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าสถานที่นี้สำคัญขนาดไหน สิ่งที่ประเทศรันวาร์ภาคภูมิใจที่สุดคือความรู้ที่ยอมให้พลเมืองทุกคนเข้าถึง

เมื่อสอบผ่านแล้วนิคก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมสอบอีก แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขามาที่นี่ เขาเชื่อว่าการเรียนการสอนที่แรนซัมจะแตกต่างจากที่เขาคุ้นเคยมาก นอกจากมาตรฐานที่นั่นจะต้องสูงกว่ามากแล้วนักเรียนคนอื่นยังคุ้นเคยกับสิ่งที่แรนซัมมีให้และวิธีใช้มัน เขาจะเสียเปรียบอย่างหนัก

“คุณมีหนังสือเกี่ยวกับโรงเรียนแรนซัมไหมครับ?” นิคถามบรรณารักษ์ที่โต๊ะตัวกลาง

ในห้องสมุดมักจะมีบรรณารักษ์น้อยอยู่แล้ว แต่ลิบราเรี่ยมแทบจะว่างเปล่าเป็นหลัก ตอนที่เขามาที่นี่ใหม่ๆเขาแทบเรียกร้องความสนใจจากบรรณารักษ์ไม่ได้ ความรู้นั้นมีให้ทุกคน แต่พวกเขาไม่ใส่ใจเด็กผู้ชายตัวเล็กๆนักหรอก เขาต้องตื๊อจนเกือบน่ารำคาญแต่นั่นเป็นทางเดียว

หลายปีผ่านไป พนักงานในลิบราเรี่ยมเริ่มคุ้นเคยกับเด็กชายผู้มากับคำถามแปลกๆถามถึงหนังสือที่ถูกลืมไปนานแล้ว และไม่มีใครมองเขาผ่านปลายจมูกอีก จนวันนี้ (สำนวน - look down the nose)

บรรณารักษ์คนนี้เป็นคนที่รับคำขอของนิคมาหลายครั้งแล้ว สูงและผอม จมูกใหญ่มาก ดังนั้นจึงต้องใช้เวลานานทีเดียวกว่าเขาจะมองผ่านปลายจมูกลงมาเห็นนิค เขาจ้องนิคนิ่ง

“เอ่อ อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับประวัติโรงเรียน กฎระเบียบ หลักสูตร... มีไหมครับ?”

“เธอ” บรรณารักษ์คนนั้นพูด “เธอคือคนนั้น?”

นิคงง “หมายถึงคนไหนครับ?”

“เด็กชายทุต”

ตลอดหลายปีที่เขามาที่นี่ ไม่เคยมีใครถามชื่อเขา

“ครับ” นิคตอบ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

หน้าของชายคนนั้นคลี่ยิ้มกว้าง เขาหันไปพูด “เขาล่ะ”

มีบรรณารักษ์กระจุกกันหลังโต๊ะทรงโค้ง พวกเขาลุกขึ้นแล้วพุ่งมาจับมือแสดงความยินดีกับนิค นิคจำหน้าพวกเขาได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่เขาไม่รู้จักชื่อสักคน

“ดิฉันบอกคุณแล้วใช่ไหมล่ะ คุณเกอรี่” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดอย่างตื่นเต้น เธอมักจะทำเป็นไม่เห็นนิค “ดิฉันบอกแล้วว่าต้องเป็นเขาแน่”

“ครับคุณฟิล์ม” คุณเกอรี่ บรรณารักษ์ที่นิคถามหาหนังสือด้วยพูด “ถูกต้องแม่นยำเหมือนเคย” เขาตบปกเสื้อของตัวเองเหมือนพ่อที่ภาคภูมิใจในลูกชายตัวเอง พิลึกมาก “คราวนี้ทุกอย่างก็เข้าใจได้”

ถึงคราวนิคยิ้มพยักหน้า เขาไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร

“แน่นอนว่าเธอต้องอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนแรนซัมก่อนเข้าเรียน ฉลาดมาก คาดการณ์ไกล” คุณเกอรี่ดีดนิ้ว 

“โทโซ่ พาคุณทุตไปที่หิ้งหนังสือ หาทุกอย่างที่จำเป็นกับเขา”

ชายหนุ่มคนหนึ่งผ่านประตูพับระหว่างโต๊ะออกมาแล้วเดินอ้อมมาอยู่ข้างนิค

“แล้วพาเขาไปที่ห้องส่วนตัว 2a น่าจะว่าง ถ้าจำเป็นพาคุณฟิล์มไปช่วยด้วยได้”

พวกเขายิ้มกว้างยืนมองนิคเดินห่างออกไป พิลิกสุดๆ

เขาหาหนังสือที่ต้องการเจอมากกว่าสิบเล่มและไม่ต้องถือมันเองด้วยซ้ำ ห้องส่วนตัวไม่ใหญ่นักแต่มีโต๊ะมีเก้าอี้ และเงียบมาก สมบูรณ์แบบ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีห้องแบบนี้อยู่ เขามักจะนั่งหลบมุมบนพื้น วางหนังสือบนตัก เมื่อมีโต๊ะวางหนังสือก็จดง่ายขึ้นเยอะ

มีข้อมูลของแรนซัมเยอะมากที่ต้องจดยืดยาว กฎระเบียบและข้อบังคับ รายงานงบการเงิน กระทั่งโฉนดและแบบแปลนของอาคารแต่ละหลัง

เขากลัวว่าหมึกจะหมดก่อน

“เธออาจจะสนใจพวกนี้” คุณเกอรี่โผล่มาตรงประตูแล้วพูดขึ้น เขายกหนังสือกองเล็กๆมาด้วย "มันเป็นบันทึกและอัตชีวประวัติของชาวรันวาร์ที่นิคจำได้ว่ามีชื่อเสียง แม้ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตไปเป็นร้อยปีแล้ว “ทุกคนเคยอยู่ที่แรนซัมและพูดถึงชีวิตในโรงเรียนของพวกเขาไม่มากก็น้อย ฉันคิดว่ามันน่าจะบอกอะไรเธอได้บ้างว่าจะเจออะไร”

“ครับ ขอบคุณครับ” นิครีบลุกขึ้นไปรับหนังสือ สงสัยว่าพวกเขาเป็นอัลโซรันเหมือนกับเขาบ้างหรือเปล่า

ทุกๆชั่วโมง โทโซ่หรือฟิล์มจะโผล่มาถามว่านิคอยากได้อะไรไหม เหมือนเขามีคนรับใช้ แต่ไม่นานความแปลกใหม่ก็หมดไปและเขาจมอยู่กับการเรียน แม้ไม่ใช่การสอบวัดคะแนนแต่หลักการก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาต้องหาคำตอบที่ตรงกับคำถาม แรนซัมก็คือการสอบอีกแบบหนึ่ง

เมื่อลิบราเรี่ยมถึงเวลาปิด นิคก็อ่านไปได้เกือบถึงครึ่งหนึ่งของกองหนังสือบนโต๊ะ

“ไม่เป็นไร” โทโซ่บอก “เธอทิ้งมันไว้ในห้องนี้ได้ คุณเกอรี่บอกว่าเธอใช้ห้องนี้ได้จนอ่านจบ เธอจะกลับมาใช่ไหม?”

“ครับ” นิคตอบ “แต่ผมไม่รู้แน่ว่าเมื่อไหร่”

“ไม่เป็นไร คุณเกอรี่บอกว่าไม่จำกัดเวลา”

นิคขอบคุณคุณเกอรี่และคนอื่นๆก่อนออกไป พวกเขาพูดแต่เรื่องดีๆและบอกให้เขากลับมาใหม่เร็วๆ เขากลับไปที่สถานีรถม้าอย่างงงหน่อยๆ ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษแต่ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบใจ เขาไม่เชื่อว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป ระหว่างนั้นจึงควรใช้ให้คุ้มที่สุด

แสงสว่างจางไปเมื่อถึงตอนที่พวกเขาออกจากเมืองและเมื่อถึงแฮมมอนด์มันก็มืดสนิท ตะเกียงที่แขวนตรงรถม้าส่องแสงให้เห็นห่างไปสองสามไมล์แม้ม้าจะวิ่งไปกลับหลายครั้งจนต่อให้ถูกผูกตาไว้ก็น่าจะวิ่งกลับได้

ความเหนื่อยอ่อนและจมอยู่กับเรื่องของโรงเรียนใหม่ที่รู้มา นิคไม่เห็นว่ามีรถม้าจอดนอกบ้านเขาจนกระทั่งม้าพ่นลมใส่ ดึงเขาออกจากห้วงคิด มีคนขับแต่หมวกเขาปีกกว้างและดึงต่ำจนมองไม่เห็นหน้า อาจจะหลับอยู่ด้วยซ้ำ

นิคเดินอ้อมม้าแล้วเปิดประตูสวน มีเงาร่างหนึ่งตรงหน้าต่าง นิคอยู่กับแม่และเงานั่นไม่ใช่ของแม่เขา

มันเป็นบ้านหลังเล็กและเมื่อข้ามประตูเข้ามาเขาก็อยู่ในห้องนั่งเล่น ชายที่เขาเห็นตรงหน้าต่างหันมาและนิคจำเขาได้ทันทีแม้จะเคยเห็นแค่ไม่กี่ครั้ง รัฐมนตรีเดลโครอิกซ์ พ่อของดิซซี่

สิ่งต่างๆจากอดีตมักจะดูเล็กกว่าที่คุณเคยจำได้เพราะคุณโตขึ้น แต่รัฐมนตรีเดลโครอิกซ์กลับดูสูงสง่ากว่าเดิม

นิคมองแม่ของเขา เธอดูตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้ยุ่งยากใจ

“อา นิโคลาฟ ดีใจที่ได้เจอเธออีก” นิครู้สึกขึ้นมามากๆว่ารัฐมนตรีจำไม่ได้ว่าเคยเจอเขา

“เช่นกันครับท่าน” นิครอ นี่เป็นบทสนทนาที่ยาวที่สุดของพวกเขาแล้ว น่าจะดีกว่าถ้ารอคำถาม

รัฐมนตรีดึงนาฬิกาพกออกมาแล้วกดเปิด “มิลลี่บอกว่าเธอจะกลับมาก่อนสี่ทุ่ม และเธอก็มา” เขายิ้มไร้ความรู้สึกแล้วปิดนาฬิกาปับ “เธอไปที่เมืองหลวงมา”

นั่นไม่ใช่คำถามแต่ยังทำให้รู้สึกเหมือนต้องการคำตอบ

“ครับท่าน ผมไปลิบราเรี่ยมหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนแรนซัม”

“ฉลาดมาก ฉันเข้าใจว่าเธอชอบเตรียมพร้อม ฉันประทับใจมากเมื่อมิลลี่บอกว่าเธอได้รับการคัดเลือกเข้าแรนซัม แต่ไม่รู้เลยว่าเธอทำได้ดีขนาดไหนกระทั่งเห็นในหนังสือพิมพ์ บอกฉันสิ นิค กับความสำเร็จของเธอครั้งนี้ เธอยกความดีความชอบให้อะไร? ความขยัน? โชคดี? กลโกง?”

ถ้าคนอื่นพูดคงแฝงด้วยความมุ่งร้าย แต่น้ำเสียงของเขาไม่ทิ่มแทง เขาพูดเหมือนทุกข้อมีเหตุมีผลและไม่มีข้อไหนทำให้เขาประหลาดใจมากกว่ากัน

“ผมขอบคุณท่านครับ” นิคตอบ

“โอ้? ทำไมล่ะ?”

“ตอนเด็กๆผมเป็นเพื่อนเล่นกับลูกสาวของท่าน เมื่อครูสอนพิเศษมาสอนเธอ ผมนั่งกับเธอ คงเพื่อช่วยไม่ให้เธอเหงา ทุกอย่างที่เธอเรียนผมก็ได้เรียน ท่านเป็นคนให้ความรู้แก่ผม ขอบคุณครับ”

นิคระวังไม่ให้ฟังเป็นการประจบประแจงพร้อมทั้งทำให้แน่ใจว่าเขาทำให้รัฐมนตรีพอใจ เขาพูดตรงๆไม่มีความรู้สึก เลียนแบบท่าทางของรัฐมนตรี การสอบไม่ใช่ที่เดียวที่นิคฝึกตอบคำตอบให้ถูกต้อง

“อย่างนั้นหรือ? คงเป็นความคิดของภรรยาฉัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผลสำเร็จที่ยอดเยี่ยม ดูจากที่ลูกสาวของฉันเป็นคนเดียวที่เก่งกว่าเธอ ฉันควรจะพูดว่าภรรยาของฉันเลือกครูสอนพิเศษได้ดีทีเดียว”

“คุณหนูเดลโครอิกซ์เป็นอย่างไรบ้างครับ?” นิคถาม ทำเหมือนถามตามมารยาท เขาพยายามไม่ให้ทำตัวสนิทเกินไป “หวังว่าเธอจะสบายดี”

“อ้อ ใช่ เธอเป็นเด็กที่เหมาะสมกับชื่อเดลโครอิกซ์ นักเรียนคนอื่นต่างหากที่ฉันกังวล พวกเขาได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด แต่แล้วเด็กชายคนหนึ่งในโรงเรียนรัฐธรรมดากลับทำได้ดีกว่าพวกเขา น่าจะจับพวกอาจารย์มาเข้าแถวแล้วฟาดนะ”

นิคเดาว่าเขากำลังล้อเล่น ไม่แน่ใจ

“ถ้าเป็นความดีความชอบของฉันอยู่บ้าง เธอตอบแทนก็สมควร คิดอย่างนั้นไหม?”

“เอ่อ ครับ แน่นอนครับท่าน”

“ถ้าเธอมีความสามารถจริงๆ เมื่อเรียนจบฉันอยากให้เธอมาทำงานให้ฉัน”

นิคประหลาดใจ เขาคาดไม่ถึงว่าจะถูกชวนไปทำงาน “ที่บ้านท่านหรือครับ?”

“ไม่ใช่แน่นอน ที่กระทรวง”

ปฏิกิริยาแรกของนิคคือถามว่ากระทรวงท่านทำอะไรครับ แต่เขาไม่ถาม “ขอบคุณครับท่าน ผมจะรู้สึกเป็นเกียรติถ้าท่านคิดว่าผมมีค่าพอ”

“นั่นเป็นเรื่องที่ต้องรอดูต่อไป เอาเถอะ ในฐานะผู้สนับสนุนอย่างไม่เป็นทางการ อย่างน้อยฉันก็ควรให้ของขวัญเธอ”

นิคพลันนึกถึงตั๋วรถม้าฟรีตลอดชีพ ไปที่ไหนก็ได้ในประเทศ เขาจะได้ไปลิบราเรี่ยมเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ

รัฐมนตรีเดลโครอิกซ์ล้วงกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบปากกาด้ามหนึ่งออกมา มันอวบและดำ ที่เหน็บกระเป๋าสีทองติดกับปลอก เขายื่นมันมาข้างหน้า

“ผม ผมรับไว้ไม่ได้” นิคพูดจากใจ “ต้องแพงมากแน่ๆ”

“แพง และการไม่ยอมรับของขวัญเป็นเรื่องไม่สุภาพ” เขายื่นมันมาใกล้และนิครับไป มันเป็นปากกาที่หนักที่สุดที่เขาเคยถือมา

“ขอบคุณครับท่าน”

“ด้วยความยินดี และอย่าขายมันล่ะ”

“ผม ผมไม่มีทาง-”

“อย่าขายล่ะ เอาล่ะ ฉันควรจะไปแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจอกันมิลลี่”

แม่ของนิคเขย่งเท้าอย่างร่าเริง ยิ้มกว้างเพราะลูกชายของเธอได้รับรางวัลหรูหรา งานในกระทรวงนั้นยิ่งกว่าที่เธอจะคิดฝันว่าลูกชายของเธอเป็น

“ค่ะ ขอบพระคุณค่ะท่าน ดิฉันจะให้เขารักษาของขวัญแสนวิเศษของท่านอย่างดี”

เธอไปส่งเขาที่ประตูในขณะที่นิคถือปากกาที่เขาแทบกำได้ไม่รอบด้าม

***

รัฐมนตรีเดลโครอิกซ์ผงกศีรษะเป็นการบอกลาแม่บ้านของเขาแล้วเดินไปยังประตูสวนเล็ก นี่เป็นบ้านหลังเล็ก สะอาด ดูแลรักษาอย่างดี ตามความคาดหมาย สวนตัดแต่งเป็นระเบียบ ประตูส่งเสียงเอี๊ยดเบาๆเมื่อเขาเปิด แต่นั่นอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้

ประตูรถม้าเปิดเมื่อเขาเข้าไปใกล้และปิดเมื่อเขาเข้าไปข้างใน ไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเขาก็ออกรถ

มิลลี่เป็นแม่บ้านมีความสามารถและไม่เคยทำให้เขาตำหนิหรือลงโทษเธอ ซื่อสัตย์ ขยันขันแข็งและไว้ใจได้ เธอเลี้ยงลูกชายของเธอตามลำพังและดูจะทำได้อย่างน่าชื่นชม เด็กชายคนนั้นเป็นชื่อเสียงของเธอ ชื่อเสียงของเมือง

ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการชี้แนะ เป็นงานของเขาที่ทำให้แน่ใจว่ารันวาร์คงความปลอดภัยและมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์แก่พลเมือง นั่นคือไม่ใช่แค่รู้สถานการณ์ปัจจุบัน แต่ยังสามารถเข้าใจสิ่งที่จะมาถึงด้วย กับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ความมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่ผ่านๆมา เด็กอย่างนิโคลาฟ ทุต ควรแก่การจับตามอง

เสียงกรอบแกรบดังจากนอกหน้าต่างรถม้า พวกเขากำลังเคลื่อนที่ไปตามถนนของแฮมมอนด์อย่างรวดเร็ว แต่บางอย่างกำลังเคลื่อนที่เคียงข้างด้วยความเร็วเท่ากัน

“เธอตามเด็กคนนั้นตลอดทั้งวันใช่ไหม?” รัฐมนตรีเดลโครอิกซ์พูดขึ้น

“ครับนายท่าน” เสียงกระซิบผ่านหน้าต่างเข้ามา “เขาไปที่ลิบราเรี่ยม”

“จากนั้นล่ะ?”

“เท่านั้นครับนายท่าน เขาไม่ออกจากที่นั่นจนกลับบ้าน” เสียงสะบัดตามสายลม แต่เดลโครอิกซ์ชินกับเสียงโคลงเคลงของข้ารับใช้ของเขา

“แล้วที่ลิบราเรี่ยมเขาค้นคว้าเรื่องอะไรนัก?” เดลโครอิกซ์ถามความมืดนอกหน้าต่าง

“โรงเรียนแรนซัมครับนายท่าน”

ตรงตามที่เด็กชายบอก “แล้วเวทย์มนตร์ล่ะ? เขาค้นคว้าเพื่อเตรียมตัวเข้าราชวิทยาลัยหรือ?” ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เข้าใจได้ว่าเป้าหมายจริงๆของเด็กคนนั้นคือเข้าเรียนในราชวิทยาลัยแห่งศิลปศาสตร์

“ไม่ใช่ครับนายท่าน”

ไม่ใช่? ข้อบ่งชี้ต่างๆบอกว่าเขาจะหาทางเตรียมตัวเข้าวิทยาลัยให้เร็วที่สุด คนละเอียดรอบคอบ คนทะเยอทะยาน จะรู้ว่ามีอุปสรรคมากมายข้างหน้าและเริ่มทำตามเป้าหมายทันทีโดยไม่เสียเวลา นอกจาก แน่นอน นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเขา เขาอาจจะเป็นพวกที่เรียนเพราะชอบเรียนก็ได้ พวกคงแก่เรียน

เด็กชายยังอายุน้อยและแม้จะมีศักยภาพสูง เขาอาจจะไม่กลายเป็นอะไรก็ได้ แต่ก็อาจเป็นสิ่งพิเศษมากเช่นกัน

“เราวางครูไว้ที่แรนซัมคนหนึ่ง” เดลโครอิกซ์พูด

“ใช่ครับนายท่าน” เสียงกระซิบตอบ

“บอกให้เขาสังเกตการณ์เด็กคนนั้น”

“ครับนายท่าน” สายลมกรูผ่านไปจากนั้นนอกหน้าต่างซึ่งไม่เคยมีอะไรอยู่แล้วก็ว่างเปล่า รถม้าทิ้งเมืองไว้ข้างหลัง วิ่งขึ้นเนินเขาสู่คฤหาสน์

ถ้าเด็กคนนั้นไม่สนใจในเวทย์มนตร์ แม้จะไม่น่าเป็นไปได้ ก็ไม่น่าเสียดายอะไร ถ้าดูจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น นั่นอาจเป็นทางที่ปลอดภัยกว่ามาก ที่แผนกเองก็ต้องการเสมียนหรือเลขานุการอยู่เสมอ

ในทางกลับกัน ถ้าเขาต้องการพลังที่คนส่วนใหญ่เอื้อมไม่ถึงจริงๆ เดลโครอิกซ์มีที่ในอุดมคติที่จะปั้นแต่งเหล่าคนที่เพิ่งมีพลังนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ และหากควบคุมไม่ได้ รู้ไว้ก่อนย่อมดีกว่ารู้ช้าไป และยิ่งดีที่สุดถ้ารัฐมนตรีกระทรวงชี้แนะเป็นผู้รู้ อย่างไรเสีย งานของเขาก็คือการทำให้แน่ใจว่าพลังแบบนี้จะไม่หลุดรอดจากการตรวจสอบไป เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นย้ำเตือนเขาชัดยิ่งกว่าชัด



รอใส่บทที่ 3

  



Look down one's nose at someone/something เป็นสำนวน หมายถึงตัดสินว่าคนอื่นหรือสิ่งอื่นไม่สำคัญเท่าตัวเอง /อันนี้ว่าจะแปลง่ายๆว่าถูกเมินแล้วนะ แต่ดันเจอเล่นคำย่อหน้าถัดไปเนี่ยสิเลยต้องแปลแบบตรงตัว/ แต่แปลตรงตัวก็เข้าใจอยู่นะคะ (หรือเปล่า) แบบเวลามองคนอื่นผ่านปลายจมูกนี่เราต้องเชิดหน้าขึ้นน่ะเนอะแล้วหรี่ตามองลงมา น่าเสยคางมาก