วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 65

บทที่ 65 – งานเลี้ยง (16)

อารีเลียมาถึงพื้นที่หลังห้องโถงที่จัดไว้สำหรับเธอ ถอดเครื่องแบบออกและเปลี่ยนเป็นเดรสหรูหรา พอแต่งหน้าเสร็จเธอต้องไปยืนต่อหน้าคนอื่นในฐานะอารีเลีย เจ้าหญิงลำดับสามของจักรวรรดิ ไม่ใช่นักเรียนอาเรีย

มันเป็นพิธีการที่เธอคุ้นเคยมากอยู่แล้ว แต่ทำไมจึงรู้สึกอึดอัดนัก?

วันนี้เสื้อรัดทรงรัดแน่นเป็นพิเศษ ไม่เหมือนเครื่องแบบโรงเรียน ชุดเดรสที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับให้ความรู้สึกเทอะทะ แต่เธอไม่ได้รำคาญมันเพราะนี่ควรเป็นเรื่องปกติ นี่คือหน้าที่ มากับสิทธิที่เธอใช้ประโยชน์มานาน ดังนั้นเธอจะออกไปยังห้องโถงอย่างสง่างาม แต่ก่อนหน้านั้น เธออยากพักหายใจสักหน่อย

เมื่อแต่งหน้าเสร็จ อารีเลียตรงไปที่ระเบียง

“เจ้าหญิงจะไปไหนคะ?” หญิงรับใช้ที่กำลังยุ่งกับการเลือกอัญมณีให้เจ้าหญิงถาม

อารีเลียมองนาฬิกาแขวนผนัง “ข้าจะไปพักที่ระเบียงสักหน่อย เรายังมีเวลาอีกเยอะใช่ไหม?”

หญิงรับใช้อยู่กับเธอมานานที่สุดและเป็นพี่เลี้ยงของเธอด้วย “อย่าไปนานนะคะ ยังต้องทำผมให้เรียบร้อยอีก” เธอมีสีหน้าขอโทษ

อารีเลียยิ้ม “ข้ารู้ ข้าคงทำตัวเหมือนเด็กไม่ได้ในวันแบบนี้”

บรรดาหญิงรับใช้ยุ่งกับงานต่อขณะที่อารีเลียออกไปที่ระเบียง พี่เลี้ยงเข้าใจจึงเรียกหญิงรับใช้ที่จะตามเธอไปกลับมา อารีเลียไม่ได้ไปไหนไกล พี่เลี้ยงจึงยอมอ่อนข้อให้บ้าง

อารีเลียรู้สึกขอบคุณและสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ ตอนนี้เป็นปลายฤดูร้อน แต่อากาศเย็นเพราะเป็นตอนกลางคืน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวส่องแสงสว่าง

มาคิดดูแล้ว ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูร้อน

อารีเลียยิ้ม คิดถึงสุภาพบุรุษที่ใส่หน้ากากสีขาวขึ้นมากะทันหัน ปรากฏตัวเหมือนภูติในตอนที่เธอกำลังหดหู่ ให้ความกล้าแก่เธอแล้วก็หายตัวไป มันเหมือนเขาที่เธอไม่รู้จักอาจปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

ใช่แล้ว เหมือนที่ตอนเจอกันครั้งแรก เขาปรากฏตัวอย่างกะทันหันเหมือนหล่นจากฟ้า และยิ้มเหมือนคนร้าย...

ทันใดนั้นเอง ของสีดำก็หล่นจากข้างบนมายังราวระเบียง ชายใส่หน้ากากสีขาวครึ่งหน้า ใส่สูทราคาแพง ถือดาบยาวเปื้อนเลือด มองอารีเลียและกล่าวทักทาย

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ อาเรีย?”

อารีเลียตอบไม่ถูกเพราะอึ้งไปกับการมาอย่างกะทันหันของลูแปง

เขาลงจากราวระเบียงและจับมือเธอ “หรือควรจะเรียกเจ้าว่าอารีเลียดี?”

ถือดียังไงมาเรียกชื่อเจ้าหญิงห้วนๆ? การกระทำที่ไม่ให้เกียรติแบบนี้ไม่ควรให้อภัย!

แต่ถึงอย่างนั้น อารีเลียก็พยักหน้าอย่างไม่ตั้งใจ

“เอาล่ะ อารีเลีย มันกะทันหันไปหน่อย แต่ไปเดทกับข้าไหม?”

“หา?”

ก่อนจะได้รับคำตอบ ลูแปงจับเอวเธอ “เดี๋ยวเจ้าจะรู้สึกเหมือนกำลังลอย พยายามทำใจให้ชินนะ!”

ตัวอารีเลียลอยขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาคว้าตัวเธอไว้แล้วกระโดด

ขอโทษนะพี่เลี้ยง ข้าคงไปสาย

อารีเลียขอโทษพี่เลี้ยงในใจเพราะเธอตะโกนบอกไม่ได้

*** 

ระหว่างผมกลับไปที่ห้องโถงก็คิดว่าจะทำยังไงดี

ในสถานการณ์แบบนี้มีทางให้เลือกหลายทาง แต่ก่อนอื่นคือต้องหนี!

มันเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด องค์กรที่ผมไม่รู้จักมีเป้าหมายที่เจ้าหญิงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม? ผมเป็นแค่ประชาชนคนเดินดิน ข้าราชการกินเงินเดือนธรรมดาไปช่วยเจ้าหญิงให้มันได้อะไรขึ้นมา?

ไม่ว่าจะคิดยังไง ปล่อยงานช่วยเจ้าหญิงให้เป็นหน้าที่ของอัศวินผู้กล้าหาญก็ดีกว่า แต่ผมไม่ได้เลือกหนีทันที แค่ตัวเองหนีไปเป็นเรื่องง่าย แต่เจ้าโง่กับเพื่อนๆยังอยู่ในห้องโถง ดังนั้นผมจึงควรพาเพื่อนหนีไปด้วย มองจากความเป็นจริงแล้วนี่เป็นทางที่ผมต้องเลือก

แต่การตามหาอัลฟอนโซกับแฟลมที่กำลังสำรวจโรงเรียนเวทมนตร์ และการเกลี้ยกล่อมให้ยูเรีย อลิซ และลิสบอนออกจากงานเลี้ยงมันใช้เวลานานเกินไป

ถ้าคิดแบบคนปกติ ถ้าเสียงระเบิดใช้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของยาม ไม่นานพวกเขาจะรู้ตัว ดังนั้นฝ่ายร้ายต้องรีบทำงานให้สำเร็จ ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าจะเกิดเรื่องก่อนพวกผมจะหนีไปได้ แน่นอน มันอาจไม่เป็นไปตามการคาดเดาของผม เจ้าหญิงอาจจะไม่ใช่เป้าหมาย ถึงจะแปลกที่มาเกิดเรื่องในงานวันเกิดของเจ้าหญิง แต่เป้าหมายของฝ่ายร้ายอาจเป็นเพื่อระเบิดโรงเรียน

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น การที่ลุงไปทางต้นเสียงระเบิดก็ดีแล้ว แน่นอนว่าผมสรุปไม่ได้ทุกอย่างจากแค่ที่เขาเปรยออกมา ผมจึงหนีไปโดยไม่บอกเขาว่านี่อาจเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ 

ทางเลือกอีกทาง ซึ่งผมลังเลอย่างมาก คือช่วยเจ้าหญิง หรือพูดให้ถูกคือช่วยเธอทางอ้อม ด้วยการขัดขวางพวกที่จะมาลักพาตัวเธอด้วยการลักพาตัวเธอไปก่อน ความยากจะเพิ่มขึ้นมาก แต่มันช่วยไม่ได้

ถ้าเกิดความวุ่นวายขึ้น เป็นไปได้มากว่าเจ้าโง่กับยูเรียจะออกหน้า ผมแค่เดานะ แต่ยูเรียต้องรู้ว่าเจ้าหญิงปลอมตัวมาเป็นนักเรียน เป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าลุงวิลเลียมของเธอขอให้เธอเป็นผู้คุ้มกัน ยูเรียนั้นป้องกันตัวเองได้เพราะเธอใช้เวทมนตร์

แต่ผมห่วงด้านลิสบอน เขาคงยับยั้งความใจอ่อนของตัวเองไม่ได้และออกมาสู้โดยไม่สนว่าตัวเองไม่มีอาวุธ จากนั้นผมก็ต้องออกไปช่วย แล้วชีวิตสงบสุขของผมก็จะล้มครืน

เวร! เพราะอย่างนี้ถึงต้องระวังในการคบหาเพื่อน!

เพราะอย่างนี้ผมถึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับเจ้าโง่นั่น แต่มันช่วยไม่ได้ เพราะเราเป็นเพื่อนกันแล้ว ผมรู้สึกเหมือนอยากตัดหัวตัวเองทิ้ง ถอนหายใจ เปิดกระเป๋ามิติและหยิบหินพลังเวทขนาดเท่านิ้วสองนิ้ว กับดวงตาของปีศาจโฮรุส

ชิ เอามาใช้ตอนนี้มันเปลืองไปหน่อยนะ

ปีศาจโฮรุสเป็นปีศาจบินได้ที่ขนาดนักรบที่ท่องป่าโอลิมปัสเหมือนเป็นบ้านตัวเองยังรับมือได้ยาก ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ในหมู่บ้านที่มีชิ้นส่วนปีศาจล้นเหลือยังถือดวงตาโฮรุสเป็นวัตถุดิบเวทมนตร์ที่สำคัญ ราคาของมัน ถ้าขายให้หอคอยเวทมนตร์ สามารถเอาไปซื้อคฤหาสน์ใหญ่เท่าวังและยังมีเงินเหลือ

แต่ดีว่าถึงใช้ไปตอนนี้ก็ยังมีเหลือในกระเป๋ามิติอีก เอ่อ ห้องเก็บของของผู้เฒ่าเมอร์ปาว่างเปล่าเท่ากับที่กระเป๋ามิติของผมเต็มแน่น แต่ไม่เป็นไร

ก่อนหนีออกจากบ้าน ผมไปขโมยของจากห้องเก็บของส่วนตัวของผู้เฒ่าเมอร์ปา ไม่รู้ว่านางรู้ตัวแล้วหรือยัง เพราะว่านางเก่งเรื่องใช้ให้ลูกศิษย์ทำงานจิปาถะจึงเป็นไปได้ว่ายังไม่รู้เรื่องนี้

วันหลังเลี้ยงข้าวฉันด้วยล่ะ เจ้าโง่!

ผมใช้คาถาตาทิพย์โดยใช้ดวงตาโฮรุสเป็นตัวเร่ง ปกติแล้วคาถาตาทิพย์แค่ให้ผลเหมือนกล้องส่องทางไกล แต่ถ้าใช้ดวงตาโฮรุสเป็นตัวเร่งจะสามารถมองจากด้านบนเหมือนดาวเทียม

ผมปิดตาและค่อยๆมองทุกซอกทุกมุมของโรงเรียนเวทมนตร์เหมือนใช้กูเกิ้ลแมพ กลุ่มคนใส่หน้ากากดำแบ่งเป็นสามกลุ่ม อยู่ที่บริเวณที่เกิดระเบิด, ประตูหลัง, และหลังคาโรงเรียนเวทมนตร์ มองแล้วก็เดาได้ว่าเป็นทีมเบี่ยงเบนความสนใจ, ทีมลักพาตัว, และทีมเตรียมทางหลบหนี ทีมเบี่ยงเบนความสนใจเพิ่งพบกับลุงบลัดดี้

ผมยกเลิกคาถาแล้วบินขึ้นไปที่หลังคาโรงเรียน

“เฮคโตปาสคาล คิก!”

คนสวมหน้ากาก ไขว้แขนป้องกันท่ากระโดดเตะลอบทำร้ายของผมไว้ทัน

แต่ดูเหมือนซี่โครงและแขนของเขาทนความโกรธรวมถึงความเสียดายที่ต้องเสียตัวเร่งมีค่าไปของผมไม่ได้และหัก แม้จะดูเหมือนตายไปแล้ว แต่ได้ยินเสียงครางอ่อยๆ แปลว่ายังไม่ตายแน่นอน

ดี เหมือนจะใกล้บรรลุการควบคุมแรงไปอีกขั้น

บางทีอาจเป็นเพราะคนที่ผมเพิ่งจู่โจมไปมีความอึดขั้นแมลงสาบก็ได้ แต่คิดในแง่ดีไว้ก่อนแล้วกัน

“สาม!”

“เจ้าบังอาจทำร้ายอินทรีสาม!”

พวกนายเป็นพี่น้อง 5 อินทรีเหรอ? ที่มากันเยอะๆเพราะอย่างนี้เหรอ?

มีพวกหน้ากากดำ 10 คน รวมที่ล้มไปแล้ว

พวกหน้ากากดำชักดาบแล้วโจมตีผม ผมหดคอหลบดาบที่ฟันขวางใส่ที่คอ อีกดาบเล็งที่ขา ผมกระโดดเป็นแนวขวางเหมือนกำลังนอน ไม่โดนดาบที่ฟันผ่านศีรษะไป

จากนั้น หน้ากากดำอีกคนแทงดาบระหว่างช่องว่างเข้ามาที่ตัวผม

ผมกลั้นหายใจและบิดตัวกลางอากาศสุดแรง หลบดาบไปได้อย่างเฉียดฉิว ระหว่างบิดตัวผมเตะสีข้างหน้ากากดำคนหนึ่ง ใช้แรงสะท้อนหมุนร่างไปทางตรงข้ามและเตะท้ายทอยของชายอีกคนที่โจมตีคอผมลงพื้น

“อั่ก!”

คนที่ถูกเตะที่สีข้างกุมสีข้างตัวเองแน่น หายใจหอบ คนที่ถูกเตะจนหัวจมหลังคานอนนิ่งไม่มีแม้แต่เสียงร้อง เป็นหรือตายไม่รู้

เฮ้อ โล่งอก! ดูเหมือนประสบการณ์หลบนาคานพเศียรของพี่รองยังอยู่ ไม่เหมือนตอนสู้กับพี่ชายของผม ผมสามารถหลบโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์เพราะเป็นแค่การโจมตีสามครั้งจากสามทิศทางพร้อมกัน

“แปด! เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

ไม่มีคำตอบ ดูเหมือนศพทั่วไป

“แก!”

คนที่หัวฝังหลังคาต้องใช่หมายเลข 8 แน่

แม้จะโกรธ แต่พวกหน้ากากดำไม่ใจร้อนโจมตีเข้ามา แต่พวกเขา 7 คนล้อมผม

สองคนล้มไปแล้ว น่าจะเหลือ 8 คน อีกคนอยู่ไหน?

ผมกวาดตามอง คนที่ถูกเตะที่สีข้างกำลังใช้เวทรักษาให้หมายเลข 3 คนที่ผมล้มไปเป็นคนแรก ดูจากความสาหัสของอาการบาดเจ็บแล้วคงไม่แปลกถ้าเขาจะข้ามแม่น้ำไปโลกหลังความตาย เลยต้องปฐมพยาบาลไว้ก่อน

เขาเป็นนักเวท แต่ใช้ดาบเก่งพอดู ไม่น่าเชื่อว่าผมจะมาเจอนักดาบเวทที่นี่ แต่ดูเหมือนเวทมนตร์ที่เขาใช้จะต่างไป

มันใช่เวทธรรมดาเหรอ? แต่ผมรู้สึกเหมือนเห็นเวทแบบนี้มาก่อน เอาเถอะ ถ้าศัตรูรอบคอบก็จะรับมือยาก ขณะผมคิดหาวิธียั่วโมโหอยู่นั้น...

“แก...! หน้ากากนั่น!”

หน้ากากดำคนหนึ่งชี้มาที่ผมเหมือนนึกอะไรได้

หรือว่าเราจะเคยเจอกันมาก่อน?


สารบัญ                                           บทที่ 66




หวังว่าพ้นบทงานเลี้ยงแล้วจะเรื่องจะไม่โฟกัสที่เจ้าหญิงอีกนะ... แปลวนไปวนมา รู้สึกอยากคว่ำโต๊ะ หรือจะเป็นความตั้งใจของคนเขียนที่ทำให้รู้สึกถึงความอึดอัดและการพยายามแสวงหาตัวตนของเจ้าหญิง?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น