วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 64

บทที่ 64 – งานเลี้ยง (15)

“อัศวินผู้ทรงเกียรติ ผู้รู้จักคุยด้วยเหตุผล มาเหวี่ยงดาบไต่สวน ต้องมีสาเหตุแน่ ข้าคิดว่าเพราะคนที่ท่านจงใจโจมตีโดยไม่ให้ทันตั้งตัวต้องเป็นคนชั่วร้ายมาก”

เอาล่ะ ผมต้องแยกตัวเองออกจากกลุ่มคนชั่วร้ายมาก

“โอ้ แน่นอนว่าข้าเป็นแค่โจรกระจอก ถ้าเจอคนชั่วร้ายพวกนั้นข้าย่อมต้องหนีทันที”

“แล้วไง?”

ดี ยังฟังคำพล่ามอยู่

“ดูจากที่ท่านเข้าใจผิดว่าโจรอย่างข้าเป็นพวกเดียวกับคนชั่วร้ายกลุ่มนั้น แสดงว่าข้อมูลที่ท่านได้คือพวกคนชั่วจะมาที่โรงเรียน”

เดี๋ยว ไม่ใช่แล้ว! ลุงบลัดดี้รู้ได้ยังไงว่าพวกคนชั่วจะมาที่นี่?

“พูดต่อสิ”

เมื่อผมนิ่งคิดและไม่พูดต่อ ลุงบลัดดี้ก็เร่งด้วยความสนใจ ผมรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ แต่เรื่องจำเป็นที่สุดตอนนี้คือหนีจากลุงบลัดดี้

“ถ้าเหตุผลของข้าถูกต้อง พวกคนชั่วมาวันนี้ แต่ข้าไม่ใช่พวกเขา ดังนั้น ระหว่างที่ท่านอัศวินเสียสมาธิไปกับข้า พวกคนชั่วสามารถบุกเข้ามา-”

บูม!

ผมถูกตัดบทด้วยเสียงระเบิดจากที่ไกลๆ

“-มันเป็นไปได้ ใช่ไหม?”

ลุงบลัดดี้มองไปทางที่เกิดระเบิด

“เวร!”

ผมถอยจากลุงที่มีสีหน้าร้อนรน

“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัว”

ลุงบลัดดี้เหมือนจะเตรียมวิ่งไปตรงที่เกิดระเบิด แต่แล้วก็ชี้ดาบมาทางผม

“เดี๋ยว เจ้าก็มาด้วย!”

“อะไร?! ทำไมล่ะ?!”

ผมไม่อยากยุ่งกับพวกคนที่ผมตั้งชื่อให้ชั่วคราวว่า ‘กลุ่มคนชั่วที่สมควรถูกลอบแทงข้างหลังโดยไม่เตือนล่วงหน้า’

“เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าเจ้าก็เป็นคนน่าสงสัย?”

เอ่อ ก็จริง ผมใส่หน้ากากกินเป็ดบนหลังคาสถานที่จัดงานฉลองวันเกิดของเจ้าหญิง ถ้าผมเป็นลุง ผมคงเหวี่ยงเลื่อยเป็นการเปิดฉากการสนทนา

“ไม่ มองดวงตาอ่อนโยนของข้าสิ น่าสงสัยตรงไหน?”

ผมทำให้ดวงตาสดใสเท่าที่จะทำได้ ดูตาที่เป็นประกายด้วยความอ่อนโยนของข้าสิ!

“เลิกทำสายตาสกปรกอย่างนั้นได้แล้ว ไม่มีเวลาแล้ว จะมากับข้าหรือตาย เลือก!”

สายตาสกปรก! โหดร้ายมาก! เค้าเสียใจนะ!

“ให้ข้าไปก่อนไหม?”

ด้วยดาบที่ชี้มาที่ผม ผมไม่มีทางเลือกนอกจากนำทางไปตรงที่เกิดระเบิด

***

ดวงอาทิตย์ตกดินและงานเลี้ยงเริ่มขึ้น ห้องโถงเริ่มเต็มไปด้วยคนเมื่อเหล่าขุนนางในเมืองหลวงทยอยเดินทางมาถึง

วงดนตรีคลาสสิกอยู่ด้านหนึ่งของห้องโถง เติมเต็มพื้นที่ด้วยเสียงเพลง อาหารหลากหลายตั้งตรงกลางห้อง กลิ่นหอมกระตุ้นความอยากอาหารของผู้มาในงาน

อารีเลียเดินในห้องโถงในเครื่องแบบโรงเรียนเวทมนตร์ที่วิลเลียมทำขึ้นอย่างตั้งใจ เกิดเป็นเจ้าหญิง อารีเลียเคยไปงานเลี้ยงมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกสนุก ปกติในงานแบบนี้เธอจะถูกห้อมล้อมด้วยผู้ใหญ่ที่มีรอยยิ้มโลภมาก บรรดาพี่น้องของเธอก็เจอแบบเดียวกัน แต่คราวนี้มันต่างไป ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นเจ้าหญิง และที่อยู่รอบข้างคือเพื่อนที่มองเธอเพราะเป็นเธอ ไม่ใช่ในฐานะเจ้าหญิง

“ยูเรีย! อาเรีย! คนนั้นกินสำลีอยู่ล่ะ!” อลิซชูขนมสายไหมเหมือนมันเป็นของแปลกมากและเรียกคนทั้งสอง

“จริงด้วย เขากินของตกแต่งจาน!” ยูเรียมองสุภาพสตรีคนหนึ่งที่กำลังกินขนมสายไหมเหมือนมองของแปลก

“อุ๊บ ฮ่าๆๆ”

อารีเลียหัวเราะเพราะพวกเธอน่ารักมาก เธอจะไม่รู้สึกดีได้อย่างไรกับคนไร้เดียงสาเหล่านี้ หลังจากเจอแต่ผู้ใหญ่ที่เหมือนงูเจ้าเล่ห์แต่ปิดซ่อนไว้

“อลิซ ยูเรีย นั่นเป็นขนมที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่สตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวง” อารีเลียบอก

อลิซและยูเรียดูไม่แน่ใจ

“อะไรนะ?! กินสำลีเหรอ?!” อลิซมองอารีเลียอย่างไม่เชื่อ

อลิซเป็นลูกของตระกูลขุนนางแต่มาจากบ้านนอกห่างไกล เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้วก็ไม่เคยร่วมงานเลี้ยงที่ไหนเพราะการเตรียมสอบและปรับตัวเข้ากับโรงเรียน การกินสำลีที่เหมือนใช้เป็นของตกแต่งเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อสำหรับเธอ

ยูเรียรู้สึกเหมือนกัน อาจจะยิ่งกว่าอลิซเสียอีก การโตมาในเผ่าผีเสื้อในฐานะผู้มีพรสวรรค์ กระทั่งไอศกรีมที่กินคราวที่แล้วก็เป็นเหมือนโลกใหม่สำหรับเธอ ไม่ต้องพูดถึงสายไหม

อารีเลียยิ้มและฉีกสายไหมที่อลิซถืออยู่เอาเข้าปาก เธอยิ้มจนแก้มบุ๋มเมื่อความหวานกระจายในปาก

“ลองสิ”

อารีเลียกินให้ดู แต่อลิซกับยูเรียมองสายไหมด้วยสายตาสงสัย

“ย้าก!” ยูเรียหลับตาแน่น ฉีกสายไหมออกมาแล้วเอาเข้าปาก

มันละลายทันทีในปาก กลายเป็นน้ำหวานและความหวานครอบปาก

“หวาน?!” ยูเรียตาเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ ความสงสัยใคร่รู้ของนักเวทเกิดขึ้นและเธอเริ่มสงสัยว่ามันทำอย่างไร

เมื่อยูเรียกินอีก อลิซก็ลองกินชิ้นเล็กๆด้วย

“หวาน!”

ระหว่างอลิซกับยูเรียกำลังจมอยู่กับสายไหม ระฆังบอกเวลา 3 ทุ่มก็ดังขึ้น

ได้เวลาที่อารีเลียแสดงตัวในฐานะเจ้าหญิงแล้ว

“ขอโทษนะ ข้ามีนัดกับคนอื่น แต่เดี๋ยวข้าจะกลับมา” อารีเลียฉีกขนมสายไหมอย่างเสียดาย

ยูเรียที่รู้เรื่องพยักหน้า ส่วนอลิซที่ไม่รู้ก็ผงกศีรษะด้วยโดยไม่คิดอะไร

พออารีเลียไป อลิซก็มองรอบๆ “คราวนี้มิลเปียไปไหนแล้วล่ะ?”

มิลเปียหายไปตอนไหนไม่รู้ เหลือแต่อลิซกับยูเรีย เมื่อมองรอบๆอลิซเจอแต่ลิสบอน ซึ่งกำลังคุยและเต้นรำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จัก ช่างเก่งเรื่องการเข้าสังคมจริงๆ

“อลิซ ดูนั่น!”

ขณะอลิซนับถือความเข้ากับคนง่ายของลิสบอน ยูเรียก็เรียกแล้วชี้ไปที่น้ำพุช็อกโกแล็ต

“โอพระเจ้า!”

เด็กสาวทั้งสองสนุกกับงานเลี้ยงในแบบของตัวเอง

***

ขณะที่ผมตรงไปยังที่มีเสียงระเบิดก็คิดหาทางหนีไปด้วย ถ้าผมหนี ลุงบลัดดี้ที่กำลังปล่อยวรยุทธ์จ่อหลังผมต้องฟันใส่ทันทีแน่

แต่มีบางอย่างที่แปลก

ถ้าเหตุผลของผมถูก ลุงและผู้นำคนอื่นคงรู้อยู่แล้วว่าจะมีกลุ่มคนร้ายปรากฏในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของอารีเลีย จึงเกิดสมมติฐานขึ้นมาสองข้อ

หนึ่ง เป้าหมายของคนร้ายคือเจ้าหญิงอารีเลีย สอง สถานการณ์นี้คือกับดัก

ผมไม่รู้ทำไมคนร้ายจึงมีเป้าหมายที่อารีเลีย แต่ดูจากที่ลุงและผู้นำคนอื่นรู้ ผมคาดได้อย่างรวดเร็วว่าเธอถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ

เหตุผลที่ลุงบลัดดี้ดูงุ่นง่านคงเพราะเขาไม่ชอบที่เด็กอย่างอารีเลียถูกใช้เป็นเหยื่อล่อและเสียใจแทนเธอ

ที่ผมเห็นว่าแปลกไม่ใช่ที่ลุงผู้ไม่ชอบเอาคนอ่อนแอเข้ามาเกี่ยวเห็นด้วยกับการใช้เธอเป็นเหยื่อล่อ การพูดกดดันเขาไม่ใช่เรื่องยาก ที่ผมสงสัยคือเรื่องระเบิด

ว่าตามเหตุผลของผม เป้าหมายของคนชั่วคือลักพาตัวหรือลอบสังหารอารีเลีย ปกติงานแบบนั้นต้องทำอย่างลับๆ

แต่ มาระเบิดกันตูมตามแบบนี้? ต่อให้งานเลี้ยงเลิกไปก็ไม่แปลกเลย

“ขออภัย ท่านอัศวิน ข้าขอถามสักข้อได้ไหม?”

“อะไร?”

“ทำไมโถงจัดงานเลี้ยงเงียบทั้งๆที่เกิดระเบิดเสียงดังขนาดนั้น?”

ถ้ามีระเบิดก็ควรจะมีคนกรีดร้องและหนี แต่มันกลับเงียบ

ลุงบลัดดี้ตอบสบายๆ “เห็นพวกเขาว่าจะร่ายคาถากันเสียงเอาไว้ คนในงานคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีระเบิดเกิดขึ้น”

ประทานโทษ? เรื่องแบบนี้มันเป็นความลับไม่ใช่เหรอ?

บอกกันง่ายๆแบบนี้ออกจะน่ากลัว แต่เป็นคนอื่นผมคงคิดว่าลุงตั้งใจจะฆ่าผมปิดปากหรือจับอยู่แล้ว แต่ก็นะ ลุงแค่เป็นคนซื่อ

“ถ้าอย่างนั้นงานเลี้ยงจะจัดต่อเหรอ?” ผมถาม

“น่าจะอย่างนั้น”

ผมหยุดเดิน

“มีอะไร? ทำไมหยุดล่ะ? ข้าบอกแล้วนะว่าเราไม่มีเวลา”

“สักครู่ ขอข้าคิดก่อน”

จักรวรรดิกับองค์กรที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับจักรวรรดิ องค์กรมีเป้าหมายที่เจ้าหญิงเพื่อเหตุผลบางอย่าง จักรวรรดิใช้เจ้าหญิงเป็นเหยื่อล่อ เกิดการระเบิด โถงจัดงานเลี้ยงถูกครอบด้วยคาถาปิดกั้นเสียง ลุงบลัดดี้บอกข้อมูลที่น่าจะเป็นข้อมูลลับกับผมง่ายๆ

เดี๋ยวก่อน มันใช่ข้อมูลลับเหรอ?

ต่อให้ความคิดของลุงบลัดดี้จะเรียบง่ายแค่ไหน เขาเป็นคนรู้จักเก็บความลับ แต่เขาบอกออกมาง่ายๆโดยไม่ทำหน้าเหมือนรู้ตัวว่าหลุดปาก สรุปคือ นี่ไม่ใช่ความลับ

ถ้าองค์กรศัตรูของจักรวรรดิมีความสามารถในการเก็บข้อมูลไม่ด้อยไปกว่าป้าข้างบ้าน เป็นไปได้ว่าพวกเขาต้องรู้แล้ว

มาคิดกันใหม่ เกิดระเบิดขึ้น โดยสามัญสำนึกแล้วถ้ามีเสียงดังขนาดนั้น กำลังรักษาความปลอดภัยต้องตรงไปที่เกิดระเบิด ในเวลาเดียวกัน งานเลี้ยงดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ข้าคิดเสร็จแล้ว”

ลุงบลัดดี้ทำหน้างง ก็นะ มันก็ดูพิลึกจริงที่ผมพูดว่าคิดเสร็จแล้วภายใน 10 วินาที

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ อ๊ะ! คนใส่หน้ากาก!”

ลุงบลัดดี้หันไปทางที่ผมชี้ ดีจริงๆที่เขาซื่อ ผมไขว้นิ้ว

“คาถาแยกเงาพันร่าง!”

บรรดาร่างปลอมของผมแยกย้ายหนีไปทุกทิศทาง ผมปะปนกับร่างปลอมเหล่านั้นและหนีไป

เหลือบมองด้านหลัง ลุงบลัดดี้มีสีหน้าว่างเปล่าก่อนจะทำหน้าเหมือนเข้าใจแล้วก็โกรธ

“ไอ้เวร!”

ลุงสะบัดดาบอย่างรวดเร็วและสลายร่างปลอมของผมภายในเก้าครั้ง แต่ยังเหลือร่างปลอมอีกห้าร่างไม่รวมผม เขามองเหมือนคิดว่าจะไล่ตามดีหรือไปที่จุดเกิดระเบิดดี และสุดท้ายก็เลือกอย่างหลัง

ผมกลับไปที่ห้องโถง



สารบัญ                                            บทที่ 65


หุๆ ชอบตอนพระเอกทำตัวเป็นนักสืบ XD ใช้แยกเงาพันร่างได้ด้วยแฮะ

 

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 63

 บทที่ 63 – งานเลี้ยง (14)


“ห้ามลงมือ! ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ให้อภัย”

การสังหารคนไร้ความผิดนั้นผิดต่อหลักการของพฤษภ แม้ไม่ใช่เขาเป็นคนลงมือ แต่การเมินเฉยก็ผิดต่อหลักการของเขาเช่นเดียวกัน

มองพฤษภที่ยืนตั้งท่า พิจิกนั่นไขว้ห้างอย่างยั่วยวน “อุ๊ย เจ้าร้อนรนอะไร? ไม่ต้องห่วงหรอกที่รัก ข้าแค่มาดู”

“เจ้าพูดเรื่องอะไร?” พฤษภไม่เข้าใจ

พิจิกตอบเหมือนเขาไม่จำเป็นต้องรู้ “เจ้าแค่ดูไว้ก็พอ แน่นอน ข้าไม่รู้ว่าหลักการที่เจ้าเชื่อถือนักจะยอมให้เจ้ามองเฉยๆ”

“อะไร-”

“ข้าควรจะเสียใจที่ความสามารถหาข่าวของเจ้าต่ำดี หรือชื่นชมลางสังหรณ์เฉียบคมของเจ้าดี? เจ้าอยู่ที่นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆเหรอ?”

พฤษภงงกับคำพูดเหมือนบ่นของพิจิก “ข้าแค่...”

“เอาเถอะ ข้าไม่อยากรู้สถานการณ์ของเจ้า แต่ไม่ต้องห่วง วันนี้ข้าแค่มาดู” พิจิกพูดผ่านปากแดงยั่วยวนสีเดียวกับหน้ากากของเธอ “พวกเราทำแต่สิ่งที่พวกเราอยากทำ เป็นอย่างนั้นตลอดไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไรก็ตาม”

พิจิกหายไปพร้อมกับประโยคนั้น เหมือนเธอไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน

พฤษภก้มมองโรงเรียนเวทมนตร์ ใบหน้าใต้หน้ากากขมวดคิ้ว

***

แย่ที่สุด

ผมคิดว่า “ไม่มีทาง ไม่มีทาง” แต่ก็เจอกับเจ้าหญิงจนได้

ตอนนี้ ผมหาข้ออ้างสารพัดและหนีมาได้ แต่การที่อารีเลียใส่เครื่องแบบโรงเรียนเวทมนตร์กับที่เธอสนิทกัยูเรียและอลิซก็แปลว่าผมอาจเจอเธอได้ทุกเมื่อ

ผมอยู่แค่ไม่นานแต่ดูเหมือนเธอจะจำผมไม่ได้ แต่ว่า ชีวิตไม่เป็นไปตามที่เราต้องการเสมอหรอก จะว่าไปแล้วผมก็รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทิ้งลิสบอนไว้กับกลุ่มผู้หญิง

เอาเถอะ ลิสบอนรับมือได้น่ะ ผมตัดสินใจเลิกห่วงและจิ้มเนื้อเป็ดบนชามเข้าปาก

“อร่อย”

ผมใส่หน้ากากรบกวนการรับรู้ ปิดบังตัวตน และแอบเอาอาหารใส่กระเป๋ามิติ จากนั้นหลบไปยังระเบียงว่างเปล่า

ฉันจะกินดื่มแล้วค่อยกลับบ้านตามแผน ใครอย่าได้มาขวาง!

ถึงเป็นระเบียงก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ผมใส่หน้ากากจึงไม่น่าจะมีใครจำได้ แต่ถ้าคนที่ออกมายังระเบียงฝึกเวทมนตร์ก็มีโอกาสที่ผมจะถูกสังเกตเห็น และเพราะที่นี่เป็นโรงเรียนเวทมนตร์ที่คนใช้เวทมนตร์กันทำให้ผมยิ่งรู้สึกกังวล

ขึ้นไปกินบนหลังคาที่ไม่มีคนแน่ๆดีกว่า

ฮึบ!

ผมเหยียบราวระเบียง กระโดด จับพื้นระเบียงชั้นบนแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไป ผมขึ้นไปถึงหลังคาโดยการเหนี่ยวระหว่างขอบหน้าต่างกับท่อระบายน้ำ เงยมองท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์ตกดินแทบหมด ดาวเริ่มส่องแสงทีละดวงทีละดวง

“อร่อย”

ใส่ซอสอะไรถึงทำให้อร่อยแบบนี้นะ? ไว้แอบไปเอาในครัวดีกว่า

เพราะด้อยความสามารถด้านการใช้มือทำให้ผมทำอาหารไม่ได้ แต่ถ้าเอาไปให้คนครัวของหอพักพวกเขาต้องจัดการได้แน่ ตอนผมคิดว่าชาติก่อนผมต้องทำอาหารเก่งกว่าแน่ ก็นึกได้ว่าเคยทำแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หลังปลอบใจตัวเองเสร็จผมก็กินเนื้อเป็ดอีก

อร่อย!

ผมกินเนื้อเป็ด พลางดื่มแชมเปญให้ชุ่มคอ แชมเปญอัดแก๊สทำให้แสบคอ

แค่ก! ไม่มีแอลกอฮอล์เลย

น่าเสียดาย แต่ไม่รู้ทำไมจึงไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย แต่อย่างน้อยก็ดีที่มีเครื่องดื่มอัดแก๊ส ผมต้องเรียนเวทมนตร์สำหรับละลายแก๊สในน้ำทีหลัง

ชิ้ง!

ผมได้ยินเสียงดาบฟันผ่านอากาศจึงทิ้งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เห็นประกายดาบผ่านจุดที่ผมเคยอยู่

ผมมองคนไม่มีความคิดที่อยู่ๆก็เหวี่ยงดาบใส่ผมอย่างระวังตัว

“โฮ่ ว่องไวดีนี่?”

ชายคนหนึ่งถือดาบด้วยมือขวาและกำลังฉีกเนื้อติดกระดูกจากมือข้างซ้ายมองผมยิ้มๆ

...ลุงบลัดดี้?

ทำไมลุงมาอยู่ที่นี่?

ผมเก็บบัตรประจำตัวข้าราชการที่ห้อยคออยู่เข้าไปในกระเป๋ามิติ ปล่อยคำถามว่าทำไมลุงบลัดดี้มาลอบจู่โจมผมไปก่อน ต้องออกจากที่นี่ก่อน

“โอ๊ะๆ คิดจะไปไหน?”

ลุงบลัดดี้โยนรัศมีดาบตัดทางที่ผมจะหลบไป ผมม้วนตัวหลบ

“ประทานโทษ? ข้าทำผิดอะไรเหรอ?”

ผมพยายามหนีก็จริง แต่จิตสังหารที่รู้สึกจากเขามันแรงมาก จะปล่อยให้เป็ดในจานหกก็น่าเสียดาย ผมจึงยัดมันเข้าปาก

อร่อย!

ลุงบลัดดี้กัดเนื้อแล้วตอบ “เปล่า ไม่ได้ทำผิดแต่เจ้าดูน่าสงสัยมากกว่า ดังนั้นข้าจะฆ่าเจ้าก่อน”

อ้อ อย่างนี้นี่เอง

เหตุผลเข้าใจได้ แต่ผมคงไม่อยู่เฉยให้ตัวเองถูกฆ่า ที่จริงแล้วผมรู้ว่าลุงไม่คิดจะฆ่าเพราะเขาทำเสียงตอนชักดาบ แต่ที่พูดว่าจะฆ่าก็ไม่ใช่ขู่เฉยๆเหมือนกัน ความคิดของเขาน่าจะเป็นถึงผมตายก็ช่าง

“ว่าแต่ ข้าเพิ่งเคยเห็นหน้าเจ้าเป็นครั้งแรกใช่ไหม?”

ไม่ใช่!

ถ้าอย่างนั้นใครกันที่ก่อกวนข้าทุกครั้งเวลากลับมาเที่ยวบ้าน บุกห้อง ทิ้งหนังสือโป๊ไว้ทั่วห้องแล้วเรียกพวกพี่สาวของข้ามา?

แน่นอน หนังสือพวกนั้นข้าเก็บไว้ในกระเป๋ามิติและใช้มันอย่างดี

แล้วอีกอย่าง ข้าใส่หน้ากากอยู่นะ หมายความว่ายังไงที่บอกว่าเห็นหน้า?

ผมพูดสิ่งที่คิดในใจไม่ได้ ผมกลืนเนื้อเป็ดและพยายามพูดปลอบลุงบลัดดี้

“อร่อยเหาะ!”

ไม่ใช่แล้ว

เนื้อเป็ดอร่อยมากจนผมหลุดปากออกมา ลุงบลัดดี้หัวเราะลั่น

“ฮ่าๆๆ เจ้าเป็นคนตลกดี!”

ผมปฏิเสธทันที

“เป็นไปไม่ได้ ข้าเป็นคนจริงจัง ข้าเป็นคนจริงจังขนาดตอนเกิดยังคิดว่า ‘บ้าจริง ข้าเกิดมาจนได้’ และวางแผนอนาคตอย่างจริงจัง”

ส่วนใหญ่แล้วผมคิดอย่างจริงจังถึงวิธีสร้างชักโครกแบบมีที่ฉีดก้น แต่มาเรียกข้าว่าคนตลกได้ยังไง?

คนตลกต้องเป็นแบบกัลลาฮาดที่โดนหลอกบ่อยๆ คนแบบผมต้องเรียกว่าพวกทำลายบรรยากาศ

จริงๆนะ!

ลุงบลัดดี้หัวเราะ

ไม่! อย่างน้อยข้าก็จริงจังกว่าลุง!

ผมเกือบขาดสติ แต่สงบใจลงแล้วหาวิธีหนี เห็นอย่างนี้แต่ลุงบลัดดี้เคยเป็นผู้นำหน่วยนักรบที่ครองป่าโอลิมปัส แม้ที่นี่ไม่ใช่ป่า แต่ผมต้องเตรียมใจเห็นเมืองหลวงพังไปครึ่งเมืองถ้าลุงบลัดดี้ตั้งใจจะจับผม

ขณะผมคิดจะดึงไม้เท้าออกมาจากกระเป๋ามิติอยู่นั้น ลุงบลัดดี้โยนกระดูกทิ้งหลังจากกินเนื้อหมดแล้วและชี้ดาบมาทางผม

“เอาล่ะ ข้าถามจริงๆ เจ้าเป็นใคร? ตาชั่ง? ปลาคู่? หรือแกะ?”

“พูดเรื่องอะไร?”

ผมไม่เข้าใจคำถาม ถ้าอยู่ๆมาถามว่าผมเป็นปลาหรือตาชั่ง จะให้ผมตอบว่าอะไร?

แต่ลุงบลัดดี้คงคิดว่าผมพยายามหนี เขาดึงวรยุทธ์ออกมาคลุมดาบ แสงทะลักออกมาจากดาบเหมือนระเบิด ส่องรอบๆสว่าง

“ข้าบอกว่าข้าถามจริงๆ”

ผมปล่อยพลังเวทรับกับวรยุทธ์ของลุงบลัดดี้ “ข้าก็ตอบจริงๆ”

พลังเวทของผมกับวรยุทธ์ของลุงบลัดดี้ครอบคลุมพื้นที่ พยายามแย่งพื้นที่กัน ตรงที่พลังเวทกับวรยุทธ์ปะทะกันบิดเบือนและเกิดประกายไฟ

แย่ล่ะ ลุงตั้งใจจะฆ่าผมจริงๆ ถ้าผมไม่ระวัง พื้นที่รอบๆแทนที่จะพังอาจหายไปไม่เหลือร่องรอย

ลุงบลัดดี้ประหลาดใจและหัวเราะเมื่อเห็นผมดันรัศมีกลับโดยไม่ด้อยกว่า ไม่นึกว่าจะมาได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้นอกหมู่บ้าน...

“ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าเป็นใคร?” ลุงบลัดดี้ถามเหมือนจะให้โอกาสครั้งสุดท้าย

ผมยักไหล่ถามกลับ “เจ้าคิดว่าใครล่ะ?”

คิดว่าข้าเป็นใครกันแน่ถึงจะฆ่าแบบนี้?

“ไม่รู้ แต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเป็นผู้สืบทอดของ ‘เจ้านั่น’ ที่ข้าฆ่าไป หรือ ‘ฝาแฝด’ ที่ถูกวิลเลียมกับออฟินาฆ่าไป คิดว่าไง?”

เจ้านั่น? ฝาแฝด? จะว่าไปเขาพูดถึง ตาชั่ง ปลาคู่ กับแกะ ฟาร์มหรืออะไรนั่น?

แต่ตาชั่งไม่ใช่สัตว์ ผมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อพวกนี้มาก่อน

“หรือว่า นี่คือราศี มีคนชื่อสิงห์ด้วยใช่ไหม?”

ลุงบลัดดี้ยิ้มเย็นและพยักหน้า “เจ้ารู้ดี!” เขาตั้งท่าเหมือนจะสู้ในเดี๋ยวนั้น

“ดะ-เดี๋ยวก่อน! ข้าว่าเจ้าจับผิดคนแล้ว!”

เมื่อผมหยุดเขา ลุงมองเหมือนจะถามว่า ‘พูดเหลวไหลอะไร’

“พูดบ้าอะไร?”

แหม พูดเสียตรงอย่างนั้นทำให้พูดเหลวไหลต่อไม่ออก

“เท่าที่ข้าฟัง ดูเหมือนเจ้ากำลังหาสมาชิกหรือองค์กรที่ตั้งชื่อตาม 12 ราศีใช่ไหม?”

ลุงบลัดดี้เป็นคนซื่อ มาพูดให้เขาหวั่นไหวกันเถอะ

“แล้ว?”

“น่าเสียดาย เจ้าจับผิดคน ข้าไม่เคยได้ยินชื่อองค์กรแบบนั้นมาก่อน”

ผมพูดอย่างจริงใจ แต่ปฏิกิริยาของลุงบลัดดี้เย็นชา

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเหรอ?”

ผมคิดว่าถ้าซื่อๆแบบลุงต้องเชื่อแน่ ถึงอย่างนั้น หลานคนนี้ก็โล่งใจที่เห็นเขาเติบโตขึ้นหลังจากมาอยู่เมืองหลวง

ไหนใครบอกว่าถ้าเราจริงใจ อีกฝ่ายจะเข้าใจเรา? เอาเถอะ ผมก็ไม่โง่พอจะเชื่อเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว ปกติถ้าเราจะหลอกใคร เราต้องเอาความจริงส่วนหนึ่งไปผสม ถ้ามันดูเหมือนเรื่องโกหกก็ไม่ควรใส่ แต่เพราะผมไม่รู้ข้อมูลเลย ถ้าอย่างนั้นว่าไปตามน้ำแล้วกัน

เอาล่ะ ได้เวลาพูดมั่วแล้ว

“ลองคิดดูสิ เจ้าเหวี่ยงดาบใส่ข้าทันทีที่เจอข้า เพราะอะไร? เพราะข้าดูน่าสงสัย”

ลุงบลัดดี้พยักหน้า

ดี เขาแสดงว่ากำลังฟัง

“แน่นอนว่าข้าดูน่าสงสัย หน้ากากกับอาชีพของข้าเป็นแบบนั้น”

“อาชีพ?”

“ใช่ ข้าละอายที่ต้องพูดอย่างนี้แต่ข้าจน จึงหากินด้วยการลักเล็กขโมยน้อย ข้าอยากเล่าประวัติของข้าแต่เพราะต่างคนต่างไม่มีเวลา ข้ามไปเถอะ”

แรกเริ่ม ผมวางพื้นเรื่องด้วยการบอกว่าผมเป็นแค่โจรกระจอก

“มาดูที่เจ้าเหวี่ยงดาบกันอีกที ดูจากเครื่องแบบ เจ้าเหมือนอัศวิน ขั้นสูงเสียด้วย อัศวินผู้ให้ค่าเรื่องเกียรติและประเพณีกลับทิ้งเกียรติของอัศวินและเหวี่ยงดาบเพื่อการไต่สวน ใช่ไหม?”

ผมพูดช้าลง การพูดรัวเป็นปืนกลไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป สิ่งสำคัญคือให้อีกฝ่ายตั้งใจฟังคำพูดของผม

“เป็นอัศวินขั้นสูง ทักษะคงดีด้วย ข้าบอกได้เลยว่าทักษะของท่านอัศวินสูงส่งเมื่อดูจากการเหวี่ยงดาบที่ลื่นไหล”

ผมเปลี่ยนจากคำเรียกว่า ‘เจ้า’ เป็น ‘ท่านอัศวิน’ อย่างเป็นธรรมชาติ และลุงบลัดดี้พยักหน้าด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

โอโฮะ ชอบแบบนี้สินะ!


สารบัญ                                      บทที่ 64

 

กินไปสู้ไป สมเป็นลุงกับหลานกันจริงๆคู่นี้


วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 62

บทที่ 62 – งานเลี้ยง (13)


“อ้าว เดนนี่นา! มาเร็วนี่!”

แฟลมคอตกและหันกลับ แต่มองเห็นผมและโบกมือ

จำคนผิดแล้วครับ

ผมหันหน้าหนีทำเป็นไม่รู้จักเขา แต่สายไปแล้วเพราะแฟลมตรงมาทางผมด้วยสีหน้าสดใส

“คนรู้จักของเจ้าเหรอ?” อลิซถามอย่างไม่อยากเชื่อ

ไม่ใช่ ตอนนี้ฉันไม่รู้จักเขา

ผมหลบสายตาของอลิซ แฟลมที่ตรงมาทางผมเห็นคนอื่นๆและทักทาย

“คุณลิสบอนก็อยู่ด้วย ไม่ได้เจอกันนานนะครับ”

แฟลมเดินไปหาลิสบอนและเขย่ามืออย่างเป็นธรรมชาติ

“ครับ ไม่เจอกันนานเลย”

มองลิสบอนจับมือกับแฟลมที่ดูไม่เหมือนคนมีมารยาท อลิซเหมือนกระต่ายที่กำลังมองหมีถูกจับ

“ฮ่าๆ พูดตามสบายก็ได้ครับ”

“อ้อ เอ่อ...อืม”

เขาก็ยังรู้สึกไม่สะดวกใจเวลาพูดตามสบายเหมือนเดิม

“คนนั้นเป็นใคร?”

อลิซดูไม่อยากเชื่อที่ผมกับลิสบอนรู้จักแฟลม

“โอ้! อัลฟอน ไม่เจอกันนานเลย!”

“อื้ม นานเลย!”

แฟลมกอดอัลฟอนโซเหมือนเป็นเพื่อนสนิท 

“เอ่อ เป็นเด็กฝึกเหมือนกันน่ะ”

“เจ้ากำลังบอกว่าเป็นเพื่อนเจ้าใช่ไหม?” อลิซถาม

“เพื่อน... เอ่อ จะบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้”

อลิซถอนหายใจและมองผมเหมือนให้เลือกคบเพื่อนดีกว่านี้หน่อย

“เฮ้อ ช่วยบอกเขาด้วยนะว่าพฤติกรรมไม่สุภาพแบบนั้นมันอันตราย โดยเฉพาะในงานเลี้ยงของคนมีตำแหน่ง” อลิซหยุดแล้วพูดต่อ “เพราะเจ้าอาจเดือดร้อนไปด้วย”

“ฮ่าๆ เข้าใจแล้ว” ผมยิ้มและพยักหน้า

อลิซพูดไม่ผิด ศูนย์ฝึกไม่ได้ให้การเรียนมารยาทเข้าสังคมเป็นวิชาบังคับไปอย่างนั้น ถ้าทำตัวไม่สุภาพต่อหน้าคนตำแหน่งสูง ไม่เพียงแค่เกียรติของข้าราชการจะเสียหายแต่เป็นไปได้ว่าข้าราชการคนนั้นอาจถูกสังหารตรงนั้น

แน่นอน ข้าราชการเป็นคนของจักรพรรดิ นอกจากคนตำแหน่งสูงคนนั้นจะมีอำนาจมาก ส่วนใหญ่ก็จะจบแค่ถูกตำหนิ แต่ผมเรียนจากชั้นเรียนมารยาทว่ามีกรณีที่ข้าราชการทำผิดพลาดและถูกสังหารทันทีโดยดยุคแอสทีเรีย หนึ่งในสองดยุคผู้ยิ่งใหญ่

นี่คือจักรวรรดิ การแบ่งแยกชนชั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเหมือนโลกในชาติก่อนของผม ถึงอย่างนั้น แฟลมไม่ใช่คนโง่ เขาคงไม่ทำตัวแบบนั้นต่อหน้าคนตำแหน่งสูง

แต่เผื่อไว้ก่อน ผมต้องปลุกเขาในคาบเรียนมารยาท

แฟลม ผู้กำลังคุยกับอัลฟอนโซ เดินโอบไหล่กันและกันมาทางผม เพื่อให้คนตัวสูงอย่างแฟลมและคนตัวเล็กอย่างอัลฟอนโซเดินโอบไหล่กันได้ แฟลมต้องงอเข่าเล็กน้อยและอัลฟอนโซต้องเขย่งเท้า

ผมถอนหายใจและจะเตือน แต่แฟลมพูดก่อน

“ฮ่าๆ ข้าจะไปสำรวจโรงเรียนเวทมนตร์กับอัลฟอนโซ เจ้ามาด้วยไหม?”

“ไปด้วยกันเถอะ! ไปไหม?” อัลฟอนโซพูด

“โรงเรียนเวทมนตร์เชียวนะ ต้องมีของน่าสนใจแน่!” แฟลมพูดต่อ

“ใช่ ใช่!” อัลฟอนโซเห็นด้วย

พวกเขาชวนผมด้วยดวงตาเป็นประกาย ว่าก็ว่าเถอะ อัลฟอนโซมาจากเผ่าผีเสื้อที่น่าจะมีเวทมนตร์มากกว่าโรงเรียนเวทมนตร์ ทำไมเขาตื่นเต้นนัก

“ไม่ล่ะ ข้าขอผ่าน” จากใจจริงเลย ยุ่งยาก

“เหรอ? น่าเสียดาย”

แฟลมกับอัลฟอนโซจากไปสำรวจโรงเรียนด้วยสีหน้าผิดหวัง

ผมก็ตั้งใจว่าจะกินให้อิ่มและหลบไปเหมือนกัน ระหว่างที่คิดอย่างนั้นผมก็ได้ยินเสียงยูเรีย

“อลิซ เดน!”

ยูเรียโบกมือและเดินออกมาจากด้านหลังห้องโถง

“เจ้าหายไปไหนไม่บอกก่อน?”

อลิซดึงแก้มยูเรีย เธอน้ำตาคลอ

“เจ็บ เจ็บ”

อลิซทำเสียงฮึ่มแล้วปล่อยแก้มยูเรีย จากนั้นเธอลูบนิ้วตัวเอง

“เจ้าแต่งหน้าเหรอ?” อลิซถาม

“ฮิๆ อืม”

ยูเรียหน้าแดงแล้วเหลือบมองผมด้วยเหตุผลบางอย่าง

“น่ารักดี”

ผมไม่เห็นความแตกต่างนัก แต่ก็ชมอยู่ดี ส่วนตัวผมไม่ชอบกลิ่นของเครื่องสำอางเพราะประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่นของผมอ่อนไหว

“ฮิๆ ขอบใจ”

“ฮึ ทั้งๆที่เจ้าบอกว่าไม่อยากแต่งตอนข้าถาม”

อลิซดูงอนเล็กน้อย

“แบบนี้น่ารักดี”

เดี๋ยว เธอเป็นซึนเดเระเหรอ?

ผมจะเสนอให้อลิซทำผมทรงทวินเทลทีหลัง ซึนเดเระต้องทวินเทล

ยูเรียมองรอบๆแล้วถาม “อัลฟอนโซไม่มาด้วยเหรอ?”

“เพื่อนศูนย์ฝึกเดียวกับเดนพาเขาไปสำรวจโรงเรียน”

“ศูนย์ฝึก? อ๋อ คุณแฟลมน่ะเหรอ?”

อลิซตอบเอื่อยๆ ยูเรียคิดครู่หนึ่งแล้วนึกขึ้นได้

“แฟลม?”

แฟลมเกี่ยวแขนอัลฟอนโซจากไปอย่างรวดเร็ว อลิซจึงไม่ได้แนะนำตัวกับเขาและไม่รู้ชื่อของเขา

อลิซปรายตามองผม “ฮึ คงมีข้าคนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง”

“ฮ่าๆ คือว่า...”

“ช่างเถอะ” อลิซหันหน้ากลับ

อา เธอโกรธจริงๆแล้ว

“ข้ามีคนอยากจะแนะนำให้รู้จัก” ยูเรียเขี่ยแก้มอย่างลังเล

แต่ได้ยินว่ามีคนที่เธอจะแนะนำให้รู้จักทำให้ผมกังวลเล็กน้อย

“อาเรียเหรอ? ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่กับเธอเหรอ?” อลิซถาม

ยูเรียพยักหน้า

อาเรียเป็นชื่อที่ผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ผมยิ่งกังวล

“ใช่ อ๊ะ! มาแล้ว” ยูเรียชี้ไปทางเด็กสาวคนหนึ่ง

“อุ๊บ!”

“เป็นอะไร เดน?”

ได้ยินเสียงเหมือนสำลัก อลิซจึงตกใจและเป็นห่วง

“เปล่า แค่ก ไม่มีอะไร”

ผมกระแอมแล้วยิ้มให้อลิซ

“ขอแนะนำให้รู้จักนะ นี่คืออาเรีย เพื่อนใหม่ของข้าที่โรงเรียนเวทมนตร์”

ยูเรียแนะนำตัวอารีเลีย เจ้าหญิงลำดับสามของจักรวรรดิสวมเครื่องแบบโรงเรียนเวทมนตร์ ว่าอาเรีย ถึงแม้เจ้าของงานเลี้ยงจะปรากฏตัวแล้ว แต่รอบข้างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักหน้าของเจ้าหญิง แต่แปลกที่ไม่มีใครสังเกต

เครื่องแบบนั่น... ผมรู้สึกถึงเวทมนตร์รางๆจากมัน ดูเหมือนเหตุผลที่ไม่มีใครจำอารีเลียได้มาจากเครื่องแบบนั้น ดูเหมือนวงเวทที่ป้องกันการรับรู้จะฝังในลายผ้า

“สวัสดี ข้าชื่ออาเรีย” อารีเลียทักอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้ม

บ้าจริง น่าจะไปกับแฟลมตั้งแต่แรก

ตอนนี้สงบใจลงก่อน

ตอนผมเจอกับเจ้าหญิง ผมมีหน้ากากกับผ้าคลุมบังไว้ แม้อารีเลียจะเป็นตัวต้านนักเวทและเวทมนตร์รบกวนการรับรู้ของผมจะไม่ได้ผลกับเธอ เธอก็ไม่น่าจะจำผมได้

“เอ๊ะ เดน ทำไมเหงื่อออกเยอะนัก?”

เมื่อยูเรียพยายามจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้ผม ผมปฏิเสธและใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเอง

“ไม่เป็นไร ข้าเช็ดเอง”

แต่อารีเลีย ผู้แน่นอนว่าไม่รู้จักผม มองด้วยตาวาววาม

อะไร ถูกจับได้เหรอ?

ฉันทำพลาดตรงไหน? ยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยด้วยซ้ำ

อ๊ะ เสียง!

ในฐานะเจ้าหญิง เธอต้องถูกฝึกให้แยกแยะคนด้วยเสียงพูด เพราะอย่างไรก็ตาม เสียงเป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในการแยกแยกคน แต่ผมกลับพูดไม่คิด!

“เจ้าต้องเป็นเดนคนนั้นแน่ๆ!”

“อะไรนะ?”

‘เดนคนนั้น’? เดนไหน? หรือว่ากำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดในวัง? แสดงว่านี่คือการข่มขู่

ถ้าไม่อยากตายในข้อหากบฏแอบเข้ามาในวัง ก็ต้องมาเป็นตัวหมากของพวกเขา? หรือกำลังถามหาสิ่งที่ผมขโมยไป? แค่ผมมองปราดเดียวก็รู้ว่ามีของที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น จึงมีวิธีใช้มันในทางการเมืองได้หลายทาง

ผมแอบกลืนน้ำลาย รอให้อารีเลียพูดจบ  

“ข้าได้ยินมาจากยูเรียกับอลิซเยอะแยะเลย” อารีเลียเขย่ามือของผม พยายามกลั้นหัวเราะ

ผมคิดว่าเธอจะใส่ข้อความในมือผม แต่ไม่มี

แล้วทำไมยิ้มแปลกๆ?

ผมมองยูเรียกับอลิซ พวกเธอหลบสายตาผมเหมือนมีเรื่องละอายใจ ผมจึงเริ่มเข้าใจสถานการณ์

พวกเธอพูดอะไรถึงฉันกันแน่?

อย่างไรก็ตาม ผมโล่งใจที่อารีเลียจำผมไม่ได้

***

คาร์ดินัลเฟอนานโดใส่หน้ากากทองและตะโกนถามคนใส่หน้ากากสีดำที่ยืนเป็นแถวสามแถวตรงหน้า

“พวกเจ้าพร้อมต่อการปฏิวัติแล้วหรือไม่?”

“พร้อมแล้ว!” กลุ่มคนใส่หน้ากากดำตอบพร้อมเพรียงกัน

เฟอนานโดหัวเราะลั่นด้วยความพอใจในความกระหายเลือดของผู้เป็นแขนขาของเขา

“ฮ่าๆๆ ดี อินทรี ข้ามีคำถาม เป้าหมายของเราคืออะไร?”

ชายคนหนึ่งยืนที่แถวหน้าตอบอย่างมีวินัย “ลักพาตัวเจ้าหญิงลำดับสาม!”

“ถูกต้อง จิ้งจอก เราจะได้อะไรจากการนี้?”

คราวนี้ผู้หญิงที่อยู่แถวหน้าตอบ “เส้นทางเข้าไปโจมตีจักรพรรดิ และกดดันจักรพรรดิและพวกสุนัขรับใช้จักรวรรดิ!”

เฟอนานโดยิ้ม “ถูกต้อง! โอกาสแบบนี้ไม่มีเป็นครั้งที่สอง! เราต้องโจมตีโดยแรงและเร็ว!”

“รับทราบ!” อีกครั้ง พวกคนใส่หน้ากากตอบพร้อมกัน

เฟอนานโดตะโกน ก้าวไปข้างหน้า “ไปกันเถอะ! ได้เวลานำคทาเหล็กของพระเจ้าสู่พวกคนบาปแล้ว!”

***

ที่ฟากหนึ่งของท้องฟ้า ดวงอาทิตย์เป็นสีแดง อีกฟาก แสงสีม่วงของความมืดกำลังกลืนกินท้องฟ้า

งานเลี้ยงเริ่มแล้ว เสียงดนตรีอันสงบสุขดังมาจากโรงเรียนเวทมนตร์ จากหลังคาหอนาฬิกาที่อยู่ระหว่างโรงเรียนเวทมนตร์กับหอคอยเวทมนตร์ ชายใส่หน้ากากน้ำตาลคนหนึ่งก้มมองโรงเรียนเวทมนตร์ที่ถูกดวงอาทิตย์ตกดินย้อมให้เป็นสีแดง

“ลางร้าย” พฤษภพึมพำขึ้น

ผู้หญิงใส่หน้ากากแดงปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันตรงข้ามหลังคาที่พฤษภกำลังนั่งอยู่

“ลางร้าย? เจ้าพูดเรื่องอะไร?” เดินเหมือนไม่สนใจแรงโน้มถ่วง พิจิกเข้ามาหาพฤษภและถาม เผยรอยยิ้มมีเสน่ห์ใต้หน้ากากแดง

พฤษภตอบโดยไม่รู้สึกตกใจการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเธอ “เรื่องนั้นข้าไม่รู้ โรงเรียนกลายเป็นสีแดงดูเหมือนลางร้าย เหมือนมันส่งกลิ่นเลือดออกมา”

พิจิกหัวเราะ “โฮะๆ เจ้ามีลางสังหรณ์เฉียบคม”

“เจ้าหมายความว่ายังไง?”

พิจิกไม่ตอบคำถาม “ข้าชอบโชคร้าย ถ้ามันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเสียงกรีดร้องก็ยิ่งดี”

พฤษภขนลุก คำพูดของเธอไม่เหมือนโกหกแม้แต่น้อย เหมือนจะพุ่งไปที่โรงเรียนเวทมนตร์และเริ่มการเข่นฆ่าสังหารได้ทุกเมื่อ เขารู้สึกไม่สบายใจ



สารบัญ                                                 บทที่ 63

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 61

บทที่ 61 – งานเลี้ยง (12)

เมื่อแนะนำตัวกับอัลฟอนโซเสร็จ มิลเปียมองมาทางผม

“ข้าชื่อเดน” ผมแนะนำตัวง่ายๆ ไม่เหมือนอัลฟอนโซหรือแฟลม ผมไม่นิยมหลักการเพื่อนของเพื่อนคือเพื่อนของเรา

“อ๋อ! เดนคนนั้น”

ปฏิกิริยาของมิลเปียทำให้ผมรู้สึกไม่ดี เมื่อมองอลิซเหมือนจะถามว่า ‘เดนคนนั้น’ นี่หมายความว่ายังไง เธอหลบตาผม

เธอพูดอะไรลับหลังฉัน?

ปฏิกิริยาของอลิซทำให้ผมยิ่งไม่พอใจ

“ที่พูดว่าเดนคนนั้น เจ้าหมายถึงอะไร?”

เมื่อผมถามมิลเปียตรงๆ เธอยิ้มแปลกๆแล้วหลบตา

“โฮะๆๆ”

เธอพูดอะไรถึงฉันกันแน่ อลิซ!

เมื่อผมมองพวกเธอด้วยสายตาไม่พอใจ อลิซกับมิลเปียก็รีบหลบตาผม

“ว่าแต่ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?” ผมถามมิลเปีย

ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกเหมือนเห็นและได้ยินเสียงหัวเราะกับท่าทางหลบตานี่มาก่อน

“ไม่ ข้าพบเจ้าเป็นครั้งแรก”

ผมไม่รู้สึกว่าเธอโกหก ถ้าอย่างนั้นผมคงเข้าใจผิดไปเอง

มิลเปียมองผมอย่างขบขัน

“หืม เจ้ากำลังจีบข้าเหรอ?” มิลเปียถาม

ผมคงคิดไปเองใช่ไหมว่าสายตาขบขันไม่ต่างจากตอนเธอพูดว่า‘เดนคนนั้น’?

“เชยไปเหรอ?” ผมยิ้มตอบ

“ไม่ รู้สึกแปลกใหม่น่ะ ไม่เคยมีใครพูดกับข้าแบบนั้น”

“เหรอ? มันเป็นประโยคพื้นฐานตอนพูดกับสุภาพสตรีผู้งดงาม แปลกนะที่เจ้ารู้สึกแปลกใหม่”

มันเป็นการโต้ตอบที่เหมือนเป็นกันเองแต่เหมือนเชือดเฉือนกันแปลกๆ แต่จู่ๆอลิซก็เข้ามาแทรก

“ยูเรียจะมาแล้ว เข้าไปกันข้างในกันเถอะ!”

“เจ้าบอกว่าไม่รู้ว่าเธออยู่ไหนไม่ใช่เหรอ?”

อลิซหน้าแดงกับคำพูดของผม “ก็ใช่ไง! ยูเรียอาจตามหาพวกเราอยู่ เข้าไปกันเถอะ!”

อลิซคว้าแขนผมแล้วดึงเข้าไปในห้องโถง ทำไมจู่ๆเธอก็ตื่นเต้นขึ้นมา?

“เอลี่ ใจเย็นๆ”

เมื่อลิสบอนบอกให้เธอใจเย็น อลิซก็ถลึงตาใส่พี่ชายของเธอกับผม

แต่ฉันทำอะไรผิด?

****

วิลเลียมเดินดูรอบโรงเรียนเวทมนตร์และตรวจความปลอดภัยอีกที ความผิดพลาดไม่ว่าอะไรก็ตามจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ระหว่างเดินตรวจ เขารู้สึกถึงพลังงานแข็งแกร่งซ่อนตัวใกล้โรงเก็บของที่อยู่กลางโรงเรียนเวทมนตร์และโรงเรียนอัศวิน เขาเดินเข้าไปใกล้ สร้างสัญลักษณ์เวทไว้พร้อมใช้งานทุกเวลา

“หืม?”

ในโรงเก็บของ บลัดดี้กำลังนั่งยอง เนื้อเต็มปาก วิลเลียมถอนหายใจและความเกร็งหายไป

“อื๋ม? ไอเอ๋อ?” บลัดดี้พูดทั้งเนื้อเต็มปาก

“เฮ้อ กินก่อนค่อยคุย ข้าฟังไม่เข้าใจ”

“มีอะไรเหรอ?” บลัดดี้ถามหลังจากกลืนเนื้อเสร็จ

“ไม่มี ข้าแค่เดินตรวจ ไปเอาเนื้อมาจากไหน?”

งานยังไม่เริ่ม อาหารจึงยังไม่ถูกเสิร์ฟในห้องโถง

“ข้าไปถามในครัวแล้วได้มา”

วิลเลียมแอบถอนใจเมื่อมองดวงตาใสซื่อ จำนวนเนื้อที่บลัดดี้เอามาต้องทำให้การเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงตรงตามเวลาได้ยากแน่

“ไปกินที่ห้องโถงสิ ทำไมมาซุกตรงนี้?” วิลเลียมถาม

บลัดดี้ตอบพลางกินเนื้อในจาน “ข้าไม่อยากไป คนเอาแต่มองข้า”

“แต่มีที่อื่นอีกหลายที่ที่ดีกว่านี้ ไปหาที่สบายๆนั่งกินสิ” วิลเลียมมองรอบๆ ในโรงเก็บของมีดาบไม้และชุดป้องกันที่เต็มไปด้วยฝุ่น เขาคิดว่าจะไปบ่นให้ผู้ฝึกสอนของโรงเรียนอัศวินมาทำความสะอาดทีหลัง

ตอนออฟินา ผู้ตอนนี้อยู่ที่เขตแดนปีศาจ อยู่ที่นี่ โรงเก็บของไม่มีฝุ่นแม้แต่นิด แต่ทันทีที่เธอไปก็กลายเป็นแบบนี้ อีกไม่กี่เดือนถ้าเธอกลับมาและเห็นสภาพ เขาคงไม่แปลกใจถ้าได้ยินว่าผู้ฝึกสอนและนักเรียนตายเรียบ

“เฮ้ย ไม่เป็นไรน่า ที่นี่ก็ไม่แย่ จะได้ไม่มีใครประหม่าเวลาเห็นข้า” บลัดดี้หัวเราะ เขาดูไม่สนใจสภาพของโรงเก็บของเลย

วิลเลียมวิตก ต่อไปถ้าเขาขึ้นไปที่เขตแดนปีศาจและออฟินากลับลงมา สองคนนี้จะทะเลาะกันขนาดไหน เขาเป็นห่วงตั้งแต่มองสภาพโรงเก็บของ

บลัดดี้มีนิสัยติดดินขนาดกินอาหารตามสบายในโรงเก็บของสกปรก แต่ออฟินาละเอียดถี่ถ้วนขนาดไม่ทนแม้แต่เศษฝุ่น การปล่อยคนสองคนที่ต่างกันสุดขั้วไว้กับอาคันทาทำให้เขาไม่วางใจ

“ว่าแต่ ภาพเหมือนหลานชายเจ้ายังไม่เสร็จเหรอ?” วิเลียมถามถึงคำขออย่างจริงจังของอาคันทาเมื่อหลายเดือนก่อน

ตอนนี้คนที่รู้จักหน้าของเดนเบอร์กมีแต่บลัดดี้ ถึงจะมีภาพเหมือนของเดนเบอร์กพวกเขาก็จะไม่แจกจ่ายออกไปเพราะมันจะสร้างความตื่นตัวให้คนถูกตาม แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องมีภาพเหมือนเพื่อคนส่วนน้อยที่รู้เรื่องจะได้รู้หน้าตาของเขา

“อ้อ เสร็จแล้ว”

บลัดดี้ส่งกระดาษยับๆจากอกเสื้อให้วิลเลียม คนรับกางกระดาษออกด้วยความดีใจ

“นี่ นี่มัน!”

วิลเลียมประหลาดใจมากเมื่อเห็นภาพเหมือน

“นี่เรียกว่าภาพเหมือนได้เหรอ!?”

วิลเลียมดันกระดาษคืนไป บนกระดาษยับๆมีภาพเขี่ยเล่นของเด็กสามขวบ

“เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนวาดภาพเก่งที่สุดในหมู่บ้าน! ล้อเล่นกันเหรอ?!”

เมื่อวิลเลียมโกรธ บลัดดี้ทำหน้าไร้เดียงสา

“ข้าไม่ได้โกหก!”

“หานักวาดภาพมาวาดสิ! นี่มันอะไร? เจ้าไม่ได้เอาไปให้อาคันทาดูใช่ไหม?”

“อืม ยัง”

วิลเลียมถอนหายใจ “ดี ถ้าเขาเห็น คงกินยาแก้ปวดท้องจนเกินขนาด”

แน่นอน ต่อให้เขากินยาเกินขนาดก็ไม่ถูกปล่อยให้ตายหรอก วิลเลียมไม่มีทางให้เขาเอาตัวรอดไปสบายคนเดียว

อาจเพราะตะโกนในที่มีฝุ่นเต็ม วิลเลียมรู้สึกหิวน้ำ เขาแย่งขวดแชมเปญที่บลัดดี้กำลังดื่มอยู่มาล้างคอ

อย่างมีความรับผิดชอบ แชมเปญไม่มีแอลกอฮอล์

วิลเลียมเรอแล้วถาม “เจ้าอยากให้ข้าแนะนำนักวาดให้ไหม?”

บลัดดี้เอาขวดแชมเปญคืนจากมือวิลเลียมแล้วส่ายศีรษะ “ไม่ ข้าให้นักวาดวาดแล้ว แต่ไม่เหมือนเท่าไหร่”

“อะไรนะ? ภาพอยู่ไหน?”

บลัดดี้ดึงกระดาษยับอีกใบออกมาจากอกเสื้อ “อยู่นี่”

“ส่งมาให้ข้า!”

บลัดดี้งอนที่ถูกนายพลโกรธใส่

“ทำไมเจ้าต้องตะคอกด้วย!”

บลัดดี้ดื่มแชมเปญทีเดียวหมดอย่างงอนๆ ความสนใจของวิลเลียมอยู่ที่ภาพเหมือนของเดนเบอร์ก

หลังจากดูเสร็จ เขาขมวดคิ้ว

“อย่างที่คิด ข้าไม่เคยเห็นหน้าแบบนี้”

วิลเลียมเหม่อ ใบหน้าแสดงความเข้มแข็งออกมาเหมือนบลัดดี้ เพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน จึงไม่แปลกที่มีความคล้ายคลึงกัน

“แต่มันไม่เหมือนเขาเลยนะ”

“ต่อให้ไม่เหมือนก็ยังดีกว่าภาพเขี่ยเล่นของเจ้า” วิลเลียมทำเสียงฮึ่มและโบกภาพที่บลัดดี้วาด

“เฮ้! ก็ข้าบอกว่าอันนั้นเหมือนกว่า”

“เหมือนตายล่ะ” วิลเลียมหยิบภาพวาด แน่นอนว่าต้องเป็นของนักวาด

“จริงๆนะ!”

“อย่าโกหก ที่บอกว่าเจ้าวาดภาพเก่งที่สุดในหมู่บ้านก็โกหกเหมือนกันใช่ไหม?”

“ข้าไม่ได้โกหก!”

วิลเลียมโบกภาพวาดในมือ

บลัดดี้หน้าแดงแล้วพูดเสียงค่อย “นั่น... เพราะว่า คำสาปของยักษ์ทำให้คนในหมู่บ้านย่ำแย่เรื่องการสร้างศิลปะ! พูดจริงๆนะ ข้าวาดภาพเก่งที่สุดในหมู่บ้าน”

บลัดดี้พูดจากใจจริง แต่วิลเลียมหัวเราะอึ้งๆ

“ฮ่าๆๆ แต่ให้เป็นคำสาปก็เถอะ เจ้าหมายถึงยักษ์ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อ 500 ปีก่อนน่ะเหรอ?”

ยักษ์ หนึ่งในชาติพันธุ์นักสู้ 9 ชาติพันธุ์ สูญพันธุ์ไปในสงครามครั้งใหญ่ สงครามครั้งใหญ่ส่งผลให้ชาติพันธุ์นักสู้ลดเหลือ 8 ชาติพันธุ์ และตอกย้ำความรู้ว่ากาเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุด

“แต่ตามประวัติศาสตร์ เผ่าการ่วมสงครามแค่ช่วงแรกและติดต่อกับเผ่ายักษ์ไม่มาก ทำไมเจ้าถึงบอกว่าเป็นคำสาปของยักษ์”

“เรื่องนั้นข้าไม่รู้ ข้าแค่ได้ยินตำนานว่ามาอย่างนี้” บลัดดี้ยักไหล่

วิลเลียมไม่ถามต่อ แทนที่จะสงสัยเรื่องอดีต ปัญหาเร่งด่วนตอนนี้สำคัญกว่า ถ้าเป็นไปได้เขาอยากส่งหลานของบลัดดี้กลับก่อนไปเขตแดนปีศาจ อาคันทาอาจตายเพราะงานหนักจริงๆถ้าเขาจัดการเรื่องนี้ไม่เสร็จก่อนออฟินากลับมา

ไม่ใช่เพราะเดนเบอร์ก แต่เพราะการทะเลาะกันของบลัดดี้กับออฟินา

“ข้าจะเดินตรวจตราอีกรอบ เจ้ากินพอแล้วก็ไปหาอารีเลีย เจ้าควรไปแสดงตัวอย่างน้อยสักครั้ง”

“ได้” บลัดดี้ตอบอย่างใจลอยและกินเนื้อที่เขาเอามา

วิลเลียมถอนหายใจ กังวลเรื่องอนาคตแล้วออกจากโรงเก็บของไป

*** 

เข้ามาในห้องโถง พวกเราตรงไปยังทางเข้าเพื่อให้ยูเรียหาเจอได้ง่าย

“เดี๋ยวสิครับ!”

ผมหันไปทางที่ได้ยินเสียงพูดอย่างเป็นสุภาพมาก อย่างที่คิด ต้นเสียงคือแฟลม

“วันนี้ข้าเตรียมตัวไม่กินมื้อเที่ยงมาเลยนะครับ ทำไมยังไม่มีอาหารมาล่ะ?”

แฟลมกำลังหลั่งน้ำตาและคว้าคนรับใช้คนหนึ่งมาถาม

“คือว่า เพราะงานเลี้ยงยังไม่เริ่มครับ” คนรับใช้ปั่นป่วนไปครู่หนึ่งแต่ตอบอย่างสงบ

แต่ความสงบไม่ได้ผลกับแฟลม “เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร? ไม่เห็นเหรอครับว่าคนเริ่มเต็มงานแล้ว?” เขาจับไหล่คนรับใช้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างชี้ไปรอบๆ

ระหว่างผมออกไปอยู่ที่ระเบียง ห้องโถงก็เริ่มเต็มไปด้วยนักเรียนและผู้เข้ารับการฝึก บวกขุนนางจากเมืองหลวงด้วยแล้วคงไม่มีงานไหนคนเยอะขนาดนี้อีกยกเว้นงานศพบุคคลสำคัญระดับชาติ

สำหรับผม มันเป็นเรื่องดีที่ได้หลบท่ามกลางผู้คน

“อีกสักพักงานเลี้ยงถึงจะเริ่ม ถ้าเรายกอาหารมาตอนนี้ แขกก็ต้องกินอาหารเย็นชืด เพราะว่าระเบียบคือเสิร์ฟอาหารตรงเวลาจึงขอให้ท่านเข้าใจด้วยครับ”

คนรับใช้ทำให้แฟลมสงบลงจนได้โดยไม่เสียรอยยิ้มเป็นมิตรไป ดูเหมือนแม้แต่แฟลมก็ยอมแพ้ให้กับคำว่า ‘กฎระเบียบ’

“ไม่มีมารยาท” อลิซส่ายหน้า

แม้รู้สึกผิดต่อแฟลม ผมตัดสินใจทำเป็นมองไม่เห็นเขา




สารบัญ                                                     บทที่ 62