บทที่ 62 – งานเลี้ยง (13)
“อ้าว เดนนี่นา! มาเร็วนี่!”
แฟลมคอตกและหันกลับ แต่มองเห็นผมและโบกมือ
จำคนผิดแล้วครับ
ผมหันหน้าหนีทำเป็นไม่รู้จักเขา แต่สายไปแล้วเพราะแฟลมตรงมาทางผมด้วยสีหน้าสดใส
“คนรู้จักของเจ้าเหรอ?” อลิซถามอย่างไม่อยากเชื่อ
ไม่ใช่ ตอนนี้ฉันไม่รู้จักเขา
ผมหลบสายตาของอลิซ แฟลมที่ตรงมาทางผมเห็นคนอื่นๆและทักทาย
“คุณลิสบอนก็อยู่ด้วย ไม่ได้เจอกันนานนะครับ”
แฟลมเดินไปหาลิสบอนและเขย่ามืออย่างเป็นธรรมชาติ
“ครับ ไม่เจอกันนานเลย”
มองลิสบอนจับมือกับแฟลมที่ดูไม่เหมือนคนมีมารยาท อลิซเหมือนกระต่ายที่กำลังมองหมีถูกจับ
“ฮ่าๆ พูดตามสบายก็ได้ครับ”
“อ้อ เอ่อ...อืม”
เขาก็ยังรู้สึกไม่สะดวกใจเวลาพูดตามสบายเหมือนเดิม
“คนนั้นเป็นใคร?”
อลิซดูไม่อยากเชื่อที่ผมกับลิสบอนรู้จักแฟลม
“โอ้! อัลฟอน ไม่เจอกันนานเลย!”
“อื้ม นานเลย!”
แฟลมกอดอัลฟอนโซเหมือนเป็นเพื่อนสนิท
“เอ่อ เป็นเด็กฝึกเหมือนกันน่ะ”
“เจ้ากำลังบอกว่าเป็นเพื่อนเจ้าใช่ไหม?” อลิซถาม
“เพื่อน... เอ่อ จะบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้”
อลิซถอนหายใจและมองผมเหมือนให้เลือกคบเพื่อนดีกว่านี้หน่อย
“เฮ้อ ช่วยบอกเขาด้วยนะว่าพฤติกรรมไม่สุภาพแบบนั้นมันอันตราย โดยเฉพาะในงานเลี้ยงของคนมีตำแหน่ง” อลิซหยุดแล้วพูดต่อ “เพราะเจ้าอาจเดือดร้อนไปด้วย”
“ฮ่าๆ เข้าใจแล้ว” ผมยิ้มและพยักหน้า
อลิซพูดไม่ผิด ศูนย์ฝึกไม่ได้ให้การเรียนมารยาทเข้าสังคมเป็นวิชาบังคับไปอย่างนั้น ถ้าทำตัวไม่สุภาพต่อหน้าคนตำแหน่งสูง ไม่เพียงแค่เกียรติของข้าราชการจะเสียหายแต่เป็นไปได้ว่าข้าราชการคนนั้นอาจถูกสังหารตรงนั้น
แน่นอน ข้าราชการเป็นคนของจักรพรรดิ นอกจากคนตำแหน่งสูงคนนั้นจะมีอำนาจมาก ส่วนใหญ่ก็จะจบแค่ถูกตำหนิ แต่ผมเรียนจากชั้นเรียนมารยาทว่ามีกรณีที่ข้าราชการทำผิดพลาดและถูกสังหารทันทีโดยดยุคแอสทีเรีย หนึ่งในสองดยุคผู้ยิ่งใหญ่
นี่คือจักรวรรดิ การแบ่งแยกชนชั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเหมือนโลกในชาติก่อนของผม ถึงอย่างนั้น แฟลมไม่ใช่คนโง่ เขาคงไม่ทำตัวแบบนั้นต่อหน้าคนตำแหน่งสูง
แต่เผื่อไว้ก่อน ผมต้องปลุกเขาในคาบเรียนมารยาท
แฟลม ผู้กำลังคุยกับอัลฟอนโซ เดินโอบไหล่กันและกันมาทางผม เพื่อให้คนตัวสูงอย่างแฟลมและคนตัวเล็กอย่างอัลฟอนโซเดินโอบไหล่กันได้ แฟลมต้องงอเข่าเล็กน้อยและอัลฟอนโซต้องเขย่งเท้า
ผมถอนหายใจและจะเตือน แต่แฟลมพูดก่อน
“ฮ่าๆ ข้าจะไปสำรวจโรงเรียนเวทมนตร์กับอัลฟอนโซ เจ้ามาด้วยไหม?”
“ไปด้วยกันเถอะ! ไปไหม?” อัลฟอนโซพูด
“โรงเรียนเวทมนตร์เชียวนะ ต้องมีของน่าสนใจแน่!” แฟลมพูดต่อ
“ใช่ ใช่!” อัลฟอนโซเห็นด้วย
พวกเขาชวนผมด้วยดวงตาเป็นประกาย ว่าก็ว่าเถอะ อัลฟอนโซมาจากเผ่าผีเสื้อที่น่าจะมีเวทมนตร์มากกว่าโรงเรียนเวทมนตร์ ทำไมเขาตื่นเต้นนัก
“ไม่ล่ะ ข้าขอผ่าน” จากใจจริงเลย ยุ่งยาก
“เหรอ? น่าเสียดาย”
แฟลมกับอัลฟอนโซจากไปสำรวจโรงเรียนด้วยสีหน้าผิดหวัง
ผมก็ตั้งใจว่าจะกินให้อิ่มและหลบไปเหมือนกัน ระหว่างที่คิดอย่างนั้นผมก็ได้ยินเสียงยูเรีย
“อลิซ เดน!”
ยูเรียโบกมือและเดินออกมาจากด้านหลังห้องโถง
“เจ้าหายไปไหนไม่บอกก่อน?”
อลิซดึงแก้มยูเรีย เธอน้ำตาคลอ
“เจ็บ เจ็บ”
อลิซทำเสียงฮึ่มแล้วปล่อยแก้มยูเรีย จากนั้นเธอลูบนิ้วตัวเอง
“เจ้าแต่งหน้าเหรอ?” อลิซถาม
“ฮิๆ อืม”
ยูเรียหน้าแดงแล้วเหลือบมองผมด้วยเหตุผลบางอย่าง
“น่ารักดี”
ผมไม่เห็นความแตกต่างนัก แต่ก็ชมอยู่ดี ส่วนตัวผมไม่ชอบกลิ่นของเครื่องสำอางเพราะประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่นของผมอ่อนไหว
“ฮิๆ ขอบใจ”
“ฮึ ทั้งๆที่เจ้าบอกว่าไม่อยากแต่งตอนข้าถาม”
อลิซดูงอนเล็กน้อย
“แบบนี้น่ารักดี”
เดี๋ยว เธอเป็นซึนเดเระเหรอ?
ผมจะเสนอให้อลิซทำผมทรงทวินเทลทีหลัง ซึนเดเระต้องทวินเทล
ยูเรียมองรอบๆแล้วถาม “อัลฟอนโซไม่มาด้วยเหรอ?”
“เพื่อนศูนย์ฝึกเดียวกับเดนพาเขาไปสำรวจโรงเรียน”
“ศูนย์ฝึก? อ๋อ คุณแฟลมน่ะเหรอ?”
อลิซตอบเอื่อยๆ ยูเรียคิดครู่หนึ่งแล้วนึกขึ้นได้
“แฟลม?”
แฟลมเกี่ยวแขนอัลฟอนโซจากไปอย่างรวดเร็ว อลิซจึงไม่ได้แนะนำตัวกับเขาและไม่รู้ชื่อของเขา
อลิซปรายตามองผม “ฮึ คงมีข้าคนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง”
“ฮ่าๆ คือว่า...”
“ช่างเถอะ” อลิซหันหน้ากลับ
อา เธอโกรธจริงๆแล้ว
“ข้ามีคนอยากจะแนะนำให้รู้จัก” ยูเรียเขี่ยแก้มอย่างลังเล
แต่ได้ยินว่ามีคนที่เธอจะแนะนำให้รู้จักทำให้ผมกังวลเล็กน้อย
“อาเรียเหรอ? ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่กับเธอเหรอ?” อลิซถาม
ยูเรียพยักหน้า
อาเรียเป็นชื่อที่ผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ผมยิ่งกังวล
“ใช่ อ๊ะ! มาแล้ว” ยูเรียชี้ไปทางเด็กสาวคนหนึ่ง
“อุ๊บ!”
“เป็นอะไร เดน?”
ได้ยินเสียงเหมือนสำลัก อลิซจึงตกใจและเป็นห่วง
“เปล่า แค่ก ไม่มีอะไร”
ผมกระแอมแล้วยิ้มให้อลิซ
“ขอแนะนำให้รู้จักนะ นี่คืออาเรีย เพื่อนใหม่ของข้าที่โรงเรียนเวทมนตร์”
ยูเรียแนะนำตัวอารีเลีย เจ้าหญิงลำดับสามของจักรวรรดิสวมเครื่องแบบโรงเรียนเวทมนตร์ ว่าอาเรีย ถึงแม้เจ้าของงานเลี้ยงจะปรากฏตัวแล้ว แต่รอบข้างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักหน้าของเจ้าหญิง แต่แปลกที่ไม่มีใครสังเกต
เครื่องแบบนั่น... ผมรู้สึกถึงเวทมนตร์รางๆจากมัน ดูเหมือนเหตุผลที่ไม่มีใครจำอารีเลียได้มาจากเครื่องแบบนั้น ดูเหมือนวงเวทที่ป้องกันการรับรู้จะฝังในลายผ้า
“สวัสดี ข้าชื่ออาเรีย” อารีเลียทักอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้ม
บ้าจริง น่าจะไปกับแฟลมตั้งแต่แรก
ตอนนี้สงบใจลงก่อน
ตอนผมเจอกับเจ้าหญิง ผมมีหน้ากากกับผ้าคลุมบังไว้ แม้อารีเลียจะเป็นตัวต้านนักเวทและเวทมนตร์รบกวนการรับรู้ของผมจะไม่ได้ผลกับเธอ เธอก็ไม่น่าจะจำผมได้
“เอ๊ะ เดน ทำไมเหงื่อออกเยอะนัก?”
เมื่อยูเรียพยายามจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้ผม ผมปฏิเสธและใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเอง
“ไม่เป็นไร ข้าเช็ดเอง”
แต่อารีเลีย ผู้แน่นอนว่าไม่รู้จักผม มองด้วยตาวาววาม
อะไร ถูกจับได้เหรอ?
ฉันทำพลาดตรงไหน? ยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยด้วยซ้ำ
อ๊ะ เสียง!
ในฐานะเจ้าหญิง เธอต้องถูกฝึกให้แยกแยะคนด้วยเสียงพูด เพราะอย่างไรก็ตาม เสียงเป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในการแยกแยกคน แต่ผมกลับพูดไม่คิด!
“เจ้าต้องเป็นเดนคนนั้นแน่ๆ!”
“อะไรนะ?”
‘เดนคนนั้น’? เดนไหน? หรือว่ากำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดในวัง? แสดงว่านี่คือการข่มขู่
ถ้าไม่อยากตายในข้อหากบฏแอบเข้ามาในวัง ก็ต้องมาเป็นตัวหมากของพวกเขา? หรือกำลังถามหาสิ่งที่ผมขโมยไป? แค่ผมมองปราดเดียวก็รู้ว่ามีของที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น จึงมีวิธีใช้มันในทางการเมืองได้หลายทาง
ผมแอบกลืนน้ำลาย รอให้อารีเลียพูดจบ
“ข้าได้ยินมาจากยูเรียกับอลิซเยอะแยะเลย” อารีเลียเขย่ามือของผม พยายามกลั้นหัวเราะ
ผมคิดว่าเธอจะใส่ข้อความในมือผม แต่ไม่มี
แล้วทำไมยิ้มแปลกๆ?
ผมมองยูเรียกับอลิซ พวกเธอหลบสายตาผมเหมือนมีเรื่องละอายใจ ผมจึงเริ่มเข้าใจสถานการณ์
พวกเธอพูดอะไรถึงฉันกันแน่?
อย่างไรก็ตาม ผมโล่งใจที่อารีเลียจำผมไม่ได้
***
คาร์ดินัลเฟอนานโดใส่หน้ากากทองและตะโกนถามคนใส่หน้ากากสีดำที่ยืนเป็นแถวสามแถวตรงหน้า
“พวกเจ้าพร้อมต่อการปฏิวัติแล้วหรือไม่?”
“พร้อมแล้ว!” กลุ่มคนใส่หน้ากากดำตอบพร้อมเพรียงกัน
เฟอนานโดหัวเราะลั่นด้วยความพอใจในความกระหายเลือดของผู้เป็นแขนขาของเขา
“ฮ่าๆๆ ดี อินทรี ข้ามีคำถาม เป้าหมายของเราคืออะไร?”
ชายคนหนึ่งยืนที่แถวหน้าตอบอย่างมีวินัย “ลักพาตัวเจ้าหญิงลำดับสาม!”
“ถูกต้อง จิ้งจอก เราจะได้อะไรจากการนี้?”
คราวนี้ผู้หญิงที่อยู่แถวหน้าตอบ “เส้นทางเข้าไปโจมตีจักรพรรดิ และกดดันจักรพรรดิและพวกสุนัขรับใช้จักรวรรดิ!”
เฟอนานโดยิ้ม “ถูกต้อง! โอกาสแบบนี้ไม่มีเป็นครั้งที่สอง! เราต้องโจมตีโดยแรงและเร็ว!”
“รับทราบ!” อีกครั้ง พวกคนใส่หน้ากากตอบพร้อมกัน
เฟอนานโดตะโกน ก้าวไปข้างหน้า “ไปกันเถอะ! ได้เวลานำคทาเหล็กของพระเจ้าสู่พวกคนบาปแล้ว!”
***
ที่ฟากหนึ่งของท้องฟ้า ดวงอาทิตย์เป็นสีแดง อีกฟาก แสงสีม่วงของความมืดกำลังกลืนกินท้องฟ้า
งานเลี้ยงเริ่มแล้ว เสียงดนตรีอันสงบสุขดังมาจากโรงเรียนเวทมนตร์ จากหลังคาหอนาฬิกาที่อยู่ระหว่างโรงเรียนเวทมนตร์กับหอคอยเวทมนตร์ ชายใส่หน้ากากน้ำตาลคนหนึ่งก้มมองโรงเรียนเวทมนตร์ที่ถูกดวงอาทิตย์ตกดินย้อมให้เป็นสีแดง
“ลางร้าย” พฤษภพึมพำขึ้น
ผู้หญิงใส่หน้ากากแดงปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันตรงข้ามหลังคาที่พฤษภกำลังนั่งอยู่
“ลางร้าย? เจ้าพูดเรื่องอะไร?” เดินเหมือนไม่สนใจแรงโน้มถ่วง พิจิกเข้ามาหาพฤษภและถาม เผยรอยยิ้มมีเสน่ห์ใต้หน้ากากแดง
พฤษภตอบโดยไม่รู้สึกตกใจการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเธอ “เรื่องนั้นข้าไม่รู้ โรงเรียนกลายเป็นสีแดงดูเหมือนลางร้าย เหมือนมันส่งกลิ่นเลือดออกมา”
พิจิกหัวเราะ “โฮะๆ เจ้ามีลางสังหรณ์เฉียบคม”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
พิจิกไม่ตอบคำถาม “ข้าชอบโชคร้าย ถ้ามันเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเสียงกรีดร้องก็ยิ่งดี”
พฤษภขนลุก คำพูดของเธอไม่เหมือนโกหกแม้แต่น้อย เหมือนจะพุ่งไปที่โรงเรียนเวทมนตร์และเริ่มการเข่นฆ่าสังหารได้ทุกเมื่อ เขารู้สึกไม่สบายใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น