บทที่ 63 – งานเลี้ยง (14)
“ห้ามลงมือ! ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ให้อภัย”
การสังหารคนไร้ความผิดนั้นผิดต่อหลักการของพฤษภ แม้ไม่ใช่เขาเป็นคนลงมือ แต่การเมินเฉยก็ผิดต่อหลักการของเขาเช่นเดียวกัน
มองพฤษภที่ยืนตั้งท่า พิจิกนั่นไขว้ห้างอย่างยั่วยวน “อุ๊ย เจ้าร้อนรนอะไร? ไม่ต้องห่วงหรอกที่รัก ข้าแค่มาดู”
“เจ้าพูดเรื่องอะไร?” พฤษภไม่เข้าใจ
พิจิกตอบเหมือนเขาไม่จำเป็นต้องรู้ “เจ้าแค่ดูไว้ก็พอ แน่นอน ข้าไม่รู้ว่าหลักการที่เจ้าเชื่อถือนักจะยอมให้เจ้ามองเฉยๆ”
“อะไร-”
“ข้าควรจะเสียใจที่ความสามารถหาข่าวของเจ้าต่ำดี หรือชื่นชมลางสังหรณ์เฉียบคมของเจ้าดี? เจ้าอยู่ที่นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆเหรอ?”
พฤษภงงกับคำพูดเหมือนบ่นของพิจิก “ข้าแค่...”
“เอาเถอะ ข้าไม่อยากรู้สถานการณ์ของเจ้า แต่ไม่ต้องห่วง วันนี้ข้าแค่มาดู” พิจิกพูดผ่านปากแดงยั่วยวนสีเดียวกับหน้ากากของเธอ “พวกเราทำแต่สิ่งที่พวกเราอยากทำ เป็นอย่างนั้นตลอดไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไรก็ตาม”
พิจิกหายไปพร้อมกับประโยคนั้น เหมือนเธอไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน
พฤษภก้มมองโรงเรียนเวทมนตร์ ใบหน้าใต้หน้ากากขมวดคิ้ว
***
แย่ที่สุด
ผมคิดว่า “ไม่มีทาง ไม่มีทาง” แต่ก็เจอกับเจ้าหญิงจนได้
ตอนนี้ ผมหาข้ออ้างสารพัดและหนีมาได้ แต่การที่อารีเลียใส่เครื่องแบบโรงเรียนเวทมนตร์กับที่เธอสนิทกัยูเรียและอลิซก็แปลว่าผมอาจเจอเธอได้ทุกเมื่อ
ผมอยู่แค่ไม่นานแต่ดูเหมือนเธอจะจำผมไม่ได้ แต่ว่า ชีวิตไม่เป็นไปตามที่เราต้องการเสมอหรอก จะว่าไปแล้วผมก็รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทิ้งลิสบอนไว้กับกลุ่มผู้หญิง
เอาเถอะ ลิสบอนรับมือได้น่ะ ผมตัดสินใจเลิกห่วงและจิ้มเนื้อเป็ดบนชามเข้าปาก
“อร่อย”
ผมใส่หน้ากากรบกวนการรับรู้ ปิดบังตัวตน และแอบเอาอาหารใส่กระเป๋ามิติ จากนั้นหลบไปยังระเบียงว่างเปล่า
ฉันจะกินดื่มแล้วค่อยกลับบ้านตามแผน ใครอย่าได้มาขวาง!
ถึงเป็นระเบียงก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ผมใส่หน้ากากจึงไม่น่าจะมีใครจำได้ แต่ถ้าคนที่ออกมายังระเบียงฝึกเวทมนตร์ก็มีโอกาสที่ผมจะถูกสังเกตเห็น และเพราะที่นี่เป็นโรงเรียนเวทมนตร์ที่คนใช้เวทมนตร์กันทำให้ผมยิ่งรู้สึกกังวล
ขึ้นไปกินบนหลังคาที่ไม่มีคนแน่ๆดีกว่า
ฮึบ!
ผมเหยียบราวระเบียง กระโดด จับพื้นระเบียงชั้นบนแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไป ผมขึ้นไปถึงหลังคาโดยการเหนี่ยวระหว่างขอบหน้าต่างกับท่อระบายน้ำ เงยมองท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์ตกดินแทบหมด ดาวเริ่มส่องแสงทีละดวงทีละดวง
“อร่อย”
ใส่ซอสอะไรถึงทำให้อร่อยแบบนี้นะ? ไว้แอบไปเอาในครัวดีกว่า
เพราะด้อยความสามารถด้านการใช้มือทำให้ผมทำอาหารไม่ได้ แต่ถ้าเอาไปให้คนครัวของหอพักพวกเขาต้องจัดการได้แน่ ตอนผมคิดว่าชาติก่อนผมต้องทำอาหารเก่งกว่าแน่ ก็นึกได้ว่าเคยทำแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หลังปลอบใจตัวเองเสร็จผมก็กินเนื้อเป็ดอีก
อร่อย!
ผมกินเนื้อเป็ด พลางดื่มแชมเปญให้ชุ่มคอ แชมเปญอัดแก๊สทำให้แสบคอ
แค่ก! ไม่มีแอลกอฮอล์เลย
น่าเสียดาย แต่ไม่รู้ทำไมจึงไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย แต่อย่างน้อยก็ดีที่มีเครื่องดื่มอัดแก๊ส ผมต้องเรียนเวทมนตร์สำหรับละลายแก๊สในน้ำทีหลัง
ชิ้ง!
ผมได้ยินเสียงดาบฟันผ่านอากาศจึงทิ้งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เห็นประกายดาบผ่านจุดที่ผมเคยอยู่
ผมมองคนไม่มีความคิดที่อยู่ๆก็เหวี่ยงดาบใส่ผมอย่างระวังตัว
“โฮ่ ว่องไวดีนี่?”
ชายคนหนึ่งถือดาบด้วยมือขวาและกำลังฉีกเนื้อติดกระดูกจากมือข้างซ้ายมองผมยิ้มๆ
...ลุงบลัดดี้?
ทำไมลุงมาอยู่ที่นี่?
ผมเก็บบัตรประจำตัวข้าราชการที่ห้อยคออยู่เข้าไปในกระเป๋ามิติ ปล่อยคำถามว่าทำไมลุงบลัดดี้มาลอบจู่โจมผมไปก่อน ต้องออกจากที่นี่ก่อน
“โอ๊ะๆ คิดจะไปไหน?”
ลุงบลัดดี้โยนรัศมีดาบตัดทางที่ผมจะหลบไป ผมม้วนตัวหลบ
“ประทานโทษ? ข้าทำผิดอะไรเหรอ?”
ผมพยายามหนีก็จริง แต่จิตสังหารที่รู้สึกจากเขามันแรงมาก จะปล่อยให้เป็ดในจานหกก็น่าเสียดาย ผมจึงยัดมันเข้าปาก
อร่อย!
ลุงบลัดดี้กัดเนื้อแล้วตอบ “เปล่า ไม่ได้ทำผิดแต่เจ้าดูน่าสงสัยมากกว่า ดังนั้นข้าจะฆ่าเจ้าก่อน”
อ้อ อย่างนี้นี่เอง
เหตุผลเข้าใจได้ แต่ผมคงไม่อยู่เฉยให้ตัวเองถูกฆ่า ที่จริงแล้วผมรู้ว่าลุงไม่คิดจะฆ่าเพราะเขาทำเสียงตอนชักดาบ แต่ที่พูดว่าจะฆ่าก็ไม่ใช่ขู่เฉยๆเหมือนกัน ความคิดของเขาน่าจะเป็นถึงผมตายก็ช่าง
“ว่าแต่ ข้าเพิ่งเคยเห็นหน้าเจ้าเป็นครั้งแรกใช่ไหม?”
ไม่ใช่!
ถ้าอย่างนั้นใครกันที่ก่อกวนข้าทุกครั้งเวลากลับมาเที่ยวบ้าน บุกห้อง ทิ้งหนังสือโป๊ไว้ทั่วห้องแล้วเรียกพวกพี่สาวของข้ามา?
แน่นอน หนังสือพวกนั้นข้าเก็บไว้ในกระเป๋ามิติและใช้มันอย่างดี
แล้วอีกอย่าง ข้าใส่หน้ากากอยู่นะ หมายความว่ายังไงที่บอกว่าเห็นหน้า?
ผมพูดสิ่งที่คิดในใจไม่ได้ ผมกลืนเนื้อเป็ดและพยายามพูดปลอบลุงบลัดดี้
“อร่อยเหาะ!”
ไม่ใช่แล้ว
เนื้อเป็ดอร่อยมากจนผมหลุดปากออกมา ลุงบลัดดี้หัวเราะลั่น
“ฮ่าๆๆ เจ้าเป็นคนตลกดี!”
ผมปฏิเสธทันที
“เป็นไปไม่ได้ ข้าเป็นคนจริงจัง ข้าเป็นคนจริงจังขนาดตอนเกิดยังคิดว่า ‘บ้าจริง ข้าเกิดมาจนได้’ และวางแผนอนาคตอย่างจริงจัง”
ส่วนใหญ่แล้วผมคิดอย่างจริงจังถึงวิธีสร้างชักโครกแบบมีที่ฉีดก้น แต่มาเรียกข้าว่าคนตลกได้ยังไง?
คนตลกต้องเป็นแบบกัลลาฮาดที่โดนหลอกบ่อยๆ คนแบบผมต้องเรียกว่าพวกทำลายบรรยากาศ
จริงๆนะ!
ลุงบลัดดี้หัวเราะ
ไม่! อย่างน้อยข้าก็จริงจังกว่าลุง!
ผมเกือบขาดสติ แต่สงบใจลงแล้วหาวิธีหนี เห็นอย่างนี้แต่ลุงบลัดดี้เคยเป็นผู้นำหน่วยนักรบที่ครองป่าโอลิมปัส แม้ที่นี่ไม่ใช่ป่า แต่ผมต้องเตรียมใจเห็นเมืองหลวงพังไปครึ่งเมืองถ้าลุงบลัดดี้ตั้งใจจะจับผม
ขณะผมคิดจะดึงไม้เท้าออกมาจากกระเป๋ามิติอยู่นั้น ลุงบลัดดี้โยนกระดูกทิ้งหลังจากกินเนื้อหมดแล้วและชี้ดาบมาทางผม
“เอาล่ะ ข้าถามจริงๆ เจ้าเป็นใคร? ตาชั่ง? ปลาคู่? หรือแกะ?”
“พูดเรื่องอะไร?”
ผมไม่เข้าใจคำถาม ถ้าอยู่ๆมาถามว่าผมเป็นปลาหรือตาชั่ง จะให้ผมตอบว่าอะไร?
แต่ลุงบลัดดี้คงคิดว่าผมพยายามหนี เขาดึงวรยุทธ์ออกมาคลุมดาบ แสงทะลักออกมาจากดาบเหมือนระเบิด ส่องรอบๆสว่าง
“ข้าบอกว่าข้าถามจริงๆ”
ผมปล่อยพลังเวทรับกับวรยุทธ์ของลุงบลัดดี้ “ข้าก็ตอบจริงๆ”
พลังเวทของผมกับวรยุทธ์ของลุงบลัดดี้ครอบคลุมพื้นที่ พยายามแย่งพื้นที่กัน ตรงที่พลังเวทกับวรยุทธ์ปะทะกันบิดเบือนและเกิดประกายไฟ
แย่ล่ะ ลุงตั้งใจจะฆ่าผมจริงๆ ถ้าผมไม่ระวัง พื้นที่รอบๆแทนที่จะพังอาจหายไปไม่เหลือร่องรอย
ลุงบลัดดี้ประหลาดใจและหัวเราะเมื่อเห็นผมดันรัศมีกลับโดยไม่ด้อยกว่า ไม่นึกว่าจะมาได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้นอกหมู่บ้าน...
“ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าเป็นใคร?” ลุงบลัดดี้ถามเหมือนจะให้โอกาสครั้งสุดท้าย
ผมยักไหล่ถามกลับ “เจ้าคิดว่าใครล่ะ?”
คิดว่าข้าเป็นใครกันแน่ถึงจะฆ่าแบบนี้?
“ไม่รู้ แต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเป็นผู้สืบทอดของ ‘เจ้านั่น’ ที่ข้าฆ่าไป หรือ ‘ฝาแฝด’ ที่ถูกวิลเลียมกับออฟินาฆ่าไป คิดว่าไง?”
เจ้านั่น? ฝาแฝด? จะว่าไปเขาพูดถึง ตาชั่ง ปลาคู่ กับแกะ ฟาร์มหรืออะไรนั่น?
แต่ตาชั่งไม่ใช่สัตว์ ผมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อพวกนี้มาก่อน
“หรือว่า นี่คือราศี มีคนชื่อสิงห์ด้วยใช่ไหม?”
ลุงบลัดดี้ยิ้มเย็นและพยักหน้า “เจ้ารู้ดี!” เขาตั้งท่าเหมือนจะสู้ในเดี๋ยวนั้น
“ดะ-เดี๋ยวก่อน! ข้าว่าเจ้าจับผิดคนแล้ว!”
เมื่อผมหยุดเขา ลุงมองเหมือนจะถามว่า ‘พูดเหลวไหลอะไร’
“พูดบ้าอะไร?”
แหม พูดเสียตรงอย่างนั้นทำให้พูดเหลวไหลต่อไม่ออก
“เท่าที่ข้าฟัง ดูเหมือนเจ้ากำลังหาสมาชิกหรือองค์กรที่ตั้งชื่อตาม 12 ราศีใช่ไหม?”
ลุงบลัดดี้เป็นคนซื่อ มาพูดให้เขาหวั่นไหวกันเถอะ
“แล้ว?”
“น่าเสียดาย เจ้าจับผิดคน ข้าไม่เคยได้ยินชื่อองค์กรแบบนั้นมาก่อน”
ผมพูดอย่างจริงใจ แต่ปฏิกิริยาของลุงบลัดดี้เย็นชา
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเหรอ?”
ผมคิดว่าถ้าซื่อๆแบบลุงต้องเชื่อแน่ ถึงอย่างนั้น หลานคนนี้ก็โล่งใจที่เห็นเขาเติบโตขึ้นหลังจากมาอยู่เมืองหลวง
ไหนใครบอกว่าถ้าเราจริงใจ อีกฝ่ายจะเข้าใจเรา? เอาเถอะ ผมก็ไม่โง่พอจะเชื่อเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว ปกติถ้าเราจะหลอกใคร เราต้องเอาความจริงส่วนหนึ่งไปผสม ถ้ามันดูเหมือนเรื่องโกหกก็ไม่ควรใส่ แต่เพราะผมไม่รู้ข้อมูลเลย ถ้าอย่างนั้นว่าไปตามน้ำแล้วกัน
เอาล่ะ ได้เวลาพูดมั่วแล้ว
“ลองคิดดูสิ เจ้าเหวี่ยงดาบใส่ข้าทันทีที่เจอข้า เพราะอะไร? เพราะข้าดูน่าสงสัย”
ลุงบลัดดี้พยักหน้า
ดี เขาแสดงว่ากำลังฟัง
“แน่นอนว่าข้าดูน่าสงสัย หน้ากากกับอาชีพของข้าเป็นแบบนั้น”
“อาชีพ?”
“ใช่ ข้าละอายที่ต้องพูดอย่างนี้แต่ข้าจน จึงหากินด้วยการลักเล็กขโมยน้อย ข้าอยากเล่าประวัติของข้าแต่เพราะต่างคนต่างไม่มีเวลา ข้ามไปเถอะ”
แรกเริ่ม ผมวางพื้นเรื่องด้วยการบอกว่าผมเป็นแค่โจรกระจอก
“มาดูที่เจ้าเหวี่ยงดาบกันอีกที ดูจากเครื่องแบบ เจ้าเหมือนอัศวิน ขั้นสูงเสียด้วย อัศวินผู้ให้ค่าเรื่องเกียรติและประเพณีกลับทิ้งเกียรติของอัศวินและเหวี่ยงดาบเพื่อการไต่สวน ใช่ไหม?”
ผมพูดช้าลง การพูดรัวเป็นปืนกลไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป สิ่งสำคัญคือให้อีกฝ่ายตั้งใจฟังคำพูดของผม
“เป็นอัศวินขั้นสูง ทักษะคงดีด้วย ข้าบอกได้เลยว่าทักษะของท่านอัศวินสูงส่งเมื่อดูจากการเหวี่ยงดาบที่ลื่นไหล”
ผมเปลี่ยนจากคำเรียกว่า ‘เจ้า’ เป็น ‘ท่านอัศวิน’ อย่างเป็นธรรมชาติ และลุงบลัดดี้พยักหน้าด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
โอโฮะ ชอบแบบนี้สินะ!
กินไปสู้ไป สมเป็นลุงกับหลานกันจริงๆคู่นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น