วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 63

 บทที่ 63 – งานเลี้ยง (14)


“ห้ามลงมือ! ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ให้อภัย”

การสังหารคนไร้ความผิดนั้นผิดต่อหลักการของพฤษภ แม้ไม่ใช่เขาเป็นคนลงมือ แต่การเมินเฉยก็ผิดต่อหลักการของเขาเช่นเดียวกัน

มองพฤษภที่ยืนตั้งท่า พิจิกนั่นไขว้ห้างอย่างยั่วยวน “อุ๊ย เจ้าร้อนรนอะไร? ไม่ต้องห่วงหรอกที่รัก ข้าแค่มาดู”

“เจ้าพูดเรื่องอะไร?” พฤษภไม่เข้าใจ

พิจิกตอบเหมือนเขาไม่จำเป็นต้องรู้ “เจ้าแค่ดูไว้ก็พอ แน่นอน ข้าไม่รู้ว่าหลักการที่เจ้าเชื่อถือนักจะยอมให้เจ้ามองเฉยๆ”

“อะไร-”

“ข้าควรจะเสียใจที่ความสามารถหาข่าวของเจ้าต่ำดี หรือชื่นชมลางสังหรณ์เฉียบคมของเจ้าดี? เจ้าอยู่ที่นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆเหรอ?”

พฤษภงงกับคำพูดเหมือนบ่นของพิจิก “ข้าแค่...”

“เอาเถอะ ข้าไม่อยากรู้สถานการณ์ของเจ้า แต่ไม่ต้องห่วง วันนี้ข้าแค่มาดู” พิจิกพูดผ่านปากแดงยั่วยวนสีเดียวกับหน้ากากของเธอ “พวกเราทำแต่สิ่งที่พวกเราอยากทำ เป็นอย่างนั้นตลอดไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไรก็ตาม”

พิจิกหายไปพร้อมกับประโยคนั้น เหมือนเธอไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน

พฤษภก้มมองโรงเรียนเวทมนตร์ ใบหน้าใต้หน้ากากขมวดคิ้ว

***

แย่ที่สุด

ผมคิดว่า “ไม่มีทาง ไม่มีทาง” แต่ก็เจอกับเจ้าหญิงจนได้

ตอนนี้ ผมหาข้ออ้างสารพัดและหนีมาได้ แต่การที่อารีเลียใส่เครื่องแบบโรงเรียนเวทมนตร์กับที่เธอสนิทกัยูเรียและอลิซก็แปลว่าผมอาจเจอเธอได้ทุกเมื่อ

ผมอยู่แค่ไม่นานแต่ดูเหมือนเธอจะจำผมไม่ได้ แต่ว่า ชีวิตไม่เป็นไปตามที่เราต้องการเสมอหรอก จะว่าไปแล้วผมก็รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทิ้งลิสบอนไว้กับกลุ่มผู้หญิง

เอาเถอะ ลิสบอนรับมือได้น่ะ ผมตัดสินใจเลิกห่วงและจิ้มเนื้อเป็ดบนชามเข้าปาก

“อร่อย”

ผมใส่หน้ากากรบกวนการรับรู้ ปิดบังตัวตน และแอบเอาอาหารใส่กระเป๋ามิติ จากนั้นหลบไปยังระเบียงว่างเปล่า

ฉันจะกินดื่มแล้วค่อยกลับบ้านตามแผน ใครอย่าได้มาขวาง!

ถึงเป็นระเบียงก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ผมใส่หน้ากากจึงไม่น่าจะมีใครจำได้ แต่ถ้าคนที่ออกมายังระเบียงฝึกเวทมนตร์ก็มีโอกาสที่ผมจะถูกสังเกตเห็น และเพราะที่นี่เป็นโรงเรียนเวทมนตร์ที่คนใช้เวทมนตร์กันทำให้ผมยิ่งรู้สึกกังวล

ขึ้นไปกินบนหลังคาที่ไม่มีคนแน่ๆดีกว่า

ฮึบ!

ผมเหยียบราวระเบียง กระโดด จับพื้นระเบียงชั้นบนแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไป ผมขึ้นไปถึงหลังคาโดยการเหนี่ยวระหว่างขอบหน้าต่างกับท่อระบายน้ำ เงยมองท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์ตกดินแทบหมด ดาวเริ่มส่องแสงทีละดวงทีละดวง

“อร่อย”

ใส่ซอสอะไรถึงทำให้อร่อยแบบนี้นะ? ไว้แอบไปเอาในครัวดีกว่า

เพราะด้อยความสามารถด้านการใช้มือทำให้ผมทำอาหารไม่ได้ แต่ถ้าเอาไปให้คนครัวของหอพักพวกเขาต้องจัดการได้แน่ ตอนผมคิดว่าชาติก่อนผมต้องทำอาหารเก่งกว่าแน่ ก็นึกได้ว่าเคยทำแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หลังปลอบใจตัวเองเสร็จผมก็กินเนื้อเป็ดอีก

อร่อย!

ผมกินเนื้อเป็ด พลางดื่มแชมเปญให้ชุ่มคอ แชมเปญอัดแก๊สทำให้แสบคอ

แค่ก! ไม่มีแอลกอฮอล์เลย

น่าเสียดาย แต่ไม่รู้ทำไมจึงไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย แต่อย่างน้อยก็ดีที่มีเครื่องดื่มอัดแก๊ส ผมต้องเรียนเวทมนตร์สำหรับละลายแก๊สในน้ำทีหลัง

ชิ้ง!

ผมได้ยินเสียงดาบฟันผ่านอากาศจึงทิ้งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เห็นประกายดาบผ่านจุดที่ผมเคยอยู่

ผมมองคนไม่มีความคิดที่อยู่ๆก็เหวี่ยงดาบใส่ผมอย่างระวังตัว

“โฮ่ ว่องไวดีนี่?”

ชายคนหนึ่งถือดาบด้วยมือขวาและกำลังฉีกเนื้อติดกระดูกจากมือข้างซ้ายมองผมยิ้มๆ

...ลุงบลัดดี้?

ทำไมลุงมาอยู่ที่นี่?

ผมเก็บบัตรประจำตัวข้าราชการที่ห้อยคออยู่เข้าไปในกระเป๋ามิติ ปล่อยคำถามว่าทำไมลุงบลัดดี้มาลอบจู่โจมผมไปก่อน ต้องออกจากที่นี่ก่อน

“โอ๊ะๆ คิดจะไปไหน?”

ลุงบลัดดี้โยนรัศมีดาบตัดทางที่ผมจะหลบไป ผมม้วนตัวหลบ

“ประทานโทษ? ข้าทำผิดอะไรเหรอ?”

ผมพยายามหนีก็จริง แต่จิตสังหารที่รู้สึกจากเขามันแรงมาก จะปล่อยให้เป็ดในจานหกก็น่าเสียดาย ผมจึงยัดมันเข้าปาก

อร่อย!

ลุงบลัดดี้กัดเนื้อแล้วตอบ “เปล่า ไม่ได้ทำผิดแต่เจ้าดูน่าสงสัยมากกว่า ดังนั้นข้าจะฆ่าเจ้าก่อน”

อ้อ อย่างนี้นี่เอง

เหตุผลเข้าใจได้ แต่ผมคงไม่อยู่เฉยให้ตัวเองถูกฆ่า ที่จริงแล้วผมรู้ว่าลุงไม่คิดจะฆ่าเพราะเขาทำเสียงตอนชักดาบ แต่ที่พูดว่าจะฆ่าก็ไม่ใช่ขู่เฉยๆเหมือนกัน ความคิดของเขาน่าจะเป็นถึงผมตายก็ช่าง

“ว่าแต่ ข้าเพิ่งเคยเห็นหน้าเจ้าเป็นครั้งแรกใช่ไหม?”

ไม่ใช่!

ถ้าอย่างนั้นใครกันที่ก่อกวนข้าทุกครั้งเวลากลับมาเที่ยวบ้าน บุกห้อง ทิ้งหนังสือโป๊ไว้ทั่วห้องแล้วเรียกพวกพี่สาวของข้ามา?

แน่นอน หนังสือพวกนั้นข้าเก็บไว้ในกระเป๋ามิติและใช้มันอย่างดี

แล้วอีกอย่าง ข้าใส่หน้ากากอยู่นะ หมายความว่ายังไงที่บอกว่าเห็นหน้า?

ผมพูดสิ่งที่คิดในใจไม่ได้ ผมกลืนเนื้อเป็ดและพยายามพูดปลอบลุงบลัดดี้

“อร่อยเหาะ!”

ไม่ใช่แล้ว

เนื้อเป็ดอร่อยมากจนผมหลุดปากออกมา ลุงบลัดดี้หัวเราะลั่น

“ฮ่าๆๆ เจ้าเป็นคนตลกดี!”

ผมปฏิเสธทันที

“เป็นไปไม่ได้ ข้าเป็นคนจริงจัง ข้าเป็นคนจริงจังขนาดตอนเกิดยังคิดว่า ‘บ้าจริง ข้าเกิดมาจนได้’ และวางแผนอนาคตอย่างจริงจัง”

ส่วนใหญ่แล้วผมคิดอย่างจริงจังถึงวิธีสร้างชักโครกแบบมีที่ฉีดก้น แต่มาเรียกข้าว่าคนตลกได้ยังไง?

คนตลกต้องเป็นแบบกัลลาฮาดที่โดนหลอกบ่อยๆ คนแบบผมต้องเรียกว่าพวกทำลายบรรยากาศ

จริงๆนะ!

ลุงบลัดดี้หัวเราะ

ไม่! อย่างน้อยข้าก็จริงจังกว่าลุง!

ผมเกือบขาดสติ แต่สงบใจลงแล้วหาวิธีหนี เห็นอย่างนี้แต่ลุงบลัดดี้เคยเป็นผู้นำหน่วยนักรบที่ครองป่าโอลิมปัส แม้ที่นี่ไม่ใช่ป่า แต่ผมต้องเตรียมใจเห็นเมืองหลวงพังไปครึ่งเมืองถ้าลุงบลัดดี้ตั้งใจจะจับผม

ขณะผมคิดจะดึงไม้เท้าออกมาจากกระเป๋ามิติอยู่นั้น ลุงบลัดดี้โยนกระดูกทิ้งหลังจากกินเนื้อหมดแล้วและชี้ดาบมาทางผม

“เอาล่ะ ข้าถามจริงๆ เจ้าเป็นใคร? ตาชั่ง? ปลาคู่? หรือแกะ?”

“พูดเรื่องอะไร?”

ผมไม่เข้าใจคำถาม ถ้าอยู่ๆมาถามว่าผมเป็นปลาหรือตาชั่ง จะให้ผมตอบว่าอะไร?

แต่ลุงบลัดดี้คงคิดว่าผมพยายามหนี เขาดึงวรยุทธ์ออกมาคลุมดาบ แสงทะลักออกมาจากดาบเหมือนระเบิด ส่องรอบๆสว่าง

“ข้าบอกว่าข้าถามจริงๆ”

ผมปล่อยพลังเวทรับกับวรยุทธ์ของลุงบลัดดี้ “ข้าก็ตอบจริงๆ”

พลังเวทของผมกับวรยุทธ์ของลุงบลัดดี้ครอบคลุมพื้นที่ พยายามแย่งพื้นที่กัน ตรงที่พลังเวทกับวรยุทธ์ปะทะกันบิดเบือนและเกิดประกายไฟ

แย่ล่ะ ลุงตั้งใจจะฆ่าผมจริงๆ ถ้าผมไม่ระวัง พื้นที่รอบๆแทนที่จะพังอาจหายไปไม่เหลือร่องรอย

ลุงบลัดดี้ประหลาดใจและหัวเราะเมื่อเห็นผมดันรัศมีกลับโดยไม่ด้อยกว่า ไม่นึกว่าจะมาได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้นอกหมู่บ้าน...

“ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าเป็นใคร?” ลุงบลัดดี้ถามเหมือนจะให้โอกาสครั้งสุดท้าย

ผมยักไหล่ถามกลับ “เจ้าคิดว่าใครล่ะ?”

คิดว่าข้าเป็นใครกันแน่ถึงจะฆ่าแบบนี้?

“ไม่รู้ แต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเป็นผู้สืบทอดของ ‘เจ้านั่น’ ที่ข้าฆ่าไป หรือ ‘ฝาแฝด’ ที่ถูกวิลเลียมกับออฟินาฆ่าไป คิดว่าไง?”

เจ้านั่น? ฝาแฝด? จะว่าไปเขาพูดถึง ตาชั่ง ปลาคู่ กับแกะ ฟาร์มหรืออะไรนั่น?

แต่ตาชั่งไม่ใช่สัตว์ ผมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อพวกนี้มาก่อน

“หรือว่า นี่คือราศี มีคนชื่อสิงห์ด้วยใช่ไหม?”

ลุงบลัดดี้ยิ้มเย็นและพยักหน้า “เจ้ารู้ดี!” เขาตั้งท่าเหมือนจะสู้ในเดี๋ยวนั้น

“ดะ-เดี๋ยวก่อน! ข้าว่าเจ้าจับผิดคนแล้ว!”

เมื่อผมหยุดเขา ลุงมองเหมือนจะถามว่า ‘พูดเหลวไหลอะไร’

“พูดบ้าอะไร?”

แหม พูดเสียตรงอย่างนั้นทำให้พูดเหลวไหลต่อไม่ออก

“เท่าที่ข้าฟัง ดูเหมือนเจ้ากำลังหาสมาชิกหรือองค์กรที่ตั้งชื่อตาม 12 ราศีใช่ไหม?”

ลุงบลัดดี้เป็นคนซื่อ มาพูดให้เขาหวั่นไหวกันเถอะ

“แล้ว?”

“น่าเสียดาย เจ้าจับผิดคน ข้าไม่เคยได้ยินชื่อองค์กรแบบนั้นมาก่อน”

ผมพูดอย่างจริงใจ แต่ปฏิกิริยาของลุงบลัดดี้เย็นชา

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเหรอ?”

ผมคิดว่าถ้าซื่อๆแบบลุงต้องเชื่อแน่ ถึงอย่างนั้น หลานคนนี้ก็โล่งใจที่เห็นเขาเติบโตขึ้นหลังจากมาอยู่เมืองหลวง

ไหนใครบอกว่าถ้าเราจริงใจ อีกฝ่ายจะเข้าใจเรา? เอาเถอะ ผมก็ไม่โง่พอจะเชื่อเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว ปกติถ้าเราจะหลอกใคร เราต้องเอาความจริงส่วนหนึ่งไปผสม ถ้ามันดูเหมือนเรื่องโกหกก็ไม่ควรใส่ แต่เพราะผมไม่รู้ข้อมูลเลย ถ้าอย่างนั้นว่าไปตามน้ำแล้วกัน

เอาล่ะ ได้เวลาพูดมั่วแล้ว

“ลองคิดดูสิ เจ้าเหวี่ยงดาบใส่ข้าทันทีที่เจอข้า เพราะอะไร? เพราะข้าดูน่าสงสัย”

ลุงบลัดดี้พยักหน้า

ดี เขาแสดงว่ากำลังฟัง

“แน่นอนว่าข้าดูน่าสงสัย หน้ากากกับอาชีพของข้าเป็นแบบนั้น”

“อาชีพ?”

“ใช่ ข้าละอายที่ต้องพูดอย่างนี้แต่ข้าจน จึงหากินด้วยการลักเล็กขโมยน้อย ข้าอยากเล่าประวัติของข้าแต่เพราะต่างคนต่างไม่มีเวลา ข้ามไปเถอะ”

แรกเริ่ม ผมวางพื้นเรื่องด้วยการบอกว่าผมเป็นแค่โจรกระจอก

“มาดูที่เจ้าเหวี่ยงดาบกันอีกที ดูจากเครื่องแบบ เจ้าเหมือนอัศวิน ขั้นสูงเสียด้วย อัศวินผู้ให้ค่าเรื่องเกียรติและประเพณีกลับทิ้งเกียรติของอัศวินและเหวี่ยงดาบเพื่อการไต่สวน ใช่ไหม?”

ผมพูดช้าลง การพูดรัวเป็นปืนกลไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป สิ่งสำคัญคือให้อีกฝ่ายตั้งใจฟังคำพูดของผม

“เป็นอัศวินขั้นสูง ทักษะคงดีด้วย ข้าบอกได้เลยว่าทักษะของท่านอัศวินสูงส่งเมื่อดูจากการเหวี่ยงดาบที่ลื่นไหล”

ผมเปลี่ยนจากคำเรียกว่า ‘เจ้า’ เป็น ‘ท่านอัศวิน’ อย่างเป็นธรรมชาติ และลุงบลัดดี้พยักหน้าด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

โอโฮะ ชอบแบบนี้สินะ!


สารบัญ                                      บทที่ 64

 

กินไปสู้ไป สมเป็นลุงกับหลานกันจริงๆคู่นี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น