วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 51

บทที่ 51 – งานเลี้ยง (2)

หญิงรับใช้ขององค์หญิงสาม อารีเลีย ปั่นป่วนกันใหญ่เพราะการตัดสินใจปุบปับของเจ้านายที่จะเข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ พวกนางต้องเตรียมจัดงานฉลองวันเกิดและเตรียมเข้าเรียนพร้อมกัน แต่ที่ลำบากที่สุดสำหรับเหล่าหญิงรับใช้คือความเอาแต่ใจของเจ้าหญิง

“ไม่! ข้าจะใส่!”

โรงเรียนเวทมนตร์มีเครื่องแบบ แต่อารีเลียเป็นเจ้าหญิงจึงไม่ต้องใส่ก็ได้ แต่เธอยืนยันจะใส่

สำหรับเธอ เครื่องแบบเหมือนของใหม่ที่กระตุ้นความขบถ แม้จะแค่เล็กน้อย ต่อราชวงศ์ที่น่าอึดอัด เจ้าหญิงผู้อยากรู้สึกถึงความเป็นอิสระไม่อาจปล่อยไปได้

“เจ้าหญิงคะ ขออภัยเถอะแต่ท่านจำเป็นต้องสมาคมกับพวกคนต่ำชั้นกว่าด้วยเหรอ? ยกเลิกตอนนี้ยังไม่สายเกินไป-”

“ข้าบอกว่าไม่ไงล่ะ!”

เหล่าหญิงรับใช้ตกใจกับภาพที่อารีเลียร้องไห้ตะโกนบนเตียง เมื่อไม่นานมานี้เอง เธอยังสุภาพเรียบร้อย แต่จู่ๆก็ดื้อขึ้นมาและทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจ ก่อนหน้านี้พวกนางเป็นห่วงว่ามีอะไรมากดดันเจ้าหญิงหรือเปล่า แต่ตอนนี้พวกนางกังวลว่าเธอปล่อยตัวเกินไปหรือเปล่า

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเหล่าหญิงรับใช้แอบถอนหายใจ ดูอารีเลียลุกขึ้นนั่ง จัดแต่งชุดที่ยับจากการกลิ้งบนเตียงให้ดูเรียบร้อย

“ให้เขาเข้ามาได้” เจ้าหญิงบอกหญิงรับใช้

เมื่อเห็นเจ้าหญิงกลับสู่สภาพสูงศักดิ์เหมือนก่อน พวกนางก็โล่งอก 

เมื่อได้รับคำอนุญาต ชายที่รอหน้าประตูก็เข้ามา

อารีเลียลุกขึ้นและทักเบาๆ “ยินดีต้อนรับ นายพลวิลเลียม”

วิลเลียมเป็นคนที่ไม่อาจดูหมิ่นได้แม้อารีเลียจะเป็นเจ้าหญิง เขาพยักหน้ารับเบาๆ

“ขอบคุณที่ให้ข้าเข้าพบทั้งๆที่มาอย่างกะทันหัน เจ้าหญิงอารีเลีย”

วิลเลียมอ่านสถานการณ์ออกเมื่อเห็นเครื่องแบบโรงเรียนเวทมนตร์ที่แขวนข้างเตียง ไม่ใช่ในตู้ และเตียงที่ไม่เรียบร้อย

“ท่านอยากไปโรงเรียนอย่างธรรมดาหรือ เจ้าหญิงอารีเลีย?”

สำหรับเจ้าหญิง ‘ธรรมดา’ เป็นสิ่งที่ได้มายากกว่าใครทั้งนั้น

หญิงรับใช้ยืนฟังอย่างสงบ แต่ข้างในเหงื่อแตก พวกนางห่วงว่าจะมีข่าวลือออกไปว่าเจ้าหญิงอารีเลียทำตัวเหลวไหล

“ถ้าใช่ล่ะ?” อารีเลียยิ้มอ่อน

วิลเลียมเป็นคนสนิทของจักรพรรดิและเป็นคนของเผ่าผีเสื้อ หญิงรับใช้กังวลไปเปล่าๆเพราะนายพลแทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับขุนนางผู้ชอบซุบซิบนินทา ยิ่งกว่านั้น ตราบใดที่จักรพรรดิทำประโยชน์ให้เผ่าผีเสื้อได้ เขาก็ไม่ปล่อยข่าวลือเสียหายของราชวงศ์ออกไป

“ข้าจะช่วย ท่านเคยช่วยเหลือข้า เรื่องแค่นี้ไม่ยากเกินไป”

วิลเลียมข่มความใคร่รู้ด้านเวทมนตร์ไว้ไม่ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจออารีเลีย เจ้าหญิงเป็นตัวต้านทานนักเวทที่มีค่าความต้านทานเวทมนตร์ล้นเหลือ เขาอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเธอเรียนเวทมนตร์

น่าเสียดายที่โรงเรียนเป็นผู้สอนเจ้าหญิง ไม่ใช่นายพลวิลเลียมเอง ซึ่งช่วยไม่ได้ อีกไม่กี่เดือนเขาต้องเปลี่ยนกับนายพลออฟินาของเผ่ามังกร ไปที่ชายแดนปีศาจ

เขาไม่สามารถพาอารีเลียไปยังที่ซึ่งแม้แต่อัศวินเก่งๆยังต้องเสี่ยงชีวิต แต่เธอไม่ควรหยุดเรียนเวทมนตร์ทุกครั้งที่เขาไม่อยู่ ดังนั้นวิลเลียมจึงเลือกโรงเรียนเวทมนตร์เป็นคนสอนเธอ

มีนักเวทเก่งๆหลายคนในหมู่ผู้นำนักเวทหลวง และลูกหลานของเผ่าผีเสื้อ ทำให้อารีเลียเรียนเวทมนตร์และบันทึกความเปลี่ยนแปลงของเธอได้สะดวก

อารีเลียฟังวิลเลียมพูดแล้วยินดี “จริงเหรอ?”

“ใช่ เรื่องแค่นี้ไม่ยากอะไร ถ้าเราวางเวทมนตร์บนตัวท่านที่ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าท่านเป็นเจ้าหญิง ท่านก็จะใช้ชีวิตธรรมดาได้ในระดับหนึ่ง”

ตัวต้านทานนักเวทป้องกันเวทมนตร์ไม่ให้เกิดผลกับตัวเอง ไม่ได้ป้องกันไม่ให้เกิดผลกับคนอื่น

อารีเลียส่ายหน้า “เท่านั้นไม่พอหรอก”

“ถ้าอย่างนั้น?” วิลเลียมถาม

อารีเลียใส่หน้ากากครึ่งหน้าสีขาวแล้วยิ้มเหมือนคนซุกซนคนนั้น “ข้าต้องการตัวตนใหม่”

การสร้างตัวตนใหม่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับวิลเลียม แต่เขาลังเล

ตัวตนก็เหมือนเกราะป้องกัน เพื่อความปลอดภัยของอารีเลย เธอไม่ควรปิดบังตัวตน อารีเลียรู้เช่นกัน แต่ฐานะของเธอจะทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้

วิลเลียมลังเลครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ได้”

“ท่านนายพล!” หญิงรับใช้ที่อยู่กับอารีเลียนานที่สุดทนเงียบต่อไปไม่ได้ หญิงรับใช้กังวลเรื่องเจ้านายที่สุดจึงยอมไม่ได้

วิลเลียมเหลือบมองหญิงรับใช้แล้วมองเจ้าหญิงอีก เขากำลังถามว่าอารีเลียจะทำอย่างไร

อารีเลียพยักหน้า “ข้าจะจัดการเอง”

วิลเลียมพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปโน้มน้าวองค์จักรพรรดิ”

“ขอบคุณ”

“แต่ว่า ข้าจะให้ลูกของพี่ชายข้าคอยอยู่กับท่านระหว่างที่อยู่ในโรงเรียน”

วิลเลียมนึกถึงยูเรีย แม้ยูเรียจะค่อนข้างเป็นเด็กใจร้อน แต่เด็กสองคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ การได้สังเกตอารีเลียในฐานะตัวต้านทานนักเวทก็ดีต่อยูเรียด้วย

“ลูกของพี่ชายท่าน?”

“ใช่ เด็กคนนี้แม้แต่ในหมู่บ้านของข้ายังถือเป็นอัจฉริยะ อยู่โรงเรียนเดียวกันกับท่าน ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย”

อารีเลียรู้สึกไม่พอใจ เธอคิดว่าในที่สุดจะได้เป็นอิสระแล้วแต่กลับต้องมีคนคุม ในทางตรงกันข้าม เหล่าหญิงรับใช้ดีใจ คนที่เผ่าผีเสื้อเรียกว่าอัจฉริยะย่อมเป็นนักเวทผู้เก่งกาจ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหญิงขณะอยู่โรงเรียน

“ผู้ชายหรือเปล่า? เขาคงไม่อยู่กับข้าตลอด 24 ชั่วโมงใช่ไหม?” อารีเลียถามหน้างอ

วิลเลียมยิ้ม “เด็กผู้หญิง และข้าจะขอให้เธออยู่กับท่านเฉพาะในโรงเรียน”

อารีเลียคิดว่าก็ยังดี

“แต่เธอโตในหมู่บ้าน มารยาทไม่ค่อยดีนัก ตอนเจอกันช่วงแรกๆช่วยเข้าใจด้วยว่าเธออาจมีกิริยาไม่ดีโดยไม่ตั้งใจ” ระหว่างที่วิลเลียมตามใจอารีเลียมาก เขาก็มองเหมือนถามว่าเรื่องแค่นี้คงทำได้ใช่ไหม

อารีเลียเหงื่อตกเมื่อรู้ตัวว่าเกือบล่วงเกินนายพล ถ้าคำพูดของเธอถูกเข้าใจผิดมันอาจฟังเหมือนเธอกำลังประชดวิลเลียมว่าต้องการอำนาจการเมืองโดยการส่งหลานของเขามาให้เธอ ราชวงศ์เป็นที่ซึ่งการเหลือบมองหรือคำพูดหนึ่งคำสามารถตัดศีรษะคนได้ แม้เธอจะเป็นเจ้าหญิง แต่อีกฝ่ายคือนายพลผู้มีอำนาจทางทหาร

“ข้าไม่ได้ต้องการจะกำจัดหลานของท่าน ขอโทษ” เธอพูด

วิลเลียมหัวเราะ “ข้ารู้ เจ้าหญิงคงห่วงเรื่องเสื่อมเสีย ข้าเข้าใจ”

ถ้าอัศวินทั่วไปเป็นผู้คุ้มกันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นญาติของผู้มีอำนาจ และเป็นผู้ชาย อาจเกิดข่าวลือไม่ดีได้

“ไว้ข้าจะนัดหมายวันทีหลัง ตอนนั้นโปรดไปพบกับเธอ” จากนั้นวิลเลียมเข้าประเด็นหลักที่มาหาอารีเลีย

“เจ้าหญิงคิดอย่างไรถ้าจะจัดงานเต้นรำฉลองวันเกิดที่โรงเรียนเวทมนตร์?”

***

“ทางไปหอทางนี้นะครับ เจ้าจะไปไหน?” แฟลมที่ออกจากห้องประชุมพร้อมกัน จับผมไว้

หลังได้ห้องในหอพัก อย่างเดียวที่ต้องทำคือสมัครเรียนวิชาต่างๆ

“ข้าคิดว่าถ้าสมัครเรียนตอนนี้คนน่าจะน้อย”

แต่ละวิชาไม่ได้จำกัดจำนวนคน จึงไม่จำเป็นต้องรีบ แต่ถ้าไม่อยากเจอคนเยอะๆหลังจากพวกเขาเอาสัมภาระวางที่หอ รีบหน่อยก็ดี แน่นอน ผมไม่ได้อยู่หอจึงต้องเดินทางไปกลับ

“โอ้! ความคิดดี”

แฟลมจึงตามผมมาด้วย

“สัมภาระเจ้ามาถึงแล้วหรือยัง?”

เหตุผลที่ทุกคนไปหอพักก่อนเพราะถ้าสัมภาระของตัวเองไปกองปิดทางเข้าจะโดนหักคะแนน คะแนนเป็นระบบของหอพักที่แสดงถึงพฤติกรรมแย่หรือการละเมิดกฎของหอ ซึ่งว่ากันว่ามีส่วนในการประเมินการฝึกด้วย

ผมไม่ได้อยู่หอพัก จึงแน่นอนว่าไม่ถูกหักคะแนน ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี แม้จะไม่มีกฎน่ารำคาญ แต่ผมต้องกังวลเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่รัฐมนตรีจะโผล่มา ตอนแรกผมวางแผนจะออกจากหอโดยอ้างว่าจะไปพักในหอพักข้าราชการ

เอาเถอะ ผมตัดสินใจคิดในแง่บวก การจับตามองที่ทำให้รู้สึกแย่ก็ไม่มีแล้ว เขาว่าใต้ตะเกียงเป็นที่มืดที่สุด และเหนืออื่นใด อาหารที่นั่นอร่อย!

“สัมภาระ? ไม่ได้ใช้เวลานานอะไรข้าเลยถือไว้”

แฟลมให้ดูกระเป๋าที่สะพายข้าง มันมีเสื้อผ้าและเครื่องเขียน

“กระเป๋าขยายมิติเหรอ?”

บนตัวมันมีเวทมนตร์คล้ายกับกระเป๋าขยายมิติที่ผมได้จากร้านขายข่าว ใบนั้นใหญ่กว่ามากในอัตราส่วนขยายมิติ

“รู้ได้ไง?”

แฟลมประหลาดใจกับคำพูดเรื่อยเปื่อยของผม

“เพราะ-”

ผมจะบอกว่า “ข้าเห็นเวทมนตร์” แต่ยั้งไว้ทัน แค่แสดงว่าผมแค่มีความสนใจด้านเวทมนตร์ก็พอแล้ว

“กระเป๋ามันดูไม่พองเท่าไหร่เทียบกับจำนวนของข้างใน”

โชคดีที่ผมมีปฏิกิริยารวดเร็ว หาข้ออ้างได้ทัน

แฟลมตอบด้วยสีหน้าค่อนข้างยุ่งยากใจ “เรื่องข้ามีกระเป๋าขยายมิติช่วยเก็บเป็นความลับได้ไหม ถ้ามีคนรู้ว่าข้ามีของมีค่าแบบนี้อาจมีคนอยากได้ก็ได้”

เวทมนตร์มันไม่ได้ยากอะไรเทียบกับการสร้างกระเป๋ามิติ มีค่าเนี่ยนะ? แต่จะว่าไป ผมว่าเคยได้ยินมูลค่าของมันตอนได้มันแทนเงินสดจากร้านขายข่าว เท่าไหร่แล้วนะ?

“ได้สิ”

ผมพยักหน้า แฟลมจับมือผมและขอบคุณ

“ขอบคุณครับ วันนี้ข้าเลี้ยงมื้อเที่ยงนะ”

“ปล่อยมือข้าเถอะครับ” ผมพูดด้วยรอยยิ้ม

แตะตัวผู้ชายมันดีตรงไหน ไม่ใช่ผู้หญิงสวยสักหน่อย โดยเฉพาะดูจากโชคของผมช่วงนี้

“ฮ่าๆ ไม่ต้องปฏิเสธหรอก”

หมายความว่ายังไงไม่ต้องปฏิเสธ? ไม่เอา!

ขณะผมปัดมือเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ แฟลมที่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมาก็ร้อนรน

“ไม่ใช่นะ! ข้าชอบผู้หญิง!”

พวกเราถอยห่างจากกันก้าวหนึ่ง เขาจะชอบผู้ชายก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าผู้ชายที่เขาชอบเป็นผมก็อีกเรื่อง

“ข้าหมายถึงไม่ต้องปฏิเสธมื้อเที่ยง!”

อ้อ เรื่องข้าวเที่ยง ไอ้เราก็นึกว่าไม่อยากปล่อยมือ แต่ทำไมต้องพูดผิดเวลาให้เข้าใจผิดด้วย?

“งั้นรีบไปสมัครเรียนแล้วไปกินข้าวกันเถอะ”

“เฮ้อ เข้าใจก็ดีแล้ว” แฟลมพูดพลางเหงื่อตก

ที่จริงผมล้อเล่น แต่แกล้งเขาสนุกกว่าที่คิดไว้อีกนะ



สารบัญ                                     บทที่ 52


1 ความคิดเห็น: