วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 50

บทที่ 50 – งานเลี้ยง (1)


เมืองหลวงถูกเฉดสีแดงครอบคลุมยามตะวันคล้อยต่ำ

ช่างเปล่าประโยชน์นัก! ความวุ่นวายในเมืองหลวงอีกไม่นานจะเงียบไปกับกลางคืน

บนกำแพงปราสาท ชายสวมหน้ากากสีน้ำตาลคิดขณะก้มมองเมือง ใช่จริงๆ มันเปล่าประโยชน์

“เจ้าเป็นใคร!” ทหารยามที่ลาดตระเวนกำแพงปราสาทตะโกนเมื่อเห็นชายปริศนา

ตอนนั้นเอง ลมแรงพัดมาทำให้เขาต้องหลับตา เมื่อลมสงบลงและลืมตาขึ้นทันทีเขาก็ได้แต่สงสัย

เมื่อสักครู่นี้เองที่มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังนั่งเหนือกำแพงปราสาทอันเป็นข้อห้ามของประชาชนทั่วไป แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นเงาร่างของชายคนนั้น

กระโดดจากกำแพงสูง 20 เมตรเหรอ?

ทหารยามมองลงไป แต่ไม่เจอร่องรอยของชายคนนั้น

ราวกับว่าเป็นแค่ฝันกลางวัน

***

“จะเริ่มพิธีเปิดศูนย์ฝึกแล้วครับ ผู้รับการฝึกทุกคนกรุณานั่งที่”

ในห้องประชุมของศูนย์ฝึก ชายคนหนึ่งซึ่งคงเป็นผู้ฝึกสอนกำลังยืนบนเวทีและพูดผ่านเวทมนตร์ขยายเสียง บรรดาเด็กฝึกใหม่นั่งที่และรอเริ่มพิธี

ระหว่างรอ ผมอ่านหนังสือคู่มือเล่มหนาที่ได้รับแจก มันบอกตารางสอนโดยย่อ อย่างแรก ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สี่เดือนนี้จะเป็นการเรียนวิชาบังคับรวมกับวิชาเลือกอิสระและสุดท้ายเป็นการสอบ

จากนั้น ในเดือนธันวาคม หนึ่งเดือนนี้จะเป็นการดูงานในกิลด์นักผจญภัย, สมาพันธ์ทหารรับจ้าง, หน่วยงานต่างๆในวังหลวง, หอคอยเวทมนตร์ และที่ทำการเขตต่างๆ และฝึกงาน จากนั้นจึงจะได้รับการแต่งตั้ง

“จะขอเริ่มการฝึกข้าราชการครั้งที่ 98 นับแต่นี้ไป เมื่อเพลงชาติดังขึ้น ขอให้ผู้รับการฝึกและผู้เกี่ยวข้องทุกคนในศูนย์ฝึกยืนขึ้น”

ในที่สุดพิธีก็เริ่มขึ้น ผมยืนขึ้นและนั่งลงตามคำสั่งพลางอ่านหนังสือคู่มือ

จบเพลงชาติ ผมใคร่ครวญว่าจะเลือกวิชาอะไรดีขณะพิธียืดเยื้อดำเนินไป วิชาหลักคือ เศรษฐศาสตร์, กฎหมาย และมารยาท?

มารยาทเรียนไปทำไม? นี่คือของเปล่าประโยชน์ที่สถาบันสิ้นเปลืองพลังงานไปกับมัน ถัดไปคือวิชาดาบกับเวทมนตร์ รวมเป็นวิชาบังคับ 5 วิชา

ผมตั้งใจจะเลือกเรียนเวทมนตร์อยู่แล้วต่อให้ไม่ใช่วิชาบังคับ แต่วิชาดาบจะลำบากหน่อย ผมฝึกควบคุมแรงตัวเองอย่างหนัก แต่ไม่แน่ใจว่าจะคุมแรงได้ดีแค่ไหนเมื่อสู้กับเหล่าคนผอมแห้งแรงน้อยที่เคยแต่เรียน อาจได้ส่งทุกคนเข้าโรงพยาบาล ผมควรหลีกวิชานี้ให้มากที่สุดต่อให้ต้องได้คะแนนต่ำก็ตาม

ต่อไป วิชาเลือกมีเยอะพอดู ตั้งแต่ภาษาต่างๆในจักรวรรดิซึ่งไม่ได้แย่นัก ถึงศิลปะและดนตรี วิชาที่ผมสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับการเป็นข้าราชการ วิชาเลือกต้องเลือกอย่างต่ำ 2 วิชาและไม่เกิน 4 วิชา

จะว่าไป นายหน้าขายบ้านที่ทำให้ผมต้องมาอยู่หอพักแนะนำให้เลือกวิชาให้น้อยที่สุดถ้าเป็นไปได้

ผมเรียนภาษาของจักรวรรดิถึงระดับเจ้าของภาษาแล้ว จึงควรเลือกวิชานี้ก่อน คราวนี้ก็ต้องเลือกอีกหนึ่งวิชา ผมดูในหนังสือ ประวัติศาสตร์, การทหาร, ภูมิศาสตร์, คณิตศาสตร์, ภาษาศาสตร์... การผจญภัยศึกษา??

ไม่เคยได้ยินการผจญภัยศึกษา เรียนไปทำไม?

ผมอ่านคำบรรยายที่พิมพ์เป็นตัวเล็กๆข้างใต้

การผจญภัยศึกษาคืออะไร?

การผจญภัยศึกษามุ่งเป้าไปที่การเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมหลากหลายรูปแบบ มันเป็นคู่มือเอาตัวรอดที่ออกแบบเพื่อชี้แนะนักผจญภัยมือใหม่และสนับสนุนนักผจญภัยผ่านการศึกษาหาวิธีที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดด้วยเครื่องมือน้อยที่สุด

โอ้ แสดงว่าการผจญภัยศึกษาเป็นวิชาสำหรับข้าราชการที่ไปทำงานในกิลด์นักผจญภัย

มองผ่านๆ กิลด์นักผจญภัยกับสมาพันธ์ทหารรับจ้างเป็นองค์กรอิสระ ทหารรับจ้างและนักผจญภัยส่วนใหญ่คือพลเมืองที่ไม่ได้ทำงานให้จักรวรรดิ เช่น ทหารเก่าหรืออัศวินอิสระ แต่สององค์กรนี้ถือเป็นองค์กรในเครือข่ายรัฐบาลเพราะมีรัฐบาลจัดการดูแล

เพราะนักผจญภัยกับทหารรับจ้างสามารถกลายเป็นกองทหาร 200,000 นาย จักรวรรดิถ้ามีความสามารถพอต้องควบคุมมันแน่นอน อีกอย่าง นักผจญภัยผู้รักการผจญภัยอาจเปลี่ยนเป็นโจรป่าได้ถ้าประเทศไม่จัดการ

ด้วยเหตุนี้ องค์กรสององค์กรภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจึงเป็นกองกำลังสำรองเมื่อประเทศมีสงครามหรือเจอภัยธรรมชาติ ที่จริงในทหารหนึ่งล้านสองแสนนาย มีสองแสนนายเป็นนักผจญภัยกับทหารรับจ้าง

ถ้าจักรวรรดิจะส่งข้าราชการไปกิลด์นักผจญภัยกับสมาพันธ์ทหารรับจ้างเพื่อควบคุม แล้วทำไมไม่จ้างเป็นทหารของจักรวรรดิไปเลยแทนที่จะทำเป็นปล่อยให้พวกเขาทำงานเหมือนองค์กรอิสระ

คำตอบคือเพื่อไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทหาร 200,000 นายที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตลอดแต่อาจต้องใช้สักวันหนึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวและไม่ต้องจ่ายเงินเดือน มันจึงอยู่ในฐานะองค์กรที่สามารถเรียกใช้ได้เมื่อจำเป็น 

โลกนี้เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและปีศาจ ดังนั้น งานหลักของกองทัพย่อมเป็นการปราบปรามสัตว์ประหลาด แต่กองทัพที่เป็นโล่ปกป้องจักรวรรดิในบางครั้งก็เป็นดาบ หรือก็คือ งานของกองทัพยิ่งใกล้ชายแดนระหว่างประเทศอื่น อาจทำให้ประเทศอื่นประกาศสงครามเพราะรู้สึกถูกคุกคามได้ ดังนั้น กองทหารของจักรวรรดิแถวชายแดนด้านใต้จึงได้สู้แบบตั้งรับ

โดยเฉพาะสมัยนี้ที่ไม่มีความขัดแย้งระหว่างประเทศกองทัพยิ่งสู้กับสัตว์ประหลาดเต็มที่ไม่ได้ แต่เรามีนักผจญภัยและทหารรับจ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพแต่สามารถใช้ในฐานะกำลังสนับสนุนจากองค์กรอิสระ

แต่ข้อดีนี้จะเป็นข้อดีได้ต้องมีการควบคุมในระดับหนึ่ง ถ้าควบคุมไม่ได้และพวกนักผจญภัยเกิดอาละวาดใกล้ชายแดนก็จะทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าจักรวรรดิเปิดฉากโจมตี

จักรวรรดิต้องควบคุมนักผจญภัยไม่ให้อาละวาด ดังนั้นจึงส่งข้าราชการมาที่กิลด์นักผจญภัยและสมาพันธ์ทหารรับจ้าง

การผจญภัยศึกษาเหรอ ผมอาจได้เกรดสูงถ้าเลือกวิชานี้ ไม่ว่าอย่างไรผมก็เกิดและโตในโอลิมปัส หนึ่งในสิบดินแดนต้องห้าม

แม้แต่ในแถบอันตรายผมยังสามารถพูดอย่างมั่นใจว่า “กวางที่กัดโอเกอร์ตายในคำเดียวเป็นสัตว์ที่น่ากลัว แต่ได้เวลาอาหารเที่ยงของข้าแล้ว” และเหนือสิ่งอื่นใด การผจญภัยเป็นคำที่ทำให้ผู้ชายรู้สึกเร่าร้อนแม้แต่กับผมที่กำลังไล่ตามชีวิตปลอดภัย

ระหว่างผมอ่านคู่มืออย่างตั้งใจ พิธีเปิดก็มาถึงตอนจบ

“ขอจบพิธีเปิดลงตรงนี้ ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงาน ผู้รับการฝึกจะได้ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมนอกเหนือจากหนังสือคู่มือที่แจกไป ขอให้อยู่ต่ออีกหน่อย”

คนออกจากห้องประชุมไปไม่น้อย เหลือแต่ผมและข้าราชการใหม่คนอื่นๆ ในหมู่ข้าราชการใหม่ คนที่บ้านฐานะดีดูเหมือนจะพาครอบครัวหรือคนรับใช้มาด้วย

“โอ๊ะ สวัสดีครับ”

ขณะผมกำลังเหม่อ ชายกล้ามใหญ่ที่อายุน่าจะประมาณสามสิบปลายๆมานั่งข้างผมและใช้เวลาระหว่างพักชวนคุย

เด็กฝึกส่วนใหญ่อยู่ในช่วงกึ่งกลางถึงปลาย 20 ปี ชายที่คุยกับผมจึงเหมือนสอบผ่านตอนอายุค่อนข้างมากแล้ว ถึงอย่างนั้น เขาดูเป็นคนสุภาพดูจากที่พูดสุภาพกับผมทั้งๆที่ผมดูอายุน้อยกว่าทุกคน ไม่ต้องพูดถึงว่าผมดูอ่อนกว่าอายุจริงด้วยซ้ำ

“ครับ สวัสดี” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม ใครดีมาก็ดีกลับเป็นเรื่องพื้นฐานใช่ไหมล่ะ?

เขาลังเลเล็กน้อยและถาม “ข้ารู้ว่ามันเสียมารยาทที่ถามเรื่องนี้ทั้งๆที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่เจ้าอายุเท่าไหร่ครับ?”

“สิบหกครับ”

เพราะผมดูอ่อนกว่าวัย เขาคงคิดว่าผมเหมือนเด็กอ้างว่าเป็นข้าราชการใหม่ แน่นอน ถ้าเขาดูถูกที่ผมอายุน้อยก็ระวังตัวไว้เถอะเวลาเดินถนนตอนกลางคืน

พอได้ยินอายุของผม ชายคนนั้นก็พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแจ่มใส “อ้อเหรอ? ดีจังที่ได้เจอคนรุ่นเดียวกัน”

“...หา?”

เมื่อกี้อะไรนะ? รุ่นเดียวกัน?! หูหรือสมองผมต้องมีปัญหาแน่

“ฮะๆ ที่จริง ข้ารู้สึกกังวลที่เห็นคนอื่นๆเหมือนแก่กว่าข้า 10 ปี ถึงจะเรียนชั้นเดียวกัน แต่อายุที่ห่างกันมากคงทำให้สนิทกับพวกเขายาก”

ไม่ นายต่างหากที่เหมือนจะแก่กว่าคนรอบๆ 10 ปี เผลอพูดผิดไปตรงกันข้ามหรือเปล่า?

“อ้อ ข้าอายุสิบเจ็ดครับ แก่กว่าเจ้าหนึ่งปี แต่ได้ยินว่าเราสนิทกันได้ถ้าอายุห่างกันแค่ปีเดียว”

สิบเจ็ด? หน้าอย่างนั้นน่ะนะ? นายเหมือนทหารรับจ้างที่สู้มาสองทศวรรษแต่อายุสิบเจ็ด?

ถึงเป็นโรคสายตาก็ไม่ควรจะแย่ขนาดนี้ แต่สายตาของผมต้องมีปัญหาแน่ มากกว่าหูหรือสมอง

“เจ็บตรงไหนเหรอครับ?”

เมื่อผมขยี้ตา ชาย... ไม่สิ เด็กหนุ่มก็ถามอย่างเป็นห่วง

“เปล่าครับ ข้าแค่รู้สึกเหนื่อย”

“อย่างนั้นเหรอ? นั่นสินะ คนเราจะรู้สึกเหนื่อยถ้านั่งนิ่งเป็นชั่วโมง ข้าดีใจที่เจอคนรุ่นเดียวกันจนไม่รู้ตัว ขอโทษครับ”

สายตาผมเกิน 4.0 ทั้งสองข้าง แต่เขาไม่เหมือนคนอายุ 17 เลย

“ไม่เป็นไรครับ”

“ฮ่าๆ ดีจัง อ้อ เจ้าไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ พวกเรารุ่นเดียวกันไม่ใช่เหรอ? พูดธรรมดาก็ได้ครับ”

ดูเขาพูดอย่างสุภาพ ผมนึกภาพตัวเองพูดอย่างเป็นกันเองกับเด็กหน้าลุงที่นั่งข้างๆ ช่างเป็นคนหยาบคายไร้การศึกษา

“ไม่ล่ะครับ ข้าพูดแบบนี้สบายใจกว่า เจ้าก็ทำเหมือนกันนี่”

พูดกันเองกับหน้าแบบนั้นมันลำบากใจกว่า เด็กหน้าลุงยิ้มเขิน

“ฮ่าๆ มันเป็นนิสัยข้าไปแล้วล่ะครับ ถึงพยายามเปลี่ยนก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ แต่อะไรที่ทำให้สบายใจย่อมดีที่สุด ใช่ไหมล่ะครับ?”

จากนั้นเขายื่นมือออกมา “แนะนำตัวช้าไปหน่อย ข้า แฟลม เดนเตอร์”

“ข้าชื่อ เดน มาร์ค”

ผมไม่รวม ‘วอน’ ไปในชื่อ เพราะคิดว่าถ้าบอกว่าเป็นขุนนางไปก่อนจะทำให้เป็นเพื่อนกันยาก แต่ถ้าถูกเมินเพราะไม่ใช่ขุนนางผมก็แค่ต้องให้ดูบัตรประชาชน กว่าพวกเราจะรู้ตัว คนที่เหมือนเป็นผู้ฝึกสอนก็กลับขึ้นไปที่เวที



สารบัญ                                        บทที่ 51



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น