บทที่ 50 – งานเลี้ยง (1)
เมืองหลวงถูกเฉดสีแดงครอบคลุมยามตะวันคล้อยต่ำ
ช่างเปล่าประโยชน์นัก! ความวุ่นวายในเมืองหลวงอีกไม่นานจะเงียบไปกับกลางคืน
บนกำแพงปราสาท ชายสวมหน้ากากสีน้ำตาลคิดขณะก้มมองเมือง ใช่จริงๆ มันเปล่าประโยชน์
“เจ้าเป็นใคร!” ทหารยามที่ลาดตระเวนกำแพงปราสาทตะโกนเมื่อเห็นชายปริศนา
ตอนนั้นเอง ลมแรงพัดมาทำให้เขาต้องหลับตา เมื่อลมสงบลงและลืมตาขึ้นทันทีเขาก็ได้แต่สงสัย
เมื่อสักครู่นี้เองที่มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังนั่งเหนือกำแพงปราสาทอันเป็นข้อห้ามของประชาชนทั่วไป แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นเงาร่างของชายคนนั้น
กระโดดจากกำแพงสูง 20 เมตรเหรอ?
ทหารยามมองลงไป แต่ไม่เจอร่องรอยของชายคนนั้น
ราวกับว่าเป็นแค่ฝันกลางวัน
***
“จะเริ่มพิธีเปิดศูนย์ฝึกแล้วครับ ผู้รับการฝึกทุกคนกรุณานั่งที่”
ในห้องประชุมของศูนย์ฝึก ชายคนหนึ่งซึ่งคงเป็นผู้ฝึกสอนกำลังยืนบนเวทีและพูดผ่านเวทมนตร์ขยายเสียง บรรดาเด็กฝึกใหม่นั่งที่และรอเริ่มพิธี
ระหว่างรอ ผมอ่านหนังสือคู่มือเล่มหนาที่ได้รับแจก มันบอกตารางสอนโดยย่อ อย่างแรก ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สี่เดือนนี้จะเป็นการเรียนวิชาบังคับรวมกับวิชาเลือกอิสระและสุดท้ายเป็นการสอบ
จากนั้น ในเดือนธันวาคม หนึ่งเดือนนี้จะเป็นการดูงานในกิลด์นักผจญภัย, สมาพันธ์ทหารรับจ้าง, หน่วยงานต่างๆในวังหลวง, หอคอยเวทมนตร์ และที่ทำการเขตต่างๆ และฝึกงาน จากนั้นจึงจะได้รับการแต่งตั้ง
“จะขอเริ่มการฝึกข้าราชการครั้งที่ 98 นับแต่นี้ไป เมื่อเพลงชาติดังขึ้น ขอให้ผู้รับการฝึกและผู้เกี่ยวข้องทุกคนในศูนย์ฝึกยืนขึ้น”
ในที่สุดพิธีก็เริ่มขึ้น ผมยืนขึ้นและนั่งลงตามคำสั่งพลางอ่านหนังสือคู่มือ
จบเพลงชาติ ผมใคร่ครวญว่าจะเลือกวิชาอะไรดีขณะพิธียืดเยื้อดำเนินไป วิชาหลักคือ เศรษฐศาสตร์, กฎหมาย และมารยาท?
มารยาทเรียนไปทำไม? นี่คือของเปล่าประโยชน์ที่สถาบันสิ้นเปลืองพลังงานไปกับมัน ถัดไปคือวิชาดาบกับเวทมนตร์ รวมเป็นวิชาบังคับ 5 วิชา
ผมตั้งใจจะเลือกเรียนเวทมนตร์อยู่แล้วต่อให้ไม่ใช่วิชาบังคับ แต่วิชาดาบจะลำบากหน่อย ผมฝึกควบคุมแรงตัวเองอย่างหนัก แต่ไม่แน่ใจว่าจะคุมแรงได้ดีแค่ไหนเมื่อสู้กับเหล่าคนผอมแห้งแรงน้อยที่เคยแต่เรียน อาจได้ส่งทุกคนเข้าโรงพยาบาล ผมควรหลีกวิชานี้ให้มากที่สุดต่อให้ต้องได้คะแนนต่ำก็ตาม
ต่อไป วิชาเลือกมีเยอะพอดู ตั้งแต่ภาษาต่างๆในจักรวรรดิซึ่งไม่ได้แย่นัก ถึงศิลปะและดนตรี วิชาที่ผมสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับการเป็นข้าราชการ วิชาเลือกต้องเลือกอย่างต่ำ 2 วิชาและไม่เกิน 4 วิชา
จะว่าไป นายหน้าขายบ้านที่ทำให้ผมต้องมาอยู่หอพักแนะนำให้เลือกวิชาให้น้อยที่สุดถ้าเป็นไปได้
ผมเรียนภาษาของจักรวรรดิถึงระดับเจ้าของภาษาแล้ว จึงควรเลือกวิชานี้ก่อน คราวนี้ก็ต้องเลือกอีกหนึ่งวิชา ผมดูในหนังสือ ประวัติศาสตร์, การทหาร, ภูมิศาสตร์, คณิตศาสตร์, ภาษาศาสตร์... การผจญภัยศึกษา??
ไม่เคยได้ยินการผจญภัยศึกษา เรียนไปทำไม?
ผมอ่านคำบรรยายที่พิมพ์เป็นตัวเล็กๆข้างใต้
การผจญภัยศึกษาคืออะไร?
การผจญภัยศึกษามุ่งเป้าไปที่การเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมหลากหลายรูปแบบ มันเป็นคู่มือเอาตัวรอดที่ออกแบบเพื่อชี้แนะนักผจญภัยมือใหม่และสนับสนุนนักผจญภัยผ่านการศึกษาหาวิธีที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดด้วยเครื่องมือน้อยที่สุด
โอ้ แสดงว่าการผจญภัยศึกษาเป็นวิชาสำหรับข้าราชการที่ไปทำงานในกิลด์นักผจญภัย
มองผ่านๆ กิลด์นักผจญภัยกับสมาพันธ์ทหารรับจ้างเป็นองค์กรอิสระ ทหารรับจ้างและนักผจญภัยส่วนใหญ่คือพลเมืองที่ไม่ได้ทำงานให้จักรวรรดิ เช่น ทหารเก่าหรืออัศวินอิสระ แต่สององค์กรนี้ถือเป็นองค์กรในเครือข่ายรัฐบาลเพราะมีรัฐบาลจัดการดูแล
เพราะนักผจญภัยกับทหารรับจ้างสามารถกลายเป็นกองทหาร 200,000 นาย จักรวรรดิถ้ามีความสามารถพอต้องควบคุมมันแน่นอน อีกอย่าง นักผจญภัยผู้รักการผจญภัยอาจเปลี่ยนเป็นโจรป่าได้ถ้าประเทศไม่จัดการ
ด้วยเหตุนี้ องค์กรสององค์กรภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจึงเป็นกองกำลังสำรองเมื่อประเทศมีสงครามหรือเจอภัยธรรมชาติ ที่จริงในทหารหนึ่งล้านสองแสนนาย มีสองแสนนายเป็นนักผจญภัยกับทหารรับจ้าง
ถ้าจักรวรรดิจะส่งข้าราชการไปกิลด์นักผจญภัยกับสมาพันธ์ทหารรับจ้างเพื่อควบคุม แล้วทำไมไม่จ้างเป็นทหารของจักรวรรดิไปเลยแทนที่จะทำเป็นปล่อยให้พวกเขาทำงานเหมือนองค์กรอิสระ
คำตอบคือเพื่อไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทหาร 200,000 นายที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตลอดแต่อาจต้องใช้สักวันหนึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวและไม่ต้องจ่ายเงินเดือน มันจึงอยู่ในฐานะองค์กรที่สามารถเรียกใช้ได้เมื่อจำเป็น
โลกนี้เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและปีศาจ ดังนั้น งานหลักของกองทัพย่อมเป็นการปราบปรามสัตว์ประหลาด แต่กองทัพที่เป็นโล่ปกป้องจักรวรรดิในบางครั้งก็เป็นดาบ หรือก็คือ งานของกองทัพยิ่งใกล้ชายแดนระหว่างประเทศอื่น อาจทำให้ประเทศอื่นประกาศสงครามเพราะรู้สึกถูกคุกคามได้ ดังนั้น กองทหารของจักรวรรดิแถวชายแดนด้านใต้จึงได้สู้แบบตั้งรับ
โดยเฉพาะสมัยนี้ที่ไม่มีความขัดแย้งระหว่างประเทศกองทัพยิ่งสู้กับสัตว์ประหลาดเต็มที่ไม่ได้ แต่เรามีนักผจญภัยและทหารรับจ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพแต่สามารถใช้ในฐานะกำลังสนับสนุนจากองค์กรอิสระ
แต่ข้อดีนี้จะเป็นข้อดีได้ต้องมีการควบคุมในระดับหนึ่ง ถ้าควบคุมไม่ได้และพวกนักผจญภัยเกิดอาละวาดใกล้ชายแดนก็จะทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าจักรวรรดิเปิดฉากโจมตี
จักรวรรดิต้องควบคุมนักผจญภัยไม่ให้อาละวาด ดังนั้นจึงส่งข้าราชการมาที่กิลด์นักผจญภัยและสมาพันธ์ทหารรับจ้าง
การผจญภัยศึกษาเหรอ ผมอาจได้เกรดสูงถ้าเลือกวิชานี้ ไม่ว่าอย่างไรผมก็เกิดและโตในโอลิมปัส หนึ่งในสิบดินแดนต้องห้าม
แม้แต่ในแถบอันตรายผมยังสามารถพูดอย่างมั่นใจว่า “กวางที่กัดโอเกอร์ตายในคำเดียวเป็นสัตว์ที่น่ากลัว แต่ได้เวลาอาหารเที่ยงของข้าแล้ว” และเหนือสิ่งอื่นใด การผจญภัยเป็นคำที่ทำให้ผู้ชายรู้สึกเร่าร้อนแม้แต่กับผมที่กำลังไล่ตามชีวิตปลอดภัย
ระหว่างผมอ่านคู่มืออย่างตั้งใจ พิธีเปิดก็มาถึงตอนจบ
“ขอจบพิธีเปิดลงตรงนี้ ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงาน ผู้รับการฝึกจะได้ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมนอกเหนือจากหนังสือคู่มือที่แจกไป ขอให้อยู่ต่ออีกหน่อย”
คนออกจากห้องประชุมไปไม่น้อย เหลือแต่ผมและข้าราชการใหม่คนอื่นๆ ในหมู่ข้าราชการใหม่ คนที่บ้านฐานะดีดูเหมือนจะพาครอบครัวหรือคนรับใช้มาด้วย
“โอ๊ะ สวัสดีครับ”
ขณะผมกำลังเหม่อ ชายกล้ามใหญ่ที่อายุน่าจะประมาณสามสิบปลายๆมานั่งข้างผมและใช้เวลาระหว่างพักชวนคุย
เด็กฝึกส่วนใหญ่อยู่ในช่วงกึ่งกลางถึงปลาย 20 ปี ชายที่คุยกับผมจึงเหมือนสอบผ่านตอนอายุค่อนข้างมากแล้ว ถึงอย่างนั้น เขาดูเป็นคนสุภาพดูจากที่พูดสุภาพกับผมทั้งๆที่ผมดูอายุน้อยกว่าทุกคน ไม่ต้องพูดถึงว่าผมดูอ่อนกว่าอายุจริงด้วยซ้ำ
“ครับ สวัสดี” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม ใครดีมาก็ดีกลับเป็นเรื่องพื้นฐานใช่ไหมล่ะ?
เขาลังเลเล็กน้อยและถาม “ข้ารู้ว่ามันเสียมารยาทที่ถามเรื่องนี้ทั้งๆที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่เจ้าอายุเท่าไหร่ครับ?”
“สิบหกครับ”
เพราะผมดูอ่อนกว่าวัย เขาคงคิดว่าผมเหมือนเด็กอ้างว่าเป็นข้าราชการใหม่ แน่นอน ถ้าเขาดูถูกที่ผมอายุน้อยก็ระวังตัวไว้เถอะเวลาเดินถนนตอนกลางคืน
พอได้ยินอายุของผม ชายคนนั้นก็พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแจ่มใส “อ้อเหรอ? ดีจังที่ได้เจอคนรุ่นเดียวกัน”
“...หา?”
เมื่อกี้อะไรนะ? รุ่นเดียวกัน?! หูหรือสมองผมต้องมีปัญหาแน่
“ฮะๆ ที่จริง ข้ารู้สึกกังวลที่เห็นคนอื่นๆเหมือนแก่กว่าข้า 10 ปี ถึงจะเรียนชั้นเดียวกัน แต่อายุที่ห่างกันมากคงทำให้สนิทกับพวกเขายาก”
ไม่ นายต่างหากที่เหมือนจะแก่กว่าคนรอบๆ 10 ปี เผลอพูดผิดไปตรงกันข้ามหรือเปล่า?
“อ้อ ข้าอายุสิบเจ็ดครับ แก่กว่าเจ้าหนึ่งปี แต่ได้ยินว่าเราสนิทกันได้ถ้าอายุห่างกันแค่ปีเดียว”
สิบเจ็ด? หน้าอย่างนั้นน่ะนะ? นายเหมือนทหารรับจ้างที่สู้มาสองทศวรรษแต่อายุสิบเจ็ด?
ถึงเป็นโรคสายตาก็ไม่ควรจะแย่ขนาดนี้ แต่สายตาของผมต้องมีปัญหาแน่ มากกว่าหูหรือสมอง
“เจ็บตรงไหนเหรอครับ?”
เมื่อผมขยี้ตา ชาย... ไม่สิ เด็กหนุ่มก็ถามอย่างเป็นห่วง
“เปล่าครับ ข้าแค่รู้สึกเหนื่อย”
“อย่างนั้นเหรอ? นั่นสินะ คนเราจะรู้สึกเหนื่อยถ้านั่งนิ่งเป็นชั่วโมง ข้าดีใจที่เจอคนรุ่นเดียวกันจนไม่รู้ตัว ขอโทษครับ”
สายตาผมเกิน 4.0 ทั้งสองข้าง แต่เขาไม่เหมือนคนอายุ 17 เลย
“ไม่เป็นไรครับ”
“ฮ่าๆ ดีจัง อ้อ เจ้าไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ พวกเรารุ่นเดียวกันไม่ใช่เหรอ? พูดธรรมดาก็ได้ครับ”
ดูเขาพูดอย่างสุภาพ ผมนึกภาพตัวเองพูดอย่างเป็นกันเองกับเด็กหน้าลุงที่นั่งข้างๆ ช่างเป็นคนหยาบคายไร้การศึกษา
“ไม่ล่ะครับ ข้าพูดแบบนี้สบายใจกว่า เจ้าก็ทำเหมือนกันนี่”
พูดกันเองกับหน้าแบบนั้นมันลำบากใจกว่า เด็กหน้าลุงยิ้มเขิน
“ฮ่าๆ มันเป็นนิสัยข้าไปแล้วล่ะครับ ถึงพยายามเปลี่ยนก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ แต่อะไรที่ทำให้สบายใจย่อมดีที่สุด ใช่ไหมล่ะครับ?”
จากนั้นเขายื่นมือออกมา “แนะนำตัวช้าไปหน่อย ข้า แฟลม เดนเตอร์”
“ข้าชื่อ เดน มาร์ค”
ผมไม่รวม ‘วอน’ ไปในชื่อ เพราะคิดว่าถ้าบอกว่าเป็นขุนนางไปก่อนจะทำให้เป็นเพื่อนกันยาก แต่ถ้าถูกเมินเพราะไม่ใช่ขุนนางผมก็แค่ต้องให้ดูบัตรประชาชน กว่าพวกเราจะรู้ตัว คนที่เหมือนเป็นผู้ฝึกสอนก็กลับขึ้นไปที่เวที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น