วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 52

บทที่ 52 - งานเลี้ยง (3)

“ว่าแต่ เจ้าจะเลือกวิชาไหนเหรอครับ?” แฟลมถาม

“ข้าว่าจะเลือกภาษาจักรวรรดิกับผจญภัยศึกษาเพิ่มจากห้าวิชาหลัก” ผมตอบอย่างสบายใจ

“โอ้! จริงเหรอ? ข้าก็ตั้งใจจะเลือกผจญภัยศึกษาเหมือนกันครับ ผู้ชายฝันอยากเป็นนักผจญภัยกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ? มันเป็นวิชาที่ปลุกเร้าความฝันเนอะ?”

แฟลมดูเป็นคนเข้าใจอะไรดี ผมคิดว่าเขาเป็นคนใช้ได้ไม่ใช่แค่แก่

“และข้าจะเลือกประวัติศาสตร์ด้วย”

“ประวัติศาสตร์เหรอ?”

“ใช่ เขาว่าการรู้ประวัติศาสตร์ก็เหมือนเตรียมตัวสำหรับอนาคต และข้าอยากรู้ว่าผู้ชนะเขียนอะไร”

รอยยิ้มของแฟลมเหมือนจะเฝื่อนๆ

“ผู้ชนะ?”

แฟลมดูยุ่งยากใจเมื่อผมเอียงคอถาม

“ไม่ คือว่า ผู้ชนะคือบันทึกประวัติศาสตร์ไงล่ะครับ!”

ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ ไม่ใช่เหรอ? ก่อนผมจะได้แก้ประโยคนั้น แฟลมก็เดินไปก่อน เออ ว่าไงก็ว่าตามแล้วกัน

“ไปด้วยกันสิ!”

ผมตามเขาทันอย่างรวดเร็ว

ห้องประชุมที่เราเพิ่งออกมากับที่สมัครลงเรียนวิชาต่างๆอยู่ไม่ห่างกันพวกเราจึงมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อออกมาหลังกรอกแบบฟอร์มเสร็จก็เจอคนรู้จัก

“ว้าว! เดน!”

เขากระโจนเข้าหาผมเหมือนจะกอด แต่ผมจับศีรษะเขาเพื่อหยุด

“มันร้อน อย่าเข้ามาเกาะ”

“ฮึก เย็นชาจังเลย”

“เย็นก็ดีเพราะมันร้อน”

ทำไมเจ้านี่จะมาเกาะแกะในอากาศเดือนสิงหาคมด้วย?

ผมเมินหน้าเศร้าของอัลฟอนโซและถามลิสบอนที่มากับเขา “วันนี้ก็มีพิธีเปิดของโรงเรียนอัศวินด้วยใช่ไหม?”

ลิสบอนยิ้มสดใสตามเคยและพยักหน้า เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกัน พิธีเปิดของโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำกับขั้นกลางคงทำไปด้วยกัน

“เริ่มเรียนตอนเดือนกันยายน ไม่อยากจะเชื่อเลย”

“แต่ข้าอิจฉาที่เจ้าได้หยุดนาน” ผมพูด

โรงเรียนเปิดเทอมในเดือนมีนาคมกับกันยายน เหมือนโรงเรียนในชาติก่อนของผม การฝึกข้าราชการจะเริ่มในอีกสามวันอย่างไม่ปราณี ผมจึงอิจฉาพวกเขา

ก็จริงนะ ผมแค่รับการฝึกก่อนถูกส่งไปประจำหน่วยงานต่างๆ แต่สองคนนี้จะกลายเป็นนักเรียนจริงๆ มันก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว

“สวัสดีครับ ขอโทษนะครับ แต่พวกเจ้าเป็นใครกันเหรอ?” แฟลมถาม

เขาถูกทิ้งระหว่างผมกำลังคุยกับลิสบอน “โอ้ นี่ลิสบอน เป็นพี่ชายคนหนึ่งที่พักบ้านเดียวกับข้า เขาเข้าเรียนโรงเรียนอัศวินขั้นกลาง”

“ลิสบอน วอน คาร์เตอร์ครับ”

เมื่อลิสบอนยื่นมือให้ แฟลมหัวเราะและจับมือ

“ฮ่าๆ ข้าแฟลม เดนเตอร์ ถ้าเจ้าเรียนโรงเรียนอัศวินขั้นกลางคงต้องแก่กว่าข้า พูดตามสบายเถอะครับ”

ลิสบอนเข้าโรงเรียนอัศวินขั้นกลางตอนอายุ 20 จึงแก่กว่า

“หา? ขอโทษนะครับ แต่อายุ...”

“ปีนี้ข้าอายุ 17 ปี” แฟลมตอบ

แต่หน้าอย่างกับ 37

ช็อกไปกับคำตอบของแฟลมเหมือนผม ลิสบอนจ้องไม่หยุด “อ้อ ครับ เอ๊ย ได้”

เขาดูอึดอัดมากเมื่อบังคับตัวเองให้พูดตามสบาย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาปั่นป่วนแบบนี้ เขาเป็นประเภทที่แค่หัวเราะเฉยๆเวลาถูกอลิซดุ

“แล้วนี่อัลฟอนโซ เขาก็พักที่เดียวกับข้า เข้าเรียนโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำปีนี้” ผมพูดแทรก

อัลฟอนโซทักทายอย่างร่าเริง “สวัสดี!”

“โอ้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ดีจังที่ได้เพื่อนวัยเดียวกัน” แฟลมจับมืออัลฟอนโซอย่างดีใจ

“เพื่อนเหรอ?”

อัลฟอนโซมองแฟลมด้วยตาเป็นประกายเพราะคำว่าเพื่อน เขาเหมือนเด็กถูกล่อด้วยลูกอม

บางทีผมน่าจะสอนให้เขาปฏิเสธเวลาชายวัยกลางคนเข้าหาและพูด “อยากเป็นเพื่อนลับกับลุงไหม?”

“ครับ พ่อแม่ของเพื่อนคือพ่อแม่ของข้า เพื่อนของเพื่อนคือเพื่อนของข้า ถ้าเจ้าเป็นเพื่อนกับเดน ก็ไม่ต่างจากเป็นเพื่อนกับข้า”

ลุง ผมไปเป็นเพื่อนกับลุงตอนไหน?

ผมเป็นพวกเก็บตัว แต่ไม่รู้ทำไมพวกชอบตีสนิทกับคนอื่นเอาแต่เข้าหาผม

“เจอกันที่นี่คงเป็นโชคชะตา มื้อเที่ยงนี้ข้าเลี้ยงเอง” แฟลมพูด

แต่เจ้าโง่ลิสบอนโบกมือ

“อย่าเลย...”

เมื่อเจ้าโง่ปฏิเสธ แฟลมหัวเราะเสียงดัง

“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องปฏิเสธ ถึงจะอยู่ในช่วงฝึกแต่เราก็ได้เงินเดือนนะ”

อย่างที่แฟลมบอก กระทั่งเด็กฝึกก็ได้เงินเดือนข้าราชการเล็กน้อย แน่นอนว่าไม่ใช่วันนี้เลย แต่เป็นวันที่ 25

แฟลมยืนยันและสุดท้ายพวกเราก็ไปกินข้าวด้วยกัน

***

ยูเรียมาถึงภัตตาคารที่ทำเหมือนร้านกาแฟใกล้โรงเรียนเวทมนตร์เพื่อเจอกับวิลเลียม ลุงของเธอ นั่งข้างหน้าต่างกับเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว เธอรอผู้อาวุโสกว่าที่มาช้ากว่าเวลานัดหมาย

พิธีเปิดของโรงเรียนเวทมนตร์เป็นวันถัดไป อัลฟอนโซ,เดนและลิสบอนเข้าโรงเรียนวันนี้และตอนนี้คงอยู่ที่โรงเรียน

ยูเรียตั้งใจจะไปพิธีเปิดของอัลฟอนโซด้วย แต่เขาปฏิเสธ บอกว่าแม้แต่ลุงวิลเลียมก็ไม่มา ส่วนหนึ่งยูเรียเป็นห่วง แต่อีกส่วนดีใจที่ฝาแฝดเติบโตขึ้น

เขาเคยโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนสักคนในหมู่บ้าน จึงต้องพึ่งยูเรียเสมอ แต่เห็นเขาหาเพื่อนได้เองทันทีที่มาถึงเมืองหลวง เธอรู้สึกโล่งใจ

เผ่าผีเสื้อมีสัมพันธ์กับเวทมนตร์มากจนเผยให้เห็นความยึดติดของพวกเขา ในที่แห่งนั้น อัลฟอนโซผู้ไม่มีความสามารถด้านเวทมนตร์จึงได้แต่ถูกโดดเดี่ยว แน่นอน ผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าเป็นปู่ของพวกเขา คนในหมู่บ้านจึงไม่ได้แสดงความรังเกียจเขาอย่างเปิดเผย แต่กระทั่งยูเรียยังรู้สึกถึงการดูถูกลับๆ 

ที่ยูเรียรู้สึกโชคดีที่ได้มาเมืองหลวงไม่ใช่แค่เพราะฝาแฝด การเป็นคนมีพรสวรรค์เป็นพิเศษแม้แต่ในเผ่าและมีผู้อาวุโสสูงสุดเป็นปู่ทำให้เธอเป็นคนที่ถูกอิจฉา ดังนั้นเธอจึงใช้ชีวิตอย่างรู้สึกว่าการกระทำทุกอย่างถูกตัดสิน

ออกจากหมู่บ้านที่น่าอึดอัดและได้เจอเพื่อนคนแรก เดน ในเมืองหลวง เธอกังวลว่าเมื่อเขารู้ว่าปู่ของเธอเป็นใคร เขาจะมองเธออย่างอิจฉา

ปู่ของยูเรียเป็นนักเวทธาตุในตำนาน ‘ปีศาจเยือกแข็ง’ เป็นหนึ่งในหลายๆสมญานามของเขา และเธอสืบทอดสายโลหิตที่ยิ่งใหญ่นั้น

สำหรับใครก็ตามที่เรียนเวทมนตร์ ชื่อนั้นชื่อเดียวก็เพียงพอให้พวกเขาก้มหัวให้ แต่เดนแค่พูดว่าเธอกับปู่เป็นคนละคนกันเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่เหมือนนักเวทที่ให้คุณค่าการสืบทอดเวทมนตร์ ไม่เหมือนคนนอกหมู่บ้านที่ให้คุณค่าการสืบสายเลือด เขามองเธอเป็นคนๆหนึ่ง

มันทำให้เธอดีใจมาก

“หัวเราะคิกคักอะไรอยู่ ขนาดไม่รู้ตัวว่าข้ามาถึงแล้ว?”

ยูเรียร้องอย่างตกใจใส่วิลเลียมที่จู่ๆก็มานั่งตรงหน้า

“อ๊า! ตกใจหมด! มาเมื่อไหร่คะ?”

“อืม ตอนที่เจ้าเปลี่ยนจากหน้านิ่งๆเป็นหน้าแดงแล้วก็หัวเราะ?” วิลเลียมพูดพลางยักไหล่ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

ยูเรียโกรธทุบโต๊ะ “ข้า...ข้าหน้าแดงหัวเราะตอนไหน!”

“เจ้าไม่หยุดยิ้มก่อนเหรอ?”

ยูเรียหยุดยิ้มทันที

“เห็นไหม เจ้าก็รู้ตัวว่ากำลังหัวเราะ”

“ลุง!”

วิลเลียมหัวเราะเมื่อยูเรียหน้าแดงและทำแก้มป่อง

“ฮ่าๆๆ แล้วพักที่หอเป็นยังไงบ้าง ดีไหม?” เขาเปลี่ยนเรื่อง

“ก็ดีค่ะ” เธอตอบ ถลึงตาใส่เขาด้วยยังไม่หายโกรธ

“ถ้าดีก็ดีแล้ว”

“มันช่วยไม่ได้เพราะลุงต้องไปเขตแดนปีศาจในอีกไม่กี่เดือน”

วิลเลียมต้องเปลี่ยนกับนายพลออร์ฟินาแห่งเผ่ามังกร อีกอย่าง เขายุ่งและไม่สามารถกลับบ้านมาดูแลฝาแฝดได้บ่อยๆ จึงต้องส่งพวกเธอไปหอของอาร์ซิลลา

“ขอบใจที่เข้าใจ ต้องการอะไรก็บอกข้าก่อนไปเขตแดนปีศาจนะ ข้าจะเตรียมให้ได้มากที่สุด”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

“และขอบใจที่เป็นผู้คุ้มกัน ข้าไม่ไว้ใจคนอื่น”

“ไม่หรอก ลุงเป็นคนออกเงินค่าเรียนและค่าครองชีพ เรื่องแค่นี้ไม่เท่าไหร่ แค่คุ้มกันเวลาเธออยู่ในโรงเรียนใช่ไหม?”

ยูเรียก็สนใจในตัวต้านทานนักเวทที่หายากมากเช่นกัน ในฐานะนักเวท การพลาดโอกาสได้สังเกตเจ้าตัวที่อยู่ระหว่างต้านทานเวทกับเวทมนตร์เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

“ใช่ และข้าจะขอบใจมากถ้าเจ้าสอนเวทมนตร์ให้เธอบ้าง”

“ได้สิคะ ฮุๆๆ”

“ใช่ ฮ่าๆๆ”

จู่ๆยูเรียกับวิลเลียมก็มีประกายตาแบบนักทดลอง

ขณะทั้งสองวางแผนและหัวเราะชั่วร้ายเหมือนจอมเวทสติเฟื่อง เสียงเหมือนถูกกำแพงกั้นก็ดังจากนอกหน้าต่าง

“ยูเรียย! ลุงง!”

อัลฟอนโซกำลังปีนหน้าต่างและโบกมือ

***

ที่ๆแฟลมลากพวกเรามาคือภัตตาคารที่ทำเหมือนร้านกาแฟใกล้ศูนย์ฝึก

“ข้าเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง อาหารอร่อยดี”

ที่ภัตตาคาร ผมรู้สึกถึงพลังเวทที่คุ้นเคยแปลกๆ จึงแอบเดินไปทางมัน

“เดน ไปไหนเหรอ?”

อัลฟอนโซตามผม เด็กนี่เป็นลูกเจี๊ยบเหรอ? ถ้าอย่างนั้นลิสบอนน่าจะเป็นแม่ไก่มากกว่าฉันนะ

คิดแบบนั้นพลางแอบมองไปทางหน้าต่างภัตตาคาร ผมเห็นยูเรียตรงที่นั่งข้างหน้าต่าง พลังเวทที่คุ้นเคยคือของเธอนี่เอง

ปกติเธอจะควบคุมพลังเวทได้ดีมาก เกิดอารมณ์แปรปรวนเหรอ?

หนุ่มผมขาวที่นั่งตรงข้ามเป็นเหตุเหรอ?

เขาดูแก่เกินกว่าจะเรียกชายหนุ่ม แต่ดูอ่อนกว่าแฟลม จึงน่าจะอายุประมาณ 20 ปลายๆถึง 30 ต้นๆ

“อ๊ะ ยูเรียกับลุงล่ะ”

อัลฟอนโซ ที่หันหน้าไปมองเหมือนผม พูดอย่างดีใจ

แต่ ลุง? ถ้าเป็นลุงเขา...ก็นายพลวิลเลียมแห่งเผ่าผีเสื้อ?

ไปที่อื่นดีกว่า วิลเลียมเป็นเพื่อนสนิทของลุงบลัดดี้ เจอเขาไม่ใช่เรื่องดีแน่

“ยูเรียย! ลุงง!”

อัลฟอนโซที่อยู่ข้างผม เปลี่ยนไปเกาะหน้าต่างโบกมือ

“ดะ-เดี๋ยว!”

ก่อนผมจะหยุดเขาได้ ทั้งคู่ก็เห็นและเปิดหน้าต่าง

เวร! ก่อนอื่น ซ่อนพลังเวทไว้ดีแล้วหรือยัง เยี่ยม

ผมควบคุมพลังเวทให้อยู่ในระดับคนปกติที่คุ้มกันคุณนายอาซิลลา ผมไม่รู้เกี่ยวกับคนอื่นเพราะสังเกตแต่ผู้คุ้มกันเหล่านั้น แต่เท่านี้คงน่าจะถือเป็นพลังเวทระดับปกติ แต่พูดจริงๆนะ ผมกังวล

ผมไม่รู้ว่านายพลวิลเลียมอยู่ในระดับไหน แต่เขาถูกเผ่าผีเสื้อส่งมาสร้างสัมพันธไมตรีกับจักรวรรดิจึงน่าจะแข็งแกร่งกว่าผม ผมเรียนเวทมนตร์ด้วยตัวเองยกเว้นเรื่องการแปรธาตุและเวทมนตร์พื้นฐาน แต่เขาคงเรียนจากเผ่าผีเสื้อที่เต็มไปด้วยคนมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ยิ่งกว่าผม



สารบัญ                                     บทที่ 53


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น