วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 51

บทที่ 51 – งานเลี้ยง (2)

หญิงรับใช้ขององค์หญิงสาม อารีเลีย ปั่นป่วนกันใหญ่เพราะการตัดสินใจปุบปับของเจ้านายที่จะเข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ พวกนางต้องเตรียมจัดงานฉลองวันเกิดและเตรียมเข้าเรียนพร้อมกัน แต่ที่ลำบากที่สุดสำหรับเหล่าหญิงรับใช้คือความเอาแต่ใจของเจ้าหญิง

“ไม่! ข้าจะใส่!”

โรงเรียนเวทมนตร์มีเครื่องแบบ แต่อารีเลียเป็นเจ้าหญิงจึงไม่ต้องใส่ก็ได้ แต่เธอยืนยันจะใส่

สำหรับเธอ เครื่องแบบเหมือนของใหม่ที่กระตุ้นความขบถ แม้จะแค่เล็กน้อย ต่อราชวงศ์ที่น่าอึดอัด เจ้าหญิงผู้อยากรู้สึกถึงความเป็นอิสระไม่อาจปล่อยไปได้

“เจ้าหญิงคะ ขออภัยเถอะแต่ท่านจำเป็นต้องสมาคมกับพวกคนต่ำชั้นกว่าด้วยเหรอ? ยกเลิกตอนนี้ยังไม่สายเกินไป-”

“ข้าบอกว่าไม่ไงล่ะ!”

เหล่าหญิงรับใช้ตกใจกับภาพที่อารีเลียร้องไห้ตะโกนบนเตียง เมื่อไม่นานมานี้เอง เธอยังสุภาพเรียบร้อย แต่จู่ๆก็ดื้อขึ้นมาและทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจ ก่อนหน้านี้พวกนางเป็นห่วงว่ามีอะไรมากดดันเจ้าหญิงหรือเปล่า แต่ตอนนี้พวกนางกังวลว่าเธอปล่อยตัวเกินไปหรือเปล่า

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเหล่าหญิงรับใช้แอบถอนหายใจ ดูอารีเลียลุกขึ้นนั่ง จัดแต่งชุดที่ยับจากการกลิ้งบนเตียงให้ดูเรียบร้อย

“ให้เขาเข้ามาได้” เจ้าหญิงบอกหญิงรับใช้

เมื่อเห็นเจ้าหญิงกลับสู่สภาพสูงศักดิ์เหมือนก่อน พวกนางก็โล่งอก 

เมื่อได้รับคำอนุญาต ชายที่รอหน้าประตูก็เข้ามา

อารีเลียลุกขึ้นและทักเบาๆ “ยินดีต้อนรับ นายพลวิลเลียม”

วิลเลียมเป็นคนที่ไม่อาจดูหมิ่นได้แม้อารีเลียจะเป็นเจ้าหญิง เขาพยักหน้ารับเบาๆ

“ขอบคุณที่ให้ข้าเข้าพบทั้งๆที่มาอย่างกะทันหัน เจ้าหญิงอารีเลีย”

วิลเลียมอ่านสถานการณ์ออกเมื่อเห็นเครื่องแบบโรงเรียนเวทมนตร์ที่แขวนข้างเตียง ไม่ใช่ในตู้ และเตียงที่ไม่เรียบร้อย

“ท่านอยากไปโรงเรียนอย่างธรรมดาหรือ เจ้าหญิงอารีเลีย?”

สำหรับเจ้าหญิง ‘ธรรมดา’ เป็นสิ่งที่ได้มายากกว่าใครทั้งนั้น

หญิงรับใช้ยืนฟังอย่างสงบ แต่ข้างในเหงื่อแตก พวกนางห่วงว่าจะมีข่าวลือออกไปว่าเจ้าหญิงอารีเลียทำตัวเหลวไหล

“ถ้าใช่ล่ะ?” อารีเลียยิ้มอ่อน

วิลเลียมเป็นคนสนิทของจักรพรรดิและเป็นคนของเผ่าผีเสื้อ หญิงรับใช้กังวลไปเปล่าๆเพราะนายพลแทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับขุนนางผู้ชอบซุบซิบนินทา ยิ่งกว่านั้น ตราบใดที่จักรพรรดิทำประโยชน์ให้เผ่าผีเสื้อได้ เขาก็ไม่ปล่อยข่าวลือเสียหายของราชวงศ์ออกไป

“ข้าจะช่วย ท่านเคยช่วยเหลือข้า เรื่องแค่นี้ไม่ยากเกินไป”

วิลเลียมข่มความใคร่รู้ด้านเวทมนตร์ไว้ไม่ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจออารีเลีย เจ้าหญิงเป็นตัวต้านทานนักเวทที่มีค่าความต้านทานเวทมนตร์ล้นเหลือ เขาอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเธอเรียนเวทมนตร์

น่าเสียดายที่โรงเรียนเป็นผู้สอนเจ้าหญิง ไม่ใช่นายพลวิลเลียมเอง ซึ่งช่วยไม่ได้ อีกไม่กี่เดือนเขาต้องเปลี่ยนกับนายพลออฟินาของเผ่ามังกร ไปที่ชายแดนปีศาจ

เขาไม่สามารถพาอารีเลียไปยังที่ซึ่งแม้แต่อัศวินเก่งๆยังต้องเสี่ยงชีวิต แต่เธอไม่ควรหยุดเรียนเวทมนตร์ทุกครั้งที่เขาไม่อยู่ ดังนั้นวิลเลียมจึงเลือกโรงเรียนเวทมนตร์เป็นคนสอนเธอ

มีนักเวทเก่งๆหลายคนในหมู่ผู้นำนักเวทหลวง และลูกหลานของเผ่าผีเสื้อ ทำให้อารีเลียเรียนเวทมนตร์และบันทึกความเปลี่ยนแปลงของเธอได้สะดวก

อารีเลียฟังวิลเลียมพูดแล้วยินดี “จริงเหรอ?”

“ใช่ เรื่องแค่นี้ไม่ยากอะไร ถ้าเราวางเวทมนตร์บนตัวท่านที่ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าท่านเป็นเจ้าหญิง ท่านก็จะใช้ชีวิตธรรมดาได้ในระดับหนึ่ง”

ตัวต้านทานนักเวทป้องกันเวทมนตร์ไม่ให้เกิดผลกับตัวเอง ไม่ได้ป้องกันไม่ให้เกิดผลกับคนอื่น

อารีเลียส่ายหน้า “เท่านั้นไม่พอหรอก”

“ถ้าอย่างนั้น?” วิลเลียมถาม

อารีเลียใส่หน้ากากครึ่งหน้าสีขาวแล้วยิ้มเหมือนคนซุกซนคนนั้น “ข้าต้องการตัวตนใหม่”

การสร้างตัวตนใหม่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับวิลเลียม แต่เขาลังเล

ตัวตนก็เหมือนเกราะป้องกัน เพื่อความปลอดภัยของอารีเลย เธอไม่ควรปิดบังตัวตน อารีเลียรู้เช่นกัน แต่ฐานะของเธอจะทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้

วิลเลียมลังเลครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ได้”

“ท่านนายพล!” หญิงรับใช้ที่อยู่กับอารีเลียนานที่สุดทนเงียบต่อไปไม่ได้ หญิงรับใช้กังวลเรื่องเจ้านายที่สุดจึงยอมไม่ได้

วิลเลียมเหลือบมองหญิงรับใช้แล้วมองเจ้าหญิงอีก เขากำลังถามว่าอารีเลียจะทำอย่างไร

อารีเลียพยักหน้า “ข้าจะจัดการเอง”

วิลเลียมพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปโน้มน้าวองค์จักรพรรดิ”

“ขอบคุณ”

“แต่ว่า ข้าจะให้ลูกของพี่ชายข้าคอยอยู่กับท่านระหว่างที่อยู่ในโรงเรียน”

วิลเลียมนึกถึงยูเรีย แม้ยูเรียจะค่อนข้างเป็นเด็กใจร้อน แต่เด็กสองคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ การได้สังเกตอารีเลียในฐานะตัวต้านทานนักเวทก็ดีต่อยูเรียด้วย

“ลูกของพี่ชายท่าน?”

“ใช่ เด็กคนนี้แม้แต่ในหมู่บ้านของข้ายังถือเป็นอัจฉริยะ อยู่โรงเรียนเดียวกันกับท่าน ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย”

อารีเลียรู้สึกไม่พอใจ เธอคิดว่าในที่สุดจะได้เป็นอิสระแล้วแต่กลับต้องมีคนคุม ในทางตรงกันข้าม เหล่าหญิงรับใช้ดีใจ คนที่เผ่าผีเสื้อเรียกว่าอัจฉริยะย่อมเป็นนักเวทผู้เก่งกาจ จึงไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหญิงขณะอยู่โรงเรียน

“ผู้ชายหรือเปล่า? เขาคงไม่อยู่กับข้าตลอด 24 ชั่วโมงใช่ไหม?” อารีเลียถามหน้างอ

วิลเลียมยิ้ม “เด็กผู้หญิง และข้าจะขอให้เธออยู่กับท่านเฉพาะในโรงเรียน”

อารีเลียคิดว่าก็ยังดี

“แต่เธอโตในหมู่บ้าน มารยาทไม่ค่อยดีนัก ตอนเจอกันช่วงแรกๆช่วยเข้าใจด้วยว่าเธออาจมีกิริยาไม่ดีโดยไม่ตั้งใจ” ระหว่างที่วิลเลียมตามใจอารีเลียมาก เขาก็มองเหมือนถามว่าเรื่องแค่นี้คงทำได้ใช่ไหม

อารีเลียเหงื่อตกเมื่อรู้ตัวว่าเกือบล่วงเกินนายพล ถ้าคำพูดของเธอถูกเข้าใจผิดมันอาจฟังเหมือนเธอกำลังประชดวิลเลียมว่าต้องการอำนาจการเมืองโดยการส่งหลานของเขามาให้เธอ ราชวงศ์เป็นที่ซึ่งการเหลือบมองหรือคำพูดหนึ่งคำสามารถตัดศีรษะคนได้ แม้เธอจะเป็นเจ้าหญิง แต่อีกฝ่ายคือนายพลผู้มีอำนาจทางทหาร

“ข้าไม่ได้ต้องการจะกำจัดหลานของท่าน ขอโทษ” เธอพูด

วิลเลียมหัวเราะ “ข้ารู้ เจ้าหญิงคงห่วงเรื่องเสื่อมเสีย ข้าเข้าใจ”

ถ้าอัศวินทั่วไปเป็นผู้คุ้มกันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นญาติของผู้มีอำนาจ และเป็นผู้ชาย อาจเกิดข่าวลือไม่ดีได้

“ไว้ข้าจะนัดหมายวันทีหลัง ตอนนั้นโปรดไปพบกับเธอ” จากนั้นวิลเลียมเข้าประเด็นหลักที่มาหาอารีเลีย

“เจ้าหญิงคิดอย่างไรถ้าจะจัดงานเต้นรำฉลองวันเกิดที่โรงเรียนเวทมนตร์?”

***

“ทางไปหอทางนี้นะครับ เจ้าจะไปไหน?” แฟลมที่ออกจากห้องประชุมพร้อมกัน จับผมไว้

หลังได้ห้องในหอพัก อย่างเดียวที่ต้องทำคือสมัครเรียนวิชาต่างๆ

“ข้าคิดว่าถ้าสมัครเรียนตอนนี้คนน่าจะน้อย”

แต่ละวิชาไม่ได้จำกัดจำนวนคน จึงไม่จำเป็นต้องรีบ แต่ถ้าไม่อยากเจอคนเยอะๆหลังจากพวกเขาเอาสัมภาระวางที่หอ รีบหน่อยก็ดี แน่นอน ผมไม่ได้อยู่หอจึงต้องเดินทางไปกลับ

“โอ้! ความคิดดี”

แฟลมจึงตามผมมาด้วย

“สัมภาระเจ้ามาถึงแล้วหรือยัง?”

เหตุผลที่ทุกคนไปหอพักก่อนเพราะถ้าสัมภาระของตัวเองไปกองปิดทางเข้าจะโดนหักคะแนน คะแนนเป็นระบบของหอพักที่แสดงถึงพฤติกรรมแย่หรือการละเมิดกฎของหอ ซึ่งว่ากันว่ามีส่วนในการประเมินการฝึกด้วย

ผมไม่ได้อยู่หอพัก จึงแน่นอนว่าไม่ถูกหักคะแนน ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี แม้จะไม่มีกฎน่ารำคาญ แต่ผมต้องกังวลเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่รัฐมนตรีจะโผล่มา ตอนแรกผมวางแผนจะออกจากหอโดยอ้างว่าจะไปพักในหอพักข้าราชการ

เอาเถอะ ผมตัดสินใจคิดในแง่บวก การจับตามองที่ทำให้รู้สึกแย่ก็ไม่มีแล้ว เขาว่าใต้ตะเกียงเป็นที่มืดที่สุด และเหนืออื่นใด อาหารที่นั่นอร่อย!

“สัมภาระ? ไม่ได้ใช้เวลานานอะไรข้าเลยถือไว้”

แฟลมให้ดูกระเป๋าที่สะพายข้าง มันมีเสื้อผ้าและเครื่องเขียน

“กระเป๋าขยายมิติเหรอ?”

บนตัวมันมีเวทมนตร์คล้ายกับกระเป๋าขยายมิติที่ผมได้จากร้านขายข่าว ใบนั้นใหญ่กว่ามากในอัตราส่วนขยายมิติ

“รู้ได้ไง?”

แฟลมประหลาดใจกับคำพูดเรื่อยเปื่อยของผม

“เพราะ-”

ผมจะบอกว่า “ข้าเห็นเวทมนตร์” แต่ยั้งไว้ทัน แค่แสดงว่าผมแค่มีความสนใจด้านเวทมนตร์ก็พอแล้ว

“กระเป๋ามันดูไม่พองเท่าไหร่เทียบกับจำนวนของข้างใน”

โชคดีที่ผมมีปฏิกิริยารวดเร็ว หาข้ออ้างได้ทัน

แฟลมตอบด้วยสีหน้าค่อนข้างยุ่งยากใจ “เรื่องข้ามีกระเป๋าขยายมิติช่วยเก็บเป็นความลับได้ไหม ถ้ามีคนรู้ว่าข้ามีของมีค่าแบบนี้อาจมีคนอยากได้ก็ได้”

เวทมนตร์มันไม่ได้ยากอะไรเทียบกับการสร้างกระเป๋ามิติ มีค่าเนี่ยนะ? แต่จะว่าไป ผมว่าเคยได้ยินมูลค่าของมันตอนได้มันแทนเงินสดจากร้านขายข่าว เท่าไหร่แล้วนะ?

“ได้สิ”

ผมพยักหน้า แฟลมจับมือผมและขอบคุณ

“ขอบคุณครับ วันนี้ข้าเลี้ยงมื้อเที่ยงนะ”

“ปล่อยมือข้าเถอะครับ” ผมพูดด้วยรอยยิ้ม

แตะตัวผู้ชายมันดีตรงไหน ไม่ใช่ผู้หญิงสวยสักหน่อย โดยเฉพาะดูจากโชคของผมช่วงนี้

“ฮ่าๆ ไม่ต้องปฏิเสธหรอก”

หมายความว่ายังไงไม่ต้องปฏิเสธ? ไม่เอา!

ขณะผมปัดมือเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ แฟลมที่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมาก็ร้อนรน

“ไม่ใช่นะ! ข้าชอบผู้หญิง!”

พวกเราถอยห่างจากกันก้าวหนึ่ง เขาจะชอบผู้ชายก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าผู้ชายที่เขาชอบเป็นผมก็อีกเรื่อง

“ข้าหมายถึงไม่ต้องปฏิเสธมื้อเที่ยง!”

อ้อ เรื่องข้าวเที่ยง ไอ้เราก็นึกว่าไม่อยากปล่อยมือ แต่ทำไมต้องพูดผิดเวลาให้เข้าใจผิดด้วย?

“งั้นรีบไปสมัครเรียนแล้วไปกินข้าวกันเถอะ”

“เฮ้อ เข้าใจก็ดีแล้ว” แฟลมพูดพลางเหงื่อตก

ที่จริงผมล้อเล่น แต่แกล้งเขาสนุกกว่าที่คิดไว้อีกนะ



สารบัญ                                     บทที่ 52


วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 50

บทที่ 50 – งานเลี้ยง (1)


เมืองหลวงถูกเฉดสีแดงครอบคลุมยามตะวันคล้อยต่ำ

ช่างเปล่าประโยชน์นัก! ความวุ่นวายในเมืองหลวงอีกไม่นานจะเงียบไปกับกลางคืน

บนกำแพงปราสาท ชายสวมหน้ากากสีน้ำตาลคิดขณะก้มมองเมือง ใช่จริงๆ มันเปล่าประโยชน์

“เจ้าเป็นใคร!” ทหารยามที่ลาดตระเวนกำแพงปราสาทตะโกนเมื่อเห็นชายปริศนา

ตอนนั้นเอง ลมแรงพัดมาทำให้เขาต้องหลับตา เมื่อลมสงบลงและลืมตาขึ้นทันทีเขาก็ได้แต่สงสัย

เมื่อสักครู่นี้เองที่มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังนั่งเหนือกำแพงปราสาทอันเป็นข้อห้ามของประชาชนทั่วไป แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นเงาร่างของชายคนนั้น

กระโดดจากกำแพงสูง 20 เมตรเหรอ?

ทหารยามมองลงไป แต่ไม่เจอร่องรอยของชายคนนั้น

ราวกับว่าเป็นแค่ฝันกลางวัน

***

“จะเริ่มพิธีเปิดศูนย์ฝึกแล้วครับ ผู้รับการฝึกทุกคนกรุณานั่งที่”

ในห้องประชุมของศูนย์ฝึก ชายคนหนึ่งซึ่งคงเป็นผู้ฝึกสอนกำลังยืนบนเวทีและพูดผ่านเวทมนตร์ขยายเสียง บรรดาเด็กฝึกใหม่นั่งที่และรอเริ่มพิธี

ระหว่างรอ ผมอ่านหนังสือคู่มือเล่มหนาที่ได้รับแจก มันบอกตารางสอนโดยย่อ อย่างแรก ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สี่เดือนนี้จะเป็นการเรียนวิชาบังคับรวมกับวิชาเลือกอิสระและสุดท้ายเป็นการสอบ

จากนั้น ในเดือนธันวาคม หนึ่งเดือนนี้จะเป็นการดูงานในกิลด์นักผจญภัย, สมาพันธ์ทหารรับจ้าง, หน่วยงานต่างๆในวังหลวง, หอคอยเวทมนตร์ และที่ทำการเขตต่างๆ และฝึกงาน จากนั้นจึงจะได้รับการแต่งตั้ง

“จะขอเริ่มการฝึกข้าราชการครั้งที่ 98 นับแต่นี้ไป เมื่อเพลงชาติดังขึ้น ขอให้ผู้รับการฝึกและผู้เกี่ยวข้องทุกคนในศูนย์ฝึกยืนขึ้น”

ในที่สุดพิธีก็เริ่มขึ้น ผมยืนขึ้นและนั่งลงตามคำสั่งพลางอ่านหนังสือคู่มือ

จบเพลงชาติ ผมใคร่ครวญว่าจะเลือกวิชาอะไรดีขณะพิธียืดเยื้อดำเนินไป วิชาหลักคือ เศรษฐศาสตร์, กฎหมาย และมารยาท?

มารยาทเรียนไปทำไม? นี่คือของเปล่าประโยชน์ที่สถาบันสิ้นเปลืองพลังงานไปกับมัน ถัดไปคือวิชาดาบกับเวทมนตร์ รวมเป็นวิชาบังคับ 5 วิชา

ผมตั้งใจจะเลือกเรียนเวทมนตร์อยู่แล้วต่อให้ไม่ใช่วิชาบังคับ แต่วิชาดาบจะลำบากหน่อย ผมฝึกควบคุมแรงตัวเองอย่างหนัก แต่ไม่แน่ใจว่าจะคุมแรงได้ดีแค่ไหนเมื่อสู้กับเหล่าคนผอมแห้งแรงน้อยที่เคยแต่เรียน อาจได้ส่งทุกคนเข้าโรงพยาบาล ผมควรหลีกวิชานี้ให้มากที่สุดต่อให้ต้องได้คะแนนต่ำก็ตาม

ต่อไป วิชาเลือกมีเยอะพอดู ตั้งแต่ภาษาต่างๆในจักรวรรดิซึ่งไม่ได้แย่นัก ถึงศิลปะและดนตรี วิชาที่ผมสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับการเป็นข้าราชการ วิชาเลือกต้องเลือกอย่างต่ำ 2 วิชาและไม่เกิน 4 วิชา

จะว่าไป นายหน้าขายบ้านที่ทำให้ผมต้องมาอยู่หอพักแนะนำให้เลือกวิชาให้น้อยที่สุดถ้าเป็นไปได้

ผมเรียนภาษาของจักรวรรดิถึงระดับเจ้าของภาษาแล้ว จึงควรเลือกวิชานี้ก่อน คราวนี้ก็ต้องเลือกอีกหนึ่งวิชา ผมดูในหนังสือ ประวัติศาสตร์, การทหาร, ภูมิศาสตร์, คณิตศาสตร์, ภาษาศาสตร์... การผจญภัยศึกษา??

ไม่เคยได้ยินการผจญภัยศึกษา เรียนไปทำไม?

ผมอ่านคำบรรยายที่พิมพ์เป็นตัวเล็กๆข้างใต้

การผจญภัยศึกษาคืออะไร?

การผจญภัยศึกษามุ่งเป้าไปที่การเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมหลากหลายรูปแบบ มันเป็นคู่มือเอาตัวรอดที่ออกแบบเพื่อชี้แนะนักผจญภัยมือใหม่และสนับสนุนนักผจญภัยผ่านการศึกษาหาวิธีที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดด้วยเครื่องมือน้อยที่สุด

โอ้ แสดงว่าการผจญภัยศึกษาเป็นวิชาสำหรับข้าราชการที่ไปทำงานในกิลด์นักผจญภัย

มองผ่านๆ กิลด์นักผจญภัยกับสมาพันธ์ทหารรับจ้างเป็นองค์กรอิสระ ทหารรับจ้างและนักผจญภัยส่วนใหญ่คือพลเมืองที่ไม่ได้ทำงานให้จักรวรรดิ เช่น ทหารเก่าหรืออัศวินอิสระ แต่สององค์กรนี้ถือเป็นองค์กรในเครือข่ายรัฐบาลเพราะมีรัฐบาลจัดการดูแล

เพราะนักผจญภัยกับทหารรับจ้างสามารถกลายเป็นกองทหาร 200,000 นาย จักรวรรดิถ้ามีความสามารถพอต้องควบคุมมันแน่นอน อีกอย่าง นักผจญภัยผู้รักการผจญภัยอาจเปลี่ยนเป็นโจรป่าได้ถ้าประเทศไม่จัดการ

ด้วยเหตุนี้ องค์กรสององค์กรภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจึงเป็นกองกำลังสำรองเมื่อประเทศมีสงครามหรือเจอภัยธรรมชาติ ที่จริงในทหารหนึ่งล้านสองแสนนาย มีสองแสนนายเป็นนักผจญภัยกับทหารรับจ้าง

ถ้าจักรวรรดิจะส่งข้าราชการไปกิลด์นักผจญภัยกับสมาพันธ์ทหารรับจ้างเพื่อควบคุม แล้วทำไมไม่จ้างเป็นทหารของจักรวรรดิไปเลยแทนที่จะทำเป็นปล่อยให้พวกเขาทำงานเหมือนองค์กรอิสระ

คำตอบคือเพื่อไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทหาร 200,000 นายที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตลอดแต่อาจต้องใช้สักวันหนึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวและไม่ต้องจ่ายเงินเดือน มันจึงอยู่ในฐานะองค์กรที่สามารถเรียกใช้ได้เมื่อจำเป็น 

โลกนี้เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและปีศาจ ดังนั้น งานหลักของกองทัพย่อมเป็นการปราบปรามสัตว์ประหลาด แต่กองทัพที่เป็นโล่ปกป้องจักรวรรดิในบางครั้งก็เป็นดาบ หรือก็คือ งานของกองทัพยิ่งใกล้ชายแดนระหว่างประเทศอื่น อาจทำให้ประเทศอื่นประกาศสงครามเพราะรู้สึกถูกคุกคามได้ ดังนั้น กองทหารของจักรวรรดิแถวชายแดนด้านใต้จึงได้สู้แบบตั้งรับ

โดยเฉพาะสมัยนี้ที่ไม่มีความขัดแย้งระหว่างประเทศกองทัพยิ่งสู้กับสัตว์ประหลาดเต็มที่ไม่ได้ แต่เรามีนักผจญภัยและทหารรับจ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพแต่สามารถใช้ในฐานะกำลังสนับสนุนจากองค์กรอิสระ

แต่ข้อดีนี้จะเป็นข้อดีได้ต้องมีการควบคุมในระดับหนึ่ง ถ้าควบคุมไม่ได้และพวกนักผจญภัยเกิดอาละวาดใกล้ชายแดนก็จะทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าจักรวรรดิเปิดฉากโจมตี

จักรวรรดิต้องควบคุมนักผจญภัยไม่ให้อาละวาด ดังนั้นจึงส่งข้าราชการมาที่กิลด์นักผจญภัยและสมาพันธ์ทหารรับจ้าง

การผจญภัยศึกษาเหรอ ผมอาจได้เกรดสูงถ้าเลือกวิชานี้ ไม่ว่าอย่างไรผมก็เกิดและโตในโอลิมปัส หนึ่งในสิบดินแดนต้องห้าม

แม้แต่ในแถบอันตรายผมยังสามารถพูดอย่างมั่นใจว่า “กวางที่กัดโอเกอร์ตายในคำเดียวเป็นสัตว์ที่น่ากลัว แต่ได้เวลาอาหารเที่ยงของข้าแล้ว” และเหนือสิ่งอื่นใด การผจญภัยเป็นคำที่ทำให้ผู้ชายรู้สึกเร่าร้อนแม้แต่กับผมที่กำลังไล่ตามชีวิตปลอดภัย

ระหว่างผมอ่านคู่มืออย่างตั้งใจ พิธีเปิดก็มาถึงตอนจบ

“ขอจบพิธีเปิดลงตรงนี้ ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงาน ผู้รับการฝึกจะได้ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมนอกเหนือจากหนังสือคู่มือที่แจกไป ขอให้อยู่ต่ออีกหน่อย”

คนออกจากห้องประชุมไปไม่น้อย เหลือแต่ผมและข้าราชการใหม่คนอื่นๆ ในหมู่ข้าราชการใหม่ คนที่บ้านฐานะดีดูเหมือนจะพาครอบครัวหรือคนรับใช้มาด้วย

“โอ๊ะ สวัสดีครับ”

ขณะผมกำลังเหม่อ ชายกล้ามใหญ่ที่อายุน่าจะประมาณสามสิบปลายๆมานั่งข้างผมและใช้เวลาระหว่างพักชวนคุย

เด็กฝึกส่วนใหญ่อยู่ในช่วงกึ่งกลางถึงปลาย 20 ปี ชายที่คุยกับผมจึงเหมือนสอบผ่านตอนอายุค่อนข้างมากแล้ว ถึงอย่างนั้น เขาดูเป็นคนสุภาพดูจากที่พูดสุภาพกับผมทั้งๆที่ผมดูอายุน้อยกว่าทุกคน ไม่ต้องพูดถึงว่าผมดูอ่อนกว่าอายุจริงด้วยซ้ำ

“ครับ สวัสดี” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม ใครดีมาก็ดีกลับเป็นเรื่องพื้นฐานใช่ไหมล่ะ?

เขาลังเลเล็กน้อยและถาม “ข้ารู้ว่ามันเสียมารยาทที่ถามเรื่องนี้ทั้งๆที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่เจ้าอายุเท่าไหร่ครับ?”

“สิบหกครับ”

เพราะผมดูอ่อนกว่าวัย เขาคงคิดว่าผมเหมือนเด็กอ้างว่าเป็นข้าราชการใหม่ แน่นอน ถ้าเขาดูถูกที่ผมอายุน้อยก็ระวังตัวไว้เถอะเวลาเดินถนนตอนกลางคืน

พอได้ยินอายุของผม ชายคนนั้นก็พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแจ่มใส “อ้อเหรอ? ดีจังที่ได้เจอคนรุ่นเดียวกัน”

“...หา?”

เมื่อกี้อะไรนะ? รุ่นเดียวกัน?! หูหรือสมองผมต้องมีปัญหาแน่

“ฮะๆ ที่จริง ข้ารู้สึกกังวลที่เห็นคนอื่นๆเหมือนแก่กว่าข้า 10 ปี ถึงจะเรียนชั้นเดียวกัน แต่อายุที่ห่างกันมากคงทำให้สนิทกับพวกเขายาก”

ไม่ นายต่างหากที่เหมือนจะแก่กว่าคนรอบๆ 10 ปี เผลอพูดผิดไปตรงกันข้ามหรือเปล่า?

“อ้อ ข้าอายุสิบเจ็ดครับ แก่กว่าเจ้าหนึ่งปี แต่ได้ยินว่าเราสนิทกันได้ถ้าอายุห่างกันแค่ปีเดียว”

สิบเจ็ด? หน้าอย่างนั้นน่ะนะ? นายเหมือนทหารรับจ้างที่สู้มาสองทศวรรษแต่อายุสิบเจ็ด?

ถึงเป็นโรคสายตาก็ไม่ควรจะแย่ขนาดนี้ แต่สายตาของผมต้องมีปัญหาแน่ มากกว่าหูหรือสมอง

“เจ็บตรงไหนเหรอครับ?”

เมื่อผมขยี้ตา ชาย... ไม่สิ เด็กหนุ่มก็ถามอย่างเป็นห่วง

“เปล่าครับ ข้าแค่รู้สึกเหนื่อย”

“อย่างนั้นเหรอ? นั่นสินะ คนเราจะรู้สึกเหนื่อยถ้านั่งนิ่งเป็นชั่วโมง ข้าดีใจที่เจอคนรุ่นเดียวกันจนไม่รู้ตัว ขอโทษครับ”

สายตาผมเกิน 4.0 ทั้งสองข้าง แต่เขาไม่เหมือนคนอายุ 17 เลย

“ไม่เป็นไรครับ”

“ฮ่าๆ ดีจัง อ้อ เจ้าไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ พวกเรารุ่นเดียวกันไม่ใช่เหรอ? พูดธรรมดาก็ได้ครับ”

ดูเขาพูดอย่างสุภาพ ผมนึกภาพตัวเองพูดอย่างเป็นกันเองกับเด็กหน้าลุงที่นั่งข้างๆ ช่างเป็นคนหยาบคายไร้การศึกษา

“ไม่ล่ะครับ ข้าพูดแบบนี้สบายใจกว่า เจ้าก็ทำเหมือนกันนี่”

พูดกันเองกับหน้าแบบนั้นมันลำบากใจกว่า เด็กหน้าลุงยิ้มเขิน

“ฮ่าๆ มันเป็นนิสัยข้าไปแล้วล่ะครับ ถึงพยายามเปลี่ยนก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ แต่อะไรที่ทำให้สบายใจย่อมดีที่สุด ใช่ไหมล่ะครับ?”

จากนั้นเขายื่นมือออกมา “แนะนำตัวช้าไปหน่อย ข้า แฟลม เดนเตอร์”

“ข้าชื่อ เดน มาร์ค”

ผมไม่รวม ‘วอน’ ไปในชื่อ เพราะคิดว่าถ้าบอกว่าเป็นขุนนางไปก่อนจะทำให้เป็นเพื่อนกันยาก แต่ถ้าถูกเมินเพราะไม่ใช่ขุนนางผมก็แค่ต้องให้ดูบัตรประชาชน กว่าพวกเราจะรู้ตัว คนที่เหมือนเป็นผู้ฝึกสอนก็กลับขึ้นไปที่เวที



สารบัญ                                        บทที่ 51



วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 49

บทที่ 49 – การสอบเข้า (13)


หลังจบการสอบของยูเรีย ผมผละจากฝาแฝดและไปถึงจุดสอบของโรงเรียนอัศวินขั้นกลางทันเห็นอัศวินตัวโตกระโจนใส่ลิสบอน

มองผ่านๆ การสอบเหมือนการจับคู่ฝึกซ้อมของเผ่ากาที่ผลักดันคนถึงขีดจำกัด แน่นอน ตอนผมอยู่ที่บ้านเกิดและมีพวกพี่ชายเป็นคู่ซ้อม การโจมตีของพวกเขาไม่ใช่ของแบบที่จะหลบได้หรือถ้าโดนก็ยังรอด แต่ในมุมมองของลิสบอน การโจมตีของคู่ต่อสู้ของเขาคงให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน

ผู้ชมตะโกนและร้องเชียร์เมื่อเห็นการรุกรับรวดเร็ว การต่อสู้ดุเดือดจบลงเร็วกว่าที่ผู้ชมต้องการมาก ความแตกต่างระหว่างความสามารถของลิสบอนกับคู่ต่อสู้เห็นได้ชัดเจนมาก

ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอัศวินในชุดดำที่สู้กับลิสบอนแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ของผู้เข้าสอบคนอื่นสองเท่า ดูเหมือนผมควรปรบมือให้เจ้าโง่ที่ตั้งรับได้ดี ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่เพราะไม่ได้ตั้งใจดู แต่ถ้าลิสบอนสู้กับคนอื่นเขาคงไม่แพ้ง่ายๆแบบนี้ 

หลังการสอบ ลิสบอนราดน้ำใส่ศีรษะด้วยสีหน้าพ่ายแพ้ จากนั้นใช้เสื้อเช็ดหน้า เมื่อเผยซิกแพ็คกับกล้ามกำยำ บรรดาผู้ชมผู้หญิงก็วี้ดว้ายอย่างร่าเริง มันเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเขาหล่อ

“อุ๊ยแหม!”

ในกลุ่มผู้หญิงมีคนประหลาดปนอยู่ด้วย ชายกล้ามบึกบึนคนหนึ่งกำลังตะโกนให้กำลังใจ เขาใส่เสื้อคอวีแบบผู้หญิง ศีรษะล้านนิดๆ กำลังกัดนิ้วก้อยด้วยปากหนาๆ ผมขนลุกทันทีที่เห็น

หนีไป เจ้าโง่! สัตว์ร้ายกำลังเล็งนาย!

“หือ? เดน?”

ลิสบอนวิ่งมาทางผม โบกมือด้วยสีหน้ายินดี

“เดน!” 

พร้อมกับที่ลิสบอนขยับ กลุ่มผู้ชมที่มีผู้หญิงเป็นหลักก็หันมาทางผม ชายคนนั้นก็หันมาด้วย สัญชาติญาณเตือนให้ผมวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด

อย่านะ! นายกำลังพาฉันซวยไปด้วย อย่ามาทางนี้นะเจ้าโง่!

ผมโวยวายในใจ แต่ลิสบอนมาหาผมพร้อมกับรอยยิ้มเจิดจ้าประจำตัว ทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกเย็นวาบที่หลัง ชายคนนั้นกำลังมองผม ผมรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณจากรัศมีของชายคนนั้นที่กำลังไหลออกมา

ชายคนนั้นเป็นตัวอันตราย อัศวินที่ลิสบอนสู้ด้วยเทียบได้แค่นิ้วเท้าเขาเท่านั้น แองเจิล ☆รัชทีเดียวก็ทำเขาถอนตัวจากการต่อสู้ได้เลย

ในที่นี้นอกจากผมแล้วไม่มีใครล้มเขาได้ ผมคว้าข้อมือลิสบอนและพูด “สอบเสร็จแล้วใช่ไหม?”

ลิสบอนผู้สดใสตามเคยไม่รู้ตัวว่าความบริสุทธิ์ของเขากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ “หา? อ้อ จบแล้ว”

ผมดึงข้อมือเขาแล้วตะโกน “อลิซคอยอยู่! ไปกันเถอะ!”

“หา? ก็ได้”

ลิสบอนดูงงๆกับท่าทางปุบปับของผม แต่ผมกำลังปกป้องความบริสุทธิ์ของเขาเพื่อทุกคนอยู่นะ ผมต้องวิ่งก่อนสายตาของชายคนนั้นจะจับจ้องที่ผม – เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ด้วยความที่วิ่งเร็ว ผมจึงมาถึงจุดสอบของโรงเรียนเวทมนตร์อย่างรวดเร็ว ทันทีที่มาถึง ยูเรียก็ถามหน้างอนิดๆ “เจ้าไปไหนมา?”

ผมเปลี่ยนหัวข้อเมื่อรู้สึกว่าเรื่องปวดหัวกำลังมา

“ว้าว ข้าเห็นเวทมนตร์ที่เจ้าใช้ในการสอบ”

“เอ๊ะ?”

“มหัศจรรย์มาก นักเรียนคนอื่นบินได้นิดหน่อย แต่เจ้าบินผาดโผน ข้าทึ่งมาก”

ไม่ได้โกหก ผมทึ่งจริง ไม่ใช่เพราะกายกรรมกลางอากาศแต่เป็นการควบคุมพลังเวทที่เฉียบคม

“ฮิๆ ไม่เท่าไหร่หรอก”

อื้อ ที่จริงก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ ผมไม่พูดสิ่งที่คิดออกมาและนั่งข้างยูเรียที่เขี่ยแก้มตัวเองอายๆ และชมต่อ

“ยิงเป้าจนพรุน ปราสาทน้ำแข็งด้วย น่าทึ่งมาก”

“ไม่เท่าไหร่หรอก”

ระหว่างชมยูเรียไปเรื่อยๆก็ถึงตาของอลิซ ยกเว้นยูเรีย คนอื่นที่เข้าสอบดูธรรมดาจนทำให้เวทมนตร์ของอลิซดูระดับสูงขึ้นเลย การบินกับการยิงธรรมดา แต่เวทภูติที่เธอใช้เป็นความถนัดพิเศษน่าสนใจเพราะผมไม่เคยเห็นมาก่อน

โอลิมปัสเป็นที่ซึ่งภูติ สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากพลังเวท ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ผมคิดจะถามอลิซเรื่องภูติทีหลัง และแล้วการสอบเข้าของคนรู้จักของผมทุกคนก็จบลง

***

สิบวันผ่านไปหลังการสอบของลิสบอนกับอลิซจบลง

สิบวันก่อน ผมพยายามจะกลับหอพักแต่ลิสบอน อัลฟอนโซ และยูเรียรั้งผมไว้เพื่อดูการสอบกับพวกเขา ผมมองอลิซอย่างขอความช่วยเหลือ แต่เธอก็ตั้งใจจะดูการสอบเหมือนกัน ผมจึงต้องอยู่กับพวกเขาจนดึก วันนี้ล่ะ ผมจะได้เลิกอยู่กับพวกเขาเสียที วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบข้าราชการ!

ผมไม่ไปดูผลสอบก็ได้เพราะผ่านอยู่แล้ว แต่ที่ต้องไปเพราะที่ประกาศผลมีการแจกใบรับรองการเป็นข้าราชการและคู่มือสำหรับเข้าหอพัก

ผมอยากย้ายไปหอพักข้าราชการตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้เข้าพัก ผมจะอยู่ในบ้านที่นายกรัฐมนตรี เพื่อนของลุงผมจับตาดูอยู่ใกล้ชิดได้อย่างไร? การจับตาดูคลายความเข้มงวดลง แต่รัศมีขององค์รักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่แผ่ออกมาเป็นบางเวลาทำให้ผมเครียด

เพราะว่าศูนย์ฝึกข้าราชการ, โรงเรียนอัศวิน และโรงเรียนเวทมนตร์อยู่ถัดกัน ผมจะได้เจอลิสบอนกับอลิซบ่อยๆ จึงไม่รู้สึกเสียใจ ถ้าจะมีอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมเสียใจก็คงเป็นมื้ออาหารสุดหรู

ที่กระทรวงการคลังและต่างประเทศ ผมพบชื่อตัวเองในรายชื่อผู้สอบผ่านอย่างดีใจ ซึ่งอยู่ใน 5 ลำดับแรก

เมื่อดูเสร็จผมไปที่ตึกของกรมคลัง มันเป็นที่ผมเข้ามาทำงานหาข้อสอบ จึงรู้สึกคุ้นเคยยิ่งกว่าห้องของผมอีก

ผมตรงไปที่โต๊ะที่ติดป้ายว่า ‘ผู้สอบผ่าน’

“ขอโทษครับ ข้าเป็นผู้สอบผ่าน”

เมื่อผมพูดกับเขา พนักงานที่นั่งตรงโต๊ะมองด้วยตาที่มีรอยคล้ำใต้ตาดำปี๋

พนักงานกำลังเขียนอะไรอยู่แม้แต่ตอนกำลังมองผม พอดูดีๆ คำว่า ‘ตายซะลูแปง’ มีอยู่เต็มกระดาษ ผมพูดขณะมองกระดาษที่เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง

“แหม ดูเหมือนเจ้าจะลำบากมาก”

เหมือนคำพูดของผมจะไปสะกิดอะไรเข้า ดวงตาแห้งผากของเขาเริ่มชื้น

“ฮึก!”

ผมมองพนักงานที่กำลังยกมือปิดตาด้วยความสงสาร ว่ากันว่าข้าราชการกรมคลังมีเงินเดือนสูงและอำนาจก็สูงด้วย แต่ผมว่าเป็นข้าราชการระดับต่ำดีกว่าลำบากแบบนี้

หืม? แต่มองดีๆแล้ว เขาเป็นคนถ่ายรูปทำบัตรให้ผมตอนมาสมัครสอบนี่นา!

ทันใดนั้นความสงสารก็หมดไป มาคิดดูอีกที ค่าถ่ายรูปตอนนั้นมันแปลกๆนะ พอผมคิดได้ก็อยากเป็นลูแปงอีกรอบ

“ขอโทษครับ ข้าได้ยินว่าให้มารับใบรับรองเป็นข้าราชการกับหนังสือคู่มือที่นี่”

ผมเอาเรื่องเป็นลูแปงไว้ทีหลัง ตอนนี้เรื่องข้าราชการกับหอพักสำคัญกว่า

“ครับ ถูกต้อง”

พนักงานตอบด้วยเสียงแห้งผาก

“ชื่ออะไรครับ?”

“เดน วอน มาร์ค”

พนักงานมองรายชื่อ ขีดชื่อผม และหาบัตรข้าราชการติดสายคล้องในลิ้นชักจนเจอ

“นี่ครับ”

ผมถามหลังจากได้บัตร “หนังสือคู่มือล่ะครับ”

“อ้อ คุณเดนไม่ใช่ผู้อาศัยในหอครับ”

“อะไรนะครับ?”

ไม่นะ! ไม่ใช่ว่าข้าราชการทุกคนต้องอยู่หอเหรอ?! รู้ไหมว่าบ้านฉันห่างจากเมืองหลวงเท่าไหร่?!

ไม่สนใจเสียงร้องตะโกนในใจของผม พนักงานพูดเสียงแห้ง “คู่มือการฝึกจะแจกให้วันเริ่มฝึก วันเริ่มเป็นวันที่ 3 สิงหาคม 10 โมงเช้านะครับ”

“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน! หอพักมีให้ทุกคนไม่ใช่เหรอ?”

พนักงานมองผมด้วยความรำคาญอย่างเปิดเผย

“ไม่รู้สิครับ หอพักไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของเรา ข้าแค่บอกตามเบื้องบนสั่งมา”

“แต่-”

เจ้าหน้าที่ตัดบทและโบกมือเหมือนไล่แมลงวัน “ไม่รู้ เรื่องหอให้ติดต่อศูนย์ฝึก”

แล้วจะทำยังไงดี?

พนักงานชี้ไปที่ผู้สอบผ่านต่อแถวด้านหลังผมแล้วโบกมือ เมื่อมองคนด้านหลัง ผมตัดสินใจถอย

เตรียมตัวไว้เถอะเจ้าข้าราชการ ข้าจะเอาคืนอย่างสาสม!

ในจักรวรรดิมีหลายองค์กร แต่ที่มีอำนาจที่สุดคือราชวงศ์, กองทัพ และศาสนจักร กองทัพเป็นที่ซึ่งผมไม่อาจแตะต้องพล่อยๆและถ้าผมไปยุ่งกับราชวงศ์จะเป็นผลเสียต่อชีวิตข้าราชการของผม

ดังนั้นจึงเหลือที่เดียว ความเชื่อทางศาสนานั้นน่ากลัวไม่ว่าจะเป็นที่ไหน 

ผมไม่มีทางเลือกนอกจากกำหมัดและถอย แต่มันเป็นการถอยชั่วคราวเท่านั้น ผมได้แต่ตะโกนในใจ “ฝากไว้ก่อนเถอะ” เหมือนแก๊งตัวโกงในบอลลูนรูปหัวแมว

ผมเดินกลับหออย่างอิดโรย และเมื่อเปิดประตู-

ตูม! ตูม! ตูม!

-ยินดีด้วย ก็ระเบิด

ผมลืมตาโตอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่แล้วก็เห็นป้ายด้านหลังที่เขียนว่า “ยินดีด้วยที่สอบข้าราชการผ่าน!”

“ยินดีด้วย!”

“ยินดีด้วย!”

>เดนเบอร์กหน้ามืดเพราะถูกยินดีด้วย!

>เดนเบอร์กถูกส่งไปที่โปXม่อน เซ็นเตอร์!

ไม่เล่นแล้ว... ผมถามอย่างจริงใจ “ทำไมทุกคนมาอยู่ที่นี่?”

อัลฟอนโซที่ตะโกนยินดีด้วยกับลิสบอนยิ้ม “ข้าตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนี้ไป!”

...อะไรนะ?! น่ากลัวว่าช่วงนี้หูของผมจะมีปัญหา จู่ๆก็ได้ยินคำพูดไร้สาระ

เสียงของสองคนตรงหน้าผมทำให้อลิซกับยูเรียออกมาจากครัว

“มาแล้วเหรอ?”

“ฮึ่ม เข้ามากินเค้กสิ”

ผมมองยูเรียที่ยิ้มสดใสกับอลิซที่พูดเหมือนเด็กแล้วถาม “เฮ้ ข้าไม่เข้าใจ? ใครช่วยอธิบายที?”

คนที่ตอบคำถามคือคุณนายอาซิลลาที่ออกมาจากครัว

“เพื่อนใหม่เหล่านี้จะมาพักที่นี่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าได้ยินจากยูเรียกับอัลฟอนโซว่าสนิทกับเดนแล้ว ดีจังนะ” นางยิ้มนุ่มนวลแล้วพูดต่อ “อ้อ เพราะพวกเขาดูเสียใจถ้าเจ้าต้องออกไปพักที่อื่น ข้าจึงขอให้เจ้าเดินทางไปกลับแทน ต้องขอบคุณเดนนะที่ทำให้ข้าได้คุยกับลูก”

ผมอดหัวเราะไม่ได้

“ฮ่า ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆ”

แม่งเอ๊ย ชีวิตกู!


สารบัญ                                        บทที่ 50






บทต่อไป ลูแปงกับแผนปล้นวัด  ไม่ใช่แระ บทต่อไป งานเลี้ยง 22 ตอนค่า

Angel Rush – ท่าของ puripuri prisoner ในการ์ตูนเรื่อง one-punch man เป็นกะเทยควายที่มองปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าต้องเก่งมาก XD

ชาติที่แล้วเดนตายตอนไหนเนี่ย อ่านตั้งแต่โจโจ้ยันวันพันช์แมน เสพการ์ตูนมากไปหรือเปล่า คนแปลขี้เกียจถามกูเกิ้ลนะ 



วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 48

บทที่ 48 – การสอบเข้า (12)


ลิสบอนเผชิญหน้ากับคู่สอบของเขา พวกเขาทำความเคารพอีกฝ่าย

สำหรับโรงเรียนอัศวินขั้นกลาง ปกตินักเรียนจะเลื่อนมาจากโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำ แต่ในกรณีที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำเพราะเหตุผลจำเป็นอย่างลิสบอนก็สามารถสอบเข้าได้ เพราะว่าไม่ใช่เรื่องปกติ การสอบจึงเข้มงวด เหตุผลเพราะผู้เข้าสอบไม่ได้เรียนการทหารจากโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำ ต่อให้ผู้เข้าสอบอ้างว่าเรียนมาแล้วก็ไม่สามารถวัดระดับได้ในเวลาสั้นๆ เพราะเหตุนี้จึงเน้นดูที่ความสามารถด้านการต่อสู้เหนือกว่าความรู้เกี่ยวกับอัศวิน

เพื่อดึงความสามารถของผู้สอบโรงเรียนอัศวินขั้นกลาง โรงเรียนจัดอัศวินจากกองอัศวินของเมืองหลวงมาเป็นคู่ต่อสู้ทุกปี ที่จริงผู้ฝึกสอนก็ทำหน้าที่เป็นคู่ต่อสู้ได้ แต่เพราะการสอบซ้อนกับการสอบของโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำและพวกเขาต้องคุมสอบจึงขาดกำลังคน

อัศวินที่มาเป็นคู่ต่อสู้คืออัศวินขั้นกลางที่มุ่งหมายจะเป็นอัศวินขั้นสูง ด้วยเหตุนั้น ถ้าใครสอบอัศวินขั้นต่ำไม่ผ่านสองครั้งก็จะเลิกล้มความตั้งใจสอบเข้าโรงเรียนอัศวินขั้นกลางไปด้วย ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการสอบเพราะยังมีคนส่วนน้อยที่ไม่ยอมแพ้อย่างลิสบอน

อัศวินร่างใหญ่ คางเหลี่ยม หนวดเคราโกนเกลี้ยง ชักดาบและแนะนำตัว “ข้าคือมอล์คจากอัศวินควายดำ”

ลิสบอนกลืนน้ำลาย อัศวินควายดำขึ้นตรงต่อนายพลบลัดดี้แห่งเผ่ากา เป็นกองอัศวินที่ถ้าไม่เก่งที่สุดก็เข้าไม่ได้

มีนิทานที่เป็นที่นิยมพอดูเกี่ยวกับอัศวินคนหนึ่งที่เก่งระดับหัวหน้ากองอัศวินและเรื่องเล่าของเขาที่พยายามเข้ากองอัศวินควายดำ

 “ข้าคือลิสบอนแห่งคาร์เตอร์ เป็นเกียรติที่ได้สู้กับท่าน” ลิสบอนแนะนำตัวเองและชักดาบ

ในเสียงของเขามีความตื่นเต้นกังวลอยู่มาก มอล์คมองลิสบอนและหัวเราะ “ฮ่าๆ! มาสนุกกันเถอะ!”

มอล์คตั้งท่าและแผ่รัศมีซึ่งลิสบอนแผ่กลับเป็นการตอบโต้ มอล์ค,พอใจที่คู่ต่อสู้ต้านทานรัศมีของเขา,พุ่งใส่อย่างรวดเร็ว ลิสบอนสลัดแรงกดดันของคู่ต่อสู้ กระโดดกลิ้งไปด้านข้าง

“ตัดสินใจได้ดี!”

มอล์คชมที่ลิสบอนไม่ถอยหรือลังเล

การกลิ้งตัวเป็นเรื่องน่าอาย บ่อยครั้งจึงเลือกสกัดดาบหรือถอย ถ้าลิสบอนตัดสินใจสู้กลับคงตายได้ง่ายๆดูจากทักษะของเขาที่ต่ำกว่ามอล์คมาก

มอล์คถีบพื้นเพื่อหยุด เปลี่ยนทาง จากนั้นพุ่งมาทางลิสบอนพร้อมกับเหวี่ยงดาบลงอย่างแรง ลิสบอนเพิ่งกลิ้งบนพื้น ยังตั้งท่าไม่ได้ เขาตัดสินใจเลือกวิธีที่ดีที่สุดทันที 

ในสถานการณ์ที่มอล์คกระโจนเข้ามาพร้อมเหวี่ยงดาบลง ลิสบอนไม่ตื่นตกใจ เขาเล็งช่องว่างที่เกิดจากการเหวี่ยงดาบลงแทงดาบใส่ท้องอีกฝ่าย

มอล์คหัวเราะ คนปกติจะกลิ้งต่อหรือป้องกันตัวเอง แต่ลิสบอนตอบโต้ แม้จะเป็นวิธีที่ให้ผลดีแต่ถ้าพลาดก็หมายถึงตาย จึงไม่ใช่สิ่งที่คนมีความกล้าระดับธรรมดาทำได้

“นั่นคือคำตอบ!”

ขณะอยู่กลางอากาศ มอล์คเปลี่ยนทางดาบของเขาและใช้แรงสะท้อนหลบดาบของลิสบอน เขาเหมือนจะกระแทกพื้นด้วยท่าที่ยุ่งเหยิง แต่เขาใช้เท้าซ้ายเตะพื้นเพื่อหมุนตัว จัดท่าใหม่กลางอากาศและลงพื้นอย่างปลอดภัย แม้จะเพิ่งเล่นกายกรรมกลางอากาศไปมอล์คก็ยังยิ้มโดยไม่มีเหงื่อสักหยด ตรงข้ามกับลิสบอนที่โจมตีตอบโต้ เขาจัดท่าพร้อมกับเหงื่อเย็นๆท่วมใบหน้ากังวล

ลิสบอนรู้ตัวว่ามอล์คตั้งใจกระโดดเพื่อดูการตัดสินใจของเขา ถ้าเป็นแบบนี้ต่อ การเคลื่อนไหวของเขาจะถูกคู่ต่อสู้ควบคุม ลิสบอนเล็งดาบไปที่มอล์คและเข้าประชิดตัว

มอร์คนับถือความกล้าของลิสบอนที่เลือกย่นระยะห่าง เขาปล่อยรัศมี ทำให้คนระดับนักเรียนของโรงเรียนอัศวินขั้นกลางไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ลิสบอนข่มความกลัวและยังคงขยับเข้าไป

“ดี! มา!”

“ครับ!”

ลิสบอนแทงแขนขวา มอล์คขยับดาบไปสกัด ลิสบอนไม่ยอมแพ้ ดึงดาบกลับมาและแทงใส่คอ

มอล์คยิ้มเหมือนเดิม บิดตัวท่อนบนหลบดาบ จากนั้นปัดดาบลิสบอนออกและเตะสีข้างเขาอย่างแรง

ลิสบอนคราง เขาโดนเตะแรงจนร้องไม่ออกและหายใจลำบาก แค่การเตะครั้งเดียวเขาก็ล้มลง

“อัศวินต้องพร้อมรับมือการต่อสู้ประชิดตัวเสมอ!” มอล์คให้คำแนะนำแล้วถาม “ต่อไหม?”

ลิสบอนยืนขึ้นอย่างลำบาก รู้รสเลือดที่ขึ้นมาจากคอ เขาใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือดาบแตะสีข้างที่ถูกเตะ โชคดีที่ซี่โครงไม่หัก ดูเหมือนจะไม่มีอาการบาดเจ็บภายใน เมื่อเห็นว่าแผลเล็กน้อยเทียบกับความเจ็บแล้วลิสบอนก็ตัวสั่นกับความสามารถของมอล์ค นี่คืออัศวินของจริง!

“เฮะๆ” ลิสบอนหัวเราะแทนที่จะยอมแพ้ให้กับความเจ็บ เขายกดาบขึ้นใหม่

“ดี! นั่นแหละที่อัศวินควรเป็น! ผู้ที่ยอมแพ้ไม่สมควรได้ชื่อว่าอัศวิน!”

มอล์คพอใจกับใจสู้ของลิสบอน เขาหัวเราะอย่างยินดีที่เจอกับรุ่นน้องที่มีแวว “ฮ่าๆๆ ดี เอาล่ะนะ!”

อีกครั้ง ดาบของพวกเขาปะทะกัน

มอล์คฟันจากซ้ายบนและโจมตีศีรษะและหน้าอก ลิสบอนสกัด รู้สึกข้อมือชาจากแรงดาบอันทรงพลัง การต่อสู้ยืดเยื้อไม่ดีแน่ เขายอมรับอย่างหงุดหงิดว่าไม่เก่งถึงขั้นจะทนได้นาน ลิสบอนกัดฟันและเหวี่ยงดาบลง

แก๊ง!

ลิสบอนทุ่มสุดแรง แต่ดาบถูกกันอย่างเรียบง่าย ความต่างชั้นที่เหมือนไร้ความหวังเหมือนจะกดดันลงบนตัวเขา ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้ การต่อสู้ครั้งนี้เขาเดิมพันด้วยทุกอย่างเพื่อความฝันของเขา ถ้ายอมแพ้ง่ายๆ เขาก็รู้สึกละอายใจต่อความพยายามของเขาที่ผ่านมา!

“โอ้ว!”

ลิสบอนเหวี่ยงดาบอย่างบ้าคลั่ง

แก๊ง!

ดาบที่ฟันไปซ้ายบนถูกสกัด

แก๊ง!

ดาบที่ฟันไปขวาบนถูกสกัด

แก๊ง!

ดาบที่แทงถูกสกัด แม้จะถูกสกัด เขายังคงเหวี่ยงดาบต่อ

มอล์คขมวดคิ้ว ใจสู้ของลิสบอนดี แต่เลือดวิ่งขึ้นหัวเขามากเกินไป เป็นสภาพที่เหมาะกับการถูกฆ่าตายในสนามรบ เขาเหวี่ยงดาบใส่ดาบของลิสบอน ทำลายท่าร่างของเขา แล้วเตะท้องอย่างแรง

“อุ๊บ!”

อีกครั้ง ลิสบอนกลิ้ง ลุกขึ้น และตั้งท่าใหม่ ดูเหมือนอดรีนาลีนทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลง

“สงบสติลงหน่อย! คนที่ใจเย็นและแทงท้องข้าแทนที่จะหลบหายไปไหนแล้ว!”

ลิสบอนถูกเสียงตะโกนทำให้ปั่นป่วน จากนั้นก็รู้สึกตัว ที่จริงแล้วก็ไม่แย่นัก เขาแค่ตื่นเต้นเกินไปและสูญเสียความมีเหตุผลไปครึ่งหนึ่ง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากมอล์คที่กดดันลิสบอนด้วยรัศมีและสร้างสถานการณ์เหมือนสนามรบ

ลิสบอนตกสู่สภาพบ้าคลั่งเหมือนอัศวินที่เข้าสู่สนามรบครั้งแรก มอล์ครู้จึงดึงรัศมีกลับมาและตะโกนเรียกสติ ถ้าเป็นการรบจริง ลิสบอนคงไม่มีโอกาสสงบสติอารมณ์ แต่ตอนนี้มันเป็นการฝึกซ้อม แม้จะเป็นการสอบแต่ก็เหมือนเป็นการสอนด้วย นี่เป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับลิสบอน การที่เขาได้สู้กับอัศวินเก่งๆ ได้ประสบการณ์เหมือนอยู่ในสนามรบโดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตให้โอกาสเขาได้เติบโต

“โอ้ว!”

ลิสบอนตะโกนเพื่อให้อารมณ์เย็นลง เมื่อเห็นว่าสายตาของเขา มอล์คเร่งรัศมีขึ้นอีก ถ้าลิสบอนกลัวรัศมีของเขาคงแพ้ไปก่อนเข้าสู่สภาพบ้าคลั่งแล้ว เพราะเขามีความกล้าที่จะสู้ตอบ ตอนนี้จึงสามารถถือดาบเผชิญหน้ากับมอล์คได้

ลิสบอนขยับก่อนเช่นเดิม เขาแทงไปที่แขนขวา

มอล์คเอียงดาบไปทางขวาเพื่อสกัดเช่นเดิม แต่แทนที่จะดึงดาบกลับ ลิสบอนบิดมันไปทางหน้าอกของเขา ขณะประหลาดใจกับการโจมตีไม่ธรรมดา มือซ้ายของมอล์คปล่อยดาบและเบนตัวหลบ

แต่เขาหลบไม่พ้นดีและเสื้อขาดไปหน่อย มอล์คแอบเศร้าใจที่เสื้อตัวสำคัญถูกทำลาย จากนั้นเหวี่ยงดาบด้วยข้อมือขวาเหมือนเหวี่ยงคันเบ็ด แต่ลิสบอนถอยห่างอย่างรวดเร็วและตั้งรับ

“ฮ่าๆๆ! ดี! เมื่อใจเย็นลงดาบของอัศวินก็คมขึ้น! คราวนี้มาตั้งใจสู้กว่าเดิมอีกนิดกันเถอะ!”

มอล์คหัวเราะเหมือนสนุกมาก ในเวลาเดียวกัน ลิสบอนครางเมื่อรัศมีระเบิดออก

“ไม่ ไม่ต้องก็ได้ครับ”

มอล์คส่ายหน้าให้กับคำขอร้องจริงจังของลิสบอน

“อย่าปฏิเสธ!”

มอล์คร่นระยะห่างลง เขาดันดาบใส่หน้าอกลิสบอน

ไม่เหมือนมอล์คที่สกัดดาบเบาๆ ลิสบอนฟาดดาบใส่ดาบที่พุ่งเข้ามาอย่างแรง ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่เบี่ยงนักเพียงแต่เปลี่ยนทางจากหน้าอกไปที่ไหล่ของเขา

ลิสบอนเอียงตัวหลบและตามด้วยฟันไปที่สีข้างของมอล์ค แทนที่จะป้องกัน มอล์คฟันใส่คอลิสบอน

เพื่อหลบดาบของมอล์คที่จู่ๆก็พุ่งใส่หน้า ลิสบอนทิ้งน้ำหนักตัวไปด้านหลังและหลบได้ แต่มอล์คเตะหน้าแข้งทำให้เขาเสียการทรงตัว

“บอกแล้วนี่! นึกถึงหมัดเท้าไว้เสมอ!”

มอล์คเล็งดาบใส่ลิสบอนที่ล้มอยู่ เขายิ้มหดหู่และยกมือสองข้างขึ้น

“ข้าแพ้แล้ว”

เมื่อลิสบอนประกาศยอมแพ้ มอล์คเก็บดาบเข้าฝักและยื่นมือให้

“ยินดีด้วย! เจ้าหนุ่ม! เรียนจบเมื่อไหร่ก็มาที่อัศวินควายดำ! ยินดีต้อนรับสหายที่มีแววทุกเมื่อ!”

ผู้คุมสอบตะโกนใส่มอล์คที่บอกผลการสอบ

“รุ่นพี่! พูดแบบนั้นไม่ได้นะ!”

“หนวกหู! กล้าดียังไงมาขัดจังหวะตอนรุ่นพี่ผู้สูงส่งเท่าฟ้าพูด!”

ลิสบอนจับมือมอล์คและยืนขึ้น

“ขอบคุณครับ!”

แม้จะเต็มไปด้วยฝุ่นและเหงื่อ เขาส่งยิ้มเจิดจ้า



สารบัญ                                         บทที่ 49