วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2565

แปลเพลง - Iron & Wine - Upward Over the Mountain

เพลงแรกของปี \0/ 

ลังเลๆว่าของวง?นี้จะเลือกแปลอะไรดีระหว่างเพลงนี้กับ The Trapeze Swinger สุดท้ายก็แปลทั้งคู่สิ! เอาอันนี้ก่อน

ราว 20 ปีได้เพลงนี้ ส่วนนักร้องยังคงออกเพลงใหม่อยู่ค่ะ ^.^


Iron & Wine - Upward Over the Mountain - ลิงค์ไปยูทูปค่ะ


Mother don't worry, I killed the last snake that lived in the creek bed

Mother don't worry, I've got some money I saved for the weekend

Mother remember being so stern with that girl who was with me?

Mother remember the blink of an eye when I breathed through your body?

แม่อย่าห่วง ผมฆ่างูตัวสุดท้ายที่อาศัยในท้องลำธารไปแล้ว

แม่อย่าห่วง ผมพอมีเงินเก็บไว้ใช้ในวันหยุด

แม่จำได้ไหมที่เคยเข้มงวดนักกับแฟนผมคนนั้น?

แม่จำได้ไหมดวงตาที่กระพริบตอนผมหายใจในท้องแม่ตอนนั้น?

So may the sunrise bring hope where it once was forgotten

Sons are like birds, flying upward over the mountain

จึงขอตะวันนำความหวังสู่ที่ซึ่งครั้งหนึ่งมันถูกลืม

ลูกชายก็เหมือนนก หกเหินเหนือภูเขา

Mother I made it up from the bruise on the floor of this prison

Mother I lost it, all of the fear of the Lord I was given

Mother forget me now that the creek drank the cradle you sang to

Mother forgive me, I sold your car for the shoes that I gave you

แม่ รอยแผลบนพื้นคุกผมชดเชยหมดแล้วนะ

แม่ ความกลัวพระเจ้าที่ได้มาผมทำมันหายหมดแล้วนะ

แม่ลืมผมไปแล้ว ลำธารกลืนเปลที่แม่เคยร้องกล่อม

แม่ยกโทษให้ผมด้วย รองเท้าที่ผมให้แม่ ผมขายรถของแม่ไปซื้อมา

So may the sunrise bring hope where it once was forgotten

Sons could be birds, taken broken up to the mountain

จึงขอตะวันนำความหวังสู่ที่ซึ่งครั้งหนึ่งมันถูกลืม

ลูกชายอาจเป็นนก ถูกพาระหกระเหินขึ้นภูเขา

Mother don't worry, I've got a coat and some friends on the corner

Mother don't worry, she's got a garden we're planting together

Mother remember the night that the dog got her pups in the pantry?

Blood on the floor, fleas on their paws,

And you cried 'til the morning

แม่อย่าห่วง ผมมีเสื้อโค้ทใส่ยามหนาว มีเพื่อนช่วยคราวจนมุม

แม่อย่าห่วง แฟนผมมีสวน เราช่วยกันปลูก

แม่จำได้ไหมคืนที่แม่หมากินลูกของมันในห้องเก็บอาหาร?

เลือดบนพื้น เห็บในอุ้งเท้า

และแม่ร้องไห้จนเช้า

So may the sunrise bring hope where it once was forgotten

Sons are like birds, flying always over the mountain

จึงขอตะวันนำความหวังสู่ที่ซึ่งครั้งหนึ่งมันถูกลืม

ลูกชายก็เหมือนนก คอยบินเหนือภูเขาอยู่เสมอ



ชีวิตข้าฯ - บทที่ 43

 บทที่ 43 – การสอบเข้า (7)


“เข้าใจแล้วก็ดี แต่เหรียญทองคำขาวมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ?” เลชาถามอย่างประหลาดใจมาก

“ครับ เหรียญทองคำขาวหนึ่งเหรียญเท่ากับงบประมาณหนึ่งเดือนของดินแดนของขุนนางระดับเคานท์ มาคิดดูแล้ว หมู่บ้านของพวกเราเล็กกว่าดินแดนของเคานท์แต่ใช้เงินเยอะกว่า”

“แล้วหมู่บ้านเรานี่ใหญ่ขนาดไหน?”

“อืม ถ้าดูจากจำนวนประชากร เท่าๆกับดินแดนขนาดเล็กของจักรวรรดิได้? ที่จริงหมู่บ้านของเราควรจะเรียกว่าเมือง แต่เราเรียกหมู่บ้านเพราะสะดวกปากกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าตั้งข้อเรียกร้องยากนักล่ะ?”

“เพราะข้าเรียนรู้จากเดนว่า ถ้าจะขอให้คนแปลกหน้าทำอะไรให้ ควรกดดันจากสามด้าน”

“สามด้าน?”

“ครับ กำลัง ตำแหน่ง และเงิน ถ้าใช้สามอย่างนี้มากพอ ก็จะไม่มีใครกล้าต่อต้าน...”

แลนซีลอตลากเสียงเมื่อเห็นเลชาถอนหายใจ เขาสงสัยว่าทำอะไรผิดไปหรือเปล่า เลชาอยากเขย่าคอเสื้อเดนเบอร์กและถามว่าเอาอะไรมาสอนเด็กไร้เดียงสาอย่างแลนซีลอต ถ้าเดนเบอร์กอยู่ที่นี่คงเถียงว่าที่เขาสอนก็เพราะแลนซีลอตไร้เดียงสาเกินไป อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้สอนให้เอาจุดอ่อนของศัตรูมาขู่ หรือสร้างและโจมตีจุดอ่อนของศัตรู

เลชาไม่รู้เรื่องนี้และคิดว่าเดนเป็นคนใจดีเป็นเรื่องโกหกที่สุดแล้ว และถามแมค “เจ้าคิดอะไรอยู่ ทำหน้าเครียดเชียว?”

แมคหลุดจากความคิดหนักและตอบ “อ๊ะ เวทในร่างของข้าหมุนเวียนเร็วกว่าปกติ ข้าเกือบสังหารพ่อค้าไปแล้วตอนปล่อยรัศมี”

ซาฮานนาไม่ได้เข้าใจผิดไปตอนเขาคิดว่าเห็นภาพความทรงจำในอดีตปรากฏต่อหน้า ถ้าพลาดไปสักนิด รัศมีที่แมคปล่อยออกมาสามารถทำให้เขาหัวใจวายตายได้

แลนซีลอตอึ้งแล้วตะโกน “อะไรนะ? ฆ่าเขาไม่ได้นะ! มีไม่กี่คนหรอกที่จัดหาเสบียงให้หมู่บ้านเราได้!”

“ฮ่าๆ ข้ารู้น่า เพราะอย่างนั้นถึงพยายามกดมันเอาไว้”

“ต่อไปช่วยระวังด้วยนะครับ!” แลนซีลอตกอดอกและกดดันแมคจนเขารู้สึกเขิน

มันเหมือนมนุษย์รอบตัวกลายเป็นขนมพุดดิ้ง แมคฝืนยิ้ม “ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านบลัดดี้ถึงอยากกลับบ้าน”

แมคเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนนอกหมู่บ้านเรียกเผ่ากาว่าชาติพันธุ์นักสู้แทนที่จะเรียกว่าเผ่านักสู้ หากพลังต่างกันขนาดนี้ก็คงพูดอะไรไม่ได้ถ้าบอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคนละสายพันธุ์

“แต่ว่านะ เจ้าพูดแบบที่พูดกับพ่อค้าเมื่อกี๊ไม่ได้เหรอ เสียงลึกๆแบบนั้นฟังเท่ห์มาก” เลชาพูด หน้าแดงนิดๆ

แมคยิ้มแล้วโบกมือ “ฮ่าๆ ไม่มีทาง น่าอายจะตาย ถ้าท่านทูตไม่สั่งข้าไว้ก่อนเข้าเมือง ข้าไม่มีทางทำหรอก”

เลชาทำหน้าผิดหวัง แต่แมคเอาแต่ลูบหนวดยิ้ม

ไม่นานผู้จัดการตลาดดรูวาลสาขาเมืองวาแรนท์ก็เข็นโต๊ะแสดงสินค้าเข้ามา ซาฮานนากับแลนซีลอตเตรียมเข้าสู่การต่อรองยกที่สอง

***

การสอบเข้าโรงเรียนอัศวินกับเวทมนตร์เป็นงานโด่งดังถึงขั้นเป็นหนึ่งในสี่งานเทศกาลใหญ่ คู่กับ วันขอบคุณพระเจ้า ปีใหม่ และวันเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดิ

ตามลำดับจะมีการสอบเข้าของอัศวินขั้นต่ำ อัศวินขั้นกลาง และการสอบของโรงเรียนเวทมนตร์ และตอนเย็นจะเป็นการสอบของนักเรียนที่กำลังจบการศึกษาเพื่อเป็นอัศวินและนักเวทหลวง แต่ละการสอบเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ ทำให้พวกเขาได้เห็นการต่อสู้และเวทมนตร์ตระการตาที่ปกติไม่ค่อยได้เห็น เพราะเหตุนี้มันจึงกลายเป็นงานเทศกาลไป

และเหตุผลที่เปิดรับนักเรียนใหม่ในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แปลกก็เพราะถ้าไปจัดสอบตอนฤดูใบไม้ผลิ เวลาจะซ้อนกับงานปีใหม่ เทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิ นำไปสู่อุบัติเหตุจากคนจำนวนมาก แทนที่จะควบคุมและสลายฝูงชน สู้เลื่อนงานไม่ให้ซ้อนกันจะง่ายกว่า

ที่จริงแล้ว จุดเด่นของงานไม่ใช่การสอบเข้ารับนักเรียนใหม่ แต่เป็นการสอบของนักเรียนปีสุดท้ายเพื่อเป็นอัศวินและนักเวทหลวง 

แต่เพราะผมมาให้กำลังใจพี่น้องเด็กน้อย หรือก็คือ ลิสบอนกับอลิซ ผมจึงไม่คิดจะไปดูการสอบของนักเรียนปีสุดท้าย ผมไม่อยากเข้าไปเบียดเสียดกับคนเยอะๆ ถ้าอยากดู ไปดูห่างๆแล้วใช้เวทมองทางไกลเอาก็ได้

-ขณะนี้เรากำลังเริ่มการสอบอัศวินขั้นต่ำ ผู้สมัครสอบกรุณามารวมกันที่ลานเกียรติภูมิค่ะ

ผมยืนหน้าโรงเรียนเวทมนตร์ฟังคำประกาศ รอพี่น้องเด็กน้อย ตามตารางการสอบของโรงเรียนเวทมนตร์จะเริ่มในอีก 20 นาทีแต่พวกเขายังไม่มา ขณะผมกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นและคิดว่าจะกลับไปดูที่หอดีไหม ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อผม

“เดน! ทางนี้!”

ห่างไปราวๆ 100 เมตร ลิสบอนกำลังยิ้มโบกมือ ส่วนอลิซเอามือข้างหนึ่งปิดหน้าด้วยความอาย มืออีกข้างตีลิสบอน ผมรู้ตัวอีกที พี่น้องเด็กน้อยก็ทะเลาะกันแล้ว

“จริงๆนะ หยุดได้แล้ว น่าอายออก!”

“ฮ่าๆ อายทำไม เราไม่ได้เรียกคนไม่รู้จักสักหน่อย”

“เพราะคนไม่รู้จักกำลังจ้องอยู่ไงล่ะ!”

ผมหัวเราะพี่น้องที่เดินมาหาและคุยกันเหมือนปกติ

“พวกเจ้ามาช้ากว่าที่คิดนะ”

อลิซเหล่มองลิสบอน “พวกเรามาช้าเพราะพี่โง่ของข้าฝึกหนักจนต้องอาบน้ำใหม่”

“ฮ่าๆ ขอโทษ แต่เจ้าเอาแต่เลือกชุดที่จะสวม ข้าเลยฝึกดาบไปพลางๆไม่ให้เสียเวลา”

“หนวกหู เจ้าเป็นอัศวิน ต้องรู้จักรอผู้หญิงสิ”

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อ อลิซจะโกรธและลิสบอนจะทำเป็นไม่รู้เรื่องตามเคย ผมเลยปลอบเด็กสาวที่กำลังจะเข้าสอบ

“น่าๆ เข้าไปข้างในกัน อลิซ เจ้าจะไปที่สอบเลยไหม?”

“ข้าตั้งใจอย่างนั้น ถึงจะยังมีเวลาเหลืออีกเยอะก็เถอะ ขอโทษนะ แต่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าโง่นี่ด้วย” อลิซยิ้มอย่างจนใจ ชี้ลิสบอน

เมื่อผมตอบรับ เธอก็ขอบคุณและตรงไปที่สอบของโรงเรียนเวทมนตร์

มาคิดดูแล้ว ผมไม่ได้อยู่สองคนกับลิสบอนนานแล้วเพราะปกติพวกเราจะอยู่กันสามคน อาจจะยกเว้นตอนเดินทางมาเมืองหลวงที่ผมกับลิสบอนนอนห้องเดียวกัน พวกเราสามคนอยู่ด้วยกันเสมอ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพี่น้องเด็กน้อยนี้เป็นเพื่อนกลุ่มแรกและกลุ่มเดียวที่ผมได้คบตั้งแต่ออกจากบ้านเกิด เมื่อมาถึงเมืองหลวง ผมไม่มีเวลาหาเพื่อนเพราะต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการก่อกวนนายกรัฐมนตรีด้วยการเป็นโจรปริศนา และต้องหาข้อสอบข้าราชการด้วย

“แล้วเราจะทำอะไรดี?”

เมื่อผมถาม ลิสบอนก็ยิ้มสดใสตามเคย “ไปดูการสอบอัศวินขั้นต่ำกันเถอะ!”

แน่นอน คำตอบเป็นไปตามคาด

“ถ้าจะดูอลิซสอบ พวกเราก็มีเวลาแค่ 20 นาที แต่ข้าก็อยากไปดูอยู่ดี”

ผมพยักหน้า วันนี้ถือเป็นวันหยุดครึ่งหนึ่งและผมวางแผนจะตามใจพี่น้องเด็กน้อยเพราะพวกเขาเตรียมตัวมาอย่างหนักอยู่แล้ว ผมจึงทำตามที่ลิสบอนตัดสินใจ

“ถึงการสอบโรงเรียนเวทมนตร์จะเริ่มแต่อลิซคงไม่สอบทันที เราน่าจะดูได้นานกว่า 20 นาที เราไปดูลำดับผู้เข้าสอบก่อนแล้วค่อยไปที่สอบโรงเรียนอัศวินเถอะ อ๊ะ สอบอัศวินขั้นกลางเริ่มเมื่อไหร่?”

“บ่าย 3 ตอนนี้บ่าย 2 แล้ว เราควรไปถึงที่นั่นใน 40 นาที”

ลิสบอนพูดว่าเขาอาจไม่ได้ไปดูอลิซสอบพลางเดินไปที่ลานเกียรติภูมิ

***

 อัลฟอนโซรู้สึกหมดกำลังใจเมื่อเห็นคู่แข่งหลายร้อยคนเต็มลาน บรรยากาศเคร่งเครียดเป็นสิ่งที่เขาผู้เคยสอบครั้งเดียวนั่นคือการทดสอบในวันเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ไม่คุ้นชิน

พิธีเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ แน่นอนว่าเคร่งเครียดเหมือนกัน แต่การทดสอบเป็นการแข่งกับตัวเอง แต่ตอนนี้เขาต้องแข่งกับคนหลายร้อยคน ความกดดันจากรอบตัวหนักเกินกว่าที่เขาเคยนึกภาพไว้

“อัลฟอนโซ!”

ท่ามกลางความกระวนกระวายใจ เสียงคุ้นเคยเรียกเขา

“ยูเรีย?”

เมื่ออัลฟอนโซหันไปก็เห็นฝาแฝดของเขาอยู่ด้วย

“คิดมากอะไรอยู่ ขนาดไม่รู้ตัวเลยว่าข้ามาหา?”

เมื่อยูเรียดุเล่นๆ อัลฟอนโซที่ใกล้จะร้องไห้แล้วก็ตอบ “ข้า...กังวลน่ะ เดี๋ยวสิ! การสอบโรงเรียนเวทมนตร์จะเริ่มในอีก 20 นาทีไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?!”

ตอนนี้แล้วยูเรียควรสะสมพลังเวทในที่สอบ ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?

เธอยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “การสอบไม่ได้ยากขนาดที่ข้าต้องสะสมพลังเวท พอเริ่มสอบข้าค่อยไปที่นั่นก็ได้”

ยูเรียคิดว่ามันง่ายขนาดแม้แต่อัลฟอนโซยังสอบผ่าน ต่อให้เขาไม่มีพรสวรรค์ในหมู่บ้านขนาดไหน อัลฟอนโซก็ยังเป็นนักเวทผู้สร้างกระเป๋ามิติแม้จะยาวแค่ 10 ซม.ก็ตาม กระเป๋ามิติถือว่ามีความยากในกลุ่มเวทมิติระดับสูง มาคิดดูแล้ว จะบอกว่าที่อัลฟอนโซสร้างกระเป๋ามิติได้ก็เหมือนปาฏิหาริย์ที่ทั้งชีวิตของเขาอาจไม่เกิดขึ้นอีก

“เจ้าแน่ใจเหรอ?” อัลฟอนโซถามอย่างตะลึง

แต่ยูเรียตอบตรงๆ “ตามที่ลุงบอก ข้าแค่สอบเพื่อให้เป็นทางการเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าข้าไปหลังจากดูการสอบของเจ้าเสร็จก็ไม่สาย รอบของเจ้าเร็วกว่าใช่ไหม?”

“อื้ม กลุ่มหนึ่ง หมายเลข 5”

การสอบอัศวินขั้นต่ำให้ผู้เข้าสอบ 20 คนเป็นหนึ่งกลุ่มสอบพร้อมกัน ผู้สอบแต่ละคนต้องสู้กับนักเรียนอัศวินขั้นกลาง และผู้ฝึกสอน 5 คนจัดอันดับพวกเขาตามความสามารถ

“จะว่าไป ลุงอยู่ไหนล่ะ?”

อัลฟอนโซคิดว่าลุงจะมาดูเขาจึงมองหาแต่ไม่เจอ

“อ๊ะ ลุงบอกว่าจะมาช้าหน่อย เห็นว่าองค์หญิงของจักรวรรดิอยากเข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์พวกเขาจึงต้องเตรียมสอบให้เธอต่างหาก แต่เขาบอกว่าจะมาดูเจ้าสอบ ไม่ต้องห่วง”

“อ้อ เข้าใจแล้ว”

อัลฟอนโซกำหมัดและตะโกนในใจ “สู้ๆ เจ้าทำได้!”

-เริ่มการสอบโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำ ผู้ที่ถูกเรียกชื่อ กรุณาไปที่ห้องฝึกที่เตรียมไว้ถัดจากลาน

ชื่อผู้สอบถูกเรียกทีละคนผ่านเครื่องขยายเสียงโดยคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ฝึกสอน ในนั้นมีชื่ออัลฟอนโซอยู่ด้วย

“ข้าไปล่ะ!”

“ข้าจะไปอยู่ที่เขาจัดให้ผู้ชม สอบเสร็จแล้วออกมาเลยนะ”

“ได้!”

อัลฟอนโซรีบตรงไปที่ห้องฝึก และยูเรียไปยังที่นั่งชมใกล้ๆ



สารบัญ                                   บทที่ 44



วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 42

บทที่ 42 – การสอบเข้า (6)


“เอ่อ คุณหนู ขอโทษนะแต่เพราะพวกเรามีแต่เงินใหญ่ โรงแรมที่นี่ไม่รับ เราเลยต้องไปหาตลาดที่หมู่บ้านพวกเราติดต่อซื้อขายเพื่อแลกเงิน” แลนซีลอตพูดอย่างขอโทษเพื่อให้เลชาเข้าใจ

เลชารู้สึกละอายและพูด “ข้าต่างหากต้องขอโทษ เอาล่ะ ข้าเริ่มอายแล้วเราหยุดกันดีกว่า ข้าทำตัวเป็นเด็กเอง” จากนั้นพูดต่อ “แล้วก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าคุณหนู ข้าไม่อยากถูกเพื่อนของน้องชายตัวเองเรียกว่าคุณหนู”

“ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าเรียก...”

“พี่ก็ได้ พี่เลชา พูดสิ” (1)

แลนซีลอตดูงงงัน “ไม่ได้หรอก...”

“ลังเลทำไม เจ้ายังเรียกเดนว่าเดนเลย”

“นั่นเพราะเดนคือเดน...”

สำหรับแลนซีลอต เดนเบอร์กเป็นเพื่อนสนิทและเป็นคนที่เขานับถือ เลชาหัวเราะและยีผมแลนซีลอต

“ข้าจะเรียกเจ้าว่าแลนด้วยนะ เห็นบอกว่าเดนเรียกเจ้าแบบนั้นใช่ไหม?”

เห็นเขาพยักหน้า เลชาก็พยักหน้าด้วย “ข้าเรียกเจ้าว่าแลน เพราะฉะนั้นเจ้าสบายใจได้และเรียกว่าพี่หญิง เข้าใจไหมแลน?”

“ครับ พี่-พี่เลชา”

เห็นเขาอายหน้าแดง เลชาก็กอด “น่ารัก! ถ้าคนน่ารักอย่างเจ้าเป็นน้องข้าก็ดีสิ แทนที่จะเป็นเดนที่ข้างนอกกับข้างในไม่เหมือนกัน”

“ไม่ ไม่จริงนะ! เดน...เดนเก่งออก! เข้มแข็ง! ใจดีด้วย!”

เลชากับแมคหัวเราะลั่น

“เอ ไม่รู้สิ เขาเข้มแข็งจริง แต่ใจดีนี่... ข้าว่าเขาเป็นคนฉลาดและเจ้าเล่ห์ชอบใช้ประโยชน์จากคนอื่น”

“ไม่ใช่นะ! เดนเป็นคนเห็นอกเห็นใจคนอื่นและเป็นมิตรต่างหาก”

แลนซีลอตดิ้นหลุดจากอ้อมกอดของเลชาและโบกมืออย่างร้อนใจ

“อ๊า! ไม่พูดด้วยแล้ว!” แลนซีลอตงอนแล้วเดินนำหน้าไป

มองทูตอายุเยาว์ แมคกับเลชาต่างคิดว่าเขาน่ารักดี

“ไปด้วยกันสิ!”

แลนซีลอตเดินไม่เหลียวหลัง แต่เห็นได้ชัดว่าเดินช้าลง เขาข้ามถนนแล้วหยุดหน้าอาคารใหญ่หลังหนึ่ง

“นี่คือตลาด ‘ดรูวาล’ ที่ซื้อขายกับหมู่บ้านของเรา”

แมคกับเลชามองอาคารขนาดใหญ่อย่างอึ้ง

“ว้าว นี่มันใหญ่กว่าศาลากลางของหมู่บ้านเราเลยไม่ใช่เหรอ?”

“นั่นสิ”

ตลาดดรูวาลเรียกตัวเองว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดของวาแรนท์เมืองสุดท้าย ขนาดบอกว่าใหญ่ 1.5 เท่าของศาลากลางของเมือง

“ทำอะไรอยู่? เข้าไปกันเถอะ”

เมื่อแลนซีลอตเรียก คนทั้งสองก็ได้สติและเข้าไปในอาคาร

ภายในอาคารค่อนข้างเสียงดัง เหมือนห้องประมูลที่มีนักเวทกำลังประมูลชิ้นส่วนสัตว์ประหลาด

แลนซีลอตผ่านการประมูลเล็กๆนั้นไปและตรงไปยังที่ชายหนุ่มผู้เหมือนจะเป็นพนักงานต้อนรับยืนอยู่

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”

เมื่อชายหนุ่มถาม แลนซีลอตหยิบบัตรใบเล็กๆออกมาจากแขนแล้วยื่นให้เขาดู

“ทราบแล้วครับ ข้าจะพาท่านไปที่ห้องรับรอง สองคนที่อยู่ด้านหลังก็มาด้วยกันใช่ไหมครับ?”

“ใช่ ทั้งหมดสามคน”

ชายหนุ่มยิ้มและนำทางพวกเขาไปที่ชั้นสาม หน้าประตูหรูหรา ชายหนุ่มดึงเชือกที่โยงจากเพดาน ไม่นานก็มีเสียงกระดิ่ง จากนั้นเขาก็เปิดประตู

“โปรดวางใจได้ว่าห้องนี้เก็บเสียง ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว”

ชายหนุ่มคำนับและกลับไปที่ชั้นหนึ่ง เลชากับแมคที่ยังมึนๆเดินตามแลนซีลอตเข้าห้องไป

เมื่อทั้งสามเข้ามาในห้อง ประตูก็ปิดลงโดยอัตโนมัติ เลชารู้สึกถึงพลังเวทตระหนักว่าประตูปิดด้วยเวทมนตร์

มองไปรอบๆ มีเวทเก็บเสียงและเวทที่ไม่รู้จักอื่นๆติดอยู่ ถ้าเป็นเดนเบอร์กหรือผู้เฒ่าเมอร์ปาครูของเธอ พวกเขาคงรู้จักเวทพวกนั้น แต่เลชาไม่มีความสามารถขนาดนั้น

ประตูข้างเลชาเปิดออกและชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา

“โอ้ ลูกค้าวีไอพีนี่เอง เชิญนั่งครับ”

ชายวัยกลางคนดูแข็งแรงนั่งลงบนโซฟาตรงโต๊ะรับแขก คนอื่นนั่งตาม

“ว้าว คุณหนู เก้าอี้นี่นุ่มชะมัด”

แมคร้องอย่างทึ่ง เลชาหน้าแดง “เงียบเถอะ น่าขายหน้า”

เธอพูดอย่างนั้นแต่ก็ประหลาดใจกับความนุ่มของโซฟาเช่นกัน

ชายวัยกลางคนยิ้มและรินน้ำชา “ไม่เป็นไรครับ โซฟานี่เป็นของสั่งทำพิเศษ มีหลายคนที่ประหลาดใจกับมัน”

แค่พูดปลอบใจไปอย่างนั้นเอง แขกปกติมีแต่พวกจิ้งจอกเฒ่า เขาคงรู้สึกว่าท่าทางของแมคกับเลชาแปลกใหม่และตลกดี

“นอกจากคุณแลนซีลอต ข้าเพิ่งพบพวกคุณเป็นครั้งแรก ถ้าไม่ว่าอะไร ขอทราบชื่อได้ไหม?”

แลนซีลอตตอบ “คนนี้เป็นหนึ่งในผู้เข้มแข็งที่สุดของเผ่ากาของเราและเป็นรองกัปตันของกลุ่มนักรบ และคนนี้เป็นเจ้าหญิงของเรา”

แมคทำหน้าภูมิใจและเลชาเหมือนจะพูดว่าพูดเกินไปแล้ว แต่แมคส่งสายตาห้าม เลชาจึงหุบปาก

ชายวัยกลางคนยืนและคำนับด้วยความเคารพ “ขออภัยที่ข้าแสดงกิริยาไม่สมควร เจ้าหญิง ข้าคือ ซาฮานนา วอน ฟิลาเดล หัวหน้าสาขาวาแรนท์ของตลาดดรูวาล”

เลชาขัดเขินกับความเคารพมากเกินไปที่ไม่มีคนในหมู่บ้านทำ แลนซีลอตรับการคำนับแทนเจ้าหญิงที่กำลังลังเล

“คุณผู้จัดการสาขา เจ้าหญิงของเราไม่คุ้นกับธรรมเนียมของจักรวรรดิ อีกอย่าง เธอไม่เคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมมารยาท คุณไม่ต้องเกร็งไป”

“ขอบคุณคุณแลนซีลอต แต่ถ้าเป็นเจ้าหญิงของเผ่ากาแล้ว ท่านยิ่งสูงศักดิ์กว่าเจ้าหญิงจากประเทศเล็กๆอีก โปรดไว้หน้าคนไม่สำคัญอย่างข้า เพราะหากข้าแสดงท่าทางไม่เหมาะสมก็เท่ากับตลาดแสดงท่าทางไม่เหมาะสม โปรดให้ข้าทำความเคารพ”

ซาฮานนายังไม่เงยหน้าขึ้นปล่อยให้เลชาอึ้งไป มันยิ่งดูน่าอึดอัดเพราะเขาดูตั้งใจจริง ไม่เหมือนแมคที่พูดหยอกเล่น  

ในเวลาเดียวกัน แมคพูดกับซาฮานนา “พวกเราเข้าใจเรื่องธรรมเนียมของเจ้า แต่เราไม่มีเวลา ข้าไม่อนุญาตให้เสียเวลาไปกับธรรมเนียมที่ไม่จำเป็น”

ซาฮานนาเงยหน้าขึ้น “ข้าเพียงแต่พยายามรักษามารยาทพื้นฐาน มันติดเป็นนิสัยไปแล้ว แต่ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านเสียเวลาไปมากกว่านี้” เขากระแอมแล้วนั่งลง

“อย่างที่รองกัปตันพูด พวกเราไม่ค่อยมีเวลานัก ข้าเข้าเรื่องเลยนะ”

ซาฮานนาตกลง แลนซีลอตจึงหยิบเหรียญทองคำขาว 5 เหรียญจากหน้าอกและวางบนโต๊ะ

“เราต้องการเงินเพื่อใช้ในจักรวรรดิ ช่วยเอาเหรียญทองคำขาวเหล่านี้ไปแลกให้ด้วย”

ซาฮานนาดูเจ็บปวด “ขออภัย แต่สาขาของเราตอนนี้ไม่มีเงินพอแลกเหรียญทองคำขาว 5 เหรียญ”

พวกเขามีเหรียญทองคำขาวสำหรับซื้อขายกับเผ่ากา แต่ไม่มีเหรียญอื่นเพียงพอกับการแลก หากเอาเหรียญทุกเหรียญในตลาดมาอาจมีพอ แต่พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เงินที่ใช้ได้ถูกเอาไปหมด

เพราะแลนซีลอตเข้าใจเรื่องนี้ เขาจึงตั้งใจเปิดเผยตัวตนของแมคกับเลชา เพราะสถานะที่แตกต่างกันก็จะมีกฎแตกต่างกัน

จากมุมมองของซาฮานนา ถ้าเขายังต้องการค้าขายกับเผ่ากาต่อไปในอนาคต เขาต้องยอมทำตามคำขอนี้ แต่เหรียญทองคำขาว 5 เหรียญมันแลกยากเกินไป ผู้จัดการมองกลุ่มที่นั่งตรงข้าม

ด้วยสายตาเฉียบคมของเขา เขาไม่คิดว่าเด็กสาวตรงหน้าเป็นเจ้าหญิงเป็นเรื่องโกหก แต่ดูเหมือนเธอจะไม่มีอิทธิพลในเผ่ากามากนัก ถึงอย่างนั้นก็ตาม เจ้าหญิงก็คือเจ้าหญิง ใครก็บอกไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าล่วงเกินเธอ

แต่คนที่เป็นรองกัปตันนั้นอันตราย ประสาทสัมผัสของเขาที่ฝึกฝนจากการทำงานในวาแรนท์เป็นสิบๆปีบอกอย่างนั้น ถ้าล่วงเกินชายคนนั้น ไม่ต้องพูดเรื่องอนาคตเลย ชีวิตจะตกอยู่ในอันตรายทันที แรงกดดันที่เขาปล่อยออกมาไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย

อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองสู้ไม่ได้ อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดต้องร่วมมือกับกองอัศวินร้อยคนถึงจะพอสู้ได้ ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ประสาทสัมผัสของคนที่ฝ่าฟันจนกลายเป็นผู้จัดการในวาแรนท์ อีกชื่อว่าวัลฮาลา เป็นสิ่งยืนยัน

ข้าจะแลกได้เท่าไหร่ พวกเขาต้องไม่ขอแลกทั้งหมดแน่ 2 เหรียญ? หรือ 3?  

ซาฮานนายิ้มในใจ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร เขาต้องพูดประโยคนี้ก่อน

“มันมากเกินไปจริงๆครับ”

ในเวลาเดียวกันนั้น แมคปล่อยรัศมีออกมาอย่างรุนแรง

จู่ๆซาฮานนาก็รู้สึกเหมือนความทรงจำเก่าๆในชีวิตของเขาผ่านสายตาไป แต่เขาเมินเฉย เรื่องแบบนี้เขาเคยผ่านมาไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองครั้ง สถานการณ์ที่เขาต้องเจอกับข้อเรียกร้องสูงเกินไปจากฝ่ายติดอาวุธเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกินอาหาร ถ้าเขายอมถอย เขาคงไม่มีความมั่นใจมากอย่างตอนนี้

“ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้ เราจะซื้อของสักหน่อย และคุณก็ทอนเงินให้พวกเรา ดีไหม?”

ซาฮานนายินดี อีกฝ่ายก็รู้ว่าพวกเขาเรียกร้องเกินไป รัศมีของแมคค่อยๆจางลง

“ถ้าแบบนั้นพวกเราย่อมทำให้ได้ ท่านอยากได้ของแบบไหน?”

“ก่อนอื่น เอาของที่แลกเปลี่ยนง่าย”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเอาทอง เงิน และเพชรพลอยมาให้เลือก ราคาของมันไม่ตกง่าย และไม่กินพื้นที่มากจึงพกพาง่าย ร้านขายทองและเงินมีแทบทุกเมือง พวกท่านสามารถขายเมื่อไหร่ก็ได้”

“เอาสิ เจ้าหญิง รองกัปตัน มีของที่อยากได้ไหม?”

ซาฮานนาพูดต่อจากแลนซีลอตทันที

“ตลาดรูวาลมีของดีจากทั่วจักรวรรดิ ตั้งแต่อัญมณี ดาบ วัตถุเวทมนตร์ เครื่องมือ น้ำหอม อสังหาริมทรัพย์ ไม่มีอะไรที่เราไม่มี”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าอยากได้ไม้เท้า” เลชาพูด

ซาฮานนาตาโต “ท่านหมายถึงไม้เท้าเวทมนตร์ใช่ไหม? ข้าจะเอาที่ดีที่สุดมาให้ แล้วรองกัปตันต้องการอะไรไหม?”

“ไม่ก่อน เรื่องอาวุธ ข้าไม่ไว้ใจช่างนอกหมู่บ้าน”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเครื่องมือดูแลอาวุธล่ะครับ? หินลับมีด น้ำมัน ผ้าไหม อาวุธต้องการการดูแลพอดูไม่ใช่เหรอครับ?”

“จริง”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเอาของเหล่านั้นมาด้วย”

ซาฮานนาออกไปเอาของ เลชาถอนหายใจแล้วหยิกแก้มแลนซีลอต

“เจ้าหญิง ใครเป็นเจ้าหญิง? ข้าบอกใช่ไหมว่าไม่ชอบ มันทำให้ข้าขนลุก”

“เอ่อ... แต่พวกเราต้องกดดันอีกฝ่ายถึงจะแลกเงินได้”

แลนซีลอตลูบแก้มอย่างเจ็บ

“เออ เขาก็ตลก แค่เงินก็แลกไม่ได้”

เลชาทำเสียงฮึ แต่แลนซีลอตส่ายหน้า

“มองจากด้านเขาก็แน่อยู่แล้ว มันเหมือนบอกให้เอาเงินทั้งหมดที่สาขามีออกมา”

“พูดอะไรของเจ้า?”

“เหรียญทองคำขาวนี่มีมูลค่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล เหรียญทองคำขาวสองเหรียญซื้อวัตถุดิบทำยาให้หมู่บ้านเราใช้ได้ครึ่งปี”

“อะไรนะ?!”

“พวกวัตถุเวทมนตร์ที่เจ้าหญิงใช้ก็รวมอยู่ในวัตถุดิบนั้นด้วย”

“อย่าเรียกฉันว่าเจ้าหญิง” เลชาหยิกแก้มแลนซีลอตอีก

“เข้าใจแล้วครับพี่”


สารบัญ                                             บทที่ 43



(1) ไม่ใช้ นูนา อ่านออกเสียงไม่เป็นจ้า


วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 41

บทที่ 41 – การสอบเข้า (5)


มันแน่อยู่แล้ว แต่มีหนังสือมากมายจนห้องอ่านหนังสือของพี่สาวผมหรือห้องทดลองของผู้เฒ่าเมอร์ปาเทียบไม่ติด กลิ่นของหนังสือเก่าทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ห้องอ่านหนังสือของพี่สาวมีแต่หนังสือใหม่ ส่วนห้องทดลองของผู้เฒ่าเมอร์ปามีกลิ่นสมุนไพรมากกว่าเพราะนางเชื่อเรื่องการฝึกฝนมากกว่าทฤษฎี

สมเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ ห้องสมุดเต็มไปด้วยตำราเวทหลากหลาย ผมดูชื่อเรื่องและเลือกอ่านที่ดูน่าสนใจ

การจัดการมิติเบื้องต้น, พื้นฐานการบิน, ดาราศาสตร์กับมนตร์ดำ, ทฤษฎีของสี่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ในยุคปัจจุบัน -ตำรารวบรวมคำสาป, ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจังหวะกับคำร่าย...

หนังสือส่วนใหญ่เขียนถึงพื้นฐานหรือประวัติศาสตร์ของเวทมนตร์ แม้ไม่ได้เจาะลึกแต่ก็ยังน่าสนใจเพราะผมไม่มีความรู้ในเวทมนตร์ทุกประเภท โดยเฉพาะตำราคำสาปที่สี่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนเขียนเล่มนี้เพราะคำสาปเป็นของใหม่มากสำหรับผม

ขณะสงสัยว่าคนที่ไม่ใช่นักเรียนจะยืมหนังสือออกไปได้ไหมและตรงไปทางโต๊ะว่าง ผมก็ได้กลิ่นคุ้นเคย มันจางมาก ผมเดินไปทางกลิ่นนั้น

ในชั้นหนังสือมีหนังสือเก่าเล่มหนึ่งที่มีกลิ่นคุ้นเคย ผมยื่นมือไปทางหนังสือพลางสงสัยว่าเคยได้กลิ่นนี้ที่ไหน

“อ๊ะ!”

ไม่ใช่ผมคนเดียวที่จะดึงหนังสือเล่มนั้น ผมจับหนังสือพร้อมกับเด็กสาวผู้มีผมสีขาวปนทอง

“เชิญเจ้าก่อนเลย”

ผมยอมปล่อยหนังสือ เด็กสาวยิ้มและพยักหน้า

“ขอบคุณ”

ระหว่างดึงหนังสือออกจากชั้น เด็กสาวเหลือบมองผม พูดให้ถูกคือมองหนังสือของนักเวทสายคำสาปที่ผมถืออยู่

“ดูเหมือนเจ้าจะสนใจจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่มาก?”

“อะไรนะ?”

คำถามกะทันหันทำให้ผมมองหนังสือที่เธอถืออยู่ ชื่อหนังสือคือ “การเก็บรักษาวัตถุดิบสำหรับปรุงยา” มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ

ที่สำคัญคือชื่อคนแต่งคุ้นมาก

“เมอร์ปา ไอน์สมอล?”

ผู้เฒ่าเมอร์ปา ครูของพี่สาวผม เป็นคนเขียนหนังสือเรื่องนี้

ตอนนี้เองที่ผมนึกออกว่ากลิ่นคุ้นๆนั่นคือกลิ่นที่ผมดมมาเป็นปี กลิ่นสมุนไพรในห้องทดลองของผู้เฒ่าเมอร์ปา

“ใช่ เมอร์ปา ไอน์สมอล หนึ่งในจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ นักเล่นแร่แปรธาตุผู้มีชื่อเสียงของเผ่ากา เป็นคนแต่งหนังสือเรื่องนี้ มันเป็นหนังสือที่ถือเป็นรากฐานของการเล่นแร่แปรธาตุสมัยนี้ แต่ตอนที่มันปรากฏตัวครั้งแรกในโลกการศึกษา ข้าได้ยินว่ามันทำให้เกิดการปฏิวัติทางความรู้ แต่เจ้าคงรู้อยู่แล้วถึงหยิบมันสินะ?”

“อ้อ แน่นอน ข้ารู้อยู่แล้ว”

ที่จริงผมไม่รู้ แต่อีกฝ่ายคงมองผมแปลกๆถ้าผมบอกว่าไม่รู้เรื่องที่เหมือนจะเป็นสิ่งที่ใครๆก็รู้

เด็กสาวผมขาวยิ้มและลูบหน้าปกหนังสืออย่างระมัดระวัง

“ข้าอ่านฉบับพิมพ์แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะมีต้นฉบับอยู่ที่นี่จริงๆ อย่างที่ได้ยินมาเลย มันมีกลิ่นเฉพาะของสมุนไพร”

เธอดมหนังสือ

“ดอกวอลยอง ต้นกระสาบิน แล้วก็...” 

“กลีบที่สามของแมนดราโก”

เด็กสาวที่นึกไม่ออกและกำลังขมวดคิ้วยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของผม

“ใช่แล้ว! กลีบที่สามของแมนดราโก!”

ขณะที่เธอตะโกน บรรณารักษ์ที่ผ่านมาพอดีก็ถลึงตาใส่และเอานิ้วจ่อปาก เด็กสาวมองต่ำทำหน้าน่าสงสาร บรรณารักษ์ถอนหายใจแล้วเดินต่อ จากนั้นเด็กสาวก็พูดกับผมเสียงเบา

“ฮิๆ เผลอไปหน่อย แต่เจ้าต้องเชี่ยวชาญเรื่องการแปรธาตุมาก น้อยคนรู้ว่ากลีบดอกแมนดราโกแต่ละกลีบมีกลิ่นไม่เหมือนกัน แต่เจ้ายังบอกได้ด้วยว่ามันเป็นกลีบไหน”

ผมหัวเราะให้เรื่องผ่านๆไป ผมไม่จำเป็นต้องบอกเธอว่าใช้เวทได้ ทำให้เหมือนผมสนใจเรื่องเวทมนตร์จะปลอดภัยกว่า

“ไม่หรอก ข้าแค่โชคดีเดาถูก”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... อ๊ะ ข้าชื่อยูเรีย”

ยูเรีย กอดหนังสือด้วยมือซ้ายและยื่นมือขวาออกมาเพื่อจับมือทักทาย

“ข้าชื่อเดน”

ยูเรียเดินเข้ามาใกล้ๆและกระซิบ “ถ้าเจ้ามีเวลา มาคุยเรื่องเวทมนตร์กันไหม?”

เธอถามด้วยตาเป็นประกายเหมือนคนชวนเข้ากลุ่มลัทธิหน้าสถานีรถไฟ

“ไม่ ข้ามีธุระ..”

“อ๊ะ ข้าก็มีธุระเมหือนกัน แต่น่าเสียดายจังเพราะข้าไม่ได้พบคนที่เก่งเรื่องการแปรธาตุนานแล้ว”

ยูเรียเดินเข้ามาใกล้อีกก้าว จากนั้นคว้ามือผมด้วยสีหน้ากระตือรือร้น 

สัมผัสถึงพลังเวทของเธอ ดูเหมือนเธอจะเป็นนักเวทที่มีความสามารถพอดู น่าจะแข็งแกร่งกว่าพี่สาวคนรองของผม เมื่อคิดว่ามีนักเวทระดับนี้มาอยู่ที่นี่ โรงเรียนเวทมนตร์ที่เหล่านักเวทมากพรสวรรค์ของจักรวรรดิมารวมกันไม่ใช่ที่ๆจะมองข้ามได้เลย

มองหน้าอ่อนวัยของเธอแล้วน่าจะอายุพอๆกับผม ถ้านักเวทระดับเธอเป็นนักเรียนแล้วครูที่นี่ล่ะ?

ตามที่ผมได้ยินมา ศูนย์ฝึกข้าราชการประสานงานกับโรงเรียนเวทมนตร์เพื่อให้นักเรียนได้เรียนเวทมนตร์ช่วงหนึ่ง ผมเกิดความคาดหวังขึ้นมา

“ก็ได้ งั้นคุยกันสั้นๆนะ”

ผมพ่ายแพ้ต่อความกดดันของยูเรีย เธอนำผมไปที่ระเบียงด้วยรอยยิ้มสดใส

ที่ระเบียงห้องสมุด มีโต๊ะเก้าอี้สำหรับสี่คน ยูเรียเลือกที่นั่งก่อนและผมนั่งตรงข้าม

“อ๊ะ จะว่าไป เจ้าเป็นนักเรียนของโรงเรียนเวทมนตร์เหรอ?”

ยูเรียถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ผมส่ายหน้า

“ไม่ใช่ ข้าไม่เก่งอะไร ความรู้ด้านเวทมนตร์ก็น้อย”

“อย่างนี้นี่เองข้าถึงแทบไม่รู้สึกถึงพลังเวท”

เธอดูผิดหวังเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้มสดใสและพูด “ไม่เป็นไร! เขาว่าคนนอกหมู่บ้านมีพลังเวทน้อยกันทุกคน”

“อะไรนะ?”

เป็นคำพูดที่เหมือนผมจะคุ้นเคยเพราะในหมู่บ้านผมมักได้ยินว่าคนนอกหมู่บ้านอ่อนแอกันทั้งนั้น

“ไม่ใช่! คือว่า การแปรธาตุไม่ต้องใช้พลังเวทมากมายไงล่ะ! ข้าหมายถึงอย่างนั้น!”

เธอที่ลนลานและพยายามแก้ตัวดูตลกจนผมต้องหัวเราะ

“ไม่ใช่นะ ข้าจะบอกว่า...”

เธอยิ่งดูลนลานมากขึ้นเมื่อเห็นผมหัวเราะ ดูเหมือนการบอกคนที่ศึกษาด้านเวทมนตร์ว่าเขามีพลังเวทน้อยเป็นเรื่องไม่สุภาพ

ระหว่างคิดว่าน่าจะแกล้งเธออีกหน่อย ผมหุบยิ้มและพูด “ถึงเป็นการแปรธาตุก็ต้องใช้พลังเวทมากเมื่อถึงระดับสูง”

“อย่างนั้นเหรอ?”

ผมคิดว่ายูเรียจะลนลานต่อแต่เธอกลับถามด้วยตาเป็นประกาย

“ใช่ ต่อให้ใช้หินพลังเวท นักแปรธาตุก็ต้องมีพลังเวทขั้นหนึ่งเพื่อควบคุมหิน”

ยูเรียคิดว่าผมเป็นนักแปรธาตุ แต่ผมไม่ถือว่าตัวเองใช่ แต่ผู้เฒ่าเมอร์ปาขู่ว่าจะไม่สอนเวทมนตร์ให้ถ้าผมจำเนื้อหาการทดลองของนางไม่ได้ ผมจึงต้องเรียน แต่พูดจริงๆแล้ว วิชาเวทมนตร์ของผมครึ่งหนึ่งเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

“อ๋อ”

“ว่าแต่ดูเหมือนเจ้าจะสนใจเรื่องการแปรธาตุมาก เจ้าเลือกฝึกด้านนี้เหรอ?”

ยูเรียส่ายหน้า “เปล่า เวทมนตร์ธาตุน่ะ ปู่ของข้าเป็นนักเวทธาตุ”

เธอพูดตามแบบฉบับของลูกหลานในตระกูลนักเวท ผมต่างหากที่แปลกที่ไม่มุ่งเป้าไปที่การแปรธาตุตามครู ส่วนใหญ่นักเรียนจะเรียนตามครูเหมือนเด็กสาวคนนี้

พี่สาวคนรองของผมเก่งด้านเวทมนตร์เพราะได้อิทธิพลจากผม แต่เธอใช้การแปรธาตุเป็นหลัก ต้นไม้ที่พยายามจับตัวผมตอนนั้นก็ทำจากวิชาแปรธาตุ

“ส่วนใหญ่คนจะเน้นฝึกไปทางเดียว แต่ดูเหมือนเจ้าจะสนใจด้านการแปรธาตุเหมือนกัน”

“อา ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่การแปรธาตุแต่ข้าสนใจเวทมนตร์ทุกอย่าง แต่หมู่บ้านข้าแห้งแล้ว ต้นไม้กับหญ้าเลยไม่ค่อยขึ้น ข้าเลยมาที่เมืองหลวงเพื่อลองเรียนการแปรธาตุ”

“งั้นเจ้าก็ไม่ใช่นักเรียน?”

ยูเรียพยักหน้ารับ

“อื้ม ข้ามาสอบ”

“อย่างนี้นี่เอง”

พวกเราคุยกันจนถึง 20 นาทีก่อนการสอบเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ ผมบอกความรู้ด้านการแปรธาตุที่ผมมีอยู่เล็กน้อย ส่วนเธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ธาตุที่ผมไม่รู้

ตอนแรกผมคิดว่าถูกชักชวนให้เข้าลัทธิ แต่กลายเป็นมีประโยชน์ อีกเรื่องหนึ่งถ้าเผื่อสนใจ ผมยืมหนังสือออกไปไม่ได้ เขาว่าถ้าผมเป็นนักเรียนของศูนย์ฝึกข้าราชการก็จะยืมได้ ผมจึงตั้งใจว่าจะค่อยๆอ่านทีหลัง

***

 ตรงทางเข้าวาแรนท์ เมืองสุดท้าย หรืออีกชื่อเล่นว่า วัลฮัลลา เลชากำลังตะโกนกับคนในกลุ่ม

“หาห้องแล้วอาบน้ำกันก่อนเถอะ! อาบน้ำ!”

เลชาบ่นทันทีเมื่อมาถึงวาแรนท์ พวกเขาเดินทางในป่าเป็นเวลา 15 วัน เธอจึงรู้สึกไม่สบายตัวมากเพราะเหงื่อและฝุ่นสะสม

แมคถอนหายใจมองเลชาที่กำลังบ่นงึมงำ

“คุณหนู ท่านทูตมีที่ต้องแวะไปก่อน”

“ทะ...ท่านอะไร? รองกัปตันแมค ข้าไม่คู่ควร”

เด็กหนุ่มร่างผอมหน้าตาน่ารักหน้าแดง เขารู้สึกกดดันที่แมค ผู้นำคนหนึ่งของเหล่านักรบเรียกเขาว่า ‘ท่าน’

“เรียกข้าว่าแลนเถอะ เดนก็เรียกข้าแบบนั้น...”

“ไม่ได้ครับ ท่านทูตเป็นผู้นำของเรา ข้าจะเรียกแบบนั้นได้อย่างไร ที่จริงแล้วข้าอยากเรียกท่านว่า ท่านแลนซีลอตด้วยซ้ำ” แมคยิ้มอย่างขี้แกล้ง

“ท่านแลนซีลอตอะไรกัน มากไปแล้ว” แลนซีลอตก้มหน้า หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงกว่าเดิม

เลชาเถียงแลนซีลอตอย่างไม่สนใจ

“ที่สำคัญกว่านั้นคือทำไมไม่หาที่พักก่อนล่ะ? อาบน้ำแล้วก็อาหารร้อนๆ! ข้าเบื่อเนื้อตากแห้งแล้ว!”

สำหรับเลชาผู้ไม่เคยออกจากหมู่บ้าน การเดินทางครึ่งเดือนถือเป็นเรื่องลำบากน่าดู แลนซีลอตตัวหดเมื่อถูกเลชาข่มขู่ แมคยิ้มหล่อขณะพยายามปลอบเลชา

“ฮะๆ คุณหนูใจเย็นๆ ท่านทูตต้องมีแผนอยู่แน่นอน”

“แต่ว่า!”

“อีกอย่าง ที่พวกเราต้องอยู่ในป่าครึ่งเดือนก็เพราะคุณหนูนะ”

เลชาได้แต่สะดุ้ง

แมคผู้มีความเร็วเป็นอันดับสามของหมู่บ้านดูอ่อนแอไปเลยเมื่อเทียบกับแลนซีลอตผู้เป็นอันดับหนึ่งทั้งด้านความเร็วและความอึด และเมื่อเทียบกับพวกเขา เลชาก็ดูเร็วเท่าหอยทาก ที่ใช้เวลา 15 วันเพราะเมื่อออกจากหมู่บ้านได้ไม่นานแมคก็แบกเลชาไว้บนหลัง ถ้าให้เธอเดินเอง พวกเขาคงต้องอยู่ในป่าต่ออีกครึ่งเดือน

เลชารู้สึกละอาย “เจ้าพูดตรงไปหรือเปล่า?”

“ข้าก็เป็นอย่างนี้” แมคตอบอย่างมั่นใจด้วยสีหน้าภูมิใจ






สารบัญ                                       บทที่ 42


วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 40

บทที่ 40 – การสอบเข้า (4)


ไปดีกว่า ออกจะน่าเศร้าแต่ผมยังควบคุมแรงตัวเองไม่ได้ ถ้าผมเข้าไปช่วยพวกอันธพาลอาจถึงขั้นพิการ พูดจริงๆมันน่ารำคาญด้วย

ผมเห็นใจเด็กผมขาวที่กลัวจนหน้าซีด แต่การหลีกหนีเรื่องยุ่งยากเป็นสัญชาติญาณของข้าราชการ ขอโทษที่ผมเป็นแค่ชาวบ้านตาดำๆ

“ขอโทษแล้วมันหายเรอะ! นี่ข้าแขนหักนะ จ่ายมา 3,000 เบี้ย!”

นักเลงกล่าวคำคุ้นหูออกมาแล้วชกใส่เด็กหนุ่ม ผมเข้าไปขวางระหว่างเด็กหนุ่มกับนักเลงทันทีและปัดหมัดด้วยมือข้างเดียวและผลักเบาๆ

ตูม!

นักเลงกระเด็นไปชนกำแพงแล้วกระเด้งออกมาพร้อมกับกระอักเลือด

“อ๊าก!”

นักเลงคนหนึ่งมองเพื่อนที่ลอยไปทางกำแพง อีกคนร้องพลางชี้มาทางผม

“อะไร...อะไรของแก มาจากไหน!”

เอ้อ กลายเป็นเรื่องยุ่งยากซะแล้ว! ถึงอย่างนั้นสภาพของอันธพาลที่กระอักเลือดก็ยังดีกว่าที่ผมเจอนักเลงในกรันเวล

เมื่อผมไม่ตอบ นักเลงที่ตะโกนถามก็ด่า

“ไอ้xxนี่เมินข้าเหรอ?”

ด่าแบบนี้ก็เกินไปนะทั้งๆที่ผมเป็นผู้ช่วยชีวิตของนักเลงที่กระอักเลือดสลบไปคนนั้น เหตุผลที่ผมเข้ามาชวางก็เพราะเป็นห่วงชีวิตของเขาแท้ๆ

ตอนนักเลงจะชกเด็กผมขาว เด็กคนนั้นหลับตาปี๋เหมือนกลัวและพยายามจะต่อยกลับ ถ้าผมไม่เข้าไปขวาง เขาก็ถูกฆ่าไปแล้ว หมัดนั่นมีพลังมากพอที่จะฆ่าเขาเช่นแมลง

ผมจับนิ้วของนักเลงที่ชี้ใส่ผมแล้วงอมัน

เป๊าะ!

“อ๊า!”

ผมตั้งใจจะทำให้เจ็บสักหน่อยแต่กลายเป็นหักนิ้วเขาไปแทน แต่ไม่เป็นไรเพราะเป็นมือซ้าย

ถ้าถนัดซ้ายก็ขอโทษแล้วกัน เปลี่ยนไปใช้มือขวานะ

ผมเลิกสนใจนักเลงที่กำลังกุมมือซ้ายสะอึกสะอื้น หันไปสนใจนักเลงอีกคนที่กำลังมองเพื่อนที่สลบอยู่

“เฮือก!”

เขาดูคุ้นๆ เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ?

อ้อ! กรันเวล!!

ใช่แล้ว เขาคือคนที่ผมเจอตอนปลอมตัวเป็นลุงผู้มีแผลบนหน้า เขาคือนักเลงที่สัญญาว่าจะพาผมไปพบคนอาชีพเดียวกับเขาแต่หนีไปเสียก่อน

ลูกตาของเขาสั่นรัวเมื่อผมตะโกน ขณะผมเดินเข้าไปหาอย่างยินดี เขาก็ปัสสาวะรดกางเกง

“โปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิต!”

เหมือนว่าผมทำให้เขาคิดถึงประสบการณ์เลวร้าย เขาดิ้นรนร้องขอชีวิต เมื่อผมเดินเข้าไปอีกก้าว เขาก็นิ่งไป รู้ตัวแล้วก็วิ่งหนีไป

“อ๊า!”

ผมจะไล่ตามแต่จู่ๆก็มีคนฉุดเสื้อผมเอาไว้

“ฮึกๆ ขอบคุณมากๆฮ้าบ!”

ด้านหลังผม เด็กร่มดำผมขาวร้องไห้และขอบคุณผม

เอาสักอย่างได้ไหม – จะร้องหรือพูดขอบคุณ? ไม่สิ ปล่อยก่อนได้ไหม? ข้าต้องไปทำให้เจ้าคนไม่รักษาสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของกำแพง

ผมกลืนสิ่งที่อยากพูดกลับไป หยิบลูกอมออกมาแทน

“กินไหม?”

“ฮ้าบ!”

จะร้องไห้หรือตอบก็เลือกเอาสักอย่างสิ

เด็กผมขาวอมลูกอมทั้งน้ำตา ให้ลูกอมเขาเป็นความคิดที่ดี อย่างน้อยก็ทำให้เขาเงียบลง

อ๊ะ จะว่าไป นักเลงที่ร้องอยู่ไปไหนแล้ว? อาฮะ คลานไปโน่นแล้ว

รู้ตัวว่าถูกเห็นแล้ว นักเลงลุกขึ้นวิ่ง เขาวิ่งไวทีเดียวทั้งๆที่ต้องสะเทือนแผลนิ้วหัก

“ขอบ นะ ผมกัวมาก”

ตอนร้องก็พูดไม่ชัดอยู่แล้ว นี่อมลูกอมอยู่ด้วย ไม่รู้เรื่องเฟ้ย!

“เฮ้ คายลูกอมออกมาแล้วค่อยพูดได้ไหม?”

อาจเพราะไม่อยากคาย เขาเลยเคี้ยวลูกอมแล้วกลืน

“ขอบคุณมากครับ จู่ๆข้าก็ถูกคนน่ากลัวล้อม ฮึก”

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเจอคนขี้แยขนาดนี้ เขามีน้ำตาเยอะเหมือนฟองน้ำ นอกจากนั้น ผมสงสัยว่าเขาสติดีหรือเปล่าที่กลัวคนอ่อนแอกว่า

“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นไม่มีอะไรแล้ว ข้าไปล่ะ”

ผมตั้งใจจะตามนักเลงจากกรันเวล แต่เด็กผมขาวคว้าเสื้อผมไว้อีก

“คราวนี้มีอะไร?”

เด็กผมขาวตอบอย่างลังเล “เอ่อ เอ่อ โรงเรียนอัศวิน... ไปทางไหน?”

“โรงเรียนอัศวิน?”

กลายเป็นว่าเด็กขี้แยกับผมจะไปทางเดียวกัน ผมคิดจะทิ้งเขาไว้เพราะน่ารำคาญ แต่เขามองผมอย่างน่าสงสารมากจนต้องถอนหายใจ

“ข้าก็กำลังไปที่นั่นเหมือนกัน ตามมาสิ”

ผมบอกแล้วเดินนำ ระหว่างทาง เด็กผมขาวถามผมหลายเรื่องด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เอ่อ ขอโทษนะ เจ้าก็จะไปสอบโรงเรียนอัศวินเหมือนกันเหรอครับ?” เด็กผมขาวถามคำถามเหลวไหลขึ้นมา

ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาคิดว่าคนอ่อนแออย่างผมอยากเข้าเรียนโรงเรียนมนุษย์บ้ากล้ามเหม็นเหงื่อได้อย่างไร? ถ้าเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ทรงปัญญาก็ว่าไปอย่าง อีกอย่าง เขาเรียกผมอย่างกันเองว่า ‘เจ้า’

“หือ? ไม่ใช่ อีกอย่าง จะพูดแบบสุภาพหรือแบบกันเองก็เลือกสักอย่างสิ”

เด็กผมขาวยิ้มกว้างตอบ “ได้ ข้าจะพูดอย่างกันเอง”

“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าพูดแบบกันเอง... เฮ้อ ช่างมันเถอะ!”

ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพราะผมเป็นคนพูดแบบกันเองก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเราคงไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว

“ว่าแต่ ทำไมเจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ทั้งๆที่ไม่คิดจะเข้าโรงเรียนอัศวิน?”

จะตอบดีไหมนะ แต่ผมคงตอบว่า “เพราะข้าเป็นคนของเผ่ากา หนึ่งในชาติพันธุ์นักสู้ เลยเกิดมาพร้อมกับความสามารถเข่นฆ่าผู้อื่น” ไม่ได้

“-ฟังว่าข้าแข็งแกร่งเพราะล้มนักเลงข้างถนนสามคนนี่มันแปลกๆนะ” 

ผมตอบแต่ก็เหมือนไม่ตอบ แต่ดูเหมือนเด็กผมขาวจะไม่เห็นด้วย

“แต่พวกเขาดูอันตราย น่ากลัว แล้วก็ แล้วก็-”

เด็กผมขาวหาคำพูด เหมือนเขาจะรู้จักคำน้อย

“มีพวกเยอะ?”

เขาปรบมือ “ใช่! มีพวกเยอะ! ว่าแต่ ทำไมเจ้าแข็งแกร่งจัง?”

มันเริ่มน่ารำคาญเมื่อเขาถามด้วยตาระยิบระยับ

“ข้าไม่ได้แข็งแกร่ง นักเลงพวกนั้นอ่อนแอต่างหาก อีกอย่าง เจ้าก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าพวกนั้นเหมือนกัน?”

“ข้าเหรอ?!”

เขาจ้องผมอย่างตกใจเหมือนกระต่าย ตาสีแดงยิ่งทำให้เหมือนกระต่ายขึ้นอีก

“ใช่ เจ้าดูแข็งแกร่งกว่า”

หมัดที่ต่อยออกขณะหลับตาดูไม่แรง แต่พลังเวทที่อยู่ในหมัดแบบเป็นธรรมชาติทำให้มันทรงพลัง แต่หมัดของเขาดูลังเลเหมือนคนเคยแต่ฝึกไม่เคยต่อยจริง

“แข็งแกร่ง? ข้าเหรอ?”

เด็กผมขาวดีใจแต่เหมือนจะทำตัวไม่ถูกเพราะความเขิน เขาดูเหมือนคนที่ได้รับการยอมรับในทุกสิ่งที่ทำมา

“เฮ้ บางที เจ้าคิดว่าข้าจะได้เข้าเรียนโรงเรียนอัศวินไหม?”

“มั้ง? ไม่รู้สิ”

พูดตรงๆมันไม่ใช่เรื่องของผม บรรยากาศหดหู่เข้ามาครอบคลุมเด็กผมขาว ผมรู้สึกผิดขึ้นมาเพราะเหมือนไปทำร้ายจิตใจคนเข้าสอบ

“แต่ว่า ถ้าเจ้าไม่กลัวและตั้งใจทำเต็มที่ต้องเข้าได้แน่”

บรรยากาศหดหู่สลายไป เด็กผมขาวมองผมด้วยสีหน้าแจ่มใส

“จริงเหรอ?”

“เอ่อ-”

“จริงเหรอ จริงเหรอ จริงเหรอ?”

เด็กผมขาวยื่นหน้ามาใกล้ทำให้ผมตกใจและดันหน้าเขาออก

“จริง เพราะงั้นถอยไปได้แล้ว!”

อะไรกัน! ยื่นหน้ามาแรงขนาดนี้เลย? หรือว่าเด็กนี่จะเป็นชาติพันธุ์นักสู้?

“อื้ม!”

เด็กผมขาวยิ้มทั้งๆที่ถูกดันหน้าจนพูดไม่ชัด

เมื่อมาถึงประตูใหญ่ของโรงเรียนอัศวิน ผมเดินเลยไม่เข้าไปพลางโบกมือลาเด็กน่ารำคาญ

“จากตรงนี้ก็หาทางไปเองนะ”

ผมไปทางโรงเรียนเวทมนตร์ ถึงโรงเรียนจะอยู่ติดกันแต่ผมต้องเดินอ้อมหน่อยเพราะสนามโรงเรียนใหญ่ ตอนนั้นเอง เด็กผมขาวก็หยุดผม

“เดี๋ยวก่อน!”

เขาอ้ำอึ้งด้วยความเขิน ให้อธิบายอย่างไรดี? เหมือนกำลังมองกระต่ายตกน้ำ

“คือว่า เอ่อ กรุณาเป็นเพื่อนกับข้าด้วย!”

คำพูดที่เด็กผมขาวเค้นออกมาจนได้คือประโยคที่เหมือนนักเรียนแลกเปลี่ยนในการ์ตูนพูด ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินในชีวิตจริง

“เจ้าชื่ออะไร?”

“อ๊ะ อัลฟอนโซ”

เวลาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้จะพูดว่าอะไรดีนะ? ลองพูดตามที่เคยเห็นในการ์ตูนแล้วกัน

“ข้าชื่อเดน ไว้พบกันใหม่ถ้าชะตาตรงกัน”

พูดแล้วก็อายสุดๆ ผมเร่งฝีเท้าตามความรู้สึกละอาย การเป็นเพื่อนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ถ้าชะตาตรงกันก็เป็นเพื่อนกัน ถ้าชะตาไม่ตรงกันก็ไม่เป็น ผมตรงไปทางห้องสมุด

ผ่านไปสักพัก เหมือนเด็กผมขาวจะตะโกนว่า “ได้!” แต่ผมไม่แน่ใจเพราะเดินห่างมาไกลแล้ว รีบไปให้ห่างจากอดีตน่าอายที่เพิ่งสร้างขึ้นมาดีกว่า

ผมมาถึงห้องสมุดโรงเรียนเวทมนตร์และดูเวลา ยังมีเวลาเหลือพอสมควรก่อนการสอบของโรงเรียนเวทมนตร์ น่าจะพอให้อ่านหนังสือสบายๆสักหนึ่งหรือสองเล่ม โรงเรียนเวทมนตร์มีนักเรียนจากครอบครัวขุนนางหรือคนของหอคอยเวทมนตร์เป็นหลัก ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยจึงเข้มงวด

การเข้าห้องสมุดต้องถูกตรวจสอบตัวตนครั้งที่สอง (ครั้งแรกก่อนเข้าโรงเรียน) และต้องตรวจอาวุธและวัตถุอันตราย ทำให้รู้สึกเหมือนตรวจคนเข้าประเทศที่สนามบิน เมื่อได้เข้ามาข้างใน ผมคาดว่าจะได้เห็นภาพที่สมเป็นห้องสมุดเวทมนตร์ แต่ข้างในธรรมดากว่าที่คิด ถึงอย่างนั้นเมื่อเทียบกับห้องสมุดของวิทยาลัยทั่วไปในชาติก่อนของผมแล้วก็ใหญ่กว่า 4-5 เท่า



สารบัญ                                       บทที่ 41


อยากใส่ว่าพบกันใหม่เมื่อชาติต้องการมากกกก 


วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 39

 บทที่ 39 – การสอบเข้า (3)


“เอ่อ จะบอกว่ามั่นใจก็เหมือนโกหกนะ” ลิสบอนยิ้มด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า

“จะว่าไป วันสอบของอลิซคือพรุ่งนี้ใช่ไหม?”

“อืม เวลาสอบก่อนข้า แต่เธอไม่ให้ข้าไป”

อลิซรู้ดีว่าลิสบอนอยู่ในสถานการณ์ไหนและเกรงใจเขา แต่ดูเหมือนเจ้านี่จะผิดหวังเล็กน้อย

“เฮ้ เดน”

“อะไร?”

“ขอโทษนะ แต่ช่วยไปดูอลิซสอบแทนข้าได้ไหม? มันเปิดให้ทุกคนเข้าชมแต่ข้ารู้สึกแย่ที่ไปให้กำลังใจเธอไม่ได้”

ผมแอบถอนหายใจ เขาเป็นห่วงคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองก็มีปัญหาต้องแก้ได้ยังไงนะ?

ผมไม่รู้ว่าการสอบของอัศวินยากขนาดไหน แต่ระดับความยากของการสอบนักเวทนั้นรวมอยู่ในข้อมูลเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ผมซื้อจากร้านขายข่าว ในฐานะนักเวทที่เก่งพอดูอย่างผมก็รู้ว่าอลิซไม่มีปัญหา

การสอบมีแต่ความสามารถด้านปฏิบัติ แต่พอดูว่าแค่ต้องยิงเวทให้โดนและสร้างความเสียหายกับเป้าหมายที่ห่างไป 50 เมตร หรือบินให้สูงอย่างน้อย 5 เมตรแล้ว ระดับความยากถือว่าต่ำมาก

ไม่รู้ว่ามีอะไรให้ห่วง ไม่ใช่ว่าต้องทำลายทุกอย่างในรัศมี 50 เมตร หรือบินผาดโผนที่ความสูง 5 พันเมตรสักหน่อย!

หรือพวกเขาจะสร้างสภาพแวดล้อมเหมือนโอลิมปัสแล้วค่อยให้ใช้เวทมนตร์นะ?

ถ้าเป็นแบบนั้น อลิซคงสอบตกแน่ แย่จริง

“ได้ ไหนๆข้าก็สอบเสร็จแล้ว ข้าจะทำเป็นไปเดินเที่ยวที่นั่นแล้วกัน”

ไหนๆก็ไปโรงเรียนเวทมนตร์แล้ว ผมน่าจะดูหนังสือเวทมนตร์ที่นั่นด้วย แม้จะไม่ใช่ของแบบคัมภีร์เวทต้องห้ามแต่ห้องสมุดเปิดให้พวกขุนนางเข้าไปได้ ดังนั้นผมจึงจะค่อยๆอ่านไป

คืนนี้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนเวทมนตร์ดีกว่า

“ขอบใจมาก!”

ลิสบอนกลับไปฝึกดาบกลางสวนด้วยสีหน้าดีขึ้นกว่าเดิม

เขาพยายามมากขนาดนี้ ถ้าสอบผ่านก็ดี

***

ตรงหน้าประตูวาร์ปของเผ่าผีเสื้อ ปู่หลานกำลังเริ่มละครรอบใหม่

“อัลฟอนโซ ไม่ไปไม่ได้เหรอ?”

ปู่ของอัลฟอนโซ ผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าผีเสื้อ กำลังกอดเด็กหนุ่มและขอร้องทั้งน้ำตา

“ปู่ อย่าร้องไห้สิ มันทำให้ข้าเศร้าไปด้วย”

หลังจากดูทั้งสองร้องไห้เมื่อคืน ยูเรียต้องอึ้งเมื่อเห็นวันนี้พวกเขาก็ร้องอีก ผู้อาวุโสสูงสุดยื่นแขนซ้ายและเรียกยูเรียเพราะแขนขวากำลังกอดอัลฟอนโซอยู่

“ยูเรีย เจ้าก็ไม่ไปไม่ได้เหรอ?”

ยูเรียถอนหายใจแล้วตรงไปกอดปู่ของเธอ

“ปู่ ถ้าอัลฟอนโซไม่ไปก็ว่าไปอย่าง แต่เขาทำให้ข้าเป็นห่วง ข้าต้องตามไปดูแลเขา อีกอย่าง ที่นี่ข้าฝึกการเล่นแร่แปรธาตุไม่ได้”

ในเผ่าผีเสื้อมีเวทมนตร์แขนงหนึ่งที่เรียนเต็มที่ไม่ได้ นั่นคือการเล่นแร่แปรธาตุ การแปรธาตุต้องใช้วัตถุดิบมาก แต่ในภูเขาเอเวอเรสท์ วัตถุดิบหายากและต้องใช้เวลาเอาเข้ามานาน

“ยูเรีย อัลฟอนโซ!”

ยูเรียเช็ดน้ำตาให้ปู่ของเธอ พลางคิดว่าที่ฝาแฝดของเธอขี้แยก็มาจากปู่นี่เอง หลังจากแยกทั้งสองคนออก พวกเขาก็ตรงไปที่ประตูวาร์ป

“พ่อ แม่ ปู่ ไว้ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย” ยูเรียกล่าวลา

พ่อและแม่ของเธอพยักหน้าและตอบ “เขียนจดหมายมาบ่อยๆล่ะ ถ้ามีอะไรก็บอกวิลเลียมไม่ต้องเกรงใจ อย่าลืมเขียนบอกพวกเราด้วย”

“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น แม่กับพ่อจะไปหาทันที ไม่ต้องกลัวนะ”

“ยูเรีย~” 

ปู่ร้องเรียกชื่อยูเรีย เด็กสาวยิ้มและตรงไปที่ประตูวาร์ป

“ถ้าอย่างนั้น ข้าไปล่ะค่ะ”

“แม่ พ่อ ปู่ พวกเราไปล่ะนะ” อัลฟอนโซโบกมือพลางตรงไปที่ประตูวาร์ป

“อัลฟอนโซ~”

แม้จะได้ยินเสียงเรียก อัลฟอนโซก็หลับตาปี๋แล้ววิ่งเข้าประตู

หลังประตูคือห้องว่างเปล่า

“เอ๋? ข้านึกว่าลุงจะอยู่ที่นี่เสียอีก?”

ยูเรียตอบ “เจ้าไม่เรียนเลยสินะ? จริงๆเลย มีความเข้าใจเรื่องมิติแค่นี้ สร้างกระเป๋ามิติได้ยังไงเนี่ย”

“ฮ่าๆๆ เอ่อ...ด้วยพลังใจ?”

ยูเรียพึมพำ “ไม่น่าถามเลย” พลางออกจากห้อง วิลเลียมกำลังรออยู่ข้างนอกห้อง

“ถึงเร็วกว่าที่คิดนะ? ข้านึกว่าพ่อจะรั้งพวกเจ้าไว้นานกว่านี้เสียอีก”

“ข้าก็คิดอย่างนั้นค่ะ แต่ท่านปล่อยพวกเราไปง่ายกว่าที่คิด”

“อืม ก็ดีแล้ว”

วิลเลียมยิ้ม อัลฟอนโซที่เดินรั้งท้ายวิ่งมาหา

“ลุง!”

“โอ้โห เจ้าโตแล้วนะ คิดถึงน้ำหนักตัวเจ้าบ้าง”

“ฮิๆ”

วิลเลียมตบศีรษะอัลฟอนโซเบาๆแล้วพูด “ข้าสมัครเรียนให้แล้วแต่พวกเจ้าต้องสอบก่อน ยูเรียจะเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ ส่วนอัลฟอนโซจะเข้าโรงเรียนอัศวิน ใช่ไหม?”

“ครับ”

“การสอบเข้าโรงเรียนเวทมนตร์คงไม่ทำให้รู้สึกอะไรเพราะพวกเจ้าผ่านพิธีเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่โรงเรียนอัศวินมีแข่งสู้ด้วยดาบ เจ้าต้องระวังตัว”

“อย่าห่วงครับ! ข้าฝึกมาอย่างหนัก!”

ดูอัลฟอนโซเบ่งกล้ามด้วยแขนผอมของเขา วิลเลียมหัวเราะแล้วขยี้ผมของหลานชาย

“ฮ่าๆ เผ่าของเราใช้เวทมนตร์เป็นหลักและเรื่องพลังกายสู้เผ่านักสู้อื่นไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเราก็มีพลังเทียบเท่ากับอัศวินทั่วไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล แต่ระวังนะ ถ้าใช้เวทมนตร์จะถือว่าแพ้”

“ครับ!”

“อีกอย่าง ข้าจะให้อัศวินมาช่วยพวกเจ้าจัดของ เพราะฉะนั้นไว้เดินดูเมืองหลวงพรุ่งนี้นะ”

“ครับ!”

***

 2 วันต่อมา

หลังกินอาหารเช้า อัลฟอนโซไปโรงเรียนอัศวินคนเดียวอย่างกล้าหาญ ก่อนไป ฝาแฝดของเขา ยูเรียบอกให้เขารอก่อนจะได้ไปด้วยกัน แต่เพราะเมื่อวานได้เที่ยวมารอบหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เขาแสดงความกล้าหาญด้วยการจะไปคนเดียว

“ข้าไปคนเดียวได้!”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ วันนี้เป็นวันสอบ ถ้าเจ้าหลงทางจะทำยังไง?”

อัลฟอนโซลังเลไปครู่หนึ่งแต่วิลเลียมสนับสนุนเขา

“จะเป็นอะไรไปเล่า โรงเรียนไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ”

วิลเลียมให้กำลังใจอัลฟอนโซและพูดว่าอัลฟอนโซจะไปคนเดียวก็ไม่เลวเพราะเขาไม่สามารถไปไหนมาไหนกับอัลฟอนโซได้ทุกวัน วิลเลียมปลอบใจยูเรียว่าถ้าหลงทาง เขาสามารถใช้เวทมนตร์ค้นหาได้

“ถ้าอย่างนั้น ข้าไปล่ะ!”

อัลฟอนโซเอ่ยลาอย่างร่าเริง จากนั้นกางร่มสีดำออกเดินทาง ผมเปียสีขาวของเขาแกว่งไกวอยู่ด้านหลัง

เมื่อวาน อัลฟอนโซเที่ยวรอบเมืองหลวงกับยูเรียและลุงวิลเลียมทั้งวัน เทียบกับหมู่บ้านเผ่าผีเสื้อที่อยู่บนภูเขาเอเวอเรสท์ ถนนพลุกพล่านของเมืองหลวงเต็มไปด้วยสีสันชีวิตชีวาต่างจากที่นั่นมาก

อัลฟอนโซเดินเที่ยวถนนสายต่างๆด้วยตาเป็นประกาย คนบนถนนชนร่มที่เขาใช้เพราะคนเผ่าเขาแพ้แสงอาทิตย์ไม่หยุด เขาเอ่ยขอโทษพลางเดินไปทางที่มีคนน้อยกว่า

เมื่อเขาหลุดจากถนนที่คนพลุกพล่านและก้าวถอยหลัง เขาได้ยินเสียงโกรธจากด้านหลัง

“โอ๊ย!”

เมื่อหันไปดูก็เห็นชายสามคนกำลังทำหน้าบึ้งน่ากลัว หนึ่งในนั้นมีชายคนหนึ่งกำลังนวดแขนซ้าย ดูเหมือนเขาจะถูกร่มที่อัลฟอนโซถือเกี่ยว

ร่มที่อัลฟอนโซถือถูกสร้างเป็นพิเศษโดยปู่ของเขา มันทำจากเนื้อและกระดูกของเบฮีมอธ หนึ่งในสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุดบนเทือกเขาแอลพ์ที่รู้กันว่าเป็นที่พักอาศัยของเหล่าสัตว์ประหลาด ผ้าทำจากเส้นไหมของตัวไหมสวรรค์และชุบด้วยเวทมนตร์ แข็งกว่าเหล็กหลายเท่าในความหนาเท่ากัน พูดได้ว่ามันคืออาวุธดีๆนี่เอง 

“แก!”

ชายคนนั้นจะโจมตี แต่ชายท่าทางเจ้าเล่ห์ที่อยู่ด้านหลังยกมือห้ามและกระซิบบางอย่างกับเขา ชายเจ้าเล่ห์ยิ้มแปลกๆและมองมาทางอัลฟอนโซ อัลฟอนโซเห็นท่าไม่ดีและกล่าวขอโทษ

“ข้า...ข้าขอโทษ”

แต่ชายคนนั้นตะคอกกลับ

“พูดเป็นเล่นไปได้! หา? ถ้าชนคน เฮอะ ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายมาสิ!”

อัลฟอนโซตกใจกลัวเมื่อถูกชายหน้าตาน่ากลัวตะคอกใส่

“ขอ...ขอโทษ”

“ขอโทษแล้วมันหายเรอะ! นี่ข้าแขนหักนะ จ่ายมา 3,000 เบี้ย!”

ชายคนนั้นเหมือนจะตีเขา อัลฟอนโซหลับตาด้วยความกลัวและเหวี่ยงหมัดออกไป

***

ในที่สุด เช้าวันสอบของลิสบอนและอลิซก็มาถึง

บอกว่าเธอไม่มีสมาธิ อลิซไม่กินอาหารมื้อเช้าและเก็บตัวฝึกเวทมนตร์ในห้อง บอกว่ากินมากเกินไปจะทำให้ร่างกายของเขาเฉื่อยชา ลิสบอนกินอาหารมื้อเช้าเข้าไปนิดเดียวและออกไปยืดเส้นยืดสายที่สวน เมื่อไม่มีพี่น้องโต้เถียงกัน โต๊ะอาหารจึงค่อนข้างเงียบ คุณนายอาซิลลากับผมกินอาหารและคุยกันบ้าง

“จะว่าไป เดน ถ้าเจ้าสอบผ่านจะไปอยู่ที่หอเหรอ?”

“ครับ มันเป็นกฎ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้”

คุณนายอาซิลลาพูดอย่างเสียใจจริงๆ “ถ้าเจ้าสอบผ่านก็ต้องย้ายไปอยู่หอก่อนสิ้นเดือนกรกฎา เวลาเหลือน้อยจริงๆ หนึ่งเดือนมานี้ข้าชอบเจ้ามาก”

อย่างที่คุณนายอาซิลลาพูด ผมพักที่นี่ครบเดือนแล้ว ผลการสอบจะประกาศในอีกครึ่งเดือน เพราะฉะนั้นไม่เกินหนึ่งเดือนผมก็ต้องจากที่นี่ไป เรื่องอื่นไม่รู้ แต่พอคิดว่าจะไม่ได้กินอาหารที่นี่อีกแล้วทำให้ผมเศร้า

“น่าเสียดายนะครับ แต่ผลสอบยังไม่ออก ถ้าโชคไม่ดีข้าอาจต้องรบกวนท่านไปอีกครึ่งปี”

ก็พูดไปอย่างนั้น ผมกระทั่งแอบเข้าวังไปดูข้อสอบจึงไม่มีทางสอบตกอยู่แล้ว ข้อสอบจริงที่ง่ายมากทำให้ผมรู้สึกโง่ที่อุตส่าห์ลงทุนลงแรงไป

“อีกอย่าง ต่อให้สอบผ่าน อีกครึ่งปีข้าก็ต้องย้ายออกมาหาที่อยู่ใหม่ อาจต้องรบกวนท่านอีก”

คุณนายอาซิลลายิ้มให้คำพูดหน้าไม่อายของผม บอกให้มาได้ทุกเวลา

กินอาหารเช้าเสร็จ ผมเดินเอื่อยๆไปโรงเรียนเวทมนตร์ ที่จริงโรงเรียนอัศวินและศูนย์ฝึกข้าราชการก็อยู่ติดกัน จะเรียกว่าโรงเรียนเวทมนตร์อย่างเดียวก็ไม่ได้

เพราะว่าเป้าหมายของผมคือห้องสมุด จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนว่าจะดูการสอบไม่ทัน โดยเฉพาะอลิซ คนเข้าสอบเองยังเก็บตัวอยู่ในห้อง ขณะอยู่ระหว่างทางเดินไปโรงเรียน ก็เห็นร่มสีดำคันหนึ่งท่ามกลางฝูงชน

ทำไมกางร่ม ฟ้าออกจะใส

ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็มีคนประหลาด ขณะผมใช้ทางลัดอย่างไม่คิดมากก็ได้ยินเสียงตะโกนมาจากที่ใดที่หนึ่ง

“พูดเป็นเล่นไปได้! หา?”

โอ้! เรื่องทะเลาะ! สิ่งที่น่าดูที่สุดคือการทะเลาะกับไฟไหม้ ยิ่งเป็นคนไม่เกี่ยวข้องกับผมยิ่งดี

เพื่อจะได้ดูเงียบๆ ผมย่องไปทางตรอกอันเป็นที่มาของเสียง

“ถ้าชนคน เฮอะ ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายมาสิ!”

ตรงข้ามกับความคาดหวังของผม ภาพในตรอกคือชายท่าทางเหมือนนักเลง 3 คนกำลังรังแกเด็กหนุ่มท่าทางอ่อนแอถือร่มดำ

ผิดหวังชะมัด! ผมอยากดูการต่อสู้ข้างถนนต่างหาก


สารบัญ                               รอใส่บทที่ 40


สุขสันต์ปีใหม่ค่ะ ^.^