บทที่ 43 – การสอบเข้า (7)
“เข้าใจแล้วก็ดี แต่เหรียญทองคำขาวมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ?” เลชาถามอย่างประหลาดใจมาก
“ครับ เหรียญทองคำขาวหนึ่งเหรียญเท่ากับงบประมาณหนึ่งเดือนของดินแดนของขุนนางระดับเคานท์ มาคิดดูแล้ว หมู่บ้านของพวกเราเล็กกว่าดินแดนของเคานท์แต่ใช้เงินเยอะกว่า”
“แล้วหมู่บ้านเรานี่ใหญ่ขนาดไหน?”
“อืม ถ้าดูจากจำนวนประชากร เท่าๆกับดินแดนขนาดเล็กของจักรวรรดิได้? ที่จริงหมู่บ้านของเราควรจะเรียกว่าเมือง แต่เราเรียกหมู่บ้านเพราะสะดวกปากกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าตั้งข้อเรียกร้องยากนักล่ะ?”
“เพราะข้าเรียนรู้จากเดนว่า ถ้าจะขอให้คนแปลกหน้าทำอะไรให้ ควรกดดันจากสามด้าน”
“สามด้าน?”
“ครับ กำลัง ตำแหน่ง และเงิน ถ้าใช้สามอย่างนี้มากพอ ก็จะไม่มีใครกล้าต่อต้าน...”
แลนซีลอตลากเสียงเมื่อเห็นเลชาถอนหายใจ เขาสงสัยว่าทำอะไรผิดไปหรือเปล่า เลชาอยากเขย่าคอเสื้อเดนเบอร์กและถามว่าเอาอะไรมาสอนเด็กไร้เดียงสาอย่างแลนซีลอต ถ้าเดนเบอร์กอยู่ที่นี่คงเถียงว่าที่เขาสอนก็เพราะแลนซีลอตไร้เดียงสาเกินไป อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้สอนให้เอาจุดอ่อนของศัตรูมาขู่ หรือสร้างและโจมตีจุดอ่อนของศัตรู
เลชาไม่รู้เรื่องนี้และคิดว่าเดนเป็นคนใจดีเป็นเรื่องโกหกที่สุดแล้ว และถามแมค “เจ้าคิดอะไรอยู่ ทำหน้าเครียดเชียว?”
แมคหลุดจากความคิดหนักและตอบ “อ๊ะ เวทในร่างของข้าหมุนเวียนเร็วกว่าปกติ ข้าเกือบสังหารพ่อค้าไปแล้วตอนปล่อยรัศมี”
ซาฮานนาไม่ได้เข้าใจผิดไปตอนเขาคิดว่าเห็นภาพความทรงจำในอดีตปรากฏต่อหน้า ถ้าพลาดไปสักนิด รัศมีที่แมคปล่อยออกมาสามารถทำให้เขาหัวใจวายตายได้
แลนซีลอตอึ้งแล้วตะโกน “อะไรนะ? ฆ่าเขาไม่ได้นะ! มีไม่กี่คนหรอกที่จัดหาเสบียงให้หมู่บ้านเราได้!”
“ฮ่าๆ ข้ารู้น่า เพราะอย่างนั้นถึงพยายามกดมันเอาไว้”
“ต่อไปช่วยระวังด้วยนะครับ!” แลนซีลอตกอดอกและกดดันแมคจนเขารู้สึกเขิน
มันเหมือนมนุษย์รอบตัวกลายเป็นขนมพุดดิ้ง แมคฝืนยิ้ม “ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านบลัดดี้ถึงอยากกลับบ้าน”
แมคเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนนอกหมู่บ้านเรียกเผ่ากาว่าชาติพันธุ์นักสู้แทนที่จะเรียกว่าเผ่านักสู้ หากพลังต่างกันขนาดนี้ก็คงพูดอะไรไม่ได้ถ้าบอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคนละสายพันธุ์
“แต่ว่านะ เจ้าพูดแบบที่พูดกับพ่อค้าเมื่อกี๊ไม่ได้เหรอ เสียงลึกๆแบบนั้นฟังเท่ห์มาก” เลชาพูด หน้าแดงนิดๆ
แมคยิ้มแล้วโบกมือ “ฮ่าๆ ไม่มีทาง น่าอายจะตาย ถ้าท่านทูตไม่สั่งข้าไว้ก่อนเข้าเมือง ข้าไม่มีทางทำหรอก”
เลชาทำหน้าผิดหวัง แต่แมคเอาแต่ลูบหนวดยิ้ม
ไม่นานผู้จัดการตลาดดรูวาลสาขาเมืองวาแรนท์ก็เข็นโต๊ะแสดงสินค้าเข้ามา ซาฮานนากับแลนซีลอตเตรียมเข้าสู่การต่อรองยกที่สอง
***
การสอบเข้าโรงเรียนอัศวินกับเวทมนตร์เป็นงานโด่งดังถึงขั้นเป็นหนึ่งในสี่งานเทศกาลใหญ่ คู่กับ วันขอบคุณพระเจ้า ปีใหม่ และวันเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดิ
ตามลำดับจะมีการสอบเข้าของอัศวินขั้นต่ำ อัศวินขั้นกลาง และการสอบของโรงเรียนเวทมนตร์ และตอนเย็นจะเป็นการสอบของนักเรียนที่กำลังจบการศึกษาเพื่อเป็นอัศวินและนักเวทหลวง แต่ละการสอบเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ ทำให้พวกเขาได้เห็นการต่อสู้และเวทมนตร์ตระการตาที่ปกติไม่ค่อยได้เห็น เพราะเหตุนี้มันจึงกลายเป็นงานเทศกาลไป
และเหตุผลที่เปิดรับนักเรียนใหม่ในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แปลกก็เพราะถ้าไปจัดสอบตอนฤดูใบไม้ผลิ เวลาจะซ้อนกับงานปีใหม่ เทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิ นำไปสู่อุบัติเหตุจากคนจำนวนมาก แทนที่จะควบคุมและสลายฝูงชน สู้เลื่อนงานไม่ให้ซ้อนกันจะง่ายกว่า
ที่จริงแล้ว จุดเด่นของงานไม่ใช่การสอบเข้ารับนักเรียนใหม่ แต่เป็นการสอบของนักเรียนปีสุดท้ายเพื่อเป็นอัศวินและนักเวทหลวง
แต่เพราะผมมาให้กำลังใจพี่น้องเด็กน้อย หรือก็คือ ลิสบอนกับอลิซ ผมจึงไม่คิดจะไปดูการสอบของนักเรียนปีสุดท้าย ผมไม่อยากเข้าไปเบียดเสียดกับคนเยอะๆ ถ้าอยากดู ไปดูห่างๆแล้วใช้เวทมองทางไกลเอาก็ได้
-ขณะนี้เรากำลังเริ่มการสอบอัศวินขั้นต่ำ ผู้สมัครสอบกรุณามารวมกันที่ลานเกียรติภูมิค่ะ
ผมยืนหน้าโรงเรียนเวทมนตร์ฟังคำประกาศ รอพี่น้องเด็กน้อย ตามตารางการสอบของโรงเรียนเวทมนตร์จะเริ่มในอีก 20 นาทีแต่พวกเขายังไม่มา ขณะผมกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นและคิดว่าจะกลับไปดูที่หอดีไหม ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อผม
“เดน! ทางนี้!”
ห่างไปราวๆ 100 เมตร ลิสบอนกำลังยิ้มโบกมือ ส่วนอลิซเอามือข้างหนึ่งปิดหน้าด้วยความอาย มืออีกข้างตีลิสบอน ผมรู้ตัวอีกที พี่น้องเด็กน้อยก็ทะเลาะกันแล้ว
“จริงๆนะ หยุดได้แล้ว น่าอายออก!”
“ฮ่าๆ อายทำไม เราไม่ได้เรียกคนไม่รู้จักสักหน่อย”
“เพราะคนไม่รู้จักกำลังจ้องอยู่ไงล่ะ!”
ผมหัวเราะพี่น้องที่เดินมาหาและคุยกันเหมือนปกติ
“พวกเจ้ามาช้ากว่าที่คิดนะ”
อลิซเหล่มองลิสบอน “พวกเรามาช้าเพราะพี่โง่ของข้าฝึกหนักจนต้องอาบน้ำใหม่”
“ฮ่าๆ ขอโทษ แต่เจ้าเอาแต่เลือกชุดที่จะสวม ข้าเลยฝึกดาบไปพลางๆไม่ให้เสียเวลา”
“หนวกหู เจ้าเป็นอัศวิน ต้องรู้จักรอผู้หญิงสิ”
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อ อลิซจะโกรธและลิสบอนจะทำเป็นไม่รู้เรื่องตามเคย ผมเลยปลอบเด็กสาวที่กำลังจะเข้าสอบ
“น่าๆ เข้าไปข้างในกัน อลิซ เจ้าจะไปที่สอบเลยไหม?”
“ข้าตั้งใจอย่างนั้น ถึงจะยังมีเวลาเหลืออีกเยอะก็เถอะ ขอโทษนะ แต่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าโง่นี่ด้วย” อลิซยิ้มอย่างจนใจ ชี้ลิสบอน
เมื่อผมตอบรับ เธอก็ขอบคุณและตรงไปที่สอบของโรงเรียนเวทมนตร์
มาคิดดูแล้ว ผมไม่ได้อยู่สองคนกับลิสบอนนานแล้วเพราะปกติพวกเราจะอยู่กันสามคน อาจจะยกเว้นตอนเดินทางมาเมืองหลวงที่ผมกับลิสบอนนอนห้องเดียวกัน พวกเราสามคนอยู่ด้วยกันเสมอ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพี่น้องเด็กน้อยนี้เป็นเพื่อนกลุ่มแรกและกลุ่มเดียวที่ผมได้คบตั้งแต่ออกจากบ้านเกิด เมื่อมาถึงเมืองหลวง ผมไม่มีเวลาหาเพื่อนเพราะต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการก่อกวนนายกรัฐมนตรีด้วยการเป็นโจรปริศนา และต้องหาข้อสอบข้าราชการด้วย
“แล้วเราจะทำอะไรดี?”
เมื่อผมถาม ลิสบอนก็ยิ้มสดใสตามเคย “ไปดูการสอบอัศวินขั้นต่ำกันเถอะ!”
แน่นอน คำตอบเป็นไปตามคาด
“ถ้าจะดูอลิซสอบ พวกเราก็มีเวลาแค่ 20 นาที แต่ข้าก็อยากไปดูอยู่ดี”
ผมพยักหน้า วันนี้ถือเป็นวันหยุดครึ่งหนึ่งและผมวางแผนจะตามใจพี่น้องเด็กน้อยเพราะพวกเขาเตรียมตัวมาอย่างหนักอยู่แล้ว ผมจึงทำตามที่ลิสบอนตัดสินใจ
“ถึงการสอบโรงเรียนเวทมนตร์จะเริ่มแต่อลิซคงไม่สอบทันที เราน่าจะดูได้นานกว่า 20 นาที เราไปดูลำดับผู้เข้าสอบก่อนแล้วค่อยไปที่สอบโรงเรียนอัศวินเถอะ อ๊ะ สอบอัศวินขั้นกลางเริ่มเมื่อไหร่?”
“บ่าย 3 ตอนนี้บ่าย 2 แล้ว เราควรไปถึงที่นั่นใน 40 นาที”
ลิสบอนพูดว่าเขาอาจไม่ได้ไปดูอลิซสอบพลางเดินไปที่ลานเกียรติภูมิ
***
อัลฟอนโซรู้สึกหมดกำลังใจเมื่อเห็นคู่แข่งหลายร้อยคนเต็มลาน บรรยากาศเคร่งเครียดเป็นสิ่งที่เขาผู้เคยสอบครั้งเดียวนั่นคือการทดสอบในวันเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ไม่คุ้นชิน
พิธีเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่ แน่นอนว่าเคร่งเครียดเหมือนกัน แต่การทดสอบเป็นการแข่งกับตัวเอง แต่ตอนนี้เขาต้องแข่งกับคนหลายร้อยคน ความกดดันจากรอบตัวหนักเกินกว่าที่เขาเคยนึกภาพไว้
“อัลฟอนโซ!”
ท่ามกลางความกระวนกระวายใจ เสียงคุ้นเคยเรียกเขา
“ยูเรีย?”
เมื่ออัลฟอนโซหันไปก็เห็นฝาแฝดของเขาอยู่ด้วย
“คิดมากอะไรอยู่ ขนาดไม่รู้ตัวเลยว่าข้ามาหา?”
เมื่อยูเรียดุเล่นๆ อัลฟอนโซที่ใกล้จะร้องไห้แล้วก็ตอบ “ข้า...กังวลน่ะ เดี๋ยวสิ! การสอบโรงเรียนเวทมนตร์จะเริ่มในอีก 20 นาทีไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?!”
ตอนนี้แล้วยูเรียควรสะสมพลังเวทในที่สอบ ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?
เธอยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “การสอบไม่ได้ยากขนาดที่ข้าต้องสะสมพลังเวท พอเริ่มสอบข้าค่อยไปที่นั่นก็ได้”
ยูเรียคิดว่ามันง่ายขนาดแม้แต่อัลฟอนโซยังสอบผ่าน ต่อให้เขาไม่มีพรสวรรค์ในหมู่บ้านขนาดไหน อัลฟอนโซก็ยังเป็นนักเวทผู้สร้างกระเป๋ามิติแม้จะยาวแค่ 10 ซม.ก็ตาม กระเป๋ามิติถือว่ามีความยากในกลุ่มเวทมิติระดับสูง มาคิดดูแล้ว จะบอกว่าที่อัลฟอนโซสร้างกระเป๋ามิติได้ก็เหมือนปาฏิหาริย์ที่ทั้งชีวิตของเขาอาจไม่เกิดขึ้นอีก
“เจ้าแน่ใจเหรอ?” อัลฟอนโซถามอย่างตะลึง
แต่ยูเรียตอบตรงๆ “ตามที่ลุงบอก ข้าแค่สอบเพื่อให้เป็นทางการเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าข้าไปหลังจากดูการสอบของเจ้าเสร็จก็ไม่สาย รอบของเจ้าเร็วกว่าใช่ไหม?”
“อื้ม กลุ่มหนึ่ง หมายเลข 5”
การสอบอัศวินขั้นต่ำให้ผู้เข้าสอบ 20 คนเป็นหนึ่งกลุ่มสอบพร้อมกัน ผู้สอบแต่ละคนต้องสู้กับนักเรียนอัศวินขั้นกลาง และผู้ฝึกสอน 5 คนจัดอันดับพวกเขาตามความสามารถ
“จะว่าไป ลุงอยู่ไหนล่ะ?”
อัลฟอนโซคิดว่าลุงจะมาดูเขาจึงมองหาแต่ไม่เจอ
“อ๊ะ ลุงบอกว่าจะมาช้าหน่อย เห็นว่าองค์หญิงของจักรวรรดิอยากเข้าเรียนโรงเรียนเวทมนตร์พวกเขาจึงต้องเตรียมสอบให้เธอต่างหาก แต่เขาบอกว่าจะมาดูเจ้าสอบ ไม่ต้องห่วง”
“อ้อ เข้าใจแล้ว”
อัลฟอนโซกำหมัดและตะโกนในใจ “สู้ๆ เจ้าทำได้!”
-เริ่มการสอบโรงเรียนอัศวินขั้นต่ำ ผู้ที่ถูกเรียกชื่อ กรุณาไปที่ห้องฝึกที่เตรียมไว้ถัดจากลาน
ชื่อผู้สอบถูกเรียกทีละคนผ่านเครื่องขยายเสียงโดยคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ฝึกสอน ในนั้นมีชื่ออัลฟอนโซอยู่ด้วย
“ข้าไปล่ะ!”
“ข้าจะไปอยู่ที่เขาจัดให้ผู้ชม สอบเสร็จแล้วออกมาเลยนะ”
“ได้!”
อัลฟอนโซรีบตรงไปที่ห้องฝึก และยูเรียไปยังที่นั่งชมใกล้ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น