วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2565

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 41

บทที่ 41 – การสอบเข้า (5)


มันแน่อยู่แล้ว แต่มีหนังสือมากมายจนห้องอ่านหนังสือของพี่สาวผมหรือห้องทดลองของผู้เฒ่าเมอร์ปาเทียบไม่ติด กลิ่นของหนังสือเก่าทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ห้องอ่านหนังสือของพี่สาวมีแต่หนังสือใหม่ ส่วนห้องทดลองของผู้เฒ่าเมอร์ปามีกลิ่นสมุนไพรมากกว่าเพราะนางเชื่อเรื่องการฝึกฝนมากกว่าทฤษฎี

สมเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ ห้องสมุดเต็มไปด้วยตำราเวทหลากหลาย ผมดูชื่อเรื่องและเลือกอ่านที่ดูน่าสนใจ

การจัดการมิติเบื้องต้น, พื้นฐานการบิน, ดาราศาสตร์กับมนตร์ดำ, ทฤษฎีของสี่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ในยุคปัจจุบัน -ตำรารวบรวมคำสาป, ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจังหวะกับคำร่าย...

หนังสือส่วนใหญ่เขียนถึงพื้นฐานหรือประวัติศาสตร์ของเวทมนตร์ แม้ไม่ได้เจาะลึกแต่ก็ยังน่าสนใจเพราะผมไม่มีความรู้ในเวทมนตร์ทุกประเภท โดยเฉพาะตำราคำสาปที่สี่จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนเขียนเล่มนี้เพราะคำสาปเป็นของใหม่มากสำหรับผม

ขณะสงสัยว่าคนที่ไม่ใช่นักเรียนจะยืมหนังสือออกไปได้ไหมและตรงไปทางโต๊ะว่าง ผมก็ได้กลิ่นคุ้นเคย มันจางมาก ผมเดินไปทางกลิ่นนั้น

ในชั้นหนังสือมีหนังสือเก่าเล่มหนึ่งที่มีกลิ่นคุ้นเคย ผมยื่นมือไปทางหนังสือพลางสงสัยว่าเคยได้กลิ่นนี้ที่ไหน

“อ๊ะ!”

ไม่ใช่ผมคนเดียวที่จะดึงหนังสือเล่มนั้น ผมจับหนังสือพร้อมกับเด็กสาวผู้มีผมสีขาวปนทอง

“เชิญเจ้าก่อนเลย”

ผมยอมปล่อยหนังสือ เด็กสาวยิ้มและพยักหน้า

“ขอบคุณ”

ระหว่างดึงหนังสือออกจากชั้น เด็กสาวเหลือบมองผม พูดให้ถูกคือมองหนังสือของนักเวทสายคำสาปที่ผมถืออยู่

“ดูเหมือนเจ้าจะสนใจจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่มาก?”

“อะไรนะ?”

คำถามกะทันหันทำให้ผมมองหนังสือที่เธอถืออยู่ ชื่อหนังสือคือ “การเก็บรักษาวัตถุดิบสำหรับปรุงยา” มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุ

ที่สำคัญคือชื่อคนแต่งคุ้นมาก

“เมอร์ปา ไอน์สมอล?”

ผู้เฒ่าเมอร์ปา ครูของพี่สาวผม เป็นคนเขียนหนังสือเรื่องนี้

ตอนนี้เองที่ผมนึกออกว่ากลิ่นคุ้นๆนั่นคือกลิ่นที่ผมดมมาเป็นปี กลิ่นสมุนไพรในห้องทดลองของผู้เฒ่าเมอร์ปา

“ใช่ เมอร์ปา ไอน์สมอล หนึ่งในจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ นักเล่นแร่แปรธาตุผู้มีชื่อเสียงของเผ่ากา เป็นคนแต่งหนังสือเรื่องนี้ มันเป็นหนังสือที่ถือเป็นรากฐานของการเล่นแร่แปรธาตุสมัยนี้ แต่ตอนที่มันปรากฏตัวครั้งแรกในโลกการศึกษา ข้าได้ยินว่ามันทำให้เกิดการปฏิวัติทางความรู้ แต่เจ้าคงรู้อยู่แล้วถึงหยิบมันสินะ?”

“อ้อ แน่นอน ข้ารู้อยู่แล้ว”

ที่จริงผมไม่รู้ แต่อีกฝ่ายคงมองผมแปลกๆถ้าผมบอกว่าไม่รู้เรื่องที่เหมือนจะเป็นสิ่งที่ใครๆก็รู้

เด็กสาวผมขาวยิ้มและลูบหน้าปกหนังสืออย่างระมัดระวัง

“ข้าอ่านฉบับพิมพ์แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะมีต้นฉบับอยู่ที่นี่จริงๆ อย่างที่ได้ยินมาเลย มันมีกลิ่นเฉพาะของสมุนไพร”

เธอดมหนังสือ

“ดอกวอลยอง ต้นกระสาบิน แล้วก็...” 

“กลีบที่สามของแมนดราโก”

เด็กสาวที่นึกไม่ออกและกำลังขมวดคิ้วยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของผม

“ใช่แล้ว! กลีบที่สามของแมนดราโก!”

ขณะที่เธอตะโกน บรรณารักษ์ที่ผ่านมาพอดีก็ถลึงตาใส่และเอานิ้วจ่อปาก เด็กสาวมองต่ำทำหน้าน่าสงสาร บรรณารักษ์ถอนหายใจแล้วเดินต่อ จากนั้นเด็กสาวก็พูดกับผมเสียงเบา

“ฮิๆ เผลอไปหน่อย แต่เจ้าต้องเชี่ยวชาญเรื่องการแปรธาตุมาก น้อยคนรู้ว่ากลีบดอกแมนดราโกแต่ละกลีบมีกลิ่นไม่เหมือนกัน แต่เจ้ายังบอกได้ด้วยว่ามันเป็นกลีบไหน”

ผมหัวเราะให้เรื่องผ่านๆไป ผมไม่จำเป็นต้องบอกเธอว่าใช้เวทได้ ทำให้เหมือนผมสนใจเรื่องเวทมนตร์จะปลอดภัยกว่า

“ไม่หรอก ข้าแค่โชคดีเดาถูก”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... อ๊ะ ข้าชื่อยูเรีย”

ยูเรีย กอดหนังสือด้วยมือซ้ายและยื่นมือขวาออกมาเพื่อจับมือทักทาย

“ข้าชื่อเดน”

ยูเรียเดินเข้ามาใกล้ๆและกระซิบ “ถ้าเจ้ามีเวลา มาคุยเรื่องเวทมนตร์กันไหม?”

เธอถามด้วยตาเป็นประกายเหมือนคนชวนเข้ากลุ่มลัทธิหน้าสถานีรถไฟ

“ไม่ ข้ามีธุระ..”

“อ๊ะ ข้าก็มีธุระเมหือนกัน แต่น่าเสียดายจังเพราะข้าไม่ได้พบคนที่เก่งเรื่องการแปรธาตุนานแล้ว”

ยูเรียเดินเข้ามาใกล้อีกก้าว จากนั้นคว้ามือผมด้วยสีหน้ากระตือรือร้น 

สัมผัสถึงพลังเวทของเธอ ดูเหมือนเธอจะเป็นนักเวทที่มีความสามารถพอดู น่าจะแข็งแกร่งกว่าพี่สาวคนรองของผม เมื่อคิดว่ามีนักเวทระดับนี้มาอยู่ที่นี่ โรงเรียนเวทมนตร์ที่เหล่านักเวทมากพรสวรรค์ของจักรวรรดิมารวมกันไม่ใช่ที่ๆจะมองข้ามได้เลย

มองหน้าอ่อนวัยของเธอแล้วน่าจะอายุพอๆกับผม ถ้านักเวทระดับเธอเป็นนักเรียนแล้วครูที่นี่ล่ะ?

ตามที่ผมได้ยินมา ศูนย์ฝึกข้าราชการประสานงานกับโรงเรียนเวทมนตร์เพื่อให้นักเรียนได้เรียนเวทมนตร์ช่วงหนึ่ง ผมเกิดความคาดหวังขึ้นมา

“ก็ได้ งั้นคุยกันสั้นๆนะ”

ผมพ่ายแพ้ต่อความกดดันของยูเรีย เธอนำผมไปที่ระเบียงด้วยรอยยิ้มสดใส

ที่ระเบียงห้องสมุด มีโต๊ะเก้าอี้สำหรับสี่คน ยูเรียเลือกที่นั่งก่อนและผมนั่งตรงข้าม

“อ๊ะ จะว่าไป เจ้าเป็นนักเรียนของโรงเรียนเวทมนตร์เหรอ?”

ยูเรียถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ผมส่ายหน้า

“ไม่ใช่ ข้าไม่เก่งอะไร ความรู้ด้านเวทมนตร์ก็น้อย”

“อย่างนี้นี่เองข้าถึงแทบไม่รู้สึกถึงพลังเวท”

เธอดูผิดหวังเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้มสดใสและพูด “ไม่เป็นไร! เขาว่าคนนอกหมู่บ้านมีพลังเวทน้อยกันทุกคน”

“อะไรนะ?”

เป็นคำพูดที่เหมือนผมจะคุ้นเคยเพราะในหมู่บ้านผมมักได้ยินว่าคนนอกหมู่บ้านอ่อนแอกันทั้งนั้น

“ไม่ใช่! คือว่า การแปรธาตุไม่ต้องใช้พลังเวทมากมายไงล่ะ! ข้าหมายถึงอย่างนั้น!”

เธอที่ลนลานและพยายามแก้ตัวดูตลกจนผมต้องหัวเราะ

“ไม่ใช่นะ ข้าจะบอกว่า...”

เธอยิ่งดูลนลานมากขึ้นเมื่อเห็นผมหัวเราะ ดูเหมือนการบอกคนที่ศึกษาด้านเวทมนตร์ว่าเขามีพลังเวทน้อยเป็นเรื่องไม่สุภาพ

ระหว่างคิดว่าน่าจะแกล้งเธออีกหน่อย ผมหุบยิ้มและพูด “ถึงเป็นการแปรธาตุก็ต้องใช้พลังเวทมากเมื่อถึงระดับสูง”

“อย่างนั้นเหรอ?”

ผมคิดว่ายูเรียจะลนลานต่อแต่เธอกลับถามด้วยตาเป็นประกาย

“ใช่ ต่อให้ใช้หินพลังเวท นักแปรธาตุก็ต้องมีพลังเวทขั้นหนึ่งเพื่อควบคุมหิน”

ยูเรียคิดว่าผมเป็นนักแปรธาตุ แต่ผมไม่ถือว่าตัวเองใช่ แต่ผู้เฒ่าเมอร์ปาขู่ว่าจะไม่สอนเวทมนตร์ให้ถ้าผมจำเนื้อหาการทดลองของนางไม่ได้ ผมจึงต้องเรียน แต่พูดจริงๆแล้ว วิชาเวทมนตร์ของผมครึ่งหนึ่งเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

“อ๋อ”

“ว่าแต่ดูเหมือนเจ้าจะสนใจเรื่องการแปรธาตุมาก เจ้าเลือกฝึกด้านนี้เหรอ?”

ยูเรียส่ายหน้า “เปล่า เวทมนตร์ธาตุน่ะ ปู่ของข้าเป็นนักเวทธาตุ”

เธอพูดตามแบบฉบับของลูกหลานในตระกูลนักเวท ผมต่างหากที่แปลกที่ไม่มุ่งเป้าไปที่การแปรธาตุตามครู ส่วนใหญ่นักเรียนจะเรียนตามครูเหมือนเด็กสาวคนนี้

พี่สาวคนรองของผมเก่งด้านเวทมนตร์เพราะได้อิทธิพลจากผม แต่เธอใช้การแปรธาตุเป็นหลัก ต้นไม้ที่พยายามจับตัวผมตอนนั้นก็ทำจากวิชาแปรธาตุ

“ส่วนใหญ่คนจะเน้นฝึกไปทางเดียว แต่ดูเหมือนเจ้าจะสนใจด้านการแปรธาตุเหมือนกัน”

“อา ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่การแปรธาตุแต่ข้าสนใจเวทมนตร์ทุกอย่าง แต่หมู่บ้านข้าแห้งแล้ว ต้นไม้กับหญ้าเลยไม่ค่อยขึ้น ข้าเลยมาที่เมืองหลวงเพื่อลองเรียนการแปรธาตุ”

“งั้นเจ้าก็ไม่ใช่นักเรียน?”

ยูเรียพยักหน้ารับ

“อื้ม ข้ามาสอบ”

“อย่างนี้นี่เอง”

พวกเราคุยกันจนถึง 20 นาทีก่อนการสอบเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ ผมบอกความรู้ด้านการแปรธาตุที่ผมมีอยู่เล็กน้อย ส่วนเธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ธาตุที่ผมไม่รู้

ตอนแรกผมคิดว่าถูกชักชวนให้เข้าลัทธิ แต่กลายเป็นมีประโยชน์ อีกเรื่องหนึ่งถ้าเผื่อสนใจ ผมยืมหนังสือออกไปไม่ได้ เขาว่าถ้าผมเป็นนักเรียนของศูนย์ฝึกข้าราชการก็จะยืมได้ ผมจึงตั้งใจว่าจะค่อยๆอ่านทีหลัง

***

 ตรงทางเข้าวาแรนท์ เมืองสุดท้าย หรืออีกชื่อเล่นว่า วัลฮัลลา เลชากำลังตะโกนกับคนในกลุ่ม

“หาห้องแล้วอาบน้ำกันก่อนเถอะ! อาบน้ำ!”

เลชาบ่นทันทีเมื่อมาถึงวาแรนท์ พวกเขาเดินทางในป่าเป็นเวลา 15 วัน เธอจึงรู้สึกไม่สบายตัวมากเพราะเหงื่อและฝุ่นสะสม

แมคถอนหายใจมองเลชาที่กำลังบ่นงึมงำ

“คุณหนู ท่านทูตมีที่ต้องแวะไปก่อน”

“ทะ...ท่านอะไร? รองกัปตันแมค ข้าไม่คู่ควร”

เด็กหนุ่มร่างผอมหน้าตาน่ารักหน้าแดง เขารู้สึกกดดันที่แมค ผู้นำคนหนึ่งของเหล่านักรบเรียกเขาว่า ‘ท่าน’

“เรียกข้าว่าแลนเถอะ เดนก็เรียกข้าแบบนั้น...”

“ไม่ได้ครับ ท่านทูตเป็นผู้นำของเรา ข้าจะเรียกแบบนั้นได้อย่างไร ที่จริงแล้วข้าอยากเรียกท่านว่า ท่านแลนซีลอตด้วยซ้ำ” แมคยิ้มอย่างขี้แกล้ง

“ท่านแลนซีลอตอะไรกัน มากไปแล้ว” แลนซีลอตก้มหน้า หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงกว่าเดิม

เลชาเถียงแลนซีลอตอย่างไม่สนใจ

“ที่สำคัญกว่านั้นคือทำไมไม่หาที่พักก่อนล่ะ? อาบน้ำแล้วก็อาหารร้อนๆ! ข้าเบื่อเนื้อตากแห้งแล้ว!”

สำหรับเลชาผู้ไม่เคยออกจากหมู่บ้าน การเดินทางครึ่งเดือนถือเป็นเรื่องลำบากน่าดู แลนซีลอตตัวหดเมื่อถูกเลชาข่มขู่ แมคยิ้มหล่อขณะพยายามปลอบเลชา

“ฮะๆ คุณหนูใจเย็นๆ ท่านทูตต้องมีแผนอยู่แน่นอน”

“แต่ว่า!”

“อีกอย่าง ที่พวกเราต้องอยู่ในป่าครึ่งเดือนก็เพราะคุณหนูนะ”

เลชาได้แต่สะดุ้ง

แมคผู้มีความเร็วเป็นอันดับสามของหมู่บ้านดูอ่อนแอไปเลยเมื่อเทียบกับแลนซีลอตผู้เป็นอันดับหนึ่งทั้งด้านความเร็วและความอึด และเมื่อเทียบกับพวกเขา เลชาก็ดูเร็วเท่าหอยทาก ที่ใช้เวลา 15 วันเพราะเมื่อออกจากหมู่บ้านได้ไม่นานแมคก็แบกเลชาไว้บนหลัง ถ้าให้เธอเดินเอง พวกเขาคงต้องอยู่ในป่าต่ออีกครึ่งเดือน

เลชารู้สึกละอาย “เจ้าพูดตรงไปหรือเปล่า?”

“ข้าก็เป็นอย่างนี้” แมคตอบอย่างมั่นใจด้วยสีหน้าภูมิใจ






สารบัญ                                       บทที่ 42


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น