บทที่ 31 - ความเศร้าของเจ้าหญิง (1)
วันที่สิบของการเป็นโจรลูแปง หลังจากการปล้นทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเคานต์ดรูวาล ผมเข้าสู่ช่วงพักงานและไปป้วนเปี้ยนแถวกองคลังทุกวัน โชคไม่ดีที่ไม่เจอกระดาษข้อสอบเลย
แม้จะไม่เป็นไปตามแผน แต่ด้วยความมองโลกในแง่ดี วันนี้ผมก็ตรงไปที่กองคลังเช่นเดิม ผมเลือกตู้นิรภัยในห้องทำงานพลางร้องเพลงเปิดของการ์ตูนที่ความประทับใจหลักคือตัวเอกจำหน้าคนไม่ได้
คืนนี้ฉันจะทำอะไรดีนะ จะส่งความสุขให้ใคร หนึ่งใจร้าย หลายความโลภ ได้จากไปไกล~
ในโลกนี้ ถ้าแทรกแซงเวทมนตร์บนตู้นิรภัยแล้วหมุนกลับ ตู้นิรภัยจะส่งเสียงกริ๊กและเปิดออก ถ้าเป็นตู้นิรภัยของโลกในชาติก่อนผมคงต้องเจาะรู ระบบล็อกที่ทำจากเวทมนตร์แบบนี้ทำให้เปิดตู้ได้อย่างไร้ร่องรอย สะดวกกว่ามาก
“เซซามี จงเปิด”
กริ๊ก!
ผมเปิดตู้แล้วอ่านเอกสารข้างใน เอกสารชุดหนึ่งเป็นรายการเสบียงที่ส่งไปยังชายแดนปีศาจ อีกชุดเป็นราคาชิ้นส่วนปีศาจ อีกชุดแจกแจงราคาชิ้นส่วนสัตว์ประหลาด...ไปจนถึงค่าใช้จ่ายงานเลี้ยงเดือนก่อน
หลังจากค้นตู้นิรภัยสิบวัน ผมก็มองเห็นกระแสเงินที่ไหลในจักรวรรดิ ดูจากงบประมาณของหน่วยงานอื่นลดลงทีละน้อยและเสบียงที่ส่งไปชายแดนปีศาจเพิ่มขึ้นก็บอกได้ว่าพวกปีศาจมีการเคลื่อนไหวมากกว่าเดิม
แทนที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าที่ส่งมาที่หอพักทุกเช้า อ่านเอกสารพวกนี้ทำให้ผมรู้สถานการณ์รอบโลกมากกว่า แม้จะมีข้อเสียที่ข้อมูลไม่ถูกแยกแยะเรียบเรียงเหมือนหนังสือพิมพ์ก็ตาม ผมตัดสินจะแวะมาที่นี่นานๆครั้งเพื่ออ่านข่าว ไม่ได้โกรธหนังสือพิมพ์ที่ทำให้ลูแปงเป็นคนร้ายเลยนะ
จะว่าไป ขนาดหาในตู้นิรภัยของกองคลังทุกตู้แล้วยังไม่เจอกระดาษข้อสอบข้าราชการเลย ผมสงสัยว่ายังไม่ได้เตรียมข้อสอบหรืออย่างไร แต่ไม่น่าเป็นไปได้เมื่อคิดว่าอีกไม่ถึงเดือนก็เป็นวันสอบแล้ว แม้ผมเอาเวลาว่างทั้งหมดไปเตรียมสอบมันก็ยังสู้การดูข้อสอบล่วงหน้าไม่ได้
ผมอยากดูข้อสอบก่อนจริงๆ
มาคิดดู จากแผนที่ที่ผมซื้อมา กองคลังแบ่งเป็นที่ทำงานในเขตพระราชฐานชั้นนอกกับที่อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน งานของสองที่ต่างกันเล็กน้อย...
ที่ทำงานในพระราชฐานชั้นนอกดูแลเรื่องงานนอกเช่นสำรวจตลาดและกระแสเงินตรา ที่ทำงานในพระราชฐานชั้นในดูแลเรื่องภายในเช่นจัดสรรงบประมาณ ถ้าข้อสอบข้าราชการไม่อยู่ที่นี่ ก็ต้องอยู่ในที่ทำงานเขตพระราชฐานชั้นใน
คนที่จะเข้าส่วนในต้องถูกตรวจสอบเข้มงวดเพราะจักรพรรดิอยู่ที่นั่น แต่ไม่เกี่ยวกับผมเพราะผมจะแอบเข้าไป
ผมเก็บเอกสารคืนที่เดิมและปิดตู้นิรภัย
***
“องค์หญิง? องค์หญิงอยู่ไหนคะ?”
ที่ใดที่หนึ่งในวัง เจ้าหญิงอารีเลีย วอน บาฮามุนท์ ดิ ออเลียง อีเลีย กลั้นลมหายใจรอให้หญิงรับใช้ของเธอผ่านไป
“องค์หญิง?”
อารีเลียถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเสียงเรียกชื่อเธอค่อยๆห่างไปจนไม่ได้ยิน
หญิงรับใช้เป็นคนดี แต่เข้มงวดเกินไป ที่จริงเข้มงวดก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่เมื่อไหร่ที่มีงาน หญิงรับใช้จะให้เธอลองชุด... “ใส่สร้อยนี้สิคะ... สร้อยคอเหมาะไหม...” อารีเลียรู้สึกเหมือนเป็นตุ๊กตา
ไม่ใช่เธอไม่เข้าใจที่หญิงรับใช้ต้องมาวุ่นวาย สถานะของหญิงรับใช้ขึ้นอยู่กับคนที่เธอรับใช้ เช่น หญิงรับใช้ของจักรพรรดิมีอำนาจขนาดขุนนางยศสูงยังไม่อาจล่วงเกิน เหมือนพ่อบ้านที่ทำงานให้ดยุคไม่เหมือนกับพ่อบ้านที่ทำงานให้บารอน ลำดับชั้นในกลุ่มข้ารับใช้ในวังก็จัดเรียงตามฐานะคนที่พวกเขารับใช้
งานฉลองวันเกิดของอารีเลียตรงกับวันที่เธอถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ จักรพรรดิจะมาร่วมงานฉลองหรือไม่จะส่งผลกับฐานะในภายภาคหน้าของเธอ ที่เหล่าข้ารับใช้ของเธอตึงเครียดกันจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้
แต่ที่จริงแล้วอารีเลียไม่สนใจเรื่องนี้นัก ไม่ว่าฐานะภายหน้าของเธอจะดีอย่างไรหรือจักรพรรดิจะรักเธอขนาดไหน เธอก็ไม่อาจหลบเลี่ยงจากการแต่งงานทางการเมืองเพราะเกิดมาเป็นเจ้าหญิงของจักรวรรดิ
จักรพรรดิโปรดปรานก็หมายความแค่เธอจะได้แต่งงานกับคนที่มีตำแหน่งสูงขึ้นสำคัญขึ้น เพราะเธอไม่คิดอะไรเรื่องการแต่งงาน จึงไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือท้อใจ นี่เป็นเรื่องที่ถูกตัดสินตั้งแต่ตอนที่เธอเกิดมาและเธอรู้ตั้งแต่เด็ก
ถ้าเสียใจหรือท้อใจไปแล้วจะทำอย่างไร มันเป็นเรื่องโง่เขลา
ถึงอย่างนั้น มุมหนึ่งในใจของเธอโหยหาอิสระ แต่แม้ตอนนี้จะมีโอกาสเข้ามาเธอก็ไม่อาจจากวังไปได้ เธอฝันอย่างเดียวกับเด็กสาวในวัยเดียวกันว่าจะมีอัศวินจากนิยายรักมาพาเธอไป
อารีเลียรู้สึกอึดอัดขึ้นมา จึงเปิดประตูไปยังระเบียงที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ จากตรงนี้หากเป็นเวลากลางวันจะเห็นทั้งตัวเมือง แต่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ทั้งเมืองกำลังหลับใหลใต้แสงดาว
เงาหนึ่งลงมาจากท้องฟ้าอย่างกะทันหัน อารีเลียตกใจแต่ส่งเสียงร้องออกมาไม่ได้เพราะกำลังหายใจเข้า
เงานั้นเป็นของชายในเสื้อคลุมดำและหน้ากากสีขาวครึ่งสีดำครึ่ง เขาดูยังหนุ่มเมื่อดูจากปลายจมูกที่โผล่พ้นหน้ากาก แต่เธอไม่รู้ว่าใบหน้าใต้หน้ากากของเขาเป็นอย่างไร
ชายสวมหน้ากากยกนิ้วชี้จ่อปากของเขาเพื่อบอกให้อารีเลียเงียบ
อารีเลียตกใจที่ชายคนนี้ปรากฏตัวอย่างกะทันหันและสงสัย
“เจ้าเป็นใคร?”
ชายสวมหน้ากากลังเล แต่สุดท้ายก็ตอบ
“ข้าคือลูแปง แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบเดินเล่นตอนกลางคืน แล้วเจ้าล่ะ?”
อารีเลียประหลาดใจและตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อเขาเรียกเธอว่าเจ้า ไม่เคยมีใครเรียกเธออย่างนั้น
อารีเลียจะตอบแต่แล้วก็ลังเล ไม่ใช่กลัวว่าจะถูกลักพาตัวถ้าเขารู้ว่าเธอเป็นใคร เธอกลัวว่าเขาจะทำตัวอ่อนน้อมกับเธอเหมือนคนอื่น
แม้จะเป็นความคิดโง่เขลา อารีเลียตัดสินใจไม่บอกชื่อจริงหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“อา...เรีย ข้าชื่ออาเรีย”
“อาเรีย ยินดีที่ได้รู้จัก”
เธอคิดจะบอกชื่อจริงเมื่อได้ยินเขาเรียกเช่นนั้น เพราะไม่มีใครเรียกเธอแบบห้วนๆได้ แต่เธอไม่ทำ
แม้จะไม่ใช่ชื่อจริง เธอยังรู้สึกทึ่งอย่างแปลกๆที่ไม่ถูกเรียกว่าองค์หญิงลำดับสาม ความรู้สึกนี้ทำให้เธอไม่เรียกทหารมา
ลูแปงกระโดดเบาๆไปที่ราวกั้นระเบียงและพูด “ขออภัย แต่ข้าต้องขอให้เจ้าปิดเรื่องที่เห็นข้าวันนี้เป็นความลับ”
อารีเลียเผลอพยักหน้า เห็นอย่างนั้นแล้วลูแปงก็หัวเราะเบาๆ
“ถึงจะเป็นหน้าร้อนแต่ตอนกลางคืนก็ยังหนาว ระวังเป็นหวัดล่ะ” พูดจบลูแปงก็ถอยหลังแล้วทิ้งตัวลงหายไปในทันที
เห็นเขาจู่ๆก็กระโดดลงจากระเบียง อารีเลียสะดุ้งแล้วโน้มตัวข้ามระเบียงมองไปข้างล่าง โชคดีที่ไม่มีภาพเลวร้ายรออยู่ เห็นแต่หญ้าเขียวใต้แสงไฟ
อารีเลียถอนหายใจแล้วทรุดลงตรงนั้น เธอหายใจเข้าลึกๆเพื่อปลอบใจให้สงบ นี่อาจเป็นแค่ฝันสั้นๆหรือภูติแกล้งเสกภาพลวงตาใส่เธอ อารีเลียลูบแก้มร้อนๆแล้วเงยมองดวงจันทร์ ช่างกลมดีจริง
***
ว้าว ผมเกือบทำเสียเรื่องแล้ว
ขณะผมแอบปีนกำแพงปราสาทเข้ามา จู่ๆก็รับรู้ตัวตนของยามจากทั้งสองทางจึงกระโดดลงไปที่ระเบียงแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเองที่ผมเห็นเด็กผู้หญิงโผล่มาจากที่ไหนไม่ทราบ จะถอยกลับก็สายไปผมจึงตัดสินใจลงพื้น
โชคดีที่อาเรียไม่ร้องแต่กลับถามว่าผมเป็นใคร เพราะมันกะทันหัน โรคม.สองของผมจึงกำเริบ “ลูแปง แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบเดินเล่นตอนกลางคืน แล้วเจ้าล่ะ?”
อ๊าก น่าอายเป็นบ้า
โชคดีมากที่ผมใส่หน้ากากอยู่ หรือควรโทษหน้ากากดีที่ทำให้โรคม.สองของผมกำเริบ?
ผมอายจนต้องขอให้การพบกันครั้งนี้เป็นความลับก่อนจะกระโดดลงระเบียง แต่ที่จริงไม่ต้องขอก็ได้เพราะผมร่ายคาถาบิดเบือนการรับรู้บนหน้ากาก หากคนมองไม่ได้ฝึกฝนด้านเวทมนตร์มาก็จะจำผมไม่ได้
ผมเกาะอยู่ที่พื้นใต้ระเบียง ถ้าเป็นตัวผมในชาติก่อนไม่มีทางทำแบบนี้ได้ แต่กับร่างกายของชาติพันธุ์นักสู้นี้ไม่ว่าท่ายากแบบไหนก็ทำได้ทั้งนั้น
อาเรียคงตกใจที่ผมกระโดดจึงมองลงมา จากนั้นเธอทรุดลงกับพื้นเหมือนขาหมดแรง คงกลัวที่มีคนแปลกหน้าโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ น่าชื่นชมที่เธอทนได้จนผมไป
ผมต้องรีบบุกกองคลังก่อนอาเรียจะไปเรียกยามมา
ผมใช้เวทมนตร์ประคองตัวลงพื้นระเบียงชั้นล่างอย่างเงียบๆ จากนั้นตามแผนที่ไปยังกองคลังของพระราชฐานชั้นใน แม้แผนที่จะเว้นว่างเป็นส่วนใหญ่แต่ผมก็เริ่มสงสัยว่าร้านขายข่าวเป็นองค์กรแบบไหนถึงมีกระทั่งแผนที่ของพระราชฐานชั้นใน
เออ ไม่ใช่เรื่องของผมนี่นะ
ไหนๆมาที่นี่แล้วก็เติมที่ว่างในแผนที่ไปด้วยเลย คิดได้ดังนั้นผมก็เคลื่อนที่ไปพลางเขียนแผนที่ไปพลาง ผมใช้เวลา 10 วันจึงค้นกองคลังในเขตพระราชฐานชั้นนอกจนหมด กองคลังที่นี่คงใช้เวลาเท่าๆกัน
โรคม.2 นี่ผ่านไปกี่ปีก็กำเริบได้นะ :3
เพราะไม่รู้ว่าคนเขียนหมายถึงการ์ตูนเรื่องอะไร ทีแรกเลยตั้งใจจะตัดท่อนที่พระเอกร้องออกค่ะ แปลไปก็ไม่รู้อยู่ดีนี่นะว่าเพลงอะไร แต่มาอ่านดู เออ ร้องเพลงนี้ตอนไขตู้เซฟชาวบ้านนี่มันทะแม่งดีนะ เลยไม่ตัด XD
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น