วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 34

บทที่ 34 – ความเศร้าของเจ้าหญิง (4)


ถ้าเป็นลุงที่ผมรู้จักเขาจะยิ้มและบอกให้ทำงานกับเขา แต่เชื่อแน่ว่าการทำงานกับลุงหมายถึงผมถูกส่งไปต่อยตีกับพวกปีศาจที่เขตแดนปีศาจ ถ้าอย่างนั้นแล้วผมจะหนีออกจากบ้านเพื่ออะไร? ผมอาจดูไม่มีความฝันแต่ผมยังมีเป้าหมายเป็นข้าราชการอยู่นะ

ผมแซะตราขี้ผึ้งที่ปิดซองอยู่ออก แผนคืออ่านข้อสอบแล้วค่อยปิดซองกลับด้วยการอุ่นตราขี้ผึ้ง

เอาล่ะ แสดงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าออกมา!

ขอดูข้างหลังหน่อย ข้างหลัง!

เวร!

ชิบหายแล้วกู!

ทันทีที่ผมดึงขี้ผึ้งออกมันก็กลายเป็นผงและสลายไปไม่เหลือร่องรอย

ใครใส่ผงภูติลงในตราขี้ผึ้งกัน?

เมื่อผสมผงภูติลงไปในของ เมื่อผงภูติถูกกระแทกจะทำให้ของหายไป ผมเคยได้ยินว่าวิธีนี้ใช้กับอาวุธลับหรือจดหมายลับ

สติยังดีอยู่ไหมเนี่ยที่ใช้ของแพงแบบนี้กับตราปิดซองเอกสาร?

คนสติดีต้องไม่ใช้ผงภูติแบบนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นต้องบ้าแน่ โชคดีที่ไม่มีเวทมนตร์ส่งสัญญาณเตือนตอนผมแกะผนึก หรือถ้ามีผมคงรู้ตัวและใช้เวทเคลื่อนย้ายเอกสารในซองออกมาอ่านก็เท่านั้น ผงภูติเป็นวัตถุดิบเวทมนตร์ ไม่ใช่เวทมนตร์ผมจึงไม่รู้ตัว

บ้าจริง ผงภูติราคาเท่าทองเลยนะ ใครมันคิดใช้กับตราขี้ผึ้งเนี่ย?

ตอนนี้เกิดปัญหาสองข้อ หนึ่ง ผมไม่มีตราขี้ผึ้งผสมผงภูติ สอง ผมไม่มีตราประทับลายเดียวกับที่ใช้ปิดซอง แม้ว่าในกระเป๋ามิติจะมีผงภูติอยู่เยอะก็ตาม

คิดสิ คิด อ่านข้อสอบก่อนแล้วกัน ไหนๆซองก็เปิดไปแล้ว

เอกสารในซองเป็นข้อสอบจริงๆ ต้นฉบับสดๆร้อนๆที่ยังไม่ได้ถูกส่งไปโรงพิมพ์

แล้วจะปิดตราแบบนั้นทำไมถ้ายังไม่ได้ส่งไปโรงพิมพ์ด้วยซ้ำ?

ก็เพื่อเก็บความลับนั่นแล แต่ผมก็ยังคิดอยู่ดีว่าทำเกินไป ผมต้องแก้ปัญหานี้ทันที นี่ไม่ใช่แค่การสอบจะถูกเลื่อนหรือยกเลิกแล้ว มีคนบุกรุกเข้ามาในกองคลังในเขตพระราชฐานชั้นในที่จักรพรรดิอาศัยอยู่ หัวหน้ารักษาความปลอดภัยต้องหัวหลุดจากบ่าแน่ถ้ามีคนรู้ ผมหมายความตามนั้นจริงๆ ประหารชัวร์ 100% ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเคานต์หรือมาร์ควิส

คิดตามสามัญสำนึกก็จะเห็นว่าการลอบเข้ามานั้นเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีคนทรยศคอยช่วย ไม่ว่าคนทรยศจะเป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัยหรือลูกน้อง หัวหน้ารักษาความปลอดภัยต้องถูกประหารอยู่แล้ว ควบคุมลูกน้องไม่ได้ไม่ใช่เรื่องตลกถ้ามีความปลอดภัยของจักรพรรดิเข้ามามีส่วนด้วย อีกอย่าง ถ้าเรื่องไปกันใหญ่แล้วหัวหน้าถูกตัดสินเป็นกบฏ ครอบครัวของเขาจะถูกประหารหรือขายเป็นทาส

สิ่งที่ผมเพิ่งทำสลายไปไม่ใช่ตราธรรมดาแต่เป็นศีรษะคนๆหนึ่งหรืออาจเป็นสิบ ผมต้องปิดตราใหม่ด้วยตราขี้ผึ้งผสมผงภูติก่อนพ้นคืนนี้

ผมพิจารณาตราบนเอกสารอย่างละเอียด ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งอันที่เหมือนกับตราที่ใช้ปิดซอง

ลายแบบไหนแล้วนะ...

เพราะความมืดและไม่ได้ตั้งใจดูด้วยเลยจำไม่ค่อยได้ แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นตราที่ประทับบนเอกสารใบสุดท้าย ตามปกติแล้ว ถ้าซองถูกเปิดออกและปิดใหม่ คนที่เปิดซองจะใช้ตราของเขาประทับ

ไหน ชื่อใต้ตราคือ...

จักรพรรดิ?

ซวยแล้วกู!

***

ยามดึก อารีเลียหลบหญิงรับใช้และหนีออกจากห้อง นี่เพราะจู่ๆเธอก็รู้สึกอึดอัดเมื่อคิดถึงชายใส่หน้ากาก

ความรู้สึกนี้มันคืออะไร?

เธอรู้สึกไม่อยากอาหารมาสามวัน ไม่มีแรงและไม่ต้องการอะไร (ยกเว้นของหวาน) นี่เป็นครั้งแรกชีวิต 16 ปีของเธอที่รู้สึกอย่างนี้ ความทรมานเหมือนอาหารไม่ย่อย หัวใจหนักอึ้งกำลังเต้นแรง แต่เธอกลับไม่รู้สึกรังเกียจหัวใจที่เต้นแรงหนักอึ้งนัก

ทำไมกันนะ?

อารีเลียเดินพลางครุ่นคิด เท้าของเธอมุ่งไปยังขอบนอกของพระราชฐานชั้นใน ทันใดนั้นเธอก็รู้ตัวว่ามาใกล้ตรงที่เธอเคยหลบหญิงรับใช้เมื่อสามวันก่อน

อารีเลียตรงไปที่ระเบียง สูดอากาศยามกลางคืนอันค่อนข้างเย็นอย่างสดชื่น คืนนี้ดวงจันทร์ก็ส่องแสงสว่างอีกแล้ว

***

ผมตัดสินใจหาขี้ผึ้งผสมผงภูติก่อน ตราจักรพรรดิอยู่แต่ในห้องทำงานของเขา แต่ขี้ผึ้งน่าจะมีที่อื่นด้วย

ผมค้นทุกโต๊ะในกองคลังและเจอขี้ผึ้ง แต่มันเป็นขี้ผึ้งธรรมดาไม่มีผงภูติ

ผงภูติมีลักษณะเด่นที่จะส่องแสงตอบรับกัน ดังนั้นถ้าขี้ผึ้งส่องแสงเมื่อผมเอาผงภูติไปใกล้ๆก็แสดงว่ามันผสมผงภูติ แต่ขี้ผึ้งที่ผมหาเจอไม่ส่องแสง

มาคิดดู ผงภูติเป็นของแพง กองคลังคงไม่ได้ใช้มันง่ายๆต่อให้ได้งบมาเท่าไหร่ก็เถอะ คนที่ใช้ได้ควรจะเป็นคนตำแหน่งสูง ดังนั้นมันน่าจะอยู่ในห้องทำงานของหัวหน้ากองคลังหรือนายกรัฐมนตรี

ห้องทำงานของนายกรัฐมนตรีกับจักรพรรดิไม่มีบนแผนที่ แผนที่วังแทบจะว่างเปล่า ซึ่งไม่แปลก ที่จริงการมีที่ตั้งของกองคลังและกระทรวงอื่นๆต่างหากที่น่าตกใจ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกคับแค้นใจต่อแผนที่ว่างเปล่า

ผมเดินรอบกองคลังและเจอห้องทำงานของหัวหน้ากองคลัง ผมเปิดประตูและเริ่มค้นโต๊ะของเขา ผมลองเปิดลิ้นชักแต่มันถูกล็อกไว้หมด

มาปลดล็อกมันก่อน

ลิ้นชักแรกใส่วัสดุสำนักงานและถุงใส่เหรียญทอง ผมคิดจะเอาไปเพราะน่าจะเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบแต่ก็ปล่อยไว้เพราะไม่มีหลักฐาน

ลิ้นชักที่สองมีบัญชีการฉ้อโกง น่าเสียดายที่ไม่ใช่การฉ้อโกงของหัวหน้ากองคลังแต่เป็นหลักฐานผูกมัดเคานต์คนหนึ่ง

ลิ้นชักที่สามมีพวกเอกสารและกุญแจ ถ้าผมกำลังเล่นเกมหนีออกจากห้องอยู่คงตื่นเต้น แต่ผมมีลวดไขได้ทุกอย่างอยู่แล้ว

ลิ้นชักสุดท้ายมีของหลายอย่าง มีขี้ผึ้งรวมอยู่ด้วย พอเอาผงภูติไปใกล้ๆมันก็ส่องแสงจางๆ

เจอแล้ว!

ผมใส่รังสีดาบบนเล็บและตัดขี้ผึ้งออกอย่างเรียบสนิท รอยตัดบนขี้ผึ้งดูเรียบกว่าของเดิม แต่ดูเป็นธรรมชาติเพราะไม่มีรอยกดเหลืออยู่

ด้วยปริมาณเท่านี้ เจ้าของจะแค่สงสัยว่าเขาเผลอใช้ขี้ผึ้งมากเกินไปโดยไม่สงสัยว่ามีใครมาตัดมัน

ผมใช้ช้อนเก็บขี้ผึ้งละลายแล้วออกจากกองคลัง

***

อารีเลียมองดาวอยู่นานจนตัวเริ่มเย็น เธอคงอยู่ข้างนอกนานเกินไปและตัดสินใจกลับ แต่เท้าเธอไม่ขยับตามความคิด

ความรู้สึกนี้คืออะไร? มันตื่นเต้นและมึนงง...

เธอรู้สึกกระตือรือร้นอย่างแปลกๆขณะยืนบนระเบียง มันเหมือนตอนเธอรอให้ถึงเวลาอาหารว่างแต่รุนแรงกว่าเล็กน้อย เหมือนตอนหญิงรับใช้ตอบว่า “บริออช” เมื่อเธอถามว่า “ของว่างวันนี้เป็นอะไร?” เธอรู้สึกเหมือนกันตอนที่ชายใส่หน้ากากปรากฏตัวและพูด “สวัสดีคุณผู้หญิง?”

อารีเลียหัวเราะอย่างหดหู่ ที่นี่ที่ไหน? มันคือวังหลวงสัญลักษณ์ของจักรวรรดิ สิ่งที่เกิดขึ้นคืนนั้นเป็นเพียงฝันกลางวัน ชายคนนั้นอาจทหารถูกจับได้และสังหารไปแล้ว วังหลวงคือที่แบบนั้น เธอแค่รู้สึกกังวลแทนชายคนนั้น เธอต้องลืมเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น

อารีเลียหันกลับอย่างเศร้าสร้อยเมื่อเข้าใจความจริง ตอนนั้นเอง...

ตุบ! 

เธอได้ยินเสียงบางสิ่งหล่นลงพื้นจากด้านหลัง

มันไม่ควรเกิดขึ้น!

แต่มันกำลังจะเกิด...

อารีเลียมองกลับไป หัวใจเต้นอย่างควบคุมไม่ได้ ชายใส่หน้ากากพูดขึ้น “สวัสดี คุณผู้หญิง?” และ “ดีใจที่ได้เจอกันอีก”

เขาอยู่ตรงนั้น...

***

เมื่อออกจากกองคลัง ผมตรงไปที่ส่วนในของวัง พูดตามตรงมันกว้างจนผมไม่รู้ว่ากำลังไปไหน

บางเวลาเมื่อทหารยามผ่านมา ผมจะหลบบนเพดานหรือในห้องว่าง ผมอยากสแกนทั้งวังด้วยเวทมนตร์และสร้างแผนที่สามมิติและตรงไปที่ห้องทำงานของจักรพรรดิเลยจริงๆ โชคร้าย ถ้าทำแบบนั้นนักเวทในวังคงจับได้

ว่าแต่ ฉันอยู่ที่ไหน?

แม้ผมจะใช้เวลาสามวันนี้ไปกับการเดินหารอบพระราชวังมันก็จำกัดอยู่แต่เขตกองคลัง เมื่อเดินอย่างไร้จุดหมายในวังกว้างใหญ่ก็เกิดหลงขึ้นมา ไม่ได้แล้ว ผมต้องหาให้ได้ก่อนว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในหรือชั้นนอก ผมออกไปที่ระเบียง กระโดดขึ้นไปบนหลังคาและปีนขึ้นไปยังยอดที่สูงที่สุด

เมื่อมองวังจากที่สูง ผมก็ตระหนักว่ายังอยู่ในขอบนอกของพระราชฐานชั้นใน ดูเหมือนตอนเดินในตัวอาคารผมจะเดินรอบขอบนอก ผมใช้วรยุทธ์ลับประสาทสัมผัสให้แหลมคมขึ้น

วรยุทธ์ของเผ่ากาเสริมทักษะกายภาพของผู้ใช้โดยการโคจรพลังเวทให้ไหลอยู่ในร่าง ผลคือภายในร่างของผู้ใช้ตัดจากสภาพแวดล้อมภายนอกและไม่มีการสูญเสียพลังเวท มันเป็นวิชาที่พัฒนาเพื่อการอยู่รอดในโอลิมปัส จึงไม่ควรมีนักเวทนอกป่าคนไหนจับพลังเวทของผมได้

ด้วยเหตุนี้เอง นักเวทและอัศวินในปราสาทจึงไม่รู้สึกผิดปกติแม้ผมจะกำลังโคจรพลังเวทในร่างอย่างรุนแรง


สารบัญ                                    บทที่ 35


 


วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 33

 บทที่ 33 – ความเศร้าของเจ้าหญิง (3)


มิลเปียพยักหน้า

“นี่เป็นเรื่องใหญ่ พักนี้พวกปีศาจกำลังอาละวาดในเขตแดนปีศาจ และเรายังมีกองกำลังปริศนาเคลื่อนไหวลับๆอีก”

พูดตามจริงแล้ว จักรวรรดิจะถูกทำลายไม่ส่งผลกับหน่วยงานข่าวของแม่ใหญ่ พวกนางทำงานในจักรวรรดิแต่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิ แต่จักรวรรดิเป็นโล่ป้องกันไม่ให้เขตแดนปีศาจขยายกว้างขึ้น

การช่วยจักรวรรดิคือการป้องกันไม่ให้มนุษย์สูญเสียดินแดนไปซึ่งจะทำให้พื้นที่ทำงานของพวกนางลดลง ในสายตาของหน่วยงาน ช่วยจักรวรรดิที่มีคนซื้อข่าวย่อมดีกว่าปีศาจและสัตว์ประหลาดที่สื่อสารกันไม่ได้

กลุ่มต่อต้านมีอยู่เสมอแต่จักรวรรดิมีอำนาจเข้มแข็งจนมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ตอนนี้กองทัพของจักรวรรดิส่วนใหญ่ไปอยู่ที่เขตแดนปีศาจ การเกิดกองกำลังต่อต้านใหม่จึงเป็นเรื่องอันตราย

“ขอบใจนะที่มารายงาน”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

มิลเปียตอบอย่างถ่อมตน แม่ใหญ่จึงลูบศีรษะเธอ

“ตอนนี้เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงไปก่อน ข้าจะส่งคนอื่นไปกรันเวลแทน”

“คะ? แต่ว่า-”

มิลเปียทำตาโตอย่างแปลกใจ แม่ใหญ่ยิ้ม

“มิลเปีย กรันเวลต้องปิดตัวลง เราปล่อยสาขาลับให้เปิดต่อไปไม่ได้เพราะมันถูกพบแล้ว มาอยู่ที่เมืองหลวงและช่วยงานข้าจนกว่าจะตั้งสาขาใหม่เถอะนะ”

มิลเปียผงกศีรษะรับ

“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำอะไรดี?”

แม่ใหญ่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “คนที่เราส่งไปแฝงตัวในโรงเรียนเวทมนตร์จะเรียนจบปีหน้า”

มิลเปียมีลางสังหรณ์ไม่ดีเมื่อแม่ใหญ่พูดเหมือนจะให้เธอทำหน้าที่นั้น

“แต่...นั่นเป็นงานของสมาชิกระดับธรรมดา”

แม่ใหญ่หัวเราะอย่างสนุก

“แต่ลูกคนอื่นของข้าไม่มีใครโตพอเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ได้ มิลเปีย เจ้าอายุครบสิบหกไปเมื่อไม่กี่วันก่อนใช่ไหม?”

มิลเปียกลอกตาพยายามหาข้อแก้ตัว

“เอ่อ ที่จริงข้าอาจอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดก็ได้”

มิลเปียหน้าแดงและตำหนิตัวเองที่หาข้ออ้างไม่ได้เรื่อง ต่อให้อายุของเธอสูงกว่าเกณฑ์จริงก็ปลอมข้อมูลได้

“มิลเปีย ถ้าข้าเจอเจ้าตอนอายุสองหรือสามขวบก็เป็นไปได้อยู่หรอก แต่ข้าเจอเจ้าถูกห่อในห่อผ้าอยู่ในกระเป๋าหน้าโบสถ์ ข้ารู้แน่นอนว่าเจ้าอายุเท่าไหร่” แม่ใหญ่ยิ้ม

มิลเปียพยายามหาข้ออ้างอื่นแต่ไม่สำเร็จ

มิลเปียจ้องตาแม่ใหญ่เพื่อถามว่าตั้งใจจะส่งเธอไปจริงเหรอ การสังเกตม่านตาเป็นเทคนิคจับโกหกอย่างหนึ่ง สำหรับคนอย่างแม่ใหญ่ นางสามารถควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและม่านตาได้ ครั้งนี้แม่ใหญ่สบตามิลเปียโดยไม่ควบคุมม่านตา ปล่อยให้มิลเปียรู้ว่านางตั้งใจจริง

“มีเหตุผลอะไรหรือเปล่าคะที่ข้าต้องเข้าโรงเรียนเวทมนตร์?”

แม่ใหญ่ควบคุมม่านตาให้ขยับ มิลเปียท้อใจเพราะมันหมายความว่านางบอกให้เธอหยุดถาม

“นี่คือคำสั่ง เข้าโรงเรียนและหาความรู้ให้มาก ข้าจะหาชื่อและตำแหน่งขุนนางให้เจ้า”

มิลเปียไม่มีทางอื่นนอกจากยอมรับชะตากรรม

แม่ใหญ่เตรียมตัวตนใหม่ให้มิลเปียโดยการใช้ตัวตนของขุนนางตกอับแทนที่จะทำบัตรปลอมแบบเดนเบอร์ก พวกนางไม่ต้องกลัวเรื่องถูกเปิดโปงเพราะข้อมูลของขุนนางเป็นของแม่ใหญ่อยู่แล้ว

มิลเปียถอนหายใจยาวเหมือนยอมแพ้

เธอกำลังจะมีชีวิตนักเรียนที่ไม่เคยมีมาก่อน

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”

แม่ใหญ่ร่วมแสดงความเสียใจแบบไม่ค่อยจริงใจนัก มิลเปียอยากพูดว่าถ้าจะแสดงความเสียใจแบบนี้อย่าพูดเลยดีกว่า

***

 “เฮ้อ” อารีเลียถอนหายใจ

เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจ บรรดาหญิงรับใช้ถามอย่างเป็นห่วง “เจ้าหญิง กลุ้มใจเรื่องอะไรคะ?”

อารีเลียส่ายศีรษะและเหม่อมองก้อนเมฆนอกหน้าต่าง ไม่รู้ทำไม หัวใจเธอเต้นแรงและเธอนอนไม่ค่อยหลับมาสามคืนแล้ว บางครั้งเธอก็รู้สึกแปลกๆ เศร้าและเหงาขึ้นมา

อา เมฆก้อนนั้นเหมือนหน้ากากของลูแปงเลย

อารีเลียตื่นเต้นเมื่อเห็นก้อนเมฆ และซึมลงอีกครั้งเมื่อเมฆถูกลมพัดกระจาย

“เฮ้อ”

บรรดาหญิงรับใช้ก็งงไปเพราะไม่เคยเห็นอารีเลียเป็นแบบนี้

“กินขนมไหมคะ?”

ยิ่งงานฉลองวันเกิดของอารีเลียใกล้เข้ามา ขนมหวานนอกจากเวลาอาหารว่างก็ถูกห้าม แต่หญิงรับใช้เสนอขึ้นมาเพราะอารีเลียแปลกไป

อาจเพราะความกดดันที่ต้องดูดีต่อหน้าจักรพรรดิในงานฉลองวันเกิด หรืออาจเพราะการที่บรรดาหญิงรับใช้พยายามเตรียมงานให้สมบูรณ์แบบที่สุดทำให้เธอเครียด อารีเลียพยักหน้าพลางเหม่อมองท้องฟ้า

กระวนกระวายใจก็ส่วนของกระวนกระวายใจ ขนมก็ส่วนของขนม ไม่ว่าอารีเลียจะหม่นหมองเพียงใดเธอจะไม่งดขนมหวาน

ปกติหญิงรับใช้จะเตรียมขนมหวานน้อยมากเพื่อควบคุมน้ำหนักของอารีเลีย ดังนั้นเธอจะไม่ปฏิเสธถ้ามันมาโดยเธอไม่ต้องขอ แน่นอน เธอตอบอย่างช้ามากและอ่อนแรงมาก

จากนั้นเธอพูดเสียงเซื่องซึมเพื่อไม่ให้หญิงรับใช้รู้สึกว่าถูกหลอก “บริออช”

“ทราบแล้วค่ะ”

หญิงรับใช้คนหนึ่งออกจากห้องและเอาขนมปังกลับมา อารีเลียอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเห็นมัน แต่เธอพยายามทำสีหน้าให้ว่างเปล่าที่สุดขณะหยิบขนมขึ้นมา

***

ผ่านไปสามวันแล้วนับแต่ผมค้นกองคลังในเขตพระราชฐานส่วนใน ข้อมูลที่นี่เป็นความลับมากกว่ากองคลังข้างนอก

ปัญหาคือผมยังไม่เจอข้อสอบข้าราชการเลย แน่นอน ยังมีตู้นิรภัยอีกมากกว่าครึ่งให้ค้น แต่อีกครึ่งเดือนก็ถึงวันสอบแล้ว ตอนนี้ผมควรจะได้อ่านและท่องจำข้อสอบ ผมเริ่มร้อนใจเพราะเท่าที่ผมได้อ่านคือผลการฝึกข้าราชการ

ผมใช้ความพยายามอีกหน่อยปลดล็อกตู้นิรภัยที่วางเวทมนตร์ไว้สามชั้น

ไหนดูซิ อันนี้เป็นรายงานเกี่ยวกับตลาดมืด อันนี้... โอ๊ะ รายงานเจาะลึกเกี่ยวกับผลกระทบของลูแปงต่อเศรษฐกิจ น่าจะอ่านไว้หน่อย

มันชัดเจนอยู่แล้วว่าการลักขโมยเป็นภัยต่อสังคม แต่ที่จริงแล้วมีผลลบต่อเศรษฐกิจน้อยมาก นั่นเพราะหัวขโมยเป็นแค่ปัจเจกบุคคล ผลกระทบที่พวกเขาสร้างในระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่จึงจำกัด ก็เหมือนโรยเกลือหนึ่งกำมือลงทะเลไม่ทำให้มันเค็มขึ้น

นี่เหมือนบทความที่เขียนอย่างรีบเร่งมากกว่ารายงาน ผมดูแล้วไม่เห็นตราประทับบนรายงาน แต่มีเขียนบนรายงานว่าสำหรับหนังสือพิมพ์องค์กร

ดูเหมือนกองคลังจะมีจดหมายข่าวของตัวเอง ซึ่งมีเหตุผลเพราะเป็นองค์กรขนาดใหญ่พอตัว อีกอย่างการปรากฏตัวของโจรที่สามารถทำให้ตลาดปั่นป่วนก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ปัญหาใหญ่ที่ลูแปงก่อคือเขาเปลี่ยนเงินทุนโปร่งใสของเหล่าขุนนางเป็นเงินที่คาดคะเนไม่ได้

เหตุผลที่มันเป็นปัญหาคือหนึ่ง พวกเขาคาดเดาไม่ได้ว่าเงินจะถูกใช้ทำอะไร เหตุผลข้อสองคือพวกเขาไม่รู้ว่าลูแปงขโมยไปเท่าไหร่

ปัญหาข้อแรกมีความเห็นหลายข้อ มีสามข้อที่เด่นที่สุด

หนึ่งคือลูแปงเป็นโจรคุณธรรมแบบในนิทาน สองคือนี่เป็นกลยุทธ์ทำให้ระบบเศรษฐกิจของจักรวรรดิปั่นป่วน ข้อสามคือเชื่อว่านี่คือการกระทำของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล

ปัญหาข้อที่สองเกิดเพราะพวกขุนนางที่ถูกขโมยไม่เปิดเผยว่าผมขโมยเงินไปเท่าไหร่ เมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าผมขโมยไปเท่าไหร่ก็ทำนายผลกระทบที่ผมมีต่อตลาดไม่ได้ ดูจากแผนภูมิและตารางในรายงานแล้วก็เห็นได้ว่าพวกเขายังไม่รู้จำนวนคร่าวๆอยู่ดี

แต่ถ้าดูจากกราฟนี่...

ผมอ่านรายงานคร่าวๆจนจบแล้ววางมันไว้ที่เดิม

รายงานกล่าวอย่างชัดเจนว่ากองคลังมองลูแปงอย่างไรและมีแผนรับมือต่อเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไร นี่จะเป็นประโยชน์ถ้าต่อไปผมต้องก่อกวนนายกรัฐมนตรีอีก นอกจากนั้นยังมีผู้ซื้อขายในตลาดมืดที่ถูกจับตามองซึ่งผมต้องหลีกเลี่ยง

ผมไล่ดูกองเอกสารไปเรื่อยและเจอซองเอกสารหนาที่ปิดตราขี้ผึ้งไว้ มุมซองเขียนว่า – ข้อสอบข้าราชการ XX

เจอ เจอจนได้เหรอ?

ผมแทบตะโกนด้วยความดีใจ

โอ๊ะ อันตราย

ผมอยู่ตรงหัวใจของจักรวรรดิที่คนจะถูกส่งไปประหารถ้าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต แน่ล่ะ ก่อนจะเป็นเช่นนั้นผมต้องถูกจับได้ก่อน แต่ถ้าลุงรู้ว่าผมคือเดนเบอร์ก เบลด ผลที่เลวร้ายที่สุดคือผมจะถูกพากลับบ้าน



สารบัญ                                 รอใส่บทที่ 34


วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 32

 บทที่ 32 – ความเศร้าของเจ้าหญิง (2)


เมื่อถึงกองคลังของพระราชฐานชั้นใน ผมก็ใช้ลวดเปิดประตู ที่ใช้ลวดเพราะมันมีเวทที่จะปรับรูปทรงของมันให้เข้ากับกุญแจ ไม่ใช่เพราะผมเก่งเรื่องสะเดาะกลอน

ความยากของเวทนี้คือถ้าปรับรูปทรงใหญ่เกินไป ล็อกจะพัง ถ้าปรับรูปทรงเล็กเกินไปจะไขไม่ออก ลวดจะกลายเป็นกุญแจได้ก็ต่อเมื่อปรับรูปทรงได้พอดี ชื่อของลวดนี้คือ อโลโฮโมรา

เมื่อเข้ามาข้างในสำนักงาน ผมเริ่มเปิดตู้นิรภัยทันที เช่นเดียวกับกองคลังข้างนอก ตู้นิรภัยมีเอกสารหลายหัวข้อ ที่น่าสนใจที่สุดคือบันทึกประเมินผลการฝึกข้าราชการ

ผมอยากเอาบันทึกของผู้รับการฝึกหลายร้อยคนนี้กลับไปอ่าน แต่ถ้ามันหายไปคงสร้างความปั่นป่วนไม่น้อย ดีไม่ดีอาจถึงขั้นยกเลิกการสอบ ผมจึงอ่านแต่ของคนที่ดูเหมือนมีผลการฝึกดีอย่างละเอียดแล้วเก็บเอกสารคืนที่เดิม

ผมจำตำแหน่งตู้นิรภัยนี้เอาไว้ ข้อมูลจากร้านขายข่าวบอกว่าลุงของผมอยู่ที่เมืองหลวง ดังนั้นผมต้องหลีกเลี่ยงตำแหน่งงานในพระราชฐานชั้นในให้ได้เพื่อไม่ต้องเจอเขา

เป้าหมายสูงสุดของผมคืองานข้าราชการในเมืองหลวง เพื่อการนั้นต้องมีเกรดอยู่ช่วงกลางค่อนไปทางสูง พวกเกรดสูงถูกจัดให้ทำงานในส่วนใน ขณะที่พวกเกรดต่ำจะถูกส่งไปทำงานที่ห่างไกล ซึ่งมันน่ารำคาญตรงที่ต้องเดินทางย้ายที่ไปเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าทำงานในส่วนในใต้สายตาลุงของผม

ผมมองไปยังตู้นิรภัยอื่น ตัดสินใจว่าจะค้นไปทีละนิดเพราะตั้งใจจะมาที่นี่อีกหลายวัน

***  

ที่ด้านตะวันออกของเมืองหลวง ผู้หญิงในเสื้อคลุมคนหนึ่งเข้ามาในร้านเหล้า วินซ์ มาสค์อันตั้งอยู่ในทางวงกตที่ประกอบด้วยซอกซอยนับไม่ถ้วน มีคนส่วนหนึ่งเห็นเธอแต่ไม่มีใครเปิดเผยตัวออกมาและทำเพียงปะปนไปในฝูงชน ร้านเหล้ามีคนไม่มากเพราะสถานที่ตั้งโดดเดี่ยว แต่มีความโหวกเหวกอันเป็นลักษณะพิเศษของตรอกซอย

หญิงผู้ปิดบังตัวตนในเสื้อคลุมผ่านคนในร้านอย่างระมัดระวังและนั่งตรงโต๊ะติดป้าย B3  

“จะสั่งอะไร?”

เมื่อพนักงานยื่นเมนูให้ ผู้หญิงมองเมนูผ่านๆแล้วพูด “ข้าอยากได้เหล้าดีๆ”

“เหล้าดี... ถ้าเหล้าดีร้านเรามีตะวันควบ, น้ำค้างจันทร์, แล้วก็ฝันพันวัน”

เหล้าที่พนักงานพูดถึงล้วนแต่ทำจากนักบ่มเหล้าเลื่องชื่อ ไม่ใช่ของที่จะหาซื้อได้ในร้านเหล้าเล็กๆ แน่นอนว่าพวกเขาขายเหล้าปลอมหรืออาจผสมของจริงไม่กี่หยด นี่เป็นเรื่องที่ทำเป็นปกติในร้านเหล้าเล็กแบบนี้

ถึงอย่างนั้น เธอตอบอย่างไม่ประหลาดใจเหมือนรู้อยู่แล้วว่าพนักงานจะบอกชื่อพวกนี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยหากเธอไม่ใช่ลูกค้าประจำของที่นี้

“ก็ดีนะ แต่ข้าอยากลองดื่ม ‘เมตตาของแม่’”

คิ้วพนักงานกระตุก เมตตาของแม่เป็นไวน์คุณภาพสูงเช่นกันแต่ธรรมดากว่าเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มที่พนักงานบอก

“รสนิยมดีนะ เมตตาของแม่เป็นของแพง ขอดูก่อนได้ไหมว่าเจ้าจ่ายไหวหรือเปล่า?”

ผู้หญิงเอาเหรียญเงินออกมาสี่เหรียญตามคำถามของพนักงาน สามเหรียญเป็นของจริง เหรียญสุดท้ายเป็นเหรียญที่มีขนาดเท่าเหรียญเงิน

พนักงานก้มศีรษะขอโทษ “ขออภัยที่ข้าล่วงเกินไป เงินเท่านี้พอจ่ายค่าเหล้า กลิ่นเทียนที่นี่อาจรบกวนการดื่มเหล้าชั้นดี ให้ข้าพาไปอีกห้องไหม?”

เธอพยักหน้าและตามเขาไปที่ประตูลับ

ในทางใต้ดิน พนักงานถาม “อะไรทำให้ผู้จัดการสาขากรันเวลต้องมาถึงที่นี่?”

ผู้หญิงลดฮู้ดคลุมหัวลง “ระดับของเจ้ายังไม่สูงพอให้ข้าบอกเหตุผลที่มา”

“แต่ข้าเป็นหัวหน้าผู้บริหารสาขาเมืองหลวงนะ?”

เธอพยักหน้า “ข้าแน่ใจว่าต่อไปหัวหน้าจะพบคำตอบ แต่ยังไงเราก็ต้องทำตามขั้นตอน”

หัวหน้าผู้บริหารมีสีหน้าแปลกใจซึ่งมีไม่บ่อยนัก คำพูดของเธอบอกว่าข้อมูลนี้สำหรับคนเพียงเดียวที่อยู่เหนือเขา แม่ใหญ่

เมื่อถึงบันไดขั้นล่างสุด เขาเคาะประตูด้วยจังหวะพิเศษ ประตูเลื่อนออกเผยให้เห็นห้องใหญ่ที่ประดับประดาอย่างหรูหรา

“มิลเปีย? ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!”

หญิงวัยกลางคนผมดำคนหนึ่งอ้าแขน

“แม่ใหญ่ ไม่ได้เจอกันนานเลยค่ะ” มิลเปียยิ้มและกอดตอบ

“มิลเปีย ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าเรียกข้าว่าแม่”

แม่ใหญ่ลูบศีรษะมิลเพียด้วยรอยยิ้มอบอุ่น มิลเปียหน้าแดงและตอบเสียงเบา “ค่ะแม่”

แม้มิลเปียกับแม่ใหญ่จะมีใบหน้าสีผมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม่ใหญ่ก็กลายเป็นแม่ของมิลเปียผู้เป็นเด็กกำพร้า ที่จริงแล้วที่เธอถูกเรียกว่าแม่ใหญ่เพราะเธอเป็นเหมือนแม่ของทุกคนในหน่วยงานข่าว

แม่ใหญ่นั่งบนโซฟาและให้มิลเปียนั่งตรงข้าม หัวหน้าผู้บริหารคำนับให้แม่ใหญ่และออกไป ยามในห้องก็ออกไปเช่นกัน

แม่ใหญ่นั่งตามสบายและถาม “แล้วทำไมเจ้าเดินทางจากกรันเวลมาถึงนี่ล่ะ?”

มิลเปียกลืนน้ำลายอย่างไม่สบายใจ

กรันเวลเป็นเมืองธรรมดาเทียบกับเมืองใหญ่ไม่ได้ แต่สำหรับหน่วยงานข่าวแม่ใหญ่ ที่นี่เป็นศูนย์กลางสำคัญที่ข้อมูลจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือมารวมกัน เธอที่เป็นผู้จัดการที่นั่นจะถูกตำหนิอย่างหนักถ้าทิ้งหน้าที่มาแบบไม่มีเหตุผล

เธอมาเพราะตัดสินว่านี่เป็นข้อมูลสำคัญก็จริงแต่แม่ใหญ่อาจไม่เห็นด้วย

“ชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาซื้อข่าวที่กรันเวล เมื่อเวลา 11 โมง 14 นาที 53 วินาที วันที่ 24 พฤษภาคมของปีนี้ นี่คือรายชื่อของที่เขาซื้อไปค่ะ”

มิลเพียหยิบเอกสารในกระเป๋ายื่นให้แม่ใหญ่อ่าน

“เขาซื้อหมดนี่เลยเหรอ?” แม่ใหญ่ประหลาดใจทีเดียวเมื่ออ่านเอกสารลับ

ข่าวที่ขายไปเทียบเท่ากับปริมาณข่าวที่ร้านสาขาหนึ่งขายเป็นเวลาครึ่งปี และสาขานั้นต้องเป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่ศูนย์รวมอย่างกรันเวลเป็นสาขาลับสุดยอด ไม่ค่อยมีคนเข้าไปซื้อข่าวนัก

แม่ใหญ่แกะรหัสในเอกสารเพื่ออ่านรายละเอียดและต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะระดับของข้อมูลสูงทีเดียว

“นี่น่าจะราคาประมาณ 90 ล้านเบี้ย...”

มิลเปียได้ทึ่งกับความสามารถคำนวณของแม่ใหญ่อีกครั้ง

“ค่ะ ที่จริงคือ 85 ล้านเบี้ย อีกอย่าง-”

มิลเปียวางเหรียญทองคำขาวสี่เหรียญบนโต๊ะ

“เขาจ่ายด้วยเหรียญทองคำขาว”

เหรียญทองคำขาว 4 เหรียญเท่ากับ 100 ล้านเบี้ย ในที่สุดแม่ใหญ่ก็เข้าใจว่าทำไมผู้จัดการสาขากรันเวลจึงมาพบเธอด้วยตัวเอง

“เงินทอนใกล้เคียงกับเงินทุนของสาขากรันเวล”

ร้านสาขากรันเวลมีเงินทุนประมาณ 14 ล้านเบี้ย การจ่ายด้วยเหรียญทองคำขาวแทนเหรียญทองแปลว่าพวกเขาพยายามล้วงข้อมูลของหน่วยงานข่าวแม่ใหญ่ เหรียญทองคำขาวเป็นเหรียญที่ใช้เฉพาะในขุนนางขั้นสูง จะพูดว่าเหรียญทองคำขาวมีเพื่อขุนนางขั้นสูงเท่านั้นก็ไม่เกินเลยไป

เข้ามาในร้านของแม่ใหญ่และจ่ายด้วยเหรียญแบบนั้นและขอเงินทอนเท่ากับเงินทุนของสาขาจะถือว่าเป็นการท้าทายก็ได้

“มีภาพของชายคนนั้นใช่ไหม?”

มิลเปียหยิบภาพชายมีแผลบนหน้าและยื่นให้แม่ใหญ่

ระหว่างแม่ใหญ่ตั้งใจดูภาพวาด มิลเปียพูด “เราสะกดรอยตามเขาไม่ทัน ทั้งๆที่เขาแบกเงินทอน ข่าวและของที่เราให้แทนเงินทอนที่ขาดไป”

“รวมแล้วน้ำหนักเท่าไหร่?”

“มากกว่า 500 กิโลกรัมค่ะ”

แม่ใหญ่หน้าเครียดและจ้องภาพวาดเขม็ง

เธอไม่รู้จักเขา หากจะแบกของหนัก 500 กิโลกรัมได้สบาย เขาต้องมีร่างกายของชาติพันธุ์นักสู้ แม่ใหญ่รู้จักทุกคนที่ฝึกฝนร่างกายเทียบเท่ากับคนในเผ่าพันธุ์นักสู้ แต่เธอเพิ่งเคยเห็นใบหน้านี้เป็นครั้งแรก

“เป็นไปได้ไหมว่าเขาเป็นชาติพันธุ์นักสู้”

แม่ใหญ่ถามเพราะถ้าเขามาจากดินแดนต้องห้ามก็เป็นไปได้ที่เธอไม่รู้จัก

“เป็นไปได้ค่ะ แต่คงไม่ใช่มากกว่า”

“ทำไมล่ะ?”

“อย่างแรก ชายคนนี้ไม่มีลักษณะภายนอกที่ตรงกับชาติพันธุ์นักสู้”

เผ่ากามีผมดำตาดำ เผ่ามังกรมีผมทองตาฟ้า และเผ่าผีเสื้อมีผมขาวตาแดง ลักษณะของเผ่ากาค่อนข้างหายากแต่ไม่ถึงกับไม่มีเลย ส่วนของเผ่ามังกร หนึ่งในสามของคนทั่วไปมีผมทองตาฟ้า นอกจากว่าคนนั้นจะมีลักษณะภายนอกแบบเผ่าผีเสื้อที่เด่นชัดมากแล้ว ลักษณะภายนอกไม่ช่วยในการบ่งบอกตัวตนของชาติพันธุ์นักสู้ อีกอย่าง เวทมนตร์ย้อมสีผมก็มี

เหตุผลที่มิลเปียกล่าวถึงลักษณะภายนอกเพราะศักดิ์ศรีของชาติพันธุ์นักสู้ ไม่ต้องพูดถึงเผ่ากาที่แข็งแกร่งที่สุด แม้แต่เผ่ามังกรและเผ่าผีเสื้อก็ไม่คิดปลอมตัว พวกเขาแข็งแกร่งและไม่มีเหตุผลต้องหลบซ่อนตัว

แม่ใหญ่โคลงศีรษะ แปลว่าชายคนนี้เป็นคนนอกจักรวรรดิ

“แปลว่านี่เป็นกลุ่มกำลังนอกจักรวรรดิ หรืออาจเป็นกลุ่มกำลังที่ใหญ่พอจ้างคนจากนอกจักรวรรดิมาได้”



สารบัญ                                        บทที่ 33



พระเอกเราตั้งชื่อให้ลวดด้วย... (คราวนี้ไม่มีเซ็นเซอร์แฮะ)










   






วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 31

บทที่ 31 - ความเศร้าของเจ้าหญิง (1)


วันที่สิบของการเป็นโจรลูแปง หลังจากการปล้นทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเคานต์ดรูวาล ผมเข้าสู่ช่วงพักงานและไปป้วนเปี้ยนแถวกองคลังทุกวัน โชคไม่ดีที่ไม่เจอกระดาษข้อสอบเลย

แม้จะไม่เป็นไปตามแผน แต่ด้วยความมองโลกในแง่ดี วันนี้ผมก็ตรงไปที่กองคลังเช่นเดิม ผมเลือกตู้นิรภัยในห้องทำงานพลางร้องเพลงเปิดของการ์ตูนที่ความประทับใจหลักคือตัวเอกจำหน้าคนไม่ได้ 

คืนนี้ฉันจะทำอะไรดีนะ จะส่งความสุขให้ใคร หนึ่งใจร้าย หลายความโลภ ได้จากไปไกล~

ในโลกนี้ ถ้าแทรกแซงเวทมนตร์บนตู้นิรภัยแล้วหมุนกลับ ตู้นิรภัยจะส่งเสียงกริ๊กและเปิดออก ถ้าเป็นตู้นิรภัยของโลกในชาติก่อนผมคงต้องเจาะรู ระบบล็อกที่ทำจากเวทมนตร์แบบนี้ทำให้เปิดตู้ได้อย่างไร้ร่องรอย สะดวกกว่ามาก

“เซซามี จงเปิด”

กริ๊ก!

ผมเปิดตู้แล้วอ่านเอกสารข้างใน เอกสารชุดหนึ่งเป็นรายการเสบียงที่ส่งไปยังชายแดนปีศาจ อีกชุดเป็นราคาชิ้นส่วนปีศาจ อีกชุดแจกแจงราคาชิ้นส่วนสัตว์ประหลาด...ไปจนถึงค่าใช้จ่ายงานเลี้ยงเดือนก่อน

หลังจากค้นตู้นิรภัยสิบวัน ผมก็มองเห็นกระแสเงินที่ไหลในจักรวรรดิ ดูจากงบประมาณของหน่วยงานอื่นลดลงทีละน้อยและเสบียงที่ส่งไปชายแดนปีศาจเพิ่มขึ้นก็บอกได้ว่าพวกปีศาจมีการเคลื่อนไหวมากกว่าเดิม

แทนที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าที่ส่งมาที่หอพักทุกเช้า อ่านเอกสารพวกนี้ทำให้ผมรู้สถานการณ์รอบโลกมากกว่า แม้จะมีข้อเสียที่ข้อมูลไม่ถูกแยกแยะเรียบเรียงเหมือนหนังสือพิมพ์ก็ตาม ผมตัดสินจะแวะมาที่นี่นานๆครั้งเพื่ออ่านข่าว ไม่ได้โกรธหนังสือพิมพ์ที่ทำให้ลูแปงเป็นคนร้ายเลยนะ

จะว่าไป ขนาดหาในตู้นิรภัยของกองคลังทุกตู้แล้วยังไม่เจอกระดาษข้อสอบข้าราชการเลย ผมสงสัยว่ายังไม่ได้เตรียมข้อสอบหรืออย่างไร แต่ไม่น่าเป็นไปได้เมื่อคิดว่าอีกไม่ถึงเดือนก็เป็นวันสอบแล้ว แม้ผมเอาเวลาว่างทั้งหมดไปเตรียมสอบมันก็ยังสู้การดูข้อสอบล่วงหน้าไม่ได้

ผมอยากดูข้อสอบก่อนจริงๆ

มาคิดดู จากแผนที่ที่ผมซื้อมา กองคลังแบ่งเป็นที่ทำงานในเขตพระราชฐานชั้นนอกกับที่อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน งานของสองที่ต่างกันเล็กน้อย...

ที่ทำงานในพระราชฐานชั้นนอกดูแลเรื่องงานนอกเช่นสำรวจตลาดและกระแสเงินตรา ที่ทำงานในพระราชฐานชั้นในดูแลเรื่องภายในเช่นจัดสรรงบประมาณ ถ้าข้อสอบข้าราชการไม่อยู่ที่นี่ ก็ต้องอยู่ในที่ทำงานเขตพระราชฐานชั้นใน

คนที่จะเข้าส่วนในต้องถูกตรวจสอบเข้มงวดเพราะจักรพรรดิอยู่ที่นั่น แต่ไม่เกี่ยวกับผมเพราะผมจะแอบเข้าไป

ผมเก็บเอกสารคืนที่เดิมและปิดตู้นิรภัย

***

“องค์หญิง? องค์หญิงอยู่ไหนคะ?”

ที่ใดที่หนึ่งในวัง เจ้าหญิงอารีเลีย วอน บาฮามุนท์ ดิ ออเลียง อีเลีย กลั้นลมหายใจรอให้หญิงรับใช้ของเธอผ่านไป

“องค์หญิง?”

อารีเลียถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเสียงเรียกชื่อเธอค่อยๆห่างไปจนไม่ได้ยิน

หญิงรับใช้เป็นคนดี แต่เข้มงวดเกินไป ที่จริงเข้มงวดก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่เมื่อไหร่ที่มีงาน หญิงรับใช้จะให้เธอลองชุด... “ใส่สร้อยนี้สิคะ... สร้อยคอเหมาะไหม...” อารีเลียรู้สึกเหมือนเป็นตุ๊กตา

ไม่ใช่เธอไม่เข้าใจที่หญิงรับใช้ต้องมาวุ่นวาย สถานะของหญิงรับใช้ขึ้นอยู่กับคนที่เธอรับใช้ เช่น หญิงรับใช้ของจักรพรรดิมีอำนาจขนาดขุนนางยศสูงยังไม่อาจล่วงเกิน เหมือนพ่อบ้านที่ทำงานให้ดยุคไม่เหมือนกับพ่อบ้านที่ทำงานให้บารอน ลำดับชั้นในกลุ่มข้ารับใช้ในวังก็จัดเรียงตามฐานะคนที่พวกเขารับใช้

งานฉลองวันเกิดของอารีเลียตรงกับวันที่เธอถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ จักรพรรดิจะมาร่วมงานฉลองหรือไม่จะส่งผลกับฐานะในภายภาคหน้าของเธอ ที่เหล่าข้ารับใช้ของเธอตึงเครียดกันจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้

แต่ที่จริงแล้วอารีเลียไม่สนใจเรื่องนี้นัก ไม่ว่าฐานะภายหน้าของเธอจะดีอย่างไรหรือจักรพรรดิจะรักเธอขนาดไหน เธอก็ไม่อาจหลบเลี่ยงจากการแต่งงานทางการเมืองเพราะเกิดมาเป็นเจ้าหญิงของจักรวรรดิ

จักรพรรดิโปรดปรานก็หมายความแค่เธอจะได้แต่งงานกับคนที่มีตำแหน่งสูงขึ้นสำคัญขึ้น เพราะเธอไม่คิดอะไรเรื่องการแต่งงาน จึงไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือท้อใจ นี่เป็นเรื่องที่ถูกตัดสินตั้งแต่ตอนที่เธอเกิดมาและเธอรู้ตั้งแต่เด็ก

ถ้าเสียใจหรือท้อใจไปแล้วจะทำอย่างไร มันเป็นเรื่องโง่เขลา

ถึงอย่างนั้น มุมหนึ่งในใจของเธอโหยหาอิสระ แต่แม้ตอนนี้จะมีโอกาสเข้ามาเธอก็ไม่อาจจากวังไปได้ เธอฝันอย่างเดียวกับเด็กสาวในวัยเดียวกันว่าจะมีอัศวินจากนิยายรักมาพาเธอไป

อารีเลียรู้สึกอึดอัดขึ้นมา จึงเปิดประตูไปยังระเบียงที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ จากตรงนี้หากเป็นเวลากลางวันจะเห็นทั้งตัวเมือง แต่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ทั้งเมืองกำลังหลับใหลใต้แสงดาว

เงาหนึ่งลงมาจากท้องฟ้าอย่างกะทันหัน อารีเลียตกใจแต่ส่งเสียงร้องออกมาไม่ได้เพราะกำลังหายใจเข้า

เงานั้นเป็นของชายในเสื้อคลุมดำและหน้ากากสีขาวครึ่งสีดำครึ่ง เขาดูยังหนุ่มเมื่อดูจากปลายจมูกที่โผล่พ้นหน้ากาก แต่เธอไม่รู้ว่าใบหน้าใต้หน้ากากของเขาเป็นอย่างไร

ชายสวมหน้ากากยกนิ้วชี้จ่อปากของเขาเพื่อบอกให้อารีเลียเงียบ

อารีเลียตกใจที่ชายคนนี้ปรากฏตัวอย่างกะทันหันและสงสัย

“เจ้าเป็นใคร?”

ชายสวมหน้ากากลังเล แต่สุดท้ายก็ตอบ

“ข้าคือลูแปง แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบเดินเล่นตอนกลางคืน แล้วเจ้าล่ะ?”

อารีเลียประหลาดใจและตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อเขาเรียกเธอว่าเจ้า ไม่เคยมีใครเรียกเธออย่างนั้น

อารีเลียจะตอบแต่แล้วก็ลังเล ไม่ใช่กลัวว่าจะถูกลักพาตัวถ้าเขารู้ว่าเธอเป็นใคร เธอกลัวว่าเขาจะทำตัวอ่อนน้อมกับเธอเหมือนคนอื่น

แม้จะเป็นความคิดโง่เขลา อารีเลียตัดสินใจไม่บอกชื่อจริงหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

“อา...เรีย ข้าชื่ออาเรีย”

“อาเรีย ยินดีที่ได้รู้จัก”

เธอคิดจะบอกชื่อจริงเมื่อได้ยินเขาเรียกเช่นนั้น เพราะไม่มีใครเรียกเธอแบบห้วนๆได้ แต่เธอไม่ทำ

แม้จะไม่ใช่ชื่อจริง เธอยังรู้สึกทึ่งอย่างแปลกๆที่ไม่ถูกเรียกว่าองค์หญิงลำดับสาม ความรู้สึกนี้ทำให้เธอไม่เรียกทหารมา

ลูแปงกระโดดเบาๆไปที่ราวกั้นระเบียงและพูด “ขออภัย แต่ข้าต้องขอให้เจ้าปิดเรื่องที่เห็นข้าวันนี้เป็นความลับ”

อารีเลียเผลอพยักหน้า เห็นอย่างนั้นแล้วลูแปงก็หัวเราะเบาๆ

“ถึงจะเป็นหน้าร้อนแต่ตอนกลางคืนก็ยังหนาว ระวังเป็นหวัดล่ะ” พูดจบลูแปงก็ถอยหลังแล้วทิ้งตัวลงหายไปในทันที

เห็นเขาจู่ๆก็กระโดดลงจากระเบียง อารีเลียสะดุ้งแล้วโน้มตัวข้ามระเบียงมองไปข้างล่าง โชคดีที่ไม่มีภาพเลวร้ายรออยู่ เห็นแต่หญ้าเขียวใต้แสงไฟ

อารีเลียถอนหายใจแล้วทรุดลงตรงนั้น เธอหายใจเข้าลึกๆเพื่อปลอบใจให้สงบ นี่อาจเป็นแค่ฝันสั้นๆหรือภูติแกล้งเสกภาพลวงตาใส่เธอ อารีเลียลูบแก้มร้อนๆแล้วเงยมองดวงจันทร์ ช่างกลมดีจริง

*** 

ว้าว ผมเกือบทำเสียเรื่องแล้ว

ขณะผมแอบปีนกำแพงปราสาทเข้ามา จู่ๆก็รับรู้ตัวตนของยามจากทั้งสองทางจึงกระโดดลงไปที่ระเบียงแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเองที่ผมเห็นเด็กผู้หญิงโผล่มาจากที่ไหนไม่ทราบ จะถอยกลับก็สายไปผมจึงตัดสินใจลงพื้น

โชคดีที่อาเรียไม่ร้องแต่กลับถามว่าผมเป็นใคร เพราะมันกะทันหัน โรคม.สองของผมจึงกำเริบ “ลูแปง แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบเดินเล่นตอนกลางคืน แล้วเจ้าล่ะ?”

อ๊าก น่าอายเป็นบ้า

โชคดีมากที่ผมใส่หน้ากากอยู่ หรือควรโทษหน้ากากดีที่ทำให้โรคม.สองของผมกำเริบ?

ผมอายจนต้องขอให้การพบกันครั้งนี้เป็นความลับก่อนจะกระโดดลงระเบียง แต่ที่จริงไม่ต้องขอก็ได้เพราะผมร่ายคาถาบิดเบือนการรับรู้บนหน้ากาก หากคนมองไม่ได้ฝึกฝนด้านเวทมนตร์มาก็จะจำผมไม่ได้

ผมเกาะอยู่ที่พื้นใต้ระเบียง ถ้าเป็นตัวผมในชาติก่อนไม่มีทางทำแบบนี้ได้ แต่กับร่างกายของชาติพันธุ์นักสู้นี้ไม่ว่าท่ายากแบบไหนก็ทำได้ทั้งนั้น

อาเรียคงตกใจที่ผมกระโดดจึงมองลงมา จากนั้นเธอทรุดลงกับพื้นเหมือนขาหมดแรง คงกลัวที่มีคนแปลกหน้าโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ น่าชื่นชมที่เธอทนได้จนผมไป

ผมต้องรีบบุกกองคลังก่อนอาเรียจะไปเรียกยามมา

ผมใช้เวทมนตร์ประคองตัวลงพื้นระเบียงชั้นล่างอย่างเงียบๆ จากนั้นตามแผนที่ไปยังกองคลังของพระราชฐานชั้นใน แม้แผนที่จะเว้นว่างเป็นส่วนใหญ่แต่ผมก็เริ่มสงสัยว่าร้านขายข่าวเป็นองค์กรแบบไหนถึงมีกระทั่งแผนที่ของพระราชฐานชั้นใน

เออ ไม่ใช่เรื่องของผมนี่นะ

ไหนๆมาที่นี่แล้วก็เติมที่ว่างในแผนที่ไปด้วยเลย คิดได้ดังนั้นผมก็เคลื่อนที่ไปพลางเขียนแผนที่ไปพลาง ผมใช้เวลา 10 วันจึงค้นกองคลังในเขตพระราชฐานชั้นนอกจนหมด กองคลังที่นี่คงใช้เวลาเท่าๆกัน



สารบัญ                                            บทที่ 32



โรคม.2 นี่ผ่านไปกี่ปีก็กำเริบได้นะ :3 

เพราะไม่รู้ว่าคนเขียนหมายถึงการ์ตูนเรื่องอะไร ทีแรกเลยตั้งใจจะตัดท่อนที่พระเอกร้องออกค่ะ แปลไปก็ไม่รู้อยู่ดีนี่นะว่าเพลงอะไร แต่มาอ่านดู เออ ร้องเพลงนี้ตอนไขตู้เซฟชาวบ้านนี่มันทะแม่งดีนะ เลยไม่ตัด XD