บทที่ 26 – เหตุเกิดที่เมืองหลวง (3)
“ถ้าอย่างนั้น เรามาหาสถานที่กันเลยไหมคะ? เตรียมงบไว้เท่าไหร่คะ?”
ผมชูสองนิ้ว
“สองเหรียญเงิน? น้อยไปหน่อยนะคะ เอาเถอะ ไม่เป็นไร ถ้าเป็นที่พักสำหรับคนเดียวก็ยังพอ”
ไม่ใช่ ผมหมายถึงสองเหรียญเงินบริสุทธิ์ ที่จริง ต่อให้บ้านราคาสองเหรียญทองก็ไม่เป็นไร แต่ผมลดงบลงเพราะรู้สึกว่าบ้านราคาแพงขนาดนั้นคงไม่มีในแถบนี้ แต่ก่อนผมจะแก้ความเข้าใจผิด คุณป้าก็เอาภาพวาดห้องและตึกต่างๆออกมา
ขอภาพจริงแทนภาพวาดไม่ได้เหรอ?
“ห้องนี้ต้องวางเงินประกันล่วงหน้าหนึ่งเหรียญเงินกับ 20 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ ค่าเช่าเดือนละ 10 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ค่ะ แต่สะดวกดีนะคะเพราะอยู่ใกล้ตลาด”
แบบแปลนที่คุณป้าให้ดูเป็นห้องแบบสตูดิโอที่เหมาะกับการอยู่คนเดียว
“ขอโทษครับ ข้าอยากได้ที่พักแค่จนสอบข้าราชการเสร็จ มีแบบนั้นไหม?”
ถ้าไม่มี ซื้อบ้านเลยดีกว่า ถ้าพักในโรงแรมก็หนวกหูเกินไปไม่เหมาะกับการเตรียมสอบ
“จนสอบข้าราชการ... น่าเสียดายแต่ไม่มีบ้านให้เช่าแบบนั้นเลยค่ะ”
ผมคิดว่าซื้อบ้านเลยแล้วกัน ต่อให้ต้องพักในหอพักโรงเรียน ผมมั่นใจว่าฝึกเสร็จก็จะได้รับบรรจุในเมืองหลวงนี่อยู่ดี
“งั้น-”
ผมกำลังจะพูดแต่คุณป้าขัดจังหวะ “บ้านที่ทำเป็นหอพักเป็นยังไงคะ? เจ้าของบ้านเขายอมให้คนอยู่หนึ่งเดือน หลังจากนั้น ถ้าอยากอยู่ต่อก็ต่อสัญญาได้ แต่ราคาจะค่อนข้างแพง”
“เท่าไหร่ครับ”
“40 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ต่อเดือน ไม่ต้องจ่ายเงินประกันค่ะ”
“หอพักเนี่ยนะครับ?”
ราคาบ้านเช่าคือ 10 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ต่อเดือน ราคาหอพัก 40 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ต่อเดือนจึงแปลกมาก ถ้าผมอยู่สามเดือน ก็จะเท่ากับเงินประกันของสตูดิโอเลย นี่ก็เหมือนกับว่าเจ้าของไม่สนใจหาคนอยู่
“ค่ะ ห้องใหญ่นะ มีสวนแล้วก็ใกล้ตลาดด้วย มีอาหารมื้อเช้ากับมื้อเย็นให้ แต่เจ้าของบ้านบอกว่าในช่วงหนึ่งเดือน ถ้าเกิดไม่ชอบใจเจ้า เจ้าก็ต้องเก็บของออกไป”
“อะไร? เจ้าของไล่คนเช่าออก?”
หอแบบไหนกันไล่คนออกเพราะไม่ชอบ?
“ค่ะ ที่จริงเวลาหนึ่งเดือนนี่เหมือนให้เจ้าของได้ทำความรู้จักคนอาศัยมากกว่านะ พักโรงแรมอาจจะยังถูกกว่าและถ้าเจ้าพักที่นั่นตลอดหนึ่งเดือนก็ต่อรองราคาได้ด้วย”
ใช่ ถ้าผมพักโรงแรมก็อาจได้ลดราคาเพราะอยู่ยาว ช่วงวันธรรมดาโรงแรมก็ไม่ค่อยมีแขกนัก
“บ้านเงียบไหมครับ?”
“ค่ะ บ้านตั้งอยู่แถบอาศัยของขุนนาง เงียบสงบและปลอดภัยดี”
ความปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน การรักษาความปลอดภัยดีหมายถึงลดความเสี่ยงที่จะถูกรบกวนด้วยเหตุแปลกๆ
“คงไม่มีปัญหาอย่างเจ้าของบ้านเข้ามาในห้องตอนข้าไม่อยู่ใช่ไหม?”
“ได้ยินว่าเจ้าของบ้านไม่ใช่คนแบบนั้นค่ะ”
“ไปดูได้ไหมครับ?”
“มันแพงและเจ้าอาจถูกไล่ออกทีหลังได้นะ ไม่เป็นไรเหรอคะ?” คุณป้าถามซ้ำ
“ครับ ช่วยพาไปที”
เมื่อผมตอบอย่างหนักแน่น คุณป้าก็พาผมไปที่หอพัก บ้านดูดีกว่าที่ผมคิดไว้มาก คิดว่าเป็นคฤหาสน์ของตระกูลขุนนางเลยทีเดียว คุณป้ากดกริ่งและพูดผ่านอินเตอร์คอม
“สวัสดีค่ะ? นายหน้าจากถนนเวลคอนค่ะ มีคนสนใจมาอยู่ เข้าไปได้ไหมคะ?”
แทนคำตอบ ประตูเหล็กเปิดออกโดยอัตโนมัติ ประเทศนี้พัฒนาไปกว่าที่ผมคิดมาก
“เข้าไปเลยไหมคะ?”
“ครับ”
สวนที่อยู่ระหว่างทางไปถึงระเบียงหน้าบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้สีชมพู ผมไม่รู้จักชื่อของมันแต่บอกได้ว่ามันถูกดูแลอย่างดี อีกอย่าง ผมรู้สึกถึงการมีอยู่ของคนหลายคน
คุณป้าเคาะประตู มันเปิดเหมือนมีคนรออยู่แล้ว
“คุณนาย ไม่เจอกันนานนะคะ”
คุณป้าทักทาย ผู้หญิงในบ้านพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยนและเชิญพวกเราเข้าไป
“ไม่เจอกันนานเลยคุณโป๊บ นี่คือคนที่จะมาเช่าหออยู่เหรอ?”
“ค่ะ”
“เข้ามาดื่มชาข้างในไหม?”
“ขอโทษค่ะ ข้าถือว่าเป็นเกียรติแต่ปล่อยร้านไว้ไม่มีคนนานๆไม่ได้ ไว้คราวหน้านะคะ?”
มองปราดเดียวก็รู้ว่าคุณป้ากำลังเกร็ง ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะเป็นขุนนาง
“ได้แน่นอน มาได้ทุกเวลาเลย”
เจ้าของบ้านดูผิดหวังจริงๆ
คุณป้าถอยหลังกลับเกร็งๆและพูด “คุณผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนพาเจ้าดูบ้าน ถ้าสนใจหาบ้านอื่น มาที่บริษัทจัดหาบ้านได้ทุกเวลานะคะ”
นางบอกลาและตรงไปที่ประตูรั้ว
ขนาดคนเป็นมิตรอย่างนางยังลนลาน หรือว่าเจ้าของบ้านคนนี้จะน่ากลัวมาก หรือไม่ก็เป็นขุนนางชั้นสูง?
“เข้ามาสิ”
เจ้าของบ้านนำทางผมเข้าไป
สมเป็นคฤหาสน์ การตกแต่งภายในหรูหรามาก เจ้าของบ้านนำผมไปยังห้องนั่งเล่นและให้ผมนั่งที่โซฟา มันนุ่มมาก ไม่เหมือนโซฟาหนังปีศาจที่บ้าน โซฟาตัวนี้นั่งสบายกว่าแบบคนละเรื่องเลย
เจ้าของบ้านรินชาและพูดขึ้นขณะยื่นถ้วยชาให้ผม
“ก่อนอื่น ขอโทษนะคะแต่ขอดูบัตรประชาชนของเจ้าได้ไหม? ลูกชายข้าไม่อยากให้คนไม่รู้ที่มาที่ไปเช่าบ้าน ขอโทษนะถ้าทำให้รู้สึกอึดอัด”
“ไม่ครับ ตรวจดูก่อนนั่นแหละถูกแล้ว นี่ครับ”
ผมหยิบบัตรยื่นให้ เจ้าของบ้านแปลกใจเล็กน้อย “โอ๊ะ เจ้าเป็นขุนนางเหรอ ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรครับ หน้าผมไม่ได้มีคำว่าขุนนางติดอยู่เสียหน่อย แล้วผมก็ไม่มีบรรดาศักดิ์ด้วย แค่ขุนนางธรรมดา”
“ขอบคุณที่เข้าใจค่ะ ข้าชื่อ อาร์ซิลลา วอน ดิ ไพโอลา อาร์ทีมิอุส เรียกว่าคุณนายอาร์ซิลลาก็ได้”
ผมรู้สึกว่าที่นี่เหมือนคฤหาสน์ขุนนาง มันจริงเสียด้วย
จากที่นางมีชื่อดินแดน ดิ ไพโอลา ด้วย แปลว่านางน่าจะเป็นเจ้าบ้านหญิงของตระกูลขุนนาง นี่เป็นเพราะ ในหมู่เชื้อสายตรงของหัวหน้าตระกูล มีแต่บิดามารดา ภรรยา และทายาทที่ใช้ชื่อดินแดนด้วยได้
แต่ชื่อฟังคุ้นๆนะ
“คุณนายอาร์ซิลลานะครับ อย่างที่เห็นในบัตร ข้าชื่อเดน วอน มาร์ค กรุณาเรียกข้าว่า เดน แต่ชื่อคุณนายฟังคุ้นๆ-”
เมื่อผมพูดถึงท้ายประโยค เจ้าของบ้านดูเขินนิดๆแต่ภาคภูมิใจ
“โอ๊ะ ที่คุณเดนรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อคงเป็นเพราะลูกชายของข้า”
ลูกชาย?
ถ้าผมคุ้นกับชื่อขุนนางในเวลาไม่นานหลังออกจากบ้าน ก็ต้องเป็นเพราะข้อมูลขุนนางที่ผมซื้อมา ถ้าผมจำชื่อได้ก็แสดงว่าคนๆนี้มีอำนาจพอดู
อาร์ซิลลา ดิ ไพโอลา อาร์ทีมิอุส...
เดี๋ยวก่อน?! อาร์ทีมิอุส?!
“ไม่จริงน่า-”
คุณนายอาร์ซิลลาพยักหน้า นางเขินจนแก้มแดงขึ้นเล็กน้อย
“ใช่ค่ะ แม้ลูกชายของข้าจะบกพร่องในหลายๆด้าน แต่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี”
อาร์คันตา วอน ดิ ไพโอลา อาร์ทีมิอุส...
นายกรัฐมนตรีหนุ่มของจักรวรรดิ ชื่อก็ต้องคุ้นอยู่แล้ว
เขาเป็นขุนนางที่มีอิทธิพลที่สุดในจักรวรรดิที่อยู่หน้าแรกของเอกสารที่ผมซื้อมา มือขวาของจักรพรรดิ อัจฉริยะที่อาจนำหน้าเผ่าผีเสื้อหากเลือกเดินเส้นทางของนักเวท ในจดหมายของลุงผมก็มีชื่อของเขาบ่อยๆ
ที่คุณป้าจัดหาบ้านเกร็งเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณนายอาร์ซิลลานั้นมีเหตุผลจริงๆ แต่ทำไมเจ้าบ้านหญิงของตระกูลดยุคมาทำหอพักในบ้านหลังเล็กๆไม่เข้ากับฐานะนายกรัฐมนตรีล่ะ?
“บกพร่องอะไรกันครับ? ลูกชายของคุณนายน่ะขนาดคนต่างถิ่นอย่างข้ายังเคยได้ยินชื่อ”
“ขอบคุณที่พูดแบบนั้นค่ะ”
“อาจฟังเสียมารยาทไปหน่อย แต่ทำไมคนอย่างคุณนายมาทำหอพักล่ะ?”
คุณนายอาร์ซิลลาตอบด้วยรอยยิ้มใจดี “ไม่เสียมารยาทหรอกค่ะ ข้าทำเพราะข้าชอบคน ตอนอยู่ดินแดนของข้า ข้าสนุกกับการออกไปพบปะผู้คน แต่พอมาอยู่เมืองหลวงข้าไม่สามารถไปไหนมาไหนอย่างอิสระเหมือนก่อน ข้าจึงขอให้ลูกชายหาบ้านเล็กๆให้เพื่อมาทำหอพัก”
ติ๊งต่อง!
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น
“ดูเหมือนเด็กๆที่จะมาอยู่ที่นี่มาถึงแล้ว เจ้ายังไม่ได้ดูบ้านเลย ดูไปพร้อมกับพวกเขาได้ไหมคะ?”
“ไม่มีปัญหาครับ”
คุณนายอาร์ซิลลายืนขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูบ้าน
ผมคิดขณะมองตามคุณนายอาร์ซิลลา อันตราย ถ้าผมพักหอพัก ก็ไม่ต่างจากรอให้นายกรัฐมนตรีรู้ว่าผมเป็นใคร นายกรัฐมนตรีสนิทกับลุงผมมาก หรือก็คือ ถ้านายกรัฐมนตรีรู้ว่าผมเป็นใคร ลุงผมก็จะรู้เรื่องทันที
ไปเลยดีไหม? ไม่ สายไปแล้ว
ผมสงสัยอยู่ว่าทำไมรอบคฤหาสน์จึงมีคนเยอะนัก พวกเขาคือองค์รักษ์นั่นเอง เป็นไปได้ว่าเรื่องที่ผมเข้ามาในบ้านนี้ไปถึงหูนายกรัฐมนตรีแล้ว
แบบนี้ทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น
ถ้าไปเลยโดยไม่ดูบ้านก็แปลกเกินไป กระทั่งอาจดูเหมือนว่าผมจงใจมาดูคุณนายอาร์ซิลลา แต่ถ้าผมใช้เวลากับคุณนายอาร์ซิลลาในระหว่างดูบ้านก็เป็นไปได้ว่าผมจะถูกตรวจสอบความเป็นมา
หรือจะเล่นลูกบ้าเช่าหอพักที่นี่เลย?
บัตรประชาชนของผมก็ปลอมอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ที่อยู่ของผมเป็นดินแดนห่างไกลเหมือนผมมาจากตระกูลขุนนางตกอับ ถ้าเป็นหอพักทั่วไปคงไม่ตรวจสอบคนมาอยู่ถี่ถ้วนขนาดนั้น แต่ที่นี่ต้องตรวจแน่ อีกอย่างก็น่าสงสัยด้วยที่ขุนนางตกอับอย่างผมมีเงินจ่ายค่าเช่าแพงๆ
ทำไงดี? หนีดีไหม?
คุณนายอาร์ซิลลาพาคนที่กดกริ่งประตูเข้ามาแล้ว
“โอ๊ะ? เดน?”
คนหนึ่งตะโกนชื่อผม ผมหันไปด้วยความแปลกใจ เจ้าโง่กำลังมองผมด้วยสีหน้าแจ่มใส
“อ้าว รู้จักกันเหรอ?”
“ครับคุณนาย เขาเป็นสหายที่เดินทางมาเมืองหลวงกับข้า”
สหายเหรอ... ฉันรู้จักกับนายแค่ไม่กี่วัน... เดี๋ยวก่อน!
ผมใช้เรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์ได้
“ใช่แล้วครับคุณนาย ลิสบอนช่วยเหลือข้าไว้เยอะ”
“ข้าต่างหากที่ได้รับความช่วยเหลือ”
ผมพนักหน้ารับลิสบอนและพวกเราก็นั่งคุยกัน ผมต้องพิสูจน์ตัวตนกับนายกรัฐมนตรีด้วยการให้ลิสบอนและอลิซเป็นคนยืนยันตัวตนผม มันเสี่ยงมาก แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะเข้าสอบข้าราชการโดยไม่สร้างความปั่นป่วน
ถ้าไปได้สวย ไม่เพียงตัวตนของผมได้รับการยืนยัน ยังได้ผลของการซ่อนแสงไฟใต้ตะเกียงด้วย แน่นอนว่าถ้าถูกจับได้ผมจะหนีทันที
ว่าแต่ว่า ทำเป็นสนิทกับคนอื่นนี่มันยากแท้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น