วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 30

บทที่ 30 – เหตุเกิดที่เมืองหลวง (7)


ถึงสถานการณ์จะต่างไปบ้าง รัฐบาลห้ามการพนันแต่อนุญาตให้มีล๊อตเตอรี่ หลักเกณฑ์คือพวกเขาจะรับรู้กระแสเงินได้หรือไม่ นั่นก็คือ ถ้าผมเอาเงินที่ขโมยมาเข้าตลาด กองคลังต้องทำงานหนักเพื่อควบคุมราคาสินค้าแปรปรวน

ที่จริงพอกลับไปคิดถึงท่าทีของพนักงานตอนผมไปสมัครสอบก็น่าทำอยู่เหมือนกันนะ แต่ถ้าประเทศที่ผมจะรับราชการเกิดล้มละลายขึ้นมาคงแย่ หรือต่อให้ไม่ล้มละลายก็ต้องปฏิรูปค่าเงินเพื่อแก้เงินเฟ้อ นั่นจะทำให้เหรียญทองคำขาวในกระเป๋ามิติกลายเป็นแค่เหรียญโลหะผสมทองคำขาวไป

ประเทศที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อไม่มีทางแลกเงินจากแหล่งไม่รู้ที่มาที่ไป ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่าเงินที่ขโมยมานั้นให้มันอยู่ในกระเป๋ามิติจะปลอดภัยกว่า

ผมไม่มีความคิดจะทำร้ายจักรวรรดิเพราะจุดประสงค์ไม่ใช่เงินแต่คือการก่อกวนนายกรัฐมนตรีไม่ให้มาสืบเรื่องผม ถึงอย่างนั้นถ้าจักรวรรดิล่ม ผมยังสามารถย้ายไปสาธารณรัฐ ผมมีสัญชาติที่นั่นเช่นกัน

เมื่อดูบัญชีของเคานต์มากาเร็ตเสร็จก็ได้เวลาไป

“อาคาริน!”

ผมร่ายคาถาล่องหนและตรงไปทางคฤหาสน์เคานต์ดรูวาล ผมสำรวจดูคฤหาสน์จากที่ห่างไป 1 กิโลเมตร

รัศมีจากในคฤหาสน์บอกว่ามี 167 คน หรือ 171 นะ? บอกยากว่าสี่รายนั้นเป็นเด็กทารกหรือสัตว์เล็ก จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสถึงรัศมีได้ง่ายดายเหมือนเห็นด้วยตาเปล่า

ที่หมู่บ้านของผม รัศมีของคนที่นั่นแรงจนแยกไม่ออกว่าเป็นของใครหากไม่เข้าไปใกล้มากๆ ตอนนี้มันชัดเจนกว่าเพราะอ่อนแอทุกคน

ไม่นับสี่รายที่มีรัศมีอ่อนแอมากก็มีคนในคฤหาสน์ 167 คน เป็นคนธรรมดา 47 คน คนที่พอมีพลังอยู่บ้าง 57 คน จากนั้นคือกลุ่มคนที่แข็งแกร่งเรียงขึ้นไปเป็น 30 คน,20 คน,12 คน สุดท้ายคือ 1 คนที่แข็งแกร่งกว่าคนทั้งหมด 

ไม่มีพลรบเหรอ? 

ผมผิดหวังเพราะคาดว่าจะมีอย่างน้อย 10 คนที่แข็งแกร่งกว่าเฮสเทียผู้อ่อนแอที่สุดในหมู่บ้าน แต่โจรธรรมดาคงกลัวหนีไปถ้าเจอกลุ่มคนแบบนั้นเข้าจริง อย่างที่มีคนกล่าวไว้ ผู้ยิ่งใหญ่ไม่อาจอยู่ในหลุมเล็ก

ผมหายใจเบาๆขณะตรงไปที่คฤหาสน์ ขณะจะปีนรั้วก็รู้สึกถึงเวทมนตร์เบื้องหลังรั้ว จนตอนนี้ยังไม่เคยมีคฤหาสน์ที่ติดตั้งเครื่องมือกันขโมยมาก่อน เจ้าของต้องรวยน่าดู

ข้อมูลจากร้านขายข่าวชี้ให้เห็นว่าวัตถุดิบเวทมนตร์เป็นของแพง แต่คฤหาสน์นี้มีเวทมนตร์ครอบคลุมทั้งหลัง แทนที่จะคลายคาถา ผมสร้างช่องว่างระหว่างคาถา 2 บทแล้วคลานเข้าไป

เจ้าของคฤหาสน์คงไม่อยากใช้วัตถุดิบเวทมนตร์มากเกินไปจึงวางเวทมนตร์เรียงต่อกันเหมือนวัดด้วยไม้บรรทัด มันทำให้สร้างช่องว่างได้ง่ายแม้จะเป็นวิธีที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนัก

เมื่อเข้าไปได้ ผมเริ่มค้นไปทีละห้องโดยเลี่ยงคนที่เดินไปมา

ห้องนี้ไม่มีเวทมนตร์ ผ่าน! 

ห้องนี้มีเวทมนตร์วางบนพื้น ลองลอกพื้นออกมาก่อน

กำแพง...เพดาน...เครื่องดักฟัง?

หลังจากรื้อไปหลายห้องๆ ผมเจอตำราเวทและวัตถุดิบเวทมนตร์ เมื่อมาถึงห้องที่มีเวทมนตร์ดักฟังอยู่ก็เจอของดีเข้าให้

บัญชีเกี่ยวกับการฉ้อโกง,หลักฐานเรื่องอื้อฉาว,อัญมณีราคาแพง,ถุงใส่เหรียญทองคำขาว,ภาพวาดท่าทางแพง... แต่ของที่มีเวทมนตร์ดักฟังป้องกันอยู่ย่อมมีเวทมนตร์สะกดรอยอยู่กับพวกมันด้วย

ผมหยิบเหรียญเหล็กออกมาหนึ่งเหรียญ ย้ายเวทมนตร์สะกดรอยไปที่มัน วางในตู้นิรภัยและคืนเวทมนตร์กันขโมยกลับสู่สภาพเดิม

เสร็จ!

งานนี้ต้องได้คะแนนวิจารณ์ดีแน่ ผมขโมยทุกอย่างที่ขโมยได้

ที่สุดท้ายที่มีเวทมนตร์ดักฟังติดตั้งอยู่คือชั้นสาม ดูเหมือนจะขโมยแบบไม่มีคนเห็นไม่ได้เลยเพราะมีคนเฝ้าอยู่มาก ห้องนี้คงมีสร้อยคอที่เรียกว่าผลึกแห่งความสมบูรณ์แบบอยู่ และที่มีเวรยามแน่นหนาก็เพราะหนังสือพิมพ์บอกว่าเป้าหมายของผมคือสร้อยนั้น

แม้ผมไม่รู้ว่าผลึกแห่งความสมบูรณ์แบบมีค่าเท่าไหร่ มันคงไม่แพงไปกว่าถุงใส่เหรียญทองคำขาวแน่ ก็ในถุงมีเหรียญทองคำขาว 100 เหรียญเลยนี่นา

ผมปล่อยสร้อยคอไปและทิ้งบัตรลูแปงในตู้นิรภัยที่เลือกมามั่วๆ ในตู้ไม่มีเหรียญเงินหรอก แต่ผมอวดเก่งด้วยการเปลี่ยนถุงใส่เหรียญทองคำขาวเป็นถุงใส่เหรียญเงินไว้ในตู้แทน

ได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว

***

วันต่อมา ข่าวของลูแปงปรากฏบนหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง เนื้อหาข่าวต่างจากที่ผมคาดไว้เล็กน้อย

ข่าวบอกว่าเป้าหมายหลักของผมคือสร้อยคอทำจากไพลินพันปีที่เคานต์มากาเร็ตเตรียมเป็นของขวัญวันเกิดเจ้าหญิงลำดับสาม และผลึกแห่งความสมบูรณ์แบบของเคานต์ดรูวาลเป็นเพียงแผนหลอก มันยังเขียนว่าผมไม่เคยพูดถึงผลึกแห่งความสมบูรณ์แบบและบัตรลูแปงใบหนึ่งถูกพบในตู้นิรภัยตู้หนึ่ง แต่โทนเสียงเหมือนจะบอกว่า “ที่เขาทำตามสัญญาก็เพื่อล้อเล่นกับราชวงศ์ไม่ใช่เหรอ?”

ใส่ร้ายกันเกินไปแล้ว ผมไม่รู้สักหน่อยว่าของที่ขโมยจากคฤหาสน์เคานต์มากาเร็ตเป็นอะไร อีกอย่าง มูลค่าของที่ผมขโมยจากคฤหาสน์เคานต์ดรูวาลสูงกว่าพันเท่า

จะว่าไป คืนสร้อยคอไพลินก็ดีนะ แม้ผมจะปิดบังตัวตนหรือแม้ผมจะเป็นคนจากเผ่ากา การแตะเกียรติของราชวงศ์ในประเทศที่มีศักดินาเช่นนี้เป็นเรื่องอันตราย

ถ้าพลาดขึ้นมา อาจมีกองทหารไปที่โอลิมปัสเพื่อจับกุมผมและครอบครัว แม้ผมจะเป็นขุนนางของเผ่ากา หนึ่งในชาติพันธุ์นักสู้ แต่จะให้หมู่บ้านเดียวสู้กับกองทัพของจักรวรรดิที่มีทหารเป็นล้านคงเป็นไปไม่ได้

แน่นอน ถ้าคืนสร้อยให้เคานต์มากาเร็ตก็ออกจะเสียศักดิ์ศรีไปหน่อย คืนให้เจ้าหญิงคงดีกว่า ปัญหาคือผมไม่รู้ว่าเจ้าหญิงหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่รู้ด้วยว่าอยู่ที่ไหน เรื่องนี้คงต้องคิดให้รอบคอบ

***

อาร์คันทาครุ่นคิดว่านี่ใช่ที่เรียกว่าหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่านะ ขณะลูบหน้าอย่างหงุดหงิด

เมื่อคืน โจรลูแปงลอบเข้าไปในคฤหาสน์ของเคานต์ดรูวาลกับเคานต์มากาเร็ตและขโมยของในตู้นิรภัยออกมา เมื่อวานตอนที่ได้ยินว่าตู้นิรภัยในคฤหาสน์ของมาร์ควิสบัลเธียนถูกขโมยเขาก็คิดแค่เจ้าโจรนี่ห้าวหาญทีเดียว แต่เมื่อได้รับรายงานว่าตู้นิรภัยของเคานต์มากาเร็ตและเคานต์ดรูวาลก็เจอชะตากรรมเดียวกัน เขาเริ่มเหงื่อตก

อาร์คันทาเหงื่อตกไม่ใช่เพราะสร้อยไพลินพันปีที่ขโมยจากเคานต์มากาเร็ต แน่นอนว่าสร้อยคอที่เป็นของขวัญสำหรับเจ้าหญิงถูกขโมยไปไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ในฐานะคนสนิทของจักรพรรดิ เขาคงแค่ถูกตำหนิเล็กน้อย

ปัญหาแท้จริงคือเคานต์ดรูวาลกดดันกองคลังอย่างหนัก สำหรับคนนอก ของที่ถูกขโมยไปในคฤหาสน์เคานต์ดรูวาลเป็นแค่เหรียญเงินหนึ่งถุงซึ่งมีค่าเท่าเหรียญทองหนึ่งเหรียญ แน่นอน ในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้ดูแลงบประมาณของจักรวรรดิ เขาไม่ได้ดูถูกเหรียญทองหนึ่งเหรียญซึ่งเท่ากับงบประมาณของดินแดนเล็กๆหนึ่งสัปดาห์

แต่เมื่อคิดว่าเป็นเคานต์ดรูวาล ชายผู้ประสบความสำเร็จในวงการธุรกิจ เหรียญเงินหนึ่งถุงก็แค่เงินค่าขนมให้ลูกหลาน แต่เคานต์ดรูวาลกลับตามกดดันอัศวินและกองคลังไม่หยุด

ทำไม? เพราะเสียศักดิ์ศรีที่โจรเข้าไปในคฤหาสน์ที่เขาเคยโอ้อวดว่าไม่มีใครบุกเข้าไปได้?

เขาต้องรู้สึกเสียศักดิ์ศรีแน่แต่ไม่ถึงขั้นตรงเข้ามาถึงกองคลังเพื่อโวยวายว่าโจรขโมยเหรียญเงินไปหนึ่งถุง! มันผิดวิสัยของเขา – ต่างไปจากปกติมาก

ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาจึงทำแบบนั้น? มาคิดดูแล้วคำตอบก็ง่าย มันแปลว่าโจรลูแปงไม่ได้ขโมยไปแค่เหรียญเงินหนึ่งถุง! ถ้าอย่างนั้นทำไมเคานต์ดรูวาลไม่บอกว่าถูกขโมยอะไรไปบ้าง? เพราะของที่ถูกขโมยไปไม่ควรอยู่ในมือเคานต์ดรูวาลเหรอ? หรือเป็นของที่สามารถทำร้ายเขา? อาจเป็นของที่ได้จากการเลี่ยงภาษี เงินสกปรก หรือของที่ทำร้ายชื่อเสียงของเขาได้? 

น่าจะเป็นไปได้ทุกอย่าง เมื่อคิดอยู่นานสุดท้ายอาร์คันทาก็ได้ข้อสรุป

บัญชีการฉ้อโกง

เว้นแต่ว่าลูแปงเป็นจอมเวทที่ใช้กระเป๋ามิติได้ ขนาดของที่เขาขโมยไปต้องมีขีดจำกัด ต่อให้เขามีกระเป๋าขยายมิติก็ใส่ได้ไม่หมด เมื่อเป็นเช่นนั้น ที่เคานต์ดรูวาลตามล่าลูแปงต้องเป็นเพราะเหตุผลด้านการเมืองไม่ใช่เรื่องเงิน

คิดอย่างนั้นแล้วของที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือบัญชีการฉ้อโกง เป็นไปได้ว่าโจรขโมยพรเทวีจากคฤหาสน์มาร์ควิสบัลเธียนเพื่อทิ้งข้อความว่าจะปล้นคฤหาสน์เคานต์ดรูวาล หันเหความสนใจของทุกคนไปที่ผลึกแห่งความสมบูรณ์แบบ จากนั้นเจ้าโจรก็ขโมยสมุดบัญชีไป

ที่โจรขโมยไพลินพันปีจากคฤหาสน์เคาน์มากาเร็ตก่อนก็เพื่อกระจายกำลังของอัศวิน ทำให้อัศวินที่เหลือไปรวมกันที่ผลึกแห่งความสมบูรณ์แบบ ด้วยการเตือนเคานต์ดรูวาลล่วงหน้าทำให้การเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น เขาก็สร้างช่องว่างในการป้องกันแน่นหนาได้

อาร์คันทาขนลุก

นี่เป็นไปได้มาก ถ้ามีหลักฐานพอ...

แน่นอน ถ้าจะให้ข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง โจรต้องรู้ตำแหน่งของสมุดบัญชีมาก่อนและรู้ตำแหน่งของอัศวิน แต่ลูแปงเข้ามาได้โดยไม่มีใครรู้ตัว มันแปลว่าโจรรู้การเคลื่อนไหวของอัศวินอย่างแม่นยำและรู้จักคฤหาสน์เคานต์ดรูวาลเป็นอย่างดี

อาร์คันทาสงสัยว่าถ้าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้องแล้วเป้าหมายของลูแปงคืออะไร

ความแค้นส่วนตัว? หรือเขาจะได้ประโยชน์ถ้าเคานต์ดรูวาลล้ม? หรือมีคนอื่นอยู่เบื้องหลัง

ก๊อกๆ

ความคิดของอาร์คันทาสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขาขมวดคิ้วขณะบอกให้เข้ามาได้

“มีอะไร?”

“ครับ นี่เป็นรายงานรอบปกติของเดน วอน มาร์คที่พักในบ้านคุณนายอาร์ซิลลา” อาร์คันทาเลิกขมวดคิ้วเมื่อฟังรายงาน

เขาไม่ควรพาลโกรธลูกน้อง

“ขอบใจ แต่ฉันกำลังยุ่ง ต่อไปช่วยรายงานเรื่องนี้เฉพาะเมื่อเจอการเคลื่อนไหวผิดปกตินะ”

“ครับผม”

โชคดีที่ผู้ช่วยของเขาไม่ไร้ความสามารถแต่รู้ดีถึงสถานการณ์ในกองคลัง

“ออกไปได้”

“ครับ”

ผู้ช่วยออกไป แต่ความคิดที่ถูกขัดไปแล้วไม่สามารถต่อติดได้

“ถ้าเป้าหมายของลูแปงคือเคานต์ดรูวาลจริงๆ...” อาร์คันทาพึมพำขณะนั่งจมในเก้าอี้ แต่ทว่า การขโมยรูปปั้นทองคำในเวลาต่อมาได้ทำให้ความคิดของเขายุ่งเหยิง


สารบัญ                                                 บทที่ 31


วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 29

 บทที่ 29 – เหตุเกิดที่เมืองหลวง (6)


ในห้องของผม มีภาพลวงตาที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบบนโต๊ะ ระหว่างนั้น ใต้ดวงอาทิตย์แดงที่กำลังตกดิน ผมยืนเหนือยอดโบสถ์ สวมหน้ากากครึ่งหนึ่งเป็นสีดำครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว อารมณ์สมัยม.2 พลุ่งพล่าน

ตอนนี้ใกล้ 2 ทุ่มแล้ว เวลาที่ผมนัดกับเคานต์คือตี 2 อีกไม่นานอาทิตย์ก็จะตกดินและเมืองหลวงจะตกอยู่ในความมืดสนิทเว้นแต่อาคารบางแห่ง ไฟถนนบนถนนทุกสายส่องแสงสว่าง แต่น่าเสียดายที่แสงไฟส่องไม่ถึงในตัวอาคาร

ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็ตกและไฟถนนสว่างขึ้น ผมกระโดดลงจากยอดโบสถ์ ร่างกลืนหายไปกับความมืด

***

กองอัศวินกวางขาวที่รักษาความปลอดภัยของเมืองหลวงกำลังยืนเฝ้าหน้าคฤหาสน์เคานต์ดรูวาล ปกติแล้วเหล่าอัศวินควรกลับบ้าน ปล่อยให้การเฝ้าคฤหาสน์เป็นหน้าที่ของยามรักษาการณ์ โชคร้ายที่ทุกคนยังต้องทำงานเพราะชายปริศนาที่เรียกตัวเองว่าลูแปง

“นี่มันอะไรกัน? พวกเราจะกลับบ้านยังไม่ได้เพราะเจ้าบ้าบางคน” รองกัปตันของอัศวินกวางขาวบ่นต่อหน้ากัปตัน

กัปตันคนนี้มีท่าทางเข้มแข็ง เขายกนิ้วชี้จ่อปากเป็นการเตือนให้เงียบ “ที่นี่ไม่ใช่ค่ายทหาร เคานต์ดรูวาลเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโลกธุรกิจ เจ้าควรระวังคำพูดไว้”

“นั่นสินะครับ ว่าแต่ท่านคิดจริงๆหรือว่าลูแปงจะมา?” รองกัปตันรู้สึกว่าพวกเขากำลังเสียเวลาเปล่า

แต่หัวหน้าของเขาส่ายศีรษะ “เราต้องป้องกันที่นี่ไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่ ถ้าเราไปเพราะคิดว่าเสียเวลา เขาอาจฉวยโอกาสลอบเข้าคฤหาสน์ ตรงกันข้าม ถ้าเราคุ้มกันแน่นหนา เขาอาจกลัวจนไม่มาก็ได้ สร้อยคอในตู้นิรภัยก็จะปลอดภัย”

ตอนนั้นเอง ประตูก็เปิดออกพร้อมเสียงปรบมือ

“วิเศษมาก! สมกับเป็นหัวหน้ากองอัศวินกวางขาวที่ผู้คนเคารพนับถือ ทัศนคติเอาจริงเอาจังกับหน้าที่การงานเสมออย่างนั้นหรือ? ข้าอยากเรียนรู้ทัศนคติเช่นนั้นจากท่าน”

ชายที่เข้ามาคือเคานต์ดรูวาล เขามีหนวดเคราที่ไม่ได้รับการแต่งเล็ม ทำให้ดูเหมือนเป็นคนใจกว้าง

กัปตันและรองกัปตันเก็บดาบที่พวกเขาชักออกมาอย่างตกใจแล้วทำความเคารพ

“ไม่เลยครับ ท่านได้ชื่อว่าเป็นภูเขาของโลกธุรกิจและมีชื่อเสียงดีงาม ข้าต่างหากที่ควรศึกษาจากท่าน”

เคานต์ดรูวาลหัวเราะดังเหมือนคำพูดของกัปตันทำให้เขาดีใจ “ฮ่าๆ อย่างนั้นหรือ? เป็นเกียรติที่ได้ยินคำพูดนั้นจากอัศวินผู้มีชื่อเสียงเรื่องความซื่อตรง ว่าแต่ว่า สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

กัปตันพยักหน้าและตอบ “ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

“ได้ยินอย่างนั้นข้าก็โล่งอก ผลึกแห่งความสมบูรณ์แบบในตู้ข้างหลังท่านเป็นสมบัติมีค่าเท่า 5 เหรียญทองคำขาว”

รองกัปตันอ้าปากค้างเมื่อได้ยินมูลค่าของผลึก กัปตันขยับดาบไปสะกิดคนข้างกายเขาเบาๆ รองกัปตันรู้สึกตัวก็หุบปากแล้วก้มหน้าลง

“ขออภัย ลูกน้องของข้าทำตัวไม่ถูกต้อง”

การเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกอย่างไม่ระวังตัวถือเป็นข้อห้ามของอัศวิน งานของพวกเขา,อัศวินขั้นสูง,มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลลับของกองทัพหลายครั้ง การเปิดเผยความรู้สึกอาจเป็นการบอกความลับอย่างอ้อมๆ ด้วยเหตุนี้การฝึกควบคุมอารมณ์ความรู้สึกจึงเป็นการฝึกที่สำคัญของอัศวิน

“ไม่เลย ผลึกแห่งความสมบูรณ์แบบแพงจริงๆ เจ้าใช้มันซื้อดินแดนเล็กๆได้เลย”

“ขอบคุณที่เข้าใจ”

เคานต์ดรูวาลรับคำขอโทษจากกัปตันแล้วก็ออกจากห้องไป

“ขอโทษครับ”

รองกัปตันขอโทษ กัปตันยกนิ้วจ่อปากแล้วพูด “ไม่เป็นไร ไม่ว่าใครก็ทำผิดพลาดได้”

รองกัปตันสงสัยเมื่อเห็นกัปตันทำสัญญาณให้เงียบ แต่ก็ปิดปากตามคำสั่ง

กัปตันก็เงียบไป แต่มือของเขาขยับ รองกัปตันอ่านสัญญาณมือ

‘ที่นี่,หู,ดักฟัง’ ที่นี่ถูกดักฟัง?! 

รองกัปตันทำสัญญาณมือกลับอย่างแปลกใจ

‘ใคร?’

‘บทสนทนา,ก่อนหน้า’

คนที่พวกเขาเพิ่งคุยด้วย... เคานต์ดรูวาล!

กัปตันส่งสัญญาณมือต่อเป็นช่วงจังหวะ

‘ที่นี่,และ,ก่อน,รู้,พวกเรา,บทสนทนา’

แปลว่า ‘เขาได้ยินที่เราคุยกันก่อนเขาเข้ามาในห้อง’

มาคิดดูแล้ว เคานต์ดรูวาลเอ่ยชมความคิดของกัปตันตอนเข้ามาในห้อง คฤหาสน์นี้ไม่ได้สร้างลวกๆอย่างที่พักทหาร ไม่มีทางที่เสียงคุยของพวกเขาจะดังออกไปข้างนอกห้อง

รองกัปตันรู้สึกขนลุก

‘ทำไม?’

หรือว่าเพื่อดักฟังความลับทางทหาร

‘ไม่รู้,บางที,พวกเรา,ไม่,เชื่อ’

‘ไม่รู้ อาจเพราะเขาไม่เชื่อใจพวกเรา?’

รองกัปตันเดือดดาล เคานต์ชื่นชมพวกเขาต่อหน้า แต่ลับหลังแอบฟังที่พวกเขาคุยกัน

กัปตันรู้ว่ารองกัปตันคิดอะไรจึงส่งสัญญาณ

‘ใจเย็น,ศัตรู,เงิน,สูงสุด,อัศวิน,ไม่ใช่’

‘ใจเย็น อีกฝ่ายเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกธุรกิจ ต่างจากอัศวินอย่างพวกเรา’

รองกัปตันรู้สึกขุ่นเคืองแต่ทำอะไรไม่ได้ แม้พวกเขาจะเป็นอัศวินขั้นสูงก็ยังเทียบไม่ได้กับฐานะเคานต์และอำนาจเงินของเคานต์ดรูวาล เขาพยักหน้าและหยุดทำสัญญาณมือ เพราะอาจถูกเฝ้ามองด้วยกล้องก็ได้  

ความเงียบยาวนานถูกทำลายเมื่ออัศวินในสังกัดของพวกเขาเปิดประตูดังปัง

“แย่แล้ว! ลูแปงไปปรากฏตัวที่คฤหาสน์เคานต์มากาเร็ต!”

“อะไรนะ?!”

เมื่อรองกัปตันตะโกน อัศวินก็รีบอธิบาย

“4 ทุ่มของวันนี้ พ่อบ้านในคฤหาสน์มากาเร็ตพบว่าประตูห้องนิรภัยเปิดอ้าขณะเขาเดินตรวจคฤหาสน์ แท่งเงินและอัญมณีทั้งหมดในตู้นิรภัยถูกแทนด้วยนามบัตรลูแปง”

ตอนนี้เป็นเวลา 5 ทุ่ม การส่งข่าวใช้เวลา 1 ชั่วโมง ปกติแล้วเหตุขั้นนี้จะถูกรายงานภายใน 30 นาที แต่ที่ช้าเพราะอัศวินกวางขาวแทบทั้งหมดอยู่ที่คฤหาสน์เคานต์ดรูวาล มีไม่กี่คนที่ทำงานในฐาน

“ปัญญาใหญ่คือสร้อยคอที่ทำจากไพลินพันปีเพื่อเป็นของขวัญให้องค์หญิงลำดับสามก็รวมอยู่ในนั้นด้วย”

“บัดซบ!”

รองกัปตันสบถ นี่ไม่ใช่การขโมยธรรมดาแล้ว หนึ่งในของที่ถูกขโมยเตรียมไว้เพื่อราชวงศ์ นี่คือการท้าทายราชบัลลังก์

ลูแปงกลายจากหัวขโมยเป็นกบฏที่อาจถูกประหารทั้งครอบครัวถ้าถูกจับ เป็นไปได้ว่าการขโมยพรเทวีและการเตือนเคานต์ดรูวาลเป็นแค่แผนอำพรางเพื่อขโมยสร้อยคอไพลินพันปี

“เราต้องพาอัศวินทั้งหมดไปที่คฤหาสน์เคานต์มากาเร็ต”

รองกัปตันตะโกนบอกกัปตัน แต่กัปตันส่ายศีรษะหนักแน่น

“ไม่ ยังไม่ถึงตี2เลย”

“มันเป็นแค่แผนหลอกไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่รู้สิ ก่อนอื่น แบ่งอัศวินไปครึ่งหนึ่ง”

“กัปตัน?”

“ใจเย็น ตอนนี้ลูแปงไม่ได้อยู่ที่นั่น เจ้าไม่ต้องพาอัศวินทั้งหมดไปค้นคฤหาสน์เคานต์มากาเร็ต ให้อัศวินครึ่งหนึ่งไปหาร่องรอยลูแปงที่นั่น อีกครึ่งหนึ่งรอจับลูแปงที่นี่”

รองกัปตันได้ยินคำพูดของกัปตันก็อึ้งไปเล็กน้อย

“ท่านคิดว่าไอ้เวรนั่นจะมาที่นี่หรือ?”

“ไม่รู้ แต่เหมือนกับที่เราไม่พบร่องรอยของลูแปงในคฤหาสน์มาร์ควิสบัลเธียนเลย เราอาจไม่พบร่องรอยของมันในคฤหาสน์เคานต์มากาเร็ตเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนั้น แม้จะดูโง่เขลา แต่เราจะอยู่เฝ้าที่นี่ตามแผน ป้องกันที่นี่และจับตัวลูแปงที่มันมา”

“ท่านจะไปคฤหาสน์ของเคานต์มากาเร็ตหรือ?”

กัปตันพยักหน้า

“เข้าใจแล้ว ข้าจะเฝ้าที่นี่”

“ฝากด้วย”

กัปตันตบบ่ารองกัปตันหนักๆ จากนั้นออกจากห้องไปพลางออกคำสั่งกับลูกน้อง

“หน่วยหนึ่ง, สามกับห้าตามข้าไปที่คฤหาสน์เคานต์มากาเร็ต ไปรวมตัวที่ประตูหน้า หน่วยสอง,สี่,หกอยู่ที่นี่ ทำตามคำสั่งรองกัปตัน ถ่ายทอดคำสั่ง”

“ครับ!”

อัศวินลูกน้องทำความเคารพแล้ววิ่งไปถ่ายทอดคำสั่ง

จากนั้นกัปตันไปหาเคานต์ดรูวาล เขาเชื่อว่าเคานต์ดรูวาลรู้อยู่แล้วจากการดักฟัง แต่ก็ยังต้องไปรายงานเรื่องการถอนกำลังทหารส่วนหนึ่งอย่างเป็นทางการอยู่ดี

***

ผมปล้นคฤหาสน์เคานต์ชื่อเหมือนคุ้กกี้ตอนประมาณ 3 ทุ่ม ผมมีเวลาว่างมากจนสามารถเอาของที่ขโมยมาใส่กระเป๋ามิติแถมยังจัดประเภทมันได้ด้วย

ก้อนเงินหนึ่ง,เหรียญเงินหนึ่ง... เหรียญเงินบริสุทธิ์หนึ่ง โอ๊ะ? เหรียญทองล่ะ... แหวนอำไพ,กำไลหยก,ต่างหูมุก... สร้อยคอนี่ทำจากไพลินใช่ไหม?

ผมไม่แน่ใจนักเพราะไม่รอบรู้เรื่องอัญมณี แต่ขนาดคนความรู้น้อยอย่างผมยังแน่ใจว่าของที่ดีที่สุดในอัญมณีพวกนี้คือสร้อยคอที่ทำจากไพลินชิ้นนี้

ใกล้จะถึงวันเกิดของเฮสเทียแล้ว ผมจึงตัดสินใจส่งสร้อยคอเป็นของขวัญให้เธอพร้อมกับจดหมาย คิดเช่นนั้นแล้วผมจึงใส่สร้อยคอในกระเป๋ามิติและสร้างรายการของ พอจัดแยกประเภทแล้วต่อไปก็จะดึงของออกจากกระเป๋ามิติได้ง่ายขึ้นมาก

ผมเก็บก้อนเงินและอัญมณีใส่กระเป๋ามิติแล้วกวาดตามองหนังสือที่อยู่ในตู้นิรภัยคร่าวๆ

ว้าว สมุดบัญชีจดเงินที่ฉ้อโกงมาล่ะ!

สมุดบัญชีจดการโอนเงินที่มีเคานต์มากาเร็ตเป็นศูนย์กลางอย่างละเอียด

ดีเลย! ฉันจะใช้สมุดนี้หาเหยื่อรายต่อไป

ผมเริ่มหาชื่อเคานต์ดรูวาลในสมุดบัญชี ก่อนจะได้สมุดนี้มา ผมรู้สึกผิดที่ปล้นบ้านคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผล แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

ดรูวาล...ดรูวาล เจอแล้ว!

ข้อมูลมีมากถึงหนึ่งในสามของสมุด ถ้าโกงขนาดนี้ เขาต้องมีสมุดบัญชีของตัวเองซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่

มองจากจำนวนเงินในบัญชี คงหาคนโกงไปมากกว่าเขาไม่ได้แล้ว ผมไม่ได้พยายามจะขโมยเงินจากคนรวยไปแจกคนจนโดยมุ่งเป้าไปที่คนที่ฉ้อโกงมากที่สุดก่อน การทำอย่างนั้นเป็นเรื่องอันตราย อย่างหนึ่งคือมันเป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับจักรวรรดิ อีกอย่างการแจกเงินจำนวนมากจะทำให้เกิดเงินเฟ้อ

ในชาติก่อน ที่หลายประเทศมีหน่วยงานเช่นหน่วยงานเก็บภาษีและหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินนั้นมีเหตุผลอยู่ ทั้งหมดเป็นการทำเพื่อควบคุมกระแสเงินและป้องกันภาวะเงินเฟ้อ เพราะเหตุนี้การปล่อยเงินเข้าสู่สาธารณะโดยที่ประเทศนั้นไม่ทราบเรื่องจึงเป็นอันตราย



สารบัญ                                          บทที่ 30 



วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 28

บทที่ 28 – เหตุเกิดที่เมืองหลวง (5)


นายกรัฐมนตรีเอาข้อมูลของผมจากธนาคารได้ง่ายดายเลย ถ้าใช้บัตรประชาชนที่ได้จากเฮสเทียเขาคงรู้ที่มาของผมทันที โชคดีที่ผมได้เศษเหรียญจากร้านขายข่าวมามาก

“เจ้าจะจับตาดูข้านานแค่ไหน?”

“ราวหนึ่งเดือน”

เห็นได้ว่าระยะเวลาหนึ่งเดือนในสัญญาเป็นเงื่อนไขของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่คุณนายอาร์ซิลลา

องครักษ์ขัดขืนการสะกดจิตของผมมากขึ้น

“เจ้า...มีคนส่งเจ้า-”

ข้อมูลที่ได้จากการสะกดจิตมีเท่านี้ ผมปลุกเขาแล้วรีบหนี

“อะไร? เมื่อกี๊มันเกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อฟื้นขึ้นมา องค์รักษ์มองรอบตัวอย่างสับสน จากนั้นพึมพำกับตัวเอง “เหนื่อยไปเหรอ?” แล้วเดินต่อไปอย่างไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

โชคดีที่เขาไม่รู้สึกตัว อีกอย่าง เขาพูดว่ามีคนส่งผมมาเหรอ?

ตลก! ผมอดหัวเราะไม่ได้

ตุบ! ผมทุบมือ เดี๋ยวนะ ผมน่าจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้ ผมสงบใจลงแล้วคิด

พวกองครักษ์จะเป็นพยานให้ผมตอนผมปล้นกองคลัง การไม่ถูกจับได้ย่อมดีที่สุดแต่ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มาคิดดูอีกที ผมก็ไม่รู้ด้วยว่านายกรัฐมนตรีจะตรวจสอบผมอีกหรือไม่ ให้เขายุ่งกับงานจนไม่มีเวลาว่างถือเป็นทางแก้

ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกแย่ที่ถูกจับตามองนะ นี่ทำเพื่อความปลอดภัยของผมเท่านั้น

ใช่แล้ว นี่เพื่อความปลอดภัยของฉัน

จะว่าไป มีของที่ผมต้องได้มาด้วย

แล้วจะใช้ชื่อว่าอะไรดีนะ 1412 หรือ แองเจิ้ลเกิร์ล?

***

เช้าวันถัดมาอากาศสดใส ผมแทบลืมตาไม่ขึ้นเพราะเมื่อคืนนอนดึก ถึงอย่างนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงจนได้และลงไปกินอาหารเช้า

“เดน ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าหรือเปล่า?”

ลิสบอนโวยวายขณะถือหนังสือพิมพ์

ทำไมมาถามคนเพิ่งตื่นว่าอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าหรือเปล่า?

“เปล่า ข้าเพิ่งตื่น มีอะไรเหรอ?”

“เมื่อคืน ขุนนางระดับสูงคนหนึ่งถูกปล้น มาร์ควิสบัลเธียนสูญเสียเงินทั้งหมด รวมถึงพลอยชื่อพรเทวี”

ตราหมาป่าเงินกับใบลอเรลถูกวาดบนหนังสือพิมพ์ ผมอยากขอบคุณมาร์ควิสที่จ่ายค่าซักล้างให้ผมด้วยเงินทั้งหมดของเขา

“อ้อ เหรอ?”

พลอยชื่อพรเทวีเหรอ? ไม่รู้เลย

“อะไรนะ! พรเทวีถูกขโมย?”

อลิซร้องเสียงดังขณะออกจากห้องอาบน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันรอบศีรษะ เธอฉวยหนังสือพิมพ์จากมือลิสบอนไปอ่านอย่างตกใจ

“ตายแล้ว! พรเทวีคือไพลินดาวอันนั้น! ถ้าได้เห็นสักครั้งข้าคงตายตาหลับแต่ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว”

อย่างนี้นี่เองมันถึงถูกคุ้มกันอย่างดี ผมก็สงสัยอยู่ว่าแค่เศษไพลินมันมีดีอะไรนัก

อลิซทำเป็นเรื่องใหญ่พอดู เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

ผมไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เพราะไวส์เคานท์ไม่น่าจะมีโอกาสได้เห็นพลอยสูงค่าแบบนั้น แต่อลิซดูผิดหวังจริงๆ 

“ข้าตั้งใจจะขอให้คุณนายอาร์ซิลลาพาไปดู”

อ้อ อย่างนี้นี่เอง ถ้าใช้วิธีนั้นต้องได้ผลแน่

แต่ตอนนี้มันถูกลิขิตให้นอนในกระเป๋ามิติของผมไปตลอดกาล

“ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคืออาชญากรคนนั้นเรียกตัวเองว่า ลูแปง และเปิดเผยเป้าหมายต่อไปของเขา”

เอาชื่อมาจากหนังสือคลาสสิกดูจะเป็นความคิดที่ดี ลิขสิทธิ์ก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย

อลิซอ่านหนังสือพิมพ์ใหม่

“จริงด้วย มันบอกว่าเขาทิ้งบัตรใบหนึ่งเขียนว่า “ข้าจะมาเยี่ยมเคานต์ดรูวาล พรุ่งนี้ 2 นาฬิกา”

“ที่คฤหาสน์เคานต์ดรูวาลมีพลอยด้วยไหม?” ลิสบอนถาม

อลิซพับหนังสือพิมพ์ตอบ “มีสิ! มีสร้อยคอชื่อผลึกแห่งความสมบูรณ์แบบ ลูแปงต้องเล็งไปที่ผลึกนั้นแน่ๆ”

ผมแค่เลือกจากรายชื่อขุนนางที่ซื้อจากร้านขายข่าวมาหนึ่งชื่อ เอาเฉพาะระดับเคานต์ขึ้นไปเพราะถ้าพวกเขาไม่มีเครื่องเพชรผมก็ขโมยเงินได้

“แบบนี้หน่วยอัศวินกับกองคลังคงมีงานยุ่งแล้วล่ะ”

ลิสบอนถามอย่างสงสัย “ข้าเข้าใจว่าทำไมหน่วยอัศวินต้องยุ่ง แต่เกี่ยวอะไรกับกองคลัง?”

อลิซถอนหายใจ “พี่ ข้ารู้ว่าพี่ใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการฝึกฝนร่างกาย แต่ใช้สมองบ้างสิ โจรต้องขายพลอยที่เขาขโมยมา และเพราะเขาขายในตลาดไม่ได้ เขาต้องขายผ่านมือที่สามหรือขายในตลาดมืด กองคลังมีหน้าที่ติดตามกระแสเงินตรา พวกเขาจึงต้องพยายามฟังข่าวจากตลาดมืด”

“อ้อ เข้าใจแล้ว!”

“ถ้าเป็นหัวขโมยธรรมดาก็ไม่เท่าไหร่ แต่ลูแปงคนนี้หยามเกียรติของมาร์ควิสและเคานต์โดยการประกาศเป้าหมายต่อไป พวกเขาต้องพยายามจับลูแปงให้ได้แน่” 

อลิซพูดได้ถูกต้อง ตอนนี้กองคลังพยายามตามหาพลอยที่ไม่ได้ถูกขาย แน่นอน ผมวางแผนจะขายของบางชิ้นออกไปเพื่อไม่ให้พวกเขาคิดว่าของที่ถูกขโมยทั้งหมดถูกลักลอบนำออกไปที่อื่น

“อย่าเอาแต่ยืนสิ มากินข้าวเช้าเถอะ”

เสียงคุณนายอาร์ซิลลาดังมาจากห้องครัว พวกเรานั่งลงอย่างรวดเร็วและกินอาหารเช้า พวกเรากินอาหารราคาเท่ากับสองเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ถ้าไปกินในภัตตาคารจนหมด

ค่าเช่าสี่สิบเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ต่อเดือนถือว่าถูกมากถ้าผมได้กินอาหารแบบนี้วันละสองครั้ง สี่สิบเหรียญทองแดงบริสุทธิ์เท่ากับค่าอาหาร 10 วันเท่านั้นเอง ที่ว่าคุณนายอาร์ซิลลาทำหอพักเป็นงานอดิเรกนี่ใช่จริงๆ

“ขอบคุณสำหรับอาหาร”

เมื่อผมจะลุกขึ้นหลังจากกล่าวคำขอบคุณจากใจจริง ลิสบอนก็พูดขึ้น “ขอบคุณสำหรับอาหาร เดน ไปดูเมืองด้วยกันเถอะ”

“ขอโทษ แต่ข้าต้องไปหานายหน้าที่ถนนเวลคอนเพื่อเอาสมุดจดเตรียมสอบของลูกชายนาง ข้าต้องไปส่งเอกสารสมัครสอบด้วย”

“อ้อ-”

ลิสบอนดูผิดหวัง อลิซพูดเสริม “ข้าก็มีเวลาเหลืออีกไม่กี่วันก่อนถึงวันสอบ ข้าขอผ่านเหมือนกันนะ ต้องเตรียมสอบ”

“อะไรกัน? งั้นข้าต้องอยู่คนเดียว?”

“พี่ควรฝึกซ้อม การสอบเข้าโรงเรียนอัศวินก็ใกล้ถึงแล้วเหมือนกัน พี่เป็นแบบนี้คงสอบไม่ผ่าน”

เป้าหมายของอลิซคือเรียนจบจากโรงเรียนเวทมนตร์และเข้าหอคอยหรือเป็นนักเวทหลวง ส่วนเป้าหมายของลิสบอนคือเป็นอัศวินรับใช้ราชวงศ์ด้วยการเข้าโรงเรียนอัศวินขั้นกลาง

แผนเดิมของลิสบอนคือเข้าโรงเรียนอัศวินขั้นต้นตอนอายุ 16 แล้วต่อด้วยโรงเรียนอัศวินขั้นกลาง จากนั้นทำงานเป็นอัศวินฝึกหัดของอัศวินขั้นสูง แต่เพราะเขาเป็นลูกชายคนที่สองจึงถูกทำเป็นตัวสำรองของลูกชายคนโตและต้องเริ่มจากเข้าโรงเรียนอัศวินขั้นกลางแทน

โรงเรียนในจักรวรรดิมีข้อแปลกตรงที่เริ่มสอนในฤดูใบไม้ร่วง หรือหากพี่น้องคู่นี้สอบผ่านตอนฤดูร้อน พวกเขาจะเริ่มเรียนตอนฤดูใบไม้ร่วง

“ก็ได้” ลิสบอนตอบเสียงอ่อย

“ร่าเริงหน่อย! สอบเสร็จพวกเราค่อยมาเล่นกัน” ผมปลอบใจเขาเมื่อคิดว่าได้เจ้าโง่นี่ช่วยไว้เยอะ

“จริงเหรอ?”

ดวงตาลิสบอนเป็นประกาย ทำให้ผมรู้สึกเสียใจทีหลัง

“แล้วอลิซล่ะ?”

ลิสบอนมองอลิซด้วยความหวังเต็มเปี่ยม สีหน้าอลิซมืดครึ้มลงเรื่อยๆจนทนไม่ไหวแล้วตะโกน “ก็ได้ ไปก็ไป! เลิกมองข้าอย่างนั้นได้แล้ว แต่ถ้ามากวนข้าก่อนสอบพี่ตายแน่”

“ได้!”

ลิสบอนตอบอย่างร่าเริง คุณนายอาร์ซิลลาที่มองอยู่ข้างๆยิ้ม

“โฮะๆๆ”

ใบหน้านางบอกว่าที่ทำหอพักก็เพื่อภาพแบบนี้ ผมไม่เข้าใจนางเลย

8 โมงกว่าแล้ว เอาล่ะ

“วันนี้ข้าต้องไปไกล ไปก่อนนะครับ”

“ไปเถอะค่ะ”

คุณนายอาร์ซิลลาส่งผมที่ประตูบ้าน จุดหมายแรกของผมคือสาขาหนึ่งของกองคลังเพื่อสมัครสอบ

***

หน่วยงานของกองคลังที่ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเนื่องจากคดีปล้นชิงเมื่อคืน มาร์ควิสบัลเธียนคอยกดดันกองคลังและหน่วยอัศวินให้จับโจรมาให้ได้

ว่ากันตามทฤษฎีแล้ว คดีปล้นชิงเป็นความรับผิดชอบของอัศวินและไม่เกี่ยวกับกองคลัง แต่มาร์ควิสกดดันกองคลังด้วยเหตุผลว่าโจรต้องขายพลอยที่ปล้นมาในตลาดมืด

จัดการกับตลาดมืดเป็นความรับผิดชอบของอัศวิน แต่ก็ไม่ผิดเสียทีเดียวถ้าบอกว่ากองคลังก็ต้องรับผิดชอบเช่นกันเพราะพวกเขาต้องควบคุมเงินทั้งหมดในจักรวรรดิ ด้วยเหตุนี้ ข้าราชการในหน่วยงานนี้จึงกำลังตกอยู่ในนรก

ร้ายกว่านั้น คดีปล้นต้องมาเกิดตอนช่วงเตรียมการสอบรับราชการ หากคดีปล้นเกิดกับขุนนางระดับต่ำหรือพลอยไม่ถูกขโมยไปจากคฤหาสน์มาร์ควิส กองคลังคงถอนตัวจากคดีนี้ไปแล้วและไม่ต้องยุ่งขนาดนี้ แต่ตอนนี้ข้าราชการของกองคลังได้แต่เคียดแค้นหัวขโมยชื่อลูแปง

แม้ถึงเวลาทำงานแล้ว ที่ทำการของกองคลังยังคงว่างเปล่าเพราะข้าราชการส่วนใหญ่ออกไปตรวจตราตลาดมืด ด้วยเหตุนี้ คนที่เหลือจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับมือกับงานของทั้งหน่วยงานไว้เอง พวกเขาไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าทางเข้าด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มที่เข้ามามองไปรอบๆก่อนจะเดินไปหาข้าราชการที่อยู่ใกล้ที่สุด

“สวัสดีครับ ข้ามาสมัครสอบข้าราชการ”

“อะไรนะ?”

ข้าราชการเงยหน้ามองคนที่รบกวนการทำงานของเขาอย่างรำคาญ จากนั้นชี้ไปที่กองเอกสารบนโต๊ะ “กรุณากรอกข้อมูลบนใบสมัครแล้วขอบัตรประชาชนด้วยครับ”

เขาถอนหายใจ แต่เดิมงานนี้เป็นของการเงินทีม 4 แต่พวกเขาไปบุกตลาดมืด ข้าราชการตรวจสอบเอกสารและบัตรประชาชนของชายหนุ่มต่อ

“ชื่อ เดน วอน มาร์ค หรือครับ?”

“ครับ”

“อายุ 16 ใช่ไหม?”

“ครับ”

“มีรูปถ่ายไหม?”

“ไม่ครับ”

“ช่วยไปยืนตรงนั้นสักครู่”

ข้าราชการชี้ไปที่กำแพงขาว หยิบกล้องขนาดใหญ่กว่าหน้าคนจากโต๊ะของทีมสี่ แล้วตั้งขาตั้งกล้องจากนั้นวางกล้องลงไป

“จะถ่ายรูปติดบนใบสมัครนะครับ เงยหน้าขึ้นนิด เยอะไป ก้มลงหน่อยครับ ได้แล้ว หนึ่ง สอง สาม”

แชะ! แชะ! แชะ!

แสงแฟลชวาบขึ้นติดๆกัน หลังกดไปสามครั้ง รูปถ่ายสามใบก็เรียงออกมาจากกล้องเหมือนกล้องโพลารอยด์

ข้าราชการสะบัดรูปจนเริ่มเห็นเป็นรูปร่าง จากนั้นเขาติดมันกับใบสมัครและใบเสร็จรับเงิน

“ใช้ติดใบสมัครหนึ่งใบ ใช้ติดใบเสร็จรับเงินค่าสมัครสอบหนึ่งใบ รูปใบสุดท้ายใช้ติดบัตรข้าราชการถ้าเจ้าผ่าน ข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบทิ้งถ้าสอบไม่ผ่านนะ ค่ารูปใบละหนึ่งเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ ค่าสมัครอีกหนึ่งเหรียญทองแดงบริสุทธิ์”

เมื่อเดนยื่นเหรียญทองแดงบริสุทธิ์สี่เหรียญให้อย่างงงๆ ข้าราชการก็ยื่นใบเสร็จรับเงินให้ ที่จริงรูปถ่ายสามรูปราคาหนึ่งเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ เขาจึงดูดีใจที่ได้เหรียญทองแดงบริสุทธิ์สองเหรียญเข้ากระเป๋า

“เสร็จแล้วครับ เจ้าสามารถเข้าสอบที่ลานฝึกกลางในวันที่ 12 กรกฎาคม 10 โมงเช้า อย่าลืมนำบัตรประชาชน ใบเสร็จค่าสมัครสอบ และปากกาดินสอไปด้วย ที่สำคัญคือบัตรประชาชนกับใบเสร็จค่าสมัครสอบเพราะถ้าไม่มีก็เข้าสอบไม่ได้นะ” 

ข้าราชการพูดจบก็กลับไปทำงานต่ออย่างไม่สนใจ

เดนรู้สึกไม่พอใจและคิดว่าจะนอกจากคฤหาสน์เคานต์ที่วางแผนไว้แต่แรกแล้วจะปล้นที่อื่นเพิ่ม

ข้าราชการวางแผนว่าคืนนี้จะดื่มเบียร์เย็นๆด้วยเงินพิเศษที่ได้มาโดยไม่รู้เลยว่าเขาทำให้เกิดเหตุปล้นชิงเพิ่มอีกสองแห่ง โชคร้าย ความปรารถนาเล็กๆของเขาในคืนนี้ไม่สมหวังเพราะงานล่วงเวลาที่กำลังมาถึง



สารบัญ                                                     บทที่ 29


เอ่อ แก้แค้นด้วยวิธีนี้เหรอ อืมนะ ได้แก้แค้น ได้ค่าซักรีด ได้ทำให้นายกฯยุ่งจนไม่มีเวลาสืบเรื่องพระเอก ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว XD

 






วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 27

บทที่ 27 – เหตุเกิดที่เมืองหลวง (4)


“โอย ข้าปวดหัว”

อาร์คันทาถูกทับถมในกองเอกสารแบบตรงตามตัวอักษร งานเอกสารหลั่งไหลเข้ามาไม่เบาลงเลยแม้เขาจะจัดการกับมันไปทีละอย่าง เริ่มแรกงานของเขายังไม่คั่งค้างนัก แต่เมื่อการสอบเลือกข้าราชการใกล้เข้ามา หน่วยงานหลายๆแห่งก็เริ่มแย่งคนมีความสามารถ

ช่วงนี้คือช่วงที่นักเรียนจากการสอบครั้งก่อนฝึกเสร็จและจะได้รับบรรจุในหน่วยงานต่างๆ ไม่แปลกที่จะเกิดการช่วงชิงคนมีความสามารถสูงเพราะพวกเขาจะต้องลำบากไปหลายปีหากได้คนไร้ความสามารถมาทำงาน

แต่หลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน การเคลื่อนไหวของปีศาจก็เริ่มมีปัญหา แต่ที่น่ากังวลใจที่สุดคือหลานชายผู้หนีออกจากบ้านของบลัดดี้ หัวหน้าเผ่ากาคนต่อไป เดนเบอร์ก เบลด

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ดูมสโตน หัวหน้าเผ่ากาคนปัจจุบัน ทำไว้เมื่อ 25 ปีก่อนตอนเขายังไม่ได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอด มันทำให้กระเพาะที่แข็งแรงดีของเขาปวดขึ้นมา

ตอนนั้น อาร์คันทาเป็นเพียงเด็กเจ็ดขวบผู้ไม่รู้ประสีประสา แต่บันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงเก็บไว้อยู่และทรมานอาร์คันทาผู้กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรี

ที่จริงจนถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน บันทึกก็เป็นเพียงบันทึก ไร้ความหมายและไม่ส่งผลกับกระเพาะที่อ่อนแอลงเพราะความเครียดจากการทำงานของเขา แต่ตอนนี้ บันทึกกลายเป็นสิ่งที่สามารถทำลายท้องของเขาได้เลย

พูดถึงเหตุการณ์ในบันทึกที่เป็นเรื่องเล็กน้อย ก็มีเขื่อน 15 เมตรถูกทำลายท่วมพื้นที่ทำการเกษตร สาเหตุเพราะคำพูดไร้สาระของชายชราสมองเสื่อม

หรืออีกเหตุการณ์ที่พูดถึงเคาน์ทคนหนึ่งตีเด็กคนหนึ่งเพราะเดินและทำให้ฝุ่นบนถนนฟุ้ง เคาน์ทคนนั้นถูกอัดจนกระดูกแหลกเป็นแป้ง อัศวิน 300 คนของเขาบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นยกนิ้วไม่ขึ้น

มีอีกเรื่องพูดถึงถนนแห่งหนึ่งถูกดินถล่มปิดทาง และภูเขาทั้งลูกก็หายไปเพราะคนๆหนึ่งจะใช้เส้นทางนั้น

นี่คือเหตุขั้นเบามากจากในบันทึก

ประเทศอื่นนอกจักรวรรดิ ราชวังถูกทำลายย่อยยับ ทหาร 50,000 นายรวมอัศวิน 3,000 นายพิการ ดินแดนของขุนนางระดับเคาน์ทขึ้นไปถูกทำลาย ความเสียหายมหาศาลถึงขั้นประเทศต้องประกาศหยุดทำการ

บันทึกคือส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ในอดีต แต่ตอนนี้มันอาจเกิดได้ทุกเมื่อ

“อา ยาลดกรดอยู่ไหน!”

อาร์คันทาเจอยาใต้กองเอกสารแล้วหันไปทำงานต่อ ไม่ว่าจะคิดหนักเท่าไรก็ไม่มีวิธีแก้ปัญหาเหตุหนีออกจากบ้าน ถ้าเช่นนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเตรียมตัวให้มากที่สุดและลืมมันเสีย

ก๊อกๆ

อาร์คันทาพูด “เข้ามา” โดยไม่ละสายตาจากเอกสาร ไม่นาน ผู้ช่วยของเขาก็เดินเข้ามาและยื่นเอกสารและรูปถ่ายจำนวนหนึ่งให้

“นี่... อ้อ วันนี้เด็กจากตระกูลไวส์เคาน์ทมาสินะ?”

เอกสารที่ผู้ช่วยยื่นให้คือข้อมูลของผู้อาศัยกลุ่มใหม่ที่จะพักหอที่อาร์ซิลลา แม่ของอาร์คันทา ทำเป็นงานอดิเรก

ลิสบอนกับอลิซเป็นลูกของแม่นมของอาร์คันทา เขาจึงถือพวกเขาเป็นญาติห่างๆ

ห้ารุ่นก่อน ลูกสาวของตระกูลอาร์ธีมิอุสแต่งงานเข้าตระกูลไวส์เคาน์ทนั้น จะว่าไปแล้วพวกเขาก็เป็นญาติห่างๆกันจริงๆ

“ทำไมมีเอกสารสามชุดล่ะ?”

ข้าแน่ใจว่าเด็กจากตระกูลไวส์เคาน์ทมีสองคนนะ

“อีกคนหนึ่งถูกนายหน้าจัดหาบ้านแนะนำมาครับ”

“นายหน้า?”

พวกเขาประกาศหาคนเช่าผ่านทางนายหน้าจัดหาบ้านบนถนนเวลคอนเพราะอาร์ซิลลาต้องการเช่นนั้น ถ้านึกถึงความปลอดภัยของนางแล้วมันไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่อาร์คันทาขัดใจแม่ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้นักเรียนที่มาเช่าหออยู่บางครั้งก็มาจากนายหน้าจัดหาบ้าน

ใครส่งมาอีกล่ะ?

อาร์คันทารู้ฐานะตัวเองดี แม่ของเขาล่อตาล่อใจศัตรูทางการเมืองของเขาหรือคนที่ต้องการใช้ประโยชน์จากเขาเป็นอย่างดี ที่จริงก็มีหลายครั้งแล้วที่คนมาเช่าหอเพราะจุดประสงค์เหล่านี้

“คราวนี้ข้าคิดว่าไม่ใช่-”

ผู้ช่วยไม่เห็นด้วย อาร์คันทาถาม “เพราะอะไรถึงคิดอย่างนั้น?”

“เขาสนิทกับบุตรธิดาไวส์เคาน์ท คุณลิสบอนกับคุณอลิซมาก อย่างที่เห็นในรูปและเอกสาร เขาเด็กมาก คนอายุเช่นเขาหายากที่จะล้มกลุ่มองครักษ์หากไม่ใช่ชาติพันธุ์นักสู้”

อาร์คันทาอ่านเอกสารอย่างละเอียด ดูเด็กจริงๆ พวกคนที่รู้เรื่องของอาร์ซิลลาก็รู้ว่ามีคนคอยคุ้มกันนางอย่างลับๆ และรู้ว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นอัศวินระดับสูง

“เดน วอน มาร์คนี่มาจากดินแดนห่างไกลขนาดข้ายังไม่รู้จัก เจ้าทำได้ดีที่หาข้อมูลได้ในเวลาสั้นๆ”

“เขาแวะไปเปิดบัญชีที่ธนาคารเลยได้ข้อมูลจากบัตรประชาชนของเขามาเร็ว”

แม้เบื้องหน้าจะทำเหมือนไม่เกี่ยวกัน แต่ธนาคารก็เป็นหน่วยงานในสังกัดของกองคลังที่ตระกูลอาร์คันทาควบคุม หรือต่อให้ไม่ได้อยู่ในสังกัดก็ไม่มีองค์กรใดปฏิเสธเมื่อนายกรัฐมนตรีต้องการข้อมูล ถึงอย่างนั้นเพราะเป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อเขา ข้อมูลจากธนาคารจึงมีความน่าเชื่อถือสูง

“อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ปลอมตัวเข้าหาแม่ ถือเป็นข่าวดี”

อาร์คันทาเชื่อถือบัตรประชาชนที่เผ่าผีเสื้อและนักเวทหลวงร่วมกันร่ายคาถาป้องกันการปลอมแปลงอย่างมาก

“ฮ่าๆ ใครจะคิดปลอมบัตรของขุนนางล่ะครับ? บัตรที่ซับซ้อนแบบนั้นปลอมแปลงยากมาก”

“จริง วาร์รันท์เมืองสุดท้ายเป็นที่ออกบัตรเหรอ?”

เพราะว่าเป็นเมืองที่ใกล้ป่าโอลิมปัสที่สุดและตั้งตรงชายแดนปีศาจ เมืองวาร์รันท์จึงได้อีกชื่อว่าเมืองสุดท้าย มันเต็มไปด้วยตระกูลขุนนางตกอับและอัศวินปกป้องจักรวรรดิจากเขตแดนปีศาจ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเมืองเดียวที่สามารถออกบัตรประชาชนขุนนางแม้จะไม่ได้เป็นดินแดนของขุนนางระดับสูง

อีกอย่าง เมืองนี้โด่งดังเรื่องออกบัตรด้วยวิธีค่อนข้างแปลก ในการทำบัตร ก่อนเจ้าของบัตรจะยืนยันตัวตน เขาต้องผ่านอัศวินและนักรบในเมืองก่อนไปถึงสถานที่ออกบัตร

อาร์คันทางงกับเรื่องนี้มาก แต่คนในเมืองนั้นเชื่อว่าคนที่ไม่มีพลังไม่ใช่ขุนนาง พูดให้ถูกมันคือข้อถกเถียงว่า “ไม่มีใครปกป้องใครได้หากไม่มีพลัง และไม่มีใครปกป้องใครได้หากไม่ใช่ขุนนาง” แต่เขาก็สงสัยอยู่ดีว่ามันเกี่ยวอะไรกับการออกบัตร

ดังนั้นจึงมีเหตุบ่อยๆที่ขุนนางที่นั่นที่เพิ่งเป็นผู้ใหญ่ยังไม่แข็งแกร่งพอ พ่อแม่เป็นคนฝ่ากองทัพอัศวินและนักรบไปทำบัตรให้แทน มันผิดกฎหมายจักรวรรดิและผิดจุดประสงค์การทำบัตรประชาชนยืนยันตัวตน แต่วาร์รันท์เป็นเมืองพิเศษ ส่วนกลางจึงทำเป็นมองไม่เห็น

เพราะถ้าจับทุกคนที่ทำผิดกฎหมาย วาร์รันท์ เมืองที่มีฐานะเป็นกันชนเขตแดนปีศาจอาจล่มสลาย

“ปกติคนที่ทำบัตรในวาร์รันท์จะอาศัยอยู่ที่นั่นเลย น่าสนใจ มีใครไปตรวจสอบที่นั่นได้บ้าง?”

เมื่ออาร์คันทาถาม ผู้ช่วยยิ้มเจื่อน “ถึงจะเป็นคำสั่งของท่าน แต่ทุกคนคงขอลาออกดีกว่าไปเมืองที่เต็มไปด้วยคนของชาติพันธุ์นักสู้”

ไม่ว่าเมืองจะโหดร้ายแค่ไหน ไม่ว่าคนที่นั่นจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ยังเทียบไม่ได้กับนิ้วเท้าของเผ่ากาที่อาศัยใกล้ป่าโอลิมปัส

พวกเขายกย่องชาติพันธุ์นักสู้เป็น ‘โล่ที่ปกป้องจักรวรรดิจากปีศาจ’ แต่อาร์คันทาไม่คิดจะเพิกเฉยต่ออัศวินและนักรบในเมืองวาร์รันท์ หากไม่มีพวกเขา จักรวรรดิคงไม่ปลอดภัยอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

“ฮืม เดนคนนี้เขาสนิทกับเด็กตระกูลไวส์เคาน์ทเหรอ?”

ผู้ช่วยพยักหน้ารับหงึกๆ “ครับ สนิทกันมากๆ”

ถ้าเขาบอกว่าไม่สนิท คนจากกองคลังจะถูกส่งไปทำธุระที่วาร์รันท์ หรืออีกชื่อว่า วัลฮัลลา สวรรค์ของการต่อสู้ไม่สิ้นสุด ผู้ช่วยไม่อยากได้ยินเสียงไม่พอใจจากลูกน้องว่าทำไมเขาไม่ไปเอง

“ข้าไม่ชอบที่มีช่องว่างเต็มไปหมดในหน้าข้อมูลส่วนตัวของเขา แต่ดูไม่น่ามีปัญหา เอาแค่จับตาดูเขาอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วกัน”

“เข้าใจแล้วครับ!”

ผู้ช่วยแอบถอนหายใจโล่งอก

***

 ผมพักอยู่ที่หอพักมาสามวันแล้ว ผมอยู่คนเดียวในห้องบนชั้นสอง มันกว้างและสะดวกสบายกว่าห้องที่บ้านเกิดของผม

เวลาสามวันน่าจะพอให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบผมเสร็จ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากการจับตาดูที่มีทันทีที่ผมเข้ามายังหอพัก

ดูจากเรื่องนี้แล้วเชื่อได้ว่าตัวตนปลอมของผมยังไม่ถูกจับได้ และเรื่องที่ผมสนิทกับลิสบอนและอลิซไปถึงหูนายกรัฐมนตรีไม่มีปัญหา 

แต่ก็ยังมั่นใจได้ไม่เต็มร้อยอยู่ดีว่าตัวตนปลอมของผมยังไม่ถูกจับได้

ถ้าเป็นอย่างนั้น หรือว่ามีเหตุผลอื่นที่เขาแค่ดูอยู่ห่างๆ ไม่จับฉัน?

มาคิดดู เขาอาจแค่ปล่อยผมไว้เพื่อขุดคุ้ยเบื้องหลังของผม ถ้าเป็นอย่างนั้น นายกรัฐมนตรีก็เลือดเย็นมาก เขาปล่อยแม่ไว้กับคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปโดยไม่ห่วงเลย

หรือว่าฉันคิดไปเองว่าถูกพวกเขาเฝ้าจับตาดู?

มาคิดอีกที ถูกจับตามองก็เป็นปัญหาแล้วนี่นา? ผมสร้างร่างลวงตาของผมกำลังเข้านอน ขณะเดียวกันก็ร่ายเวทล่องหนให้ตัวเอง

“อาคาริน~”

ผมออกทางหน้าต่าง ระวังไม่ให้เกิดเสียง ผมรู้สึกได้ถึงคนราว 23 คนตระเวนรอบคฤหาสน์ ดูจากที่พวกเขาดูแข็งขันดี น่าจะเป็นคนชั้นนำเมื่อเทียบกับคนธรรมดา

แต่ถ้าเพื่อการคุ้มกัน พวกเขาอ่อนแอเกินไป เห็นได้ชัดว่าถ้าเกิดการโจมตี หน้าที่ของพวกเขาคือถ่วงเวลาพาคุณนายอาซิลลาหนีและส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

ผมเฝ้าดูการเคลื่อนไหวขององครักษ์อย่างใจเย็น เมื่อผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็เริ่มเห็นสัญญาณของการเปลี่ยนกะ ผมตรงไปที่นั่น และเป็นตามที่คาด องครักษ์บางคนเปลี่ยนกะ แยกย้ายและตรงไปที่อื่น

ผมลอบโจมตีองครักษ์คนหนึ่งที่แยกย้ายไปที่อื่น และมอมเขาด้วยยาทำจากรากแมนดราโก จากนั้นสะกดจิตเขาด้วยเวทมนตร์และถามว่าเขาได้คำสั่งอะไรมาบ้าง

“เจ้าเฝ้าดูข้าตลอดเลยเหรอ?”

“ใช่แล้ว”

ลางสังหรณ์ที่บอกว่าผมกำลังถูกจับตามองอยู่กลายเป็นจริง ผมเริ่มเครียด

“รู้อะไรเกี่ยวกับข้าบ้าง?”

“ชื่อ อายุ ที่มา”

“บอกให้ละเอียด”

“ชื่อ เดน วอน มาร์ค อายุ 16 ปี ที่มา วาร์รันท์ โอลิมปัส ชายแดน”

เมื่อผมให้เขาพูดมากกว่านี้ คำพูดของเขาฟังคลุมเครือติดขัด เขาต้องมีจิตใจเข้มแข็งที่พยายามต่อต้านการสะกดจิต ผมสามารถทำให้เขาพูดคล่องกว่านี้ได้แต่ก็ลังเล เพราะผมอาจทำลายสติเขาได้จริงๆ

“เจ้ารู้มาจากไหน?”

“ธนาคาร... บัตร... ข้อมูล”

ธนาคารให้ข้อมูลส่วนตัวฉันเหรอ? 

ไม่ว่าธนาคารจะมีการรักษาความปลอดภัยแค่ไหนก็คงแปลกหากไม่ส่งข้อมูลถ้าคนระดับนายกรัฐมนตรีถาม น่าจะง่ายด้วย เพราะธนาคารของจักรวรรดิไม่ใช่บริษัทเอกชนแต่เป็นองค์กรระดับชาติที่อยู่ใต้กองคลัง ผมควรหยุดแผนเปลี่ยนเหรียญทองคำขาวไว้สักพัก




-อาคารินเป็นตัวละครใน Yuru Yuri ที่ตัวตนจืดจางมาก


สารบัญ                                     บทที่ 28




 

 

 





วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 26

บทที่ 26 – เหตุเกิดที่เมืองหลวง (3)


“ถ้าอย่างนั้น เรามาหาสถานที่กันเลยไหมคะ? เตรียมงบไว้เท่าไหร่คะ?”

ผมชูสองนิ้ว

“สองเหรียญเงิน? น้อยไปหน่อยนะคะ เอาเถอะ ไม่เป็นไร ถ้าเป็นที่พักสำหรับคนเดียวก็ยังพอ”

ไม่ใช่ ผมหมายถึงสองเหรียญเงินบริสุทธิ์ ที่จริง ต่อให้บ้านราคาสองเหรียญทองก็ไม่เป็นไร แต่ผมลดงบลงเพราะรู้สึกว่าบ้านราคาแพงขนาดนั้นคงไม่มีในแถบนี้ แต่ก่อนผมจะแก้ความเข้าใจผิด คุณป้าก็เอาภาพวาดห้องและตึกต่างๆออกมา

ขอภาพจริงแทนภาพวาดไม่ได้เหรอ?

“ห้องนี้ต้องวางเงินประกันล่วงหน้าหนึ่งเหรียญเงินกับ 20 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ ค่าเช่าเดือนละ 10 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ค่ะ แต่สะดวกดีนะคะเพราะอยู่ใกล้ตลาด”

แบบแปลนที่คุณป้าให้ดูเป็นห้องแบบสตูดิโอที่เหมาะกับการอยู่คนเดียว

“ขอโทษครับ ข้าอยากได้ที่พักแค่จนสอบข้าราชการเสร็จ มีแบบนั้นไหม?”

ถ้าไม่มี ซื้อบ้านเลยดีกว่า ถ้าพักในโรงแรมก็หนวกหูเกินไปไม่เหมาะกับการเตรียมสอบ

“จนสอบข้าราชการ... น่าเสียดายแต่ไม่มีบ้านให้เช่าแบบนั้นเลยค่ะ”

ผมคิดว่าซื้อบ้านเลยแล้วกัน ต่อให้ต้องพักในหอพักโรงเรียน ผมมั่นใจว่าฝึกเสร็จก็จะได้รับบรรจุในเมืองหลวงนี่อยู่ดี

“งั้น-”

ผมกำลังจะพูดแต่คุณป้าขัดจังหวะ “บ้านที่ทำเป็นหอพักเป็นยังไงคะ? เจ้าของบ้านเขายอมให้คนอยู่หนึ่งเดือน หลังจากนั้น ถ้าอยากอยู่ต่อก็ต่อสัญญาได้ แต่ราคาจะค่อนข้างแพง”

“เท่าไหร่ครับ”

“40 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ต่อเดือน ไม่ต้องจ่ายเงินประกันค่ะ”

“หอพักเนี่ยนะครับ?”

ราคาบ้านเช่าคือ 10 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ต่อเดือน ราคาหอพัก 40 เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ต่อเดือนจึงแปลกมาก ถ้าผมอยู่สามเดือน ก็จะเท่ากับเงินประกันของสตูดิโอเลย นี่ก็เหมือนกับว่าเจ้าของไม่สนใจหาคนอยู่

“ค่ะ ห้องใหญ่นะ มีสวนแล้วก็ใกล้ตลาดด้วย มีอาหารมื้อเช้ากับมื้อเย็นให้ แต่เจ้าของบ้านบอกว่าในช่วงหนึ่งเดือน ถ้าเกิดไม่ชอบใจเจ้า เจ้าก็ต้องเก็บของออกไป”

“อะไร? เจ้าของไล่คนเช่าออก?”

หอแบบไหนกันไล่คนออกเพราะไม่ชอบ?

“ค่ะ ที่จริงเวลาหนึ่งเดือนนี่เหมือนให้เจ้าของได้ทำความรู้จักคนอาศัยมากกว่านะ พักโรงแรมอาจจะยังถูกกว่าและถ้าเจ้าพักที่นั่นตลอดหนึ่งเดือนก็ต่อรองราคาได้ด้วย”

ใช่ ถ้าผมพักโรงแรมก็อาจได้ลดราคาเพราะอยู่ยาว ช่วงวันธรรมดาโรงแรมก็ไม่ค่อยมีแขกนัก

“บ้านเงียบไหมครับ?”

“ค่ะ บ้านตั้งอยู่แถบอาศัยของขุนนาง เงียบสงบและปลอดภัยดี”

ความปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน การรักษาความปลอดภัยดีหมายถึงลดความเสี่ยงที่จะถูกรบกวนด้วยเหตุแปลกๆ

“คงไม่มีปัญหาอย่างเจ้าของบ้านเข้ามาในห้องตอนข้าไม่อยู่ใช่ไหม?”

“ได้ยินว่าเจ้าของบ้านไม่ใช่คนแบบนั้นค่ะ”

“ไปดูได้ไหมครับ?”

“มันแพงและเจ้าอาจถูกไล่ออกทีหลังได้นะ ไม่เป็นไรเหรอคะ?” คุณป้าถามซ้ำ

“ครับ ช่วยพาไปที”

เมื่อผมตอบอย่างหนักแน่น คุณป้าก็พาผมไปที่หอพัก บ้านดูดีกว่าที่ผมคิดไว้มาก คิดว่าเป็นคฤหาสน์ของตระกูลขุนนางเลยทีเดียว คุณป้ากดกริ่งและพูดผ่านอินเตอร์คอม

“สวัสดีค่ะ? นายหน้าจากถนนเวลคอนค่ะ มีคนสนใจมาอยู่ เข้าไปได้ไหมคะ?”

แทนคำตอบ ประตูเหล็กเปิดออกโดยอัตโนมัติ ประเทศนี้พัฒนาไปกว่าที่ผมคิดมาก

“เข้าไปเลยไหมคะ?”

“ครับ”

สวนที่อยู่ระหว่างทางไปถึงระเบียงหน้าบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้สีชมพู ผมไม่รู้จักชื่อของมันแต่บอกได้ว่ามันถูกดูแลอย่างดี อีกอย่าง ผมรู้สึกถึงการมีอยู่ของคนหลายคน

คุณป้าเคาะประตู มันเปิดเหมือนมีคนรออยู่แล้ว

“คุณนาย ไม่เจอกันนานนะคะ”

คุณป้าทักทาย ผู้หญิงในบ้านพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยนและเชิญพวกเราเข้าไป

“ไม่เจอกันนานเลยคุณโป๊บ นี่คือคนที่จะมาเช่าหออยู่เหรอ?”

“ค่ะ”

“เข้ามาดื่มชาข้างในไหม?”

“ขอโทษค่ะ ข้าถือว่าเป็นเกียรติแต่ปล่อยร้านไว้ไม่มีคนนานๆไม่ได้ ไว้คราวหน้านะคะ?”

มองปราดเดียวก็รู้ว่าคุณป้ากำลังเกร็ง ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะเป็นขุนนาง

“ได้แน่นอน มาได้ทุกเวลาเลย”

เจ้าของบ้านดูผิดหวังจริงๆ

คุณป้าถอยหลังกลับเกร็งๆและพูด “คุณผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนพาเจ้าดูบ้าน ถ้าสนใจหาบ้านอื่น มาที่บริษัทจัดหาบ้านได้ทุกเวลานะคะ”

นางบอกลาและตรงไปที่ประตูรั้ว

ขนาดคนเป็นมิตรอย่างนางยังลนลาน หรือว่าเจ้าของบ้านคนนี้จะน่ากลัวมาก หรือไม่ก็เป็นขุนนางชั้นสูง?

“เข้ามาสิ”

เจ้าของบ้านนำทางผมเข้าไป

สมเป็นคฤหาสน์ การตกแต่งภายในหรูหรามาก เจ้าของบ้านนำผมไปยังห้องนั่งเล่นและให้ผมนั่งที่โซฟา มันนุ่มมาก ไม่เหมือนโซฟาหนังปีศาจที่บ้าน โซฟาตัวนี้นั่งสบายกว่าแบบคนละเรื่องเลย

เจ้าของบ้านรินชาและพูดขึ้นขณะยื่นถ้วยชาให้ผม

“ก่อนอื่น ขอโทษนะคะแต่ขอดูบัตรประชาชนของเจ้าได้ไหม? ลูกชายข้าไม่อยากให้คนไม่รู้ที่มาที่ไปเช่าบ้าน ขอโทษนะถ้าทำให้รู้สึกอึดอัด”

“ไม่ครับ ตรวจดูก่อนนั่นแหละถูกแล้ว นี่ครับ”

ผมหยิบบัตรยื่นให้ เจ้าของบ้านแปลกใจเล็กน้อย “โอ๊ะ เจ้าเป็นขุนนางเหรอ ขอโทษด้วยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ หน้าผมไม่ได้มีคำว่าขุนนางติดอยู่เสียหน่อย แล้วผมก็ไม่มีบรรดาศักดิ์ด้วย แค่ขุนนางธรรมดา”  

“ขอบคุณที่เข้าใจค่ะ ข้าชื่อ อาร์ซิลลา วอน ดิ ไพโอลา อาร์ทีมิอุส เรียกว่าคุณนายอาร์ซิลลาก็ได้”

ผมรู้สึกว่าที่นี่เหมือนคฤหาสน์ขุนนาง มันจริงเสียด้วย

จากที่นางมีชื่อดินแดน ดิ ไพโอลา ด้วย แปลว่านางน่าจะเป็นเจ้าบ้านหญิงของตระกูลขุนนาง นี่เป็นเพราะ ในหมู่เชื้อสายตรงของหัวหน้าตระกูล มีแต่บิดามารดา ภรรยา และทายาทที่ใช้ชื่อดินแดนด้วยได้

แต่ชื่อฟังคุ้นๆนะ

“คุณนายอาร์ซิลลานะครับ อย่างที่เห็นในบัตร ข้าชื่อเดน วอน มาร์ค กรุณาเรียกข้าว่า เดน แต่ชื่อคุณนายฟังคุ้นๆ-”

เมื่อผมพูดถึงท้ายประโยค เจ้าของบ้านดูเขินนิดๆแต่ภาคภูมิใจ

“โอ๊ะ ที่คุณเดนรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อคงเป็นเพราะลูกชายของข้า”

ลูกชาย?

ถ้าผมคุ้นกับชื่อขุนนางในเวลาไม่นานหลังออกจากบ้าน ก็ต้องเป็นเพราะข้อมูลขุนนางที่ผมซื้อมา ถ้าผมจำชื่อได้ก็แสดงว่าคนๆนี้มีอำนาจพอดู

อาร์ซิลลา ดิ ไพโอลา อาร์ทีมิอุส...

เดี๋ยวก่อน?! อาร์ทีมิอุส?!

“ไม่จริงน่า-”

คุณนายอาร์ซิลลาพยักหน้า นางเขินจนแก้มแดงขึ้นเล็กน้อย

“ใช่ค่ะ แม้ลูกชายของข้าจะบกพร่องในหลายๆด้าน แต่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี”

อาร์คันตา วอน ดิ ไพโอลา อาร์ทีมิอุส...

นายกรัฐมนตรีหนุ่มของจักรวรรดิ ชื่อก็ต้องคุ้นอยู่แล้ว

เขาเป็นขุนนางที่มีอิทธิพลที่สุดในจักรวรรดิที่อยู่หน้าแรกของเอกสารที่ผมซื้อมา มือขวาของจักรพรรดิ อัจฉริยะที่อาจนำหน้าเผ่าผีเสื้อหากเลือกเดินเส้นทางของนักเวท ในจดหมายของลุงผมก็มีชื่อของเขาบ่อยๆ

ที่คุณป้าจัดหาบ้านเกร็งเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณนายอาร์ซิลลานั้นมีเหตุผลจริงๆ แต่ทำไมเจ้าบ้านหญิงของตระกูลดยุคมาทำหอพักในบ้านหลังเล็กๆไม่เข้ากับฐานะนายกรัฐมนตรีล่ะ?

“บกพร่องอะไรกันครับ? ลูกชายของคุณนายน่ะขนาดคนต่างถิ่นอย่างข้ายังเคยได้ยินชื่อ”

“ขอบคุณที่พูดแบบนั้นค่ะ”

“อาจฟังเสียมารยาทไปหน่อย แต่ทำไมคนอย่างคุณนายมาทำหอพักล่ะ?”

คุณนายอาร์ซิลลาตอบด้วยรอยยิ้มใจดี “ไม่เสียมารยาทหรอกค่ะ ข้าทำเพราะข้าชอบคน ตอนอยู่ดินแดนของข้า ข้าสนุกกับการออกไปพบปะผู้คน แต่พอมาอยู่เมืองหลวงข้าไม่สามารถไปไหนมาไหนอย่างอิสระเหมือนก่อน ข้าจึงขอให้ลูกชายหาบ้านเล็กๆให้เพื่อมาทำหอพัก”

ติ๊งต่อง!

เสียงกริ่งประตูดังขึ้น

“ดูเหมือนเด็กๆที่จะมาอยู่ที่นี่มาถึงแล้ว เจ้ายังไม่ได้ดูบ้านเลย ดูไปพร้อมกับพวกเขาได้ไหมคะ?”

“ไม่มีปัญหาครับ”

คุณนายอาร์ซิลลายืนขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูบ้าน

ผมคิดขณะมองตามคุณนายอาร์ซิลลา อันตราย ถ้าผมพักหอพัก ก็ไม่ต่างจากรอให้นายกรัฐมนตรีรู้ว่าผมเป็นใคร นายกรัฐมนตรีสนิทกับลุงผมมาก หรือก็คือ ถ้านายกรัฐมนตรีรู้ว่าผมเป็นใคร ลุงผมก็จะรู้เรื่องทันที

ไปเลยดีไหม? ไม่ สายไปแล้ว

ผมสงสัยอยู่ว่าทำไมรอบคฤหาสน์จึงมีคนเยอะนัก พวกเขาคือองค์รักษ์นั่นเอง เป็นไปได้ว่าเรื่องที่ผมเข้ามาในบ้านนี้ไปถึงหูนายกรัฐมนตรีแล้ว

แบบนี้ทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น

ถ้าไปเลยโดยไม่ดูบ้านก็แปลกเกินไป กระทั่งอาจดูเหมือนว่าผมจงใจมาดูคุณนายอาร์ซิลลา แต่ถ้าผมใช้เวลากับคุณนายอาร์ซิลลาในระหว่างดูบ้านก็เป็นไปได้ว่าผมจะถูกตรวจสอบความเป็นมา

หรือจะเล่นลูกบ้าเช่าหอพักที่นี่เลย?

บัตรประชาชนของผมก็ปลอมอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ที่อยู่ของผมเป็นดินแดนห่างไกลเหมือนผมมาจากตระกูลขุนนางตกอับ ถ้าเป็นหอพักทั่วไปคงไม่ตรวจสอบคนมาอยู่ถี่ถ้วนขนาดนั้น แต่ที่นี่ต้องตรวจแน่ อีกอย่างก็น่าสงสัยด้วยที่ขุนนางตกอับอย่างผมมีเงินจ่ายค่าเช่าแพงๆ

ทำไงดี? หนีดีไหม?

คุณนายอาร์ซิลลาพาคนที่กดกริ่งประตูเข้ามาแล้ว

“โอ๊ะ? เดน?”

คนหนึ่งตะโกนชื่อผม ผมหันไปด้วยความแปลกใจ เจ้าโง่กำลังมองผมด้วยสีหน้าแจ่มใส

“อ้าว รู้จักกันเหรอ?”

“ครับคุณนาย เขาเป็นสหายที่เดินทางมาเมืองหลวงกับข้า”

สหายเหรอ... ฉันรู้จักกับนายแค่ไม่กี่วัน... เดี๋ยวก่อน!

ผมใช้เรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์ได้

“ใช่แล้วครับคุณนาย ลิสบอนช่วยเหลือข้าไว้เยอะ”

“ข้าต่างหากที่ได้รับความช่วยเหลือ”

ผมพนักหน้ารับลิสบอนและพวกเราก็นั่งคุยกัน ผมต้องพิสูจน์ตัวตนกับนายกรัฐมนตรีด้วยการให้ลิสบอนและอลิซเป็นคนยืนยันตัวตนผม มันเสี่ยงมาก แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะเข้าสอบข้าราชการโดยไม่สร้างความปั่นป่วน

ถ้าไปได้สวย ไม่เพียงตัวตนของผมได้รับการยืนยัน ยังได้ผลของการซ่อนแสงไฟใต้ตะเกียงด้วย แน่นอนว่าถ้าถูกจับได้ผมจะหนีทันที

ว่าแต่ว่า ทำเป็นสนิทกับคนอื่นนี่มันยากแท้


สารบัญ                                       บทที่ 27