บทที่ 16 เดินทางสู่เมืองหลวง (3)
“ฮ่าๆ ข้าพาเขามาเพราะเขานั่งตากฝนข้างนอก”
“พี่? นี่ไม่ใช่บ้านเรานะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ไม่เป็นไรหรอกเพราะที่บ้านเรามีห้องเยอะ แต่ตอนนี้เรากำลังไปเมืองหลวง คิดถึงสถานะด้านการเงินของเราด้วยสิ!”
ตรงข้ามกับพี่ชาย อลิซดูจะฉลาดกว่า เธอดุลิสบอนแล้วหันมาทางผม
“เฮ้ เจ้าอย่าตามคนแปลกหน้าง่ายๆสิ”
คำพูดของเธอมีเหตุผลเป็นที่สุดจนผมตอบไม่ถูก
“ฮ่าๆ อย่าโกรธเขาเลยอลิซ ข้าเป็นคนบังคับพาเขามาเอง นี่คือเดน มาร์ค”
ผมรู้ว่าอลิซเกือบจะโกรธจัดแล้วเมื่อเธอกระชากคอเสื้อลิสบอน
“พี่ล้อเล่นใช่ไหม? พี่ทำแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว? หา?”
น่าเสียดายไม่มีป๊อบคอร์นให้ผมเคี้ยวระหว่างดูพี่น้องทะเลาะกัน ดูการต่อสู้มันสนุกเสมอเพราะความเร้าใจและรู้สึกเหมือนได้ประสบการณ์สดใหม่
“เอ้อ ฮ่าๆ...”
เจ้าโง่นับนิ้ว
“ไม่อยากรู้!”
อลิซปล่อยคอเสื้อของลิสบอนและตรงไปที่บันได
“เจ้าจะไปไหน?”
“ไม่สน! ข้าจะนอนแล้ว!”
อลิซขึ้นไปที่ห้องอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ฮ่าๆ ปกติเธอไม่ใช่แบบนั้นหรอก ข้าคิดว่าเธอคงเหนื่อยจากการเดินทางไกล”
น่าจะเพราะเหนื่อยกับนายมากกว่านะ
“มานั่งก่อนเถอะ อยากกินอะไร?”
ผมตัดสินใจอย่างจริงจังไม่ให้กลายเป็นคนแบบเขาขณะมองลิสบอนยิ้มและส่งเมนูให้ผม ผมได้เรียนรู้จากการมองเขาจริงๆ นอกจากนั้นการปฏิเสธน้ำใจจากคนอื่นเป็นเรื่องเสียมารยาทด้วย ผมอ่านเมนูและสั่ง
“ข้าขอสตูว์ไก่กับขนมปังไรน์”
ที่จริงผมอยากกินสตูว์เนื้อกับขนมปังข้าวสาลี แต่มันแพงกว่าสามเท่า การเลือกของแพงเวลาคนอื่นเป็นคนจ่ายเงินก็หยาบคายเช่นกัน
“เท่านั้นจะอิ่มได้ไง? สั่งอาหารหน่อยครับ”
“จ้า”
“เอาสตูว์ไก่สองที่ ขนมปังไรน์สามก้อน มันฝรั่งทอด ไข่เจียวหนึ่งครับ”
“จ้า รอสักครู่”
พนักงานเสิร์ฟรับออร์เดอร์แล้วเข้าไปในครัว ไม่นานอาหารก็มา ไม่แปลกเพราะอาหารที่ผมสั่งใช้เวลาปรุงไม่นาน
จะว่าไป มีคำว่าวอนกลางชื่อแปลว่าเขาเป็นขุนนาง แต่ลิสบอนใช้เงินไม่เยอะเลย
“ฮ่าๆ ที่จริงแล้วข้าใช้เงินไปมากระหว่างทางมาที่นี่...”
สรุปว่าระหว่างการเดินทางเขาใช้เงินช่วยคนอื่นมากเกินไป
ไม่แปลกใจเลยที่น้องสาวของเขาโกรธ แต่เขาเป็นคนเลี้ยงอาหารผมก็ต้องขอบคุณเขาหน่อย
ผมตัดสินใจใช้โอกาสนี้เพิ่มพูนความรู้ทางโลกที่จำกัดของผม “ข้ามีเรื่องที่สงสัยอยู่”
“อะไรเหรอ?”
“ราคาตลาดตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“อะไรนะ?” ลิสบอนดูประหลาดใจกับคำถามที่คาดไม่ถึง
ปกติคนจะถาม “ทำไมเจ้าดีกับข้านัก?” แต่ผมรู้แล้วนี่นะว่าเพราะเขาเป็นไอ้โง่ ผมจึงคิดว่าใช้โอกาสนี้หาความรู้ดีกว่า
“ข้ามาจากบ้านนอก พวกเราซื้อขายด้วยการแลกเปลี่ยนของ”
ไม่ใช่บ้านนอกธรรมดา บ้านนอกโคตรๆ เมืองที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปกว่าพันกิโลเมตร เรามี “เงินตรา” แต่มันทำจากชิ้นส่วนของปีศาจหรือพวกเกล็ดมังกร เพราะเหตุนี้ในกระเป๋ามิติของผมจึงเต็มไปด้วยชิ้นส่วนของปีศาจและมังกร แน่นอน ผมล่าพวกมันเอง
มาคิดดูแล้ว ถ้าขายชิ้นส่วนพวกนี้ในตลาดน่าจะได้เงินอยู่นะ?
ผมควรเข้าตลาดอีกรอบพรุ่งนี้ แล้วก็หาธนาคารด้วย เอาเหรียญทองคำขาวไปฝากแล้วถอนเหรียญอื่นออกมา
“เข้าใจล่ะ ถ้ารู้ราคาทั่วไปก็สะดวกดี เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามีเหรียญแปดอย่าง เหล็ก เหล็กบริสุทธิ์ ทองแดง ทองแดงบริสุทธิ์ เงิน เงินบริสุทธิ์ ทองคำและทองคำขาว?”
ว้าว เจ้านี่ดูถูกกันเกินไปแล้ว!
“แน่นอน!”
“เราใช้หน่วยที่เรียกว่าเบี้ยเป็นหน่วยพื้นฐาน มันเป็นคำโบราณแปลว่าเปลือกหอย เหรียญเหล็กหนึ่งเหรียญเท่ากับหนึ่งเบี้ย”
ผมรู้เรื่องนี้จากในหนังสือแล้ว ผมอยากรู้เกี่ยวกับราคาข้าวของเครื่องใช้ แต่หมอนี่ทำเหมือนผมไม่รู้อะไรเลย
“เหรียญเหล็กบริสุทธิ์หนึ่งเหรียญเท่ากับเหรียญเหล็ก 5 เหรียญ นั่นก็คือมันมีค่าห้าเบี้ย เหรียญทองแดงมีค่าสองเท่าของเหรียญเหล็กบริสุทธิ์ก็สิบเบี้ย เหรียญทองแดงบริสุทธิ์มีค่าห้าเท่าของเหรียญเหล็กบริสุทธิ์ นั่นก็คือยี่สิบห้าเบี้ย”
ลิสบอนดื่มน้ำดับกระหายแล้วอธิบายต่อ
การอธิบายของลิสบอนเป็นเค้าโครงง่ายๆแบบนี้
เหรียญเหล็ก = 1 เบี้ย, เหรียญเหล็กบริสุทธิ์ = 5 เบี้ย, เหรียญทองแดง = 10 เบี้ย, เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ = 25 เบี้ย, เหรียญเงิน = 2,500 เบี้ย, เหรียญเงินบริสุทธิ์ = 25,000 เบี้ย, เหรียญทองคำ = 250,000 เบี้ย, เหรียญทองคำขาว = 25,000,000 เบี้ย
“เหรียญทองหกหรือเจ็ดเหรียญก็พอใช้จัดการดินแดนเล็กๆ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเงินจำนวนมาก”
อ๋อ ดินแดนเล็กๆใช้เหรียญทองหกหรือเจ็ดเหรียญก็พอ แต่ผมขอเป็นเงินทอนจากเจ้าของร้านอัญมณี
ขอโทษนะเจ้าของร้าน!
“งั้นเหรียญทองคำขาวล่ะ?”
“งบประมาณสำหรับดินแดนใหญ่ๆของขุนนางระดับเคานท์อย่างต่ำหนึ่งเดือน?”
ขอโทษนะเจ้าของร้าน!
“ก็นะ เหรียญทองคำขาวเป็นของในฝันที่ขุนนางเล็กๆอย่างข้าไม่มีวันเจอ ขนาดเหรียญทองข้าก็เคยเจอไม่กี่ครั้ง-”
หยุด
HP ของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีฉันเป็นศูนย์แล้ว!
“เนื่องจากเหรียญที่มีค่ามากกว่าเหรียญเงินไม่ได้ใช้กันทั่วไป ข้าจะอธิบายแต่เหรียญที่เห็นง่ายกว่านะ”
ลิสบอน ในกระเป๋ามิติของฉันมีเหรียญทองคำขาวที่นายเรียกว่าของในฝันเพียบเลยนะ
ดูท่าว่าการให้เหรียญทองคำขาวจะทำให้เดือดร้อนมากกว่า ผมคงต้องตอบแทนเขาทีหลังแล้วล่ะถ้าเจอกันอีก
“นี่คือเหรียญเหล็ก นี่เหรียญเหล็กบริสุทธิ์ และนี่คือเหรียญทองแดง”
ลิสบอนไม่เอาเหรียญที่มีค่ากว่าเหรียญทองแดงออกมา โชคดีที่ดูเหมือนเขายังมีสามัญสำนึกอยู่บ้าง
“ข้าอยากให้เจ้าดูเหรียญทองแดงบริสุทธิ์กับเหรียญทองนะ แต่น้องสาวข้าเก็บเหรียญใหญ่พวกนั้นไว้”
จะบ้าตาย นายโง่หรือวะ?
ไม่ใช่เขาไม่อยากเอาออกมาให้ดู แต่เขาไม่มี! หากไม่มีน้องสาว ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าเขาลงเอยด้วยการเสียชีวิตในที่ไหนสักแห่ง
“แต่ถ้าเป็นการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เหรียญเหล็กบริสุทธิ์กับเหรียญทองแดงก็พอแล้ว”
ลิสบอนชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะแล้วพูด “อาหารหนึ่งมื้อมีค่าประมาณหนึ่งหรือสองเหรียญเหล็กบริสุทธิ์ สตูว์ไก่ชามละห้าเบี้ย ขนมปังไรน์ก้อนละหนึ่งเบี้ย มันฝรั่งทอดสองเบี้ย ไข่เจียวสามเบี้ย รวมเป็น 18 เบี้ย”
สิบแปดนี่เอง สิบแปดสิบเปรต ทำไมผมต้องมาอยู่กับเจ้าโง่แบบนี้ด้วย? ผมดูน่าสมเพชขนาดนั้นเลยเหรอ?
“งั้นค่าโรงแรมเท่าไหร่?”
“โรงแรมนี้สะอาดดีทีเดียวเพราะงั้นจึงใช้ประมาณสิบเหรียญเหล็กบริสุทธิ์ ถ้าเป็นโรงแรมทั่วไปก็ห้าเหรียญเหล็กบริสุทธิ์และข้าก็เคยเห็นบางที่ที่ถูกกว่านั้น”
ที่ถูกแบบนั้นคงมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน
เดี๋ยว ถ้านายเคยเห็น แปลว่าเคยพักที่แบบนั้นด้วยเหรอ? ขุนนางพักที่แบบนั้นด้วยแฮะ!
“ถ้ารวมค่าอื่นๆเช่นอาบน้ำและทิป ก็จะประมาณหกเหรียญเหล็กบริสุทธิ์กับสองเหรียญทองแดงสำหรับพวกเราสามคน”
ประมาณหกเหรียญเหล็กบริสุทธิ์สำหรับเราสามคน สาม? หมอนี่รวมผมเข้าไปในคำว่าพวกเราอย่างเป็นธรรมชาติมาก
น้องสาวของเขาตัดสินใจได้ฉลาดมากที่กลับห้องไปก่อน ถ้าอยู่ตรงนี้เธออาจตบหน้าพี่ชายของเธอได้
“ราคาของในแต่ละหมู่บ้านก็ต่างกันไปเลยบอกแน่นอนไม่ได้ แต่ทั่วไปแล้ว เหรียญเงินหนึ่งเหรียญคืองบสำหรับใช้จ่ายหนึ่งเดือนของครอบครัวธรรมดาที่มีสมาชิกสี่คน”
งบสำหรับใช้จ่ายหนึ่งเดือนของครอบครัวธรรมดาน่าจะน้อยกว่าที่เขาพูดเพราะลิสบอนมาจากครอบครัวขุนนาง ถึงอย่างนั้นก็ตาม ถ้าผมคำนวณถูก เขาบอกว่าเหรียญเงินเท่ากับ 2,500 เบี้ย และเหรียญทองคำหกเหรียญเป็นค่าดูแลจัดการรายเดือนในดินแดนขนาดเล็ก หมายความว่าดินแดนขนาดเล็กสามารถรองรับได้ 600-700 ครัวเรือนหากถือว่าครัวเรือนทั้งหมดนั้นเป็นครอบครัวสี่คน
สำหรับเคานท์ที่มีค่าดูแลจัดการดินแดนรายเดือนเป็นหนึ่งเหรียญทองคำขาว ดินแดนของเขาเท่ากับดินแดนขนาดเล็ก 10-20 แห่งรวมกัน
“เข้าใจแล้ว ถ้าไม่ว่าอะไร... ขอข้าดูบัตรประชาชนของเจ้าได้ไหม?”
ผมรู้ว่ามันเป็นคำขอที่หยาบคาย จู่ๆก็ถามหาบัตรประชาชนของเขาแสดงว่าผมสงสัยเขา แต่นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
ผมให้คนอื่นดูบัตรประชาชนไม่ได้เพราะทุกคนที่เห็นมัน (ถึงที่ผ่านมาจะมีแค่สองคนก็เถอะ) จะรู้สึกกลัวและก้มหัวให้
ที่ผมต้องการคือสถานะที่ทำให้คนไม่ดูถูกผม ไม่ใช่ทำให้คนก้มหัวให้
ผมคิดว่าลิสบอนจะโกรธ แต่เขากลับหยิบบัตรออกมาโดยไม่มีทีท่าโกรธเลย ซึ่งผมไม่อาจประทับใจได้ไม่ว่าเขาจะเป็นคนถูกหลอกง่ายขนาดไหนก็ตาม
“เอาไปสิ”
เขายังยื่นบัตรให้ผมอีกด้วยนะ
นี่มันอะไรกัน? หมอนี่ไม่รู้จักระวังตัวเลยเหรอ? ไม่คิดว่าฉันจะเอาบัตรหนีไปเลยเหรอ? หรือมั่นใจว่าต่อให้ฉันหนีเขาก็จับได้?
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เข้าใจได้
“ขอบคุณ”
ผมรับบัตรประชาชนมาสำรวจอย่างตั้งใจ มันต่างจากของผมจริงๆ รูปแบบเหมือนกันแต่ขนาดใหญ่กว่าสองเท่า อีกอย่าง บัตรของผมมีคาถาร่ายไว้ 15 อย่างเพื่อป้องกันการปลอมแปลง แต่บัตรนี้มีคาถาน้อยกว่าบัตรของผมไป 10 อย่าง
แต่ดูชื่อกับที่อยู่ที่เขียนบนบัตรก็ไม่ต่างจากบัตรประชาชนใบอื่นนัก วัสดุที่ใช้ทำบัตรเหมือนจะเป็นงาสัตว์หรือกระดูก
“ตัวบัตรมีสัมผัสแปลกๆนะ มันทำจากอะไร?”
“เอ่อ เท่าที่ข้ารู้มันทำจากกระดูกโอเกอร์ แน่นอนว่ามันเทียบไม่ได้กับบัตรประชาชนของขุนนางระดับเคานท์ขึ้นไปที่ทำจากกระดูกปีศาจ แต่มันคือโอเกอร์นะ”
ลิสบอนทำท่าโอ้อวดก่อนจะอธิบายต่อ
“เทียบกับบัตรที่ทำจากงาช้างของขุนนางระดับบารอนลงไป หรือบัตรของสามัญชนที่ทำจากไม้ก็น่าประทับใจทีเดียวใช่ไหมล่ะ”
“อืม น่าประทับใจมาก”
โอเกอร์... ผมนึกว่ามันมีเกลื่อนกลาดจนไม่ต้องจงใจออกล่าก็ได้เสียอีก
ต้นไม้แถวบ้านยังตัดยากกว่าอีกไม่ใช่เหรอ?
ต้นไม้พวกนั้นต่อให้ใช้ขวานอดามันไทต์ยังตัดยาก นอกจากตัดด้วยดาบที่อาบรัศมีดาบ
“ขอบคุณที่ให้ดู”
ผมคืนบัตรให้ลิสบอน ผมใช้เวทจำรูปแบบ ขนาดและน้ำหนักไว้แล้ว ไว้ค่อยหาในกระเป๋ามิติว่ามีกระดูกโอเกอร์สำหรับทำบัตรปลอมบ้างไหม
ระหว่างที่ผมดูบัตร อาหารบนโต๊ะก็หายไป ที่ผมกินเข้าไปคือสตูว์ไก่ ขนมปังครึ่งก้อน ไข่เจียวครึ่งลูก และมันฝรั่งสองสามชิ้น
ชายตรงหน้าผมกวาดขนมปังใหญ่เท่าหน้าเขาไปสองก้อนครึ่ง และสตูว์ไก่และมันฝรั่งที่เหลือ เขากินอย่างหมดจดจนรู้สึกว่าไม่ต้องล้างจาน
ช่างกินง่ายนัก ทำให้ผมสงสัยว่าหมอนี่เป็นขุนนางจริงๆเหรอ
...ตกลงว่าสกุลเงินเป็นเบี้ย แล้วจะบอกราคาของเป็นเหรียญเงินเหรียญทองทำหยัง เหมือนเราถามราคาของแล้วคนขายตอบว่า 5 เหรียญห้าบาท... มีแต่เหรียญสิบกับเหรียญบาทพี่จะเอาไหม แล้วคนพกเหรียญกับธนบัตรทำไม เพราะทุกคนยอมรับมันเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน มีเหรียญแต่ไม่มีใครรับแล้วจะมีเพื่อ ซื้อขายระหว่างดินแดนก็ใช้เช็คสิ มีธนาคารไม่ใช่เรอะ มันควรจะเลิกผลิตหรือไม่ควรมีตั้งแต่แรกแล้วนะเหรียญทองกับทองคำขาว พกไว้ก็โดนปล้นตายเปล่า...
สรุปว่าเรื่องนี้เวลาอ่านต้องอ่านด้วยใจที่เปิดกว้างนะคะ :D
พระเอกนี่รวยระดับอาณาจักรเลยมั้งน่ะ
ตอบลบแต่ไม่มีเงินพักโรงแรม... - -"
ลบเหมือนมีแบงค์พันแต่ไม่กล้าใช้ 555555
ลบ