บทที่ 15 เดินทางสู่เมืองหลวง (2)
แม้บลัดดี้จะไม่เคยเรียนเวทมนตร์ เขาก็ได้เห็นประโยชน์และพลังของมันเมื่อมาทำงานให้จักรวรรดิ
เมื่อเผ่าผีเสื้อ เผ่านักรบที่ทุ่มเทด้านเวทมนตร์ใช้พลังเวททั้งหมดยิงเวท พลังนั้นมากพอจะกวาดล้างหมู่บ้านหนึ่งแห่ง
แม้แต่เผ่านั้นก็ยังไม่สามารถควบคุมพลังเวทในป่าโอลิมปัสได้ พอคิดว่ามีคนที่สามารถใช้เวทมนตร์ล้มมังกรในป่าแบบนั้น... และคนที่ว่านั่นออกจากป่ามาแล้ว...
ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปสักเล็กน้อย เป็นไปได้มากว่าจักรวรรดิจะถูกทำลาย บลัดดี้เชื่อว่าเขาไม่ได้คิดเลยเถิดเกินไป
หลานของเขาคือเจ้าเซ่อที่หนีออกจากบ้านทั้งๆที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะเป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อไป หัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันสมัยหนุ่มยังไม่แข็งแกร่งเท่าลูกของเขา ขนาดนั้นแล้วดูมสโตนยังถูกทั้งโลกตราหน้าว่าเป็นอสูรกาย แล้วเดนเบอร์กที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับดูมสโตนคนปัจจุบันล่ะ ไม่ใช่ดูมสโตนสมัยหนุ่มนะ
เฮสเทียอยากให้ข้าหาคนหนีและติดต่อไปถ้าเจอเหรอ?
หรือข้าควรจะเรียกเผ่ามังกรกลับมาแล้วไปเขตแดนปีศาจเองดีนะ...
บลัดดี้คิดเช่นนี้
***
เมื่อเข้าหมู่บ้านผมก็เจอปัญหา ผมไม่มีเงินใช้ ที่จริงแล้วผมมีเงิน ผมมีเงินเป็นค่าใช้จ่ายที่ได้จากพ่อและเฮสเทียตอนทำงานให้กระทรวงต่างประเทศและเงินที่ผมเก็บเข้ากระเป๋ามิติก่อนหนีออกจากหมู่บ้าน ผมมีเงินในมืออยู่เยอะ
แต่ปัญหาคือผมใช้เงินพวกนั้นไม่ได้
หมู่บ้านของผมมีรายได้หลักจากชิ้นส่วนของปีศาจและสัตว์ประหลาด และแร่หาโคตรยากเช่นอดามันไทต์ มิธริล โอริฮัลคัม แล้วยังมีตัวเร่งปฏิกิริยาพลังเวทกับสมุนไพรหายากที่ขึ้นแต่ในป่าโอลิมปัส โชคร้าย ของที่หมู่บ้านผมขายพวกนี้มันหายากขนาดว่าคนธรรมดาจนถึงขุนนางยศต่ำแทบไม่เคยเห็นพวกมัน หรือก็คือ หมู่บ้านของผมแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงินตราระดับสูงที่คนทั่วไปอาจเคยเห็นแค่ครั้งเดียวในชีวิต
เงินของจักรวรรดิแยกเป็นเหรียญ 8 ประเภทตามนี้ เหล็ก,เหล็กบริสุทธิ์,ทองแดง,ทองแดงบริสุทธิ์,เงิน,เงินบริสุทธิ์,ทองคำและทองคำขาว
มันเริ่มมืดแล้ว แต่ผมไปดูที่ตลาดมาและพบว่าเหรียญที่คนส่วนใหญ่ใช้มีตั้งแต่เหล็กถึงทองแดงบริสุทธิ์ โดยเหล็กและเหล็กบริสุทธิ์ถูกใช้เยอะที่สุด บางครั้งผมเห็นของที่ตั้งราคาเป็นเหรียญเงิน แต่ก็มักจะเป็นของราคาแพงหรือสิ่งก่อสร้าง ดูเหมือนว่าเหรียญเงินจะเป็นขีดจำกัดของสามัญชนส่วนใหญ่ และเหรียญที่สูงค่ากว่านั้นมีเหล่าขุนนางใช้เป็นหลัก
ปัญหาคือผมมีแต่เหรียญทองคำขาว ผมลองไปแลกเป็นเหรียญขั้นต่ำกว่ามาแล้ว
ผมไม่ได้สังเกตตอนมองอยู่ห่างๆ แต่ตลาดที่นี่ใหญ่แทบจะเท่ากับเมืองๆหนึ่ง บางทีเพราะเหตุนี้ยามหน้าทางเข้าจึงใส่เกราะคุณภาพดีแบบนั้น
เอาเป็นว่าตลาดใหญ่แบบนี้ต้องมีร้านบริการเหล่าขุนนางโดยเฉพาะแน่ มองหาไม่นานผมก็เจอร้านอัญมณีแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเมื่อเห็นผมเข้าร้านก็มองอย่างไม่ไว้ใจ เสื้อผ้าของผมอาจดูสกปรกเพราะผมวิ่งหนีในป่าไม่มีเวลาซักมัน แต่มันทำจากหนังมังกรที่ผมฆ่าตอนอายุสิบสองนะ
รวมกับเวทหลายๆชั้นที่ผมร่ายทับ แน่ใจว่าเสื้อผ้าที่ผมสวมอยู่นี่อย่างน้อยก็แพงกว่าดาบที่ผมเก็บเข้าไปในกระเป๋ามิติแล้ว
เมื่อให้เขาดูบัตรประชาชน ท่าทางของเจ้าของร้านก็เปลี่ยนทันควัน เขาพูดว่า “ข้าขออภัยที่ไม่รู้ว่าท่านเป็นบุตรท่านเคานท์”
ดูเหมือนบัตรนี่จะเป็นของขุนนางขั้นสูงกว่าที่ผมคิดไว้ ช่างเถอะ ผมเลือกเครื่องประดับไปมั่วๆแล้วเอาเหรียญทองคำขาวออกมา
เมื่อเห็นเหรียญ เจ้าของร้านบอกผมด้วยสีหน้าอึดอัดว่าต่อให้เขาขายของทั้งหมดในร้านรวมกับร้านด้วยแล้วก็ยังได้ไม่เท่ากับเหรียญของผม
ผมคิดในใจว่าเขาเป็นคนดีเหมือนกันนี่นา เพราะเขาสามารถหลอกขายของผมก็ได้ แม้ไม่อยากถูกมองเป็นไอ้โง่แต่ผมก็ตัดสินใจให้เหรียญไปเพราะผมต้องการเงินทอน
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอซื้อเครื่องประดับทุกอย่างในร้าน เงินทอนก็เอาแค่เงินทั้งหมดเท่าที่เจ้ามี ส่วนร้านไม่ต้อง”
เจ้าของร้านตัวสั่น คุกเข่าแล้วขอร้อง
“นายน้อย? โปรดเมตตา เงินแบบนั้นข้าคนเดียวรับไม่ไหว ได้โปรด! ข้ามีลูกเมียรออยู่”
“ข้าแค่อยากได้เศษเหรียญ เท่านั้น-”
“ขออภัยจริงๆ ถ้าเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าล่วงเกินท่าน ข้าขออภัย ได้โปรดเถอะ”
โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!
เจ้าของร้านโขกศีรษะกับพื้นจนเลือดออก
“หยุดเถอะ ข้าไปก็ได้”
“ขอบคุณ! ขอบคุณ!”
เขาขอบคุณเหมือนรอดตาย ผมไม่มีทางเลือกนอกจากออกจากร้าน
ผมลงเอยด้วยการนั่งคุดคู้ตรงมุมถนนถัดจากโรงแรม
บ้าเอ๊ย!
กลายเป็นคนจรจัดทั้งๆที่ฉันมีเงินเนี่ยนะ?
ต้องนอนข้างถนนทั้งๆที่โรงแรมก็อยู่ตรงนี้เนี่ยนะ?
มาคิดดูอีกที ผมว่าผมทำให้เจ้าของร้านอัญมณีตกที่นั่งลำบากไปล่ะ
ผมไม่แน่ใจว่าเหรียญทองคำขาวมีค่าเท่าไหร่แน่ แต่มันเป็นเหรียญที่มีค่าสูงที่สุด ที่ผมทำไปคงเหมือนกับเข้าร้านกาแฟ สั่งรายการอาหารทุกอย่างในเมนูแล้วยื่นเช็คร้อยล้านวอนให้แล้วขอเงินทอนเป็นเงินสด จะว่าไปก็ไม่รู้ด้วยว่าที่นี่มีธนาคารให้เอาเงินมากขนาดนั้นไปฝากหรือเปล่า
ถ้ามีข่าวลือว่าเจ้าของร้านแลกทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อเหรียญทองคำขาว เป็นไปได้ว่าอาจถูกปล้นฆ่าทั้งครอบครัว
หนำซ้ำผมยังแสดงบัตรประชาชนให้เขารู้ว่าเป็นขุนนาง ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธคำขอของผมได้
คิดแบบนี้แล้ว สรุปว่าผมทำตัวเหมือนเศษสวะเลย
“ฮู่!”
ผมค้นในกระเป๋าและเอาเนื้อตากแห้งชิ้นหนึ่งออกมา โชคดีที่ขโมยอาหารจากกระทรวงต่างประเทศในปริมาณสำหรับ 10 วัน จึงมีพอให้กินไปสักอีกสัปดาห์
หลังจากนั้น... ถ้ายังหาเศษเหรียญไม่ได้ อาจต้องปล้นร้านค้าสักหน่อย
ตอนนั้นเอง สายฝนก็พรมลงมาจากฟ้า
“กระซิก กระซิก”
ดวงตาของผมรื้นน้ำตาขณะรู้สึกสลดกับสภาพการณ์ตอนนี้ มีคำกล่าวไว้ ว่าจากเรือนเหมือนนกที่จากรัง และดูท่าว่าผมกำลังจะกลายเป็นคนจรต้องทนนอนตากฝน
ผมคงไม่เศร้าขนาดนี้ ถ้าที่นี่เป็นทุ่งหญ้าหรือป่า แต่นี่มันกลางหมู่บ้านและคนอื่นต่างเข้าไปอยู่ในบ้านตัวเองกันหมดแล้ว
ฝนเริ่มตกหนัก มีทีท่าว่าจะตกทั้งคืน
ไม่ว่าจะหดหู่แค่ไหนผมก็คงไม่ตากฝนทั้งคืนหรอก ขณะผมกำลังจะร่ายเวทกันฝน จู่ๆร่มคันหนึ่งก็ยื่นมาเหนือผม
“เจ้าหนู พ่อแม่ไปไหนล่ะ?”
คนที่กางร่มให้ผมเป็นชายหนุ่มผมบลอนด์ผู้มีทรงผมดูดี
ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าเป็นผู้หญิงคงตกหลุมรักไปแล้ว แต่โชคดีที่ผมเป็นผู้ชายและไม่มีรสนิยมชอบผู้ชาย
“ข้าไม่ใช่เจ้าหนู”
แน่นอน ผมไม่ใช่เด็ก! อายุทางความคิดมากกว่าสี่สิบแล้ว พูดถึงด้านร่างกายก็จัดเป็นผู้ใหญ่ตามกฎของจักรวรรดิตั้งแต่สองวันก่อน
“อ้อ ขอโทษที แล้วพ่อแม่ไปไหนล่ะ?”
ก็บอกว่าไม่ใช่เด็ก ทำไมยังถามหาพ่อแม่อีก?
หรืออยากจะสืบสานประเพณียาวนานของเกาหลี ชาติพันธุ์นักสู้ออนไลน์ โดยถามว่าพ่อแม่เป็นยังไงบ้าง?
พ่อฉันไปอเมริกาแล้ว!
“พวกเขาอยู่ในที่ๆไกลมาก”
อย่างน้อยก็ 1,000 กม. ความรู้สึกของผมบอกว่าน่าจะเพิ่มได้อีก 300 กม. แต่ผมไม่ชอบนับรวมอะไรที่ไม่แน่ใจเข้าไป
“-เข้าใจล่ะ-”
จู่ๆชายหนุ่มก็มองผมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ไม่ได้กำลังคิดว่าพ่อแม่ฉันตายหรือถูกขายไปเป็นทาสอยู่ใช่ไหมนั่น?
“วันนี้เจ้ามีที่พักหรือเปล่า?”
ผมส่ายศีรษะ ถ้ามีฉันก็ไม่มานั่งจ่อมอยู่ตรงนี้หรอก
ผมเห็นสีหน้าของชายหนุ่มคนนี้ยิ่งเคร่งขรึมกว่าเดิม
“ถ้าอย่างนั้นมากับข้าไหม?”
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าผมพูดไปว่าแม่เคยบอกว่าห้ามตามคนแปลกหน้า สีหน้าของเขาคงยิ่งแย่กว่าเดิม ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดว่าชายคนนี้อาจพยายามเอาอวัยวะผมไปขายหรืออะไรแบบนี้นะ แต่ชายคนนี้ดูหลอกง่ายเกินกว่าจะทำเรื่องอย่างนั้น
แน่นอน เราไม่สามารถตัดสินคนจากรูปร่างหน้าตาภายนอก แต่ผมก็มั่นใจว่าถ้าเขาพยายามทำอะไรกับผม ผมสามารถทำให้เขาเสียใจไปชั่วชีวิต
“ข้าไม่ใช่คนไม่ดี ข้าฝึกฝนเพื่อเป็นอัศวิน ไม่มีทางทำผิดหลักอัศวิน”
เขาเริ่มแก้ตัวเหมือนอ่านใจผมออกว่ากำลังระแวง แทนที่จะโกรธที่ถูกมองอย่างไม่ไว้ใจ เขากลับมองมาด้วยความเห็นใจเต็มเปี่ยม เหมือนกำลังสงสารที่ผมไม่เชื่อใจคนและกำลังสงสัยว่าผมต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายอะไรมาจึงกลายเป็นแบบนี้
ไม่ใช่ การเข้าหาคนอื่นแบบนี้แล้วมาหวังให้คนอื่นไว้ใจต่างหากที่ไม่มีเหตุผล ดูเหมือนชายคนนั้นจะคิดแบบนั้นไม่ได้
เฮ้อ การยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนี้จะเหนื่อยได้ แต่ผมกำลังอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะผมก็ไม่มีเงินเหมือนกัน
“หืม?”
เขามองผมด้วยดวงตาซื่อตรง
อาจจะชั่วไปสักหน่อยที่คิดแบบนี้ แต่เขาเหมือนคนที่เหมาะกับการใช้ประโยชน์ชั่วคราวแล้วทิ้ง
เอาล่ะ ตัดสินใจได้แล้ว!
ถ้าเขาพยายามทำร้ายผม ผมจะทำให้เขาเสียใจไปชั่วชีวิต ถ้าเขาเป็นไอ้โง่ ผมจะรับความช่วยเหลือจากเขาสักหน่อยแล้วค่อยจากไป เหรียญทองคำขาวสักเหรียญน่าจะเพียงพอกับการตอบแทน
เมื่อผมพยักหน้า เขาก็ยื่นมือให้
“ข้า ลิสบอน วอน คาร์เตอร์ เพื่อนๆเรียกข้าว่าลิส”
ชื่อเล่นเหมือนผู้หญิงเลย
อืม... ลิสบอน วอน
เอาล่ะ! จากนี้ไปชื่อเล่นของเขาคือป่องป่อง
ผมจับมือลิสบอนลุกขึ้นพลางแนะนำตัว “เดน มาร์ค”
มันเป็นชื่อที่ทำให้ผมนึกถึงกางเขนสีขาวบนผืนธงสีแดง แต่เป็นชื่อปลอมที่ดีเพราะเป็นชื่อที่ใช้กันทั่วไปทั้งชื่อและนามสกุล เพื่อนและคนในครอบครัวก็เรียกผมว่าเดนด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นชื่อที่คุ้นเคย
“โอเค เดน ข้าพักที่โรงแรมตรงนั้น วันนี้นอนที่นั่นกันเถอะ”
ลิสบอนจับมือผมและดึงไปทางโรงแรม
มันเป็นช่วงอาหารมื้อค่ำ โรงอาหารในโรงแรมจึงเต็มไปด้วยผู้คน
“ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม?”
ไม่รอให้ผมตอบ ลิสบอนลากผมไปทางโต๊ะที่มีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อน
“ขอแนะนำนะ... คนนี้เป็นน้องสาวของข้า อลิซ”
เด็กสาวเป็นน้องสาวของเขา เมื่อมองดีๆแล้วก็หน้าคล้ายกัน
“พี่? พามาอีกคนแล้วเหรอ?”
เสียงร้องของอลิซทำให้ผมได้ทราบว่าชายคนนี้เป็นไอ้โง่จริงๆด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น