วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 14

บทที่ 14 เดินทางสู่เมืองหลวง (1)


เมื่อหนีออกจากบ้านได้สำเร็จ ผมบินหนีไปให้เร็วที่สุดเผื่อว่าหน่วยไล่ตามจะยังตามผมอยู่ หลังจากอยู่บนฟ้าได้สองชั่วโมงก็นึกได้ว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองไปทางไหน

ผมกำลังบินไปทางตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นทิศทางของเมืองหลวง แต่เพราะไม่มีแผนที่และไม่เคยบินอย่างอิสระขนาดนี้มาก่อน ผมจึงไม่แน่ใจว่ากำลังบินเร็วขนาดไหนและมาไกลเท่าไหร่แล้ว เท่าที่รู้คือมันเร็วกว่าการวิ่งมาก ดังนั้นตอนนี้ผมจึงตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ไม่มีอะไรมาวัดความเร็ว ไม่มีแผนที่ใช้ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ไหน

ผมมองไปมั่วๆ โชคดีที่มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ผมลงพื้นและมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน

มีกลุ่มยามเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขาใส่เกราะหนัง แผ่นเหล็กปิดจุดสำคัญของร่างกายและศีรษะสวมหมวกเกราะ

ปกติแล้วคนจะจินตนาการว่าทหารในยุคกลางจะสวมเกราะเหล็กเต็มตัว แต่เกราะแบบนั้นมีแต่อัศวินที่ใส่เนื่องจากปริมาณเหล็กจำนวนมากที่ต้องใช้ตีมันขึ้นมา ในความเป็นจริง เกราะที่พวกยามกำลังสวมอยู่นี้เป็นเกราะที่ดีที่สุดสำหรับทหารทั่วไป

“หยุด!”

ผมมองรอบๆหลังจากทหารยื่นหอกมาปิดทางเข้าหมู่บ้าน แต่ตรงนี้ก็มีเพียงผมคนเดียว

พวกเขาพยักหน้าเมื่อผมชี้ตัวเอง

“อะไรเหรอ?”

ทหารชี้ไปทางซ้ายของเอวผม ดาบเล่มหนึ่งแขวนตรงนั้น

“โอ๊ะ ปัญหาอยู่ที่อาวุธเหรอ?”

“ใช่ เจ้าต้องแสดงใบอนุญาตพกอาวุธก่อน”

อาจเพราะชุดที่ผมสวมอยู่ดูไม่แพงหรือหน้าเด็ก พวกทหารจึงพูดอย่างไม่นอบน้อม แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนี้

“ข้าไม่มีของแบบนั้น”

โชคร้ายที่ผมไม่มีใบอนุญาตพกอาวุธ

ถ้าเป็นในนิยาย เราพกอาวุธแบบนี้ไปมาได้ง่ายดาย

“ไม่มี? งั้นเจ้าได้ดาบนั่นมาจากไหน?”

“อะไรนะ?”

“ข้าถามว่าดาบมาจากไหน เขาห้ามขายดาบให้คนที่ไม่มีใบอนุญาตพกปืน มันผิดกฎหมาย”

ไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้จะมีกฎหมายที่ทันสมัย เน้นปฏิบัติจริง และไม่สะดวกแบบนี้ ผมดูถูกจักรวรรดิหน่อยๆเพราะระบบศักดินาของมัน แต่ผิดคาดมันดูเหมือนจะเป็นประเทศที่มีกฎหมายบังคับใช้

จะว่าไป ต่อให้เป็นยุคกลางในโลกที่ผมอยู่เมื่อชาติก่อน ผู้ปกครองตัวจริงคงไม่ยอมให้คนพกอาวุธอย่างไร้ข้อจำกัด แน่นอนว่าคนจะทำตามกฎหมายพวกนั้นหรือไม่มันอีกเรื่อง

“ข้าก็ไม่รู้ ข้าได้มันมาจากพ่อ”

ผมโกหก ช่างเหล็กที่เก่งที่สุดของหมู่บ้านใช้เวลาหลายวันตีดาบนี้ขึ้นมา ตอนรับดาบผมได้ยินว่ามันสร้างจากแร่อดามันไทต์ มิธริลและโอริคฮัลคัม และมันมีค่าเท่าคฤหาสน์นอกหมู่บ้าน

“อ้อ งั้นเหรอ”

โชคดีว่าพวกทหารไม่ติดใจสงสัย

“ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ต้องไปเอาใบอนุญาตก่อนเข้าหมู่บ้าน เจ้าต้องมีใบอนุญาตไม่ว่าจะพกอาวุธแบบไหน”

“ข้าจะไปเอาได้จากไหน?”

“อืม เรื่องแบบนี้มีบ่อยกว่าที่คิด เลยมีเจ้าหน้าที่รับทำด้านนี้ประจำในตึกด้านหลัง แต่ป่านนี้พวกเขาคงเลิกงานแล้ว”

ผมดูนาฬิกา 5:45 น.

เจ้าหน้าที่เลิกงานเร็วขนาดนี้เลยเหรอ ฉันไปเป็นข้าราชการดีไหม?

“ถ้าพวกเขาไม่ทำงานแล้ว เจ้าก็ยังเข้าหมู่บ้านได้ถ้าทิ้งอาวุธไว้ข้างนอก เอายังไง?”

เอาไงดี?

ดาบของผมแพงมาก แต่มันฝังเวทมนตร์ที่จะกลับมาหาผมถ้าผมเรียกมัน แต่ถ้าใครรู้ราคาของดาบเล่มนี้คงกลายเป็นเรื่องวุ่นวายไม่น้อย จากนี้ไปผมควรเก็บมันไว้ในกระเป๋ามิติ

ทหารหว่านล้อมเมื่อผมลังเล

“ไม่ทิ้งไว้ล่ะ? ถึงแถวนี้จะถือว่าปลอดภัยแต่ก็มีสัตว์ประหลาดออกมาบ้างนะ อีกอย่างดูสภาพเจ้าคงนอนกลางป่ามาหลายวันแล้ว ไปหาห้องพักนอนให้สบายไม่ดีกว่าเหรอ?”

ทหารดูเหมือนจะเป็นคนดีกว่าที่คิด เอาเถอะ ผมไม่ได้กังวลอะไรเพราะผมจะหนีเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าเกิดมีปัญหา

“เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน”

“ดีแล้ว ข้าคงรู้สึกไม่ดีถ้าต้องไล่คนอายุน้อยอย่างเจ้าออกไป ฮ่าๆ” ทหารยิ้มอย่างใจดี

ถึงเขาบอกว่าผมอายุน้อย แต่ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้ารวมอายุชาติก่อนด้วยก็เกิน 40 ปีแล้ว

“งั้นขอดูบัตรประชาชนหน่อย?”

บัตรประชาชน? ฉันมีไหมหว่า?

“ทำไม? เจ้าไม่มีบัตรประชาชนเหรอ? ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เหรอ?”

ทหารมีสีหน้ากลุ้มใจ

ดูเหมือนผมจะเข้าหมู่บ้านไม่ได้ถ้าไม่มีบัตรประชาชน มาคิดดูแล้ว ไม่กี่เดือนก่อนเฮสเทียให้บัตรอะไรสักอย่างกับผมและบอกว่าพวกมันเป็นบัตรใช้ยืนยันตัวตนของจักรวรรดิกับสาธารณรัฐ จำได้ว่าตอนนั้นผมคิดอยู่ว่ามันไม่เหมือนกับที่คิดไว้

“ข้ามี เดี๋ยวนะ”

ผมดึงบัตรประชาชนออกมาจากกระเป๋ามิติโดยทำท่าเหมือนควานหาในกระเป๋า ผมใช้เวทมนตร์เปลี่ยนให้เหมือนมาจากเมืองอื่น เผื่อว่าคนจากหมู่บ้านจะมาตามหาตัวผมถึงที่นี่

สีหน้าทหารแข็งค้างเมื่อเห็นบัตรของผม

“เจ้าเป็นขุนนางเหรอ?”

ทหารมีปฏิกิริยาที่ผมคาดไม่ถึง

บัตรของคนทั่วไปกับขุนนางไม่เหมือนกันเหรอ?

“ใช่”

ผมตอบเหมือนก็แน่อยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้โกหกนะ

เพราะว่าลุงเป็นนายพลของกองทัพจักรวรรดิ ผมในฐานะคนในครอบครัวของเขาก็เป็นขุนนางด้วย

“ขออภัยที่เสียมารยาท ท่านเข้าไปได้เลยครับ”

ท่าทางของทหารเปลี่ยนไป 180 องศา เอ่อ ผมว่ามันก็ไม่เสียหายอะไร...

“อา แล้วดาบ-”

“เข้าไปได้เลยครับ ขุนนางพกอาวุธได้อยู่แล้ว”

เรอะ? บรรดาศักดิ์จงเจริญ!

“งั้นข้าไปล่ะนะ สวัสดี”

ผมโบกมือลา ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าบัตรประชาชนของผมมอบให้แต่ขุนนางระดับเคานต์ขึ้นไป

เรื่องที่ผมได้รู้ความจริงข้อนี้ภายหลังและขวนขวายหาทางปลอมบัตรให้เป็นของขุนนางระดับล่างเพื่อจะได้เป็นข้าราชการนั้นขอยกไปเล่าวันหลัง

***

ใจกลางเมืองหลวงของจักรวรรดิ บ้านของขุนนางมากกว่าร้อยชีวิต เหยี่ยวตัวใหญ่ตัวหนึ่งบินเข้าไปในบ้านพักแห่งหนึ่ง หลอดใส่จดหมายติดอยู่ที่ขาของมัน

บลัดดี้ เบลด เจ้าของบ้านพักและนายพลของกองทัพแห่งจักรวรรดิ เปิดจดหมายที่ส่งตรงจากบ้านเกิดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย

ครึ่งปีที่ผ่านมา เขาใช้เวลาไปกับการปกป้องชายแดนที่ติดกับเขตแดนปีศาจ จดหมายต้องใช้เวลานานกว่าจะส่งมาถึงเขา แต่ทันทีที่มาถึงบ้าน เขาก็ได้จดหมายทันที

เพื่อทำหน้าที่ปกป้องชายแดนแทนบลัดดี้ นายพลจากเผ่ามังกรต้องไปแทนที่เขา แต่บลัดดี้ยังดีใจ

อีกครึ่งปี นายพลคนนั้นจะเปลี่ยนหน้าที่ของเธอกับนายพลจากเผ่าผีเสื้อ อีกหนึ่งปีจากนี้ บลัดดี้ต้องกลับไปที่ชายแดนปีศาจเพื่อผลัดกับนายพลจากเผ่าผีเสื้อ

จดหมายเริ่มด้วยการพูดถึงดินฟ้าอากาศตามเคย

ถึงลุงบลัดดี้

ตอนนี้เป็นฤดูที่ดอกไม้เริ่มผลิบาน

ที่โอลิมปัส กวางยังกัดกระชากคอโอเกอร์เช่นเคย เหล่าอสูรนำพาความมั่งคั่งมาให้หมู่บ้าน

เหมือนว่าตอนเขียนจดหมายนี้เฮสเทียจะมีอารมณ์ไม่ปกตินัก แต่บลัดดี้ผู้เติบโตในหมู่บ้านอดรู้สึกคิดถึงไม่ได้

แต่เขาก็ต้องตึงเครียดขึ้นเมื่ออ่านจดหมายไปเรื่อยๆ

วันก่อน พ่อเลือกผู้สืบทอดขึ้นมา โอ๊ะ หากท่านกังวล ท่านพ่อยังแข็งแรงดีดังนั้นอย่าเป็นห่วงไปเลยค่ะ

ก่อนที่ข้าจะอธิบายว่าทำไมท่านจึงประกาศตัวผู้สืบทอดเร็วนัก ขอบอกก่อนว่าเดนเบอร์ก เบลดเป็นผู้ถูกเลือก

เดนเบอร์กถูกเลือกเพราะ ในขั้นตอนการอบรมสั่งสอนแบบเฉพาะตัวของพ่อ เขาล้มมังกรด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้พ่อช่วย

หากเป็นคนอื่นบอกข้าอย่างนั้น ข้าคงคิดว่าเป็นเรื่องโกหก แต่เพราะเป็นพ่อบอกข้าเองข้าก็ได้แต่ต้องเชื่อ

เอาเป็นว่า พ่อตั้งใจให้เดนเบอร์กเป็นผู้สืบทอด แต่วันก่อนที่เดนเบอร์กจะเข้าพิธีเป็นผู้ใหญ่ เขาบอกพ่อว่าอยากจะไปทำงานในเมืองหลวง

พ่อจึงต้องบอกเขาว่าตั้งใจให้เดนเบอร์กเป็นผู้สืบทอด

เดนเบอร์กยอมรับ และตอนทานอาหารเย็นด้วยกันวันนั้น พ่อบอกเรื่องนี้กับทุกคน

ข้าไม่เคยสนใจตำแหน่งนั้นอยู่แล้วเพราะร่างกายอ่อนแอ เลชาก็ไม่เช่นกันเพราะเธอเลือกทุ่มเทไปที่เวทมนตร์ไม่ใช่วรยุทธ์

กาเวนข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าคิดว่ากัลลาฮาดจะคัดค้านเสียอีก แต่เขากลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง อาจเพราะกลัวเอกสารกองโตของพ่อ

อย่างน้อยก็ข้าคนหนึ่ง ที่นึกภาพกัลลาฮาดจมอยู่กับกองเอกสารไม่ออก

ด้วยเหตุนี้เราจึงแสดงความยินดีกับเดนเบอร์ก และวันต่อมา ระหว่างพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของเดนเบอร์ก พ่อเรียกประชุมผู้เฒ่าและบอกว่าเดนเบอร์กเป็นผู้สืบทอดของเขา

จากนั้นเรากำลังจะเริ่มงานฉลอง แต่พบว่าเดนเบอร์กทิ้งจดหมายไว้และหนีไปแล้ว

เราส่งหน่วยไล่ตาม 1,500 นายไปจับเขา แต่ไล่ล่าอยู่ 3 วันเขาก็หลบหนีไปได้สำเร็จ

ตามที่ท่านรู้ เดนเบอร์กเป็นนักเวทที่เก่งกาจมาก

ในฐานะนักเวทที่สามารถสังหารมังกรได้ในป่าโอลิมปัส เราตัดสินว่านอกจากพ่อก็ไม่มีใครจับเขาได้

แต่เพราะเรื่องที่พ่อก่อขึ้นสมัยท่านยังหนุ่ม (ลุงรู้เรื่องนี้ดีกว่าข้า) เขาไม่อาจออกจากป่าโดยไม่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศได้

ข้าอยากให้ลุงร่วมมือในการจับตัวเดนเบอร์ก ตอนนี้เขาควรจะกำลังมุ่งหน้าไปเมืองหลวง

หากท่านเจอเขา บอกข้าด้วยนะคะ

จากหลานผู้น่ารักของท่าน

เฮสเทีย

บลัดดี้หน้าเครียดหลังอ่านจดหมายจบ

ถ้าเรื่องที่เดนเบอร์กล่ามังกรตอนอายุสิบสองเป็นเรื่องจริง เขาย่อมเหมาะสมกับฐานะผู้สืบทอดของดูมสโตน

ถ้าไม่ใช่คนมีความสามารถขนาดนี้แล้วใครเล่าจะเป็นผู้นำของเผ่ากาแห่งโอลิมปัส?

แต่คนแบบนั้นหนีไป?

สัตว์ประหลาดที่ใช้เวทมนตร์ฆ่ามังกรในป่านั่นได้น่ะนะ?


สารบัญ                                  บทที่ 15





สรุปตอนที่ 1-13 ในจดหมายของเฮสเทีย 

ตอนที่ 12 เราแปลเลชาว่าเป็นน้องสาวของเดนเบอร์ก แปลผิดนะคะ เลชาเป็นพี่สาวเดนเบอร์ก จนตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าเฮสเทียลูกสาวคนโตกับกัลลาฮาดลูกชายคนโตใครเกิดก่อน 55... เราก็แปลโดยเดาว่ากัลลาฮาดเป็นลูกคนแรก กาเวนคนที่สอง เฮสเทียคนที่สามแล้วก็เลชาคนที่สี่ค่ะ 








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น