บทที่ 17 เดินทางสู่เมืองหลวง (4)
“เฮ้อ... อาหารอร่อยมาก!”
ลิสบอนลุกจากที่นั่งพลางลูบท้องด้วยสีหน้าสุขใจ
“ขอโทษครับ ขอสั่งขนมปังข้าวสาลีกับแยมเพิ่ม”
ขนมปังข้าวสาลีราคาสามเบี้ยและแยมสิบเบี้ย ดูจากที่เขาสั่งอาหารทันทีที่กินเสร็จ นี่น่าจะเป็นของที่เขาสั่งเผื่อน้องสาวที่ขึ้นห้องไปโดยไม่กินอะไร
ดูเหมือนน้องของเขา อลิซ จะช่างเลือกกินกว่า
พนักงานเสิร์ฟหญิงนำขนมปังขาวหนึ่งแถวกับกล่องไม้เล็กๆสำหรับใส่แยมมา ลิสบอนยื่นเงินให้และให้ทิปเพิ่ม
ผมไม่เห็นว่าพนักงานจะทำอะไรที่สมควรทิป แต่มันคงเป็นนิสัยหลอกง่ายของเขานั่นล่ะ
หลังคุยสั้นๆกับเจ้าของโรงแรม ลิสบอนคืนกุญแจให้เจ้าของโรงแรมตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับและได้กุญแจใหม่มา แล้วเขาก็ยื่นกุญแจนั้นให้ผม
“นี่เป็นกุญแจเปิดห้อง 305 มันเป็นห้องเตียงคู่ เจ้าเข้าไปวางของได้เลย ข้าจะไปดูอลิซก่อน”
ผมหยิบกุญแจและพยักหน้ารับ เดาว่าคงอีกนานกว่าเขาจะเข้าห้องเพราะต้องปลอบน้องสาวก่อน
ขณะผมเดินต่อไปที่ห้อง 305 ที่อยู่ชั้น 3 ลิสบอนหยุดตรงชั้นสอง ผมไขกุญแจและเข้าไปในห้อง
เตียงเดี่ยวสองเตียงตั้งอยู่เต็มห้อง
ผมถอดเสื้ออย่างรวดเร็วและเสกน้ำออกมาอาบ เวทมนตร์มันสะดวกอย่างนี้ ขนาดมีน้ำวนอยู่ระหว่างเตียงสองเตียง พื้นหรือเตียงก็ยังไม่เปียก
ผมอาบน้ำเสร็จและทำให้น้ำหายไป จากนั้นก็ใช้เวททำให้ตัวแห้ง
ฮ้า สดชื่นชะมัด!
สามวันที่ผ่านมา อย่าว่าแต่อาบน้ำเลย ผมต้องคอยตรวจว่ามีน้ำพอดื่มหรือไม่ มันสะดวกสบายกว่าเยอะตอนนี้ที่ผมสามารถใช้เวทมนตร์ได้ตามใจ เหมือนมีแขนงอกออกมาอีกสองข้าง
ผมนั่งบนเตียงแล้วเริ่มเอาของออกจากกระเป๋า เพราะในป่าผมเปิดกระเป๋ามิติไม่ได้จึงต้องมีกระเป๋า แต่ตอนนี้มันมีไว้โชว์เฉยๆ ถึงอย่างนั้นถ้าผมเดินทางไปอาร์คิเพลาโกโดยไม่มีกระเป๋าสักใบคงดูน่าสงสัย ผมจึงตัดสินใจใส่ของเบาๆเอาไว้ ส่วนของหนักก็เอาใส่กระเป๋ามิติ อีกอย่างการเอาของออกจากกระเป๋ามิติกว่าง่ายกว่าด้วย
กระเป๋าดูฟีบลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมย้ายของเข้าไปในกระเป๋ามิติ ผมเลยเอาผ้าห่มในกระเป๋ามิติออกมาใส่ให้มันดูโป่งเหมือนเดิม
ผมนึกถึงหัวหน้าของผมในกองทัพที่เป็นคนสอนเรื่องนี้และคิดได้อีกครั้งว่าประสบการณ์ในชาติก่อนมีประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง ผมสามารถพับกระดาษหนังสือพิมพ์หรือลังกระดาษใส่กระเป๋าได้ด้วยนะ แต่สงสัยว่าจะมีของอย่างนั้นในหมู่บ้านหรือเปล่า
หลังเก็บของเสร็จ ผมดูในกระเป๋ามิติ มันจัดเรียงไว้อย่างดีจึงไม่ต้องควานหาของ
ตอนที่ผมสร้างกระเป๋ามิติเป็นครั้งแรก ผมนึกภาพช่องเก็บของแบบในเกมเพื่อให้สามารถเห็นได้ทันทีว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
ผมไล่เรียงชื่อของในกระเป๋ามิติเพื่อหาว่ามีกระดูกโอเกอร์หรือของที่ขายได้บ้างไหม
แท่งโอริฮัลคัม แท่งมิธริล แท่งอดามันไทต์ ชิ้นส่วนของปีศาจ เครื่องมือเวทมนตร์ที่ผมสร้างขึ้น...
ในที่สุดผมก็เจอชิ้นส่วนของโอเกอร์ ถ้าจำไม่ผิด ผมน่าจะเก็บมันไว้ตอนหกขวบ
ผมสร้างกระเป๋ามิติขึ้นมาช่วงวันเกิดอายุหกขวบ นี่น่าจะเป็นพวกของที่ผมเก็บไว้เป็นการฉลองที่สร้างสำเร็จ
ทำได้ดีมาก ตัวฉันในอดีต!
ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้สวย ผมน่าจะปลอมบัตรประชาชนได้และที่เหลือก็เอาไปขายในตลาด
ก๊อกๆ
เจ้าโง่เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา เขาถือกระเป๋าใบใหญ่มาด้วย
“ฮ่าๆ ข้าต้องเก็บของเลยช้าไปหน่อย โทษที”
ลิสบอนจัดของด้วยรอยยิ้ม
“หือ? เจ้าอาบน้ำเหรอ?”
“หา?เปล่า”
“เหรอ? ผิวเจ้าสะอาดเหมือนเพิ่งอาบน้ำมาเลย”
เพราะอย่างนี้ผมถึงไม่ชอบพวกโง่ที่ช่างสังเกต เปลี่ยนเรื่องดีกว่า
“จะว่าไป นอกจากชื่อแล้วพวกเราก็ไม่รู้อะไรกันเลยนะ”
“จริงด้วย เจ้าอายุเท่าไหร่?”
“สิบหก”
“อะไร? สิบหก? เจ้าอายุมากกว่าที่ข้าคิดอีก เท่ากับอลิซเลย เธอสิบหกและข้ายี่สิบ”
ต่อจากอายุ เจ้าโง่ก็พูดถึงทุกอย่างตั้งแต่เรื่องหมู่บ้านของเขาจนถึงทุกอย่างที่เขาทำจนถึงตอนนี้
สรุปว่า ลิสบอนเป็นลูกชายคนที่สองของไวเคานท์คนหนึ่ง พี่ชายคนโตเป็นผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์จากพ่อ เขาจึงเดินทางไปอาร์คิเพลาโกเพื่อเป็นอัศวิน น้องสาวของเขามีความสามารถด้านเวทมนตร์จึงไปที่นั่นเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์
แต่ดูเหมือนเขายังมีสามัญสำนึกอยู่บ้างจึงไม่ถามเรื่องของผม ผมเตรียมเรื่องโกหกไว้แต่ดูท่าว่าไม่จำเป็นแล้ว
ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเกินสามวันเริ่มครอบงำผมขณะฟังเรื่องของลิสบอน ผมรู้สึกได้ว่าเวลาตอบลิสบอนแล้วเสียงตัวเองเนือยลง
“ราตรีสวัสดิ์ เดน”
“...อืม ราตรีสวัสดิ์...ลิสบอน”
***
กริ๊ง กริ๊ง
ผมกระโดดลงจากเตียงเมื่อได้ยินเสียง
ที่นี่ที่ไหน!?
ตอนแรก ผมจำไม่ได้เพราะกำลังสะลึมสะลือ แต่ไม่นานก็นึกออกถึงเจ้าโง่ที่ให้ที่พักแก่ผม
กริ๊ง กริ๊ง
ผมรีบปิดเสียงปลุกและมองไปที่ลิสบอน โชคดีที่เขายังไม่ตื่น
ตอนนี้เป็นเวลาตี 5:45 เมื่อคืนผมหลับไปประมาณ 3 ทุ่ม ดังนั้นจึงหลับไปเกือบ 9 ชั่วโมง
ผมเปลี่ยนเวลาปลุกเป็น 7 โมงเช้า ตอนแรกผมตั้งเวลาไว้เช้ามากเพราะกำลังหลบหนี แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าขนาดนั้นแล้ว
ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ข้างนอกหน้าต่างเป็นความมืด
ทำอะไรดีล่ะ?
ไปเลยดีไหมเพราะฉันไม่อยากติดหนี้เจ้าโง่มากไปกว่านี้ หรือจะอยู่ต่ออีกหน่อยดี?
ลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วผมก็เอาปากกาและหมึกออกมาจากกระเป๋ามิติ ผมไม่อยากติดหนี้เขาไปมากกว่านี้จึงตัดสินใจจากไปเงียบๆ
จะจากไปโดยไม่บอกอะไรเลยก็เสียมารยาท ผมจึงทิ้งจดหมายไว้
-ขอบคุณสำหรับอาหารร้อนๆและที่นอน
ประโยคเดียวก็พอเพราะพวกเราเจอกันไม่นาน ผมจะตอบแทนเขาเมื่อมีโอกาสได้เจอกันอีก
ผมคว้ากระเป๋าและย่องออกจากห้อง
ขนาดผมปิดประตูแล้วลิสบอนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
ผมคิดว่าเขาทื่อเกินไปสำหรับคนที่ตั้งใจจะเป็นอัศวิน แต่เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับผมนี่นะ
ผมออกจากโรงแรมเงียบๆและปีนขึ้นหลังคาเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน เข้าไปในซอกตึกก็ได้ผลเหมือนกันแต่ผมปีนหลังคาเพราะไม่อยากเจอพวกอันธพาล
ดูจากท่าทางที่ลิสบอนและยามหน้าหมู่บ้านมีต่อผมแล้ว ผมน่าจะดูอายุน้อยกว่าที่เป็นจริง แบบเดียวกับคนตะวันตกมองคนเอเชียว่าหน้าอ่อนกว่าวัย เป็นไปได้ว่าในสายตาคนของจักรวรรดิก็มองคนจากหมู่บ้านของผมเช่นนั้น
ไม่เหมือนกับคนของจักรวรรดิ ทุกคนในหมู่บ้านของผมมีตาสีดำผมสีดำแบบชาวเอเชีย
ผมนั่งบนหลังคาและเริ่มทำการปลอมบัตรด้วยกระดูกโอเกอร์และมีด
ฉับ-ฉับ-ฉับ... ไม่นะ!
มือผมกระตุกและทิ้งรอยมีดขนาดใหญ่ไว้บนกระดูกของโอเกอร์
ผมเก็บผลงานที่ล้มเหลวเข้าไปในกระเป๋ามิติและเริ่มใหม่
ฉับ ฉับ ฉับ!
คราวนี้ขอบดูไม่เรียบ ผมเอากระดูกชิ้นใหม่ออกมา
เฉือน เฉือน เฉือน...
โว้ย!
แบบนี้คงทำกระดูกโอเกอร์เสียหมดแน่ ถ้าผมใช้เวลาสี่ชั่วโมงบนหลังคาเพื่อปลอมบัตรแต่ล้มเหลว แปลว่าผมไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้
สุดท้าย ผมสรุปว่าพยายามปลอมบัตรด้วยตัวเองนั่นเองที่ผิด งานแบบนี้ต้องยกให้ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ผม
ผมเริ่มมองหาคนที่สามารถปลอมบัตรได้ คนแบบนั้นควรเกี่ยวข้องกับองค์กรใต้ดิน ถ้าอย่างนั้นปิดบังหน้าตาตัวเองเสียหน่อยก็ไม่เลว
“แปลงร่าง!”
หน้าตาของผมอาจทำให้คนดูถูก หรือหากคนรู้ว่าผมใช้ชื่อปลอมก็อาจถูกจับกุมได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ผมเปลี่ยนตัวเองเป็นชายวัยกลางคนขนดก ผมสีน้ำตาล หน้ามีแผลเป็น
คาถานี้เป็นแค่การใช้ภาพลวงตาคลุมร่างผม ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างร่างกายจริงๆ ดังนั้นผมต้องระวังไม่ให้คนแตะหน้าและไม่ขยับตัวเร็วเกินไปไม่อย่างนั้นมันจะทำให้เกิดเสียงเหมือนกระจกแตก
ตอนนี้ ผมตัดสินใจไปจับคนแบบที่กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งในตรอก ใช้เวลาหาประมาณ 10 นาทีผมก็เจอกลุ่มนักเลง 5 คน
เผื่อว่าพวกเขาเป็นแค่คนทั่วไปที่แค่มาเกาะกลุ่มคุยกัน ผมจึงทำเป็นเดินผ่านและชนไหล่กับชายคนหนึ่ง มันเป็นความจงใจ แต่ตรอกเล็กๆนี้ทำให้เดินผ่านโดยไม่ชนกันได้ยาก
“เฮ้ย ตาแก่! เดินชนใครก็ขอโทษด้วยสิ”
คนที่ดูเถื่อนเป็นพิเศษคุยกับผม
ผมคิดว่าเปลี่ยนตัวเองให้เป็นชายวัยกลางคนนะ ทำผิดเหรอ? แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาพูดไปอย่างนั้น
นักเลงจับแขนซ้ายแล้วพูด “โอ๊ย สงสัยแขนจะหัก”
จุดที่ผมชนเป็นแขนขวา
“จ่ายค่ารักษามา 3,000 เบี้ย”
3,000 เบี้ยคือหนึ่งเหรียญเงินกับเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ 20 เหรียญ นั่นแพงกว่าค่าครองชีพหนึ่งเดือนของครอบครัวขนาดสี่คน
ขณะที่ไอ้โง่ที่ผมชนจับแขนของเขา นักเลงอีกสี่คนข้างหลังเริ่มหัวเราะคิกคัก
“ดูมันกลัวสิ!”
“เคะๆ ใช่ไหม!”
เหมือนพวกเขาจะคิดว่าผมกลัวเพราะผมไม่พูดอะไร
ไอ้โง่ที่ผมชนเดินมาทางผมแล้วพูด “ตาแก่ ส่งเงินมาเร็วๆ”
มันอะไรกัน?
เขากำลังอ้อนเหรอ?
งั้นฉันตบเบาะๆแล้วกัน
ปัง!
เขาดูดุร้ายน้อยกว่าหมาสามหัวในหมู่บ้านผม ผมจึงตั้งใจจะตบเขาเบาๆ แต่ผมกะแรงผิดและตบร่างเขาฝังเข้าไปในกำแพง
ลุงไม่ได้พูดเว่อร์ไปเรื่องงอช้อนสินะ