วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 17

บทที่ 17 เดินทางสู่เมืองหลวง (4)


“เฮ้อ... อาหารอร่อยมาก!”

ลิสบอนลุกจากที่นั่งพลางลูบท้องด้วยสีหน้าสุขใจ

“ขอโทษครับ ขอสั่งขนมปังข้าวสาลีกับแยมเพิ่ม”

ขนมปังข้าวสาลีราคาสามเบี้ยและแยมสิบเบี้ย ดูจากที่เขาสั่งอาหารทันทีที่กินเสร็จ นี่น่าจะเป็นของที่เขาสั่งเผื่อน้องสาวที่ขึ้นห้องไปโดยไม่กินอะไร

ดูเหมือนน้องของเขา อลิซ จะช่างเลือกกินกว่า

พนักงานเสิร์ฟหญิงนำขนมปังขาวหนึ่งแถวกับกล่องไม้เล็กๆสำหรับใส่แยมมา ลิสบอนยื่นเงินให้และให้ทิปเพิ่ม

ผมไม่เห็นว่าพนักงานจะทำอะไรที่สมควรทิป แต่มันคงเป็นนิสัยหลอกง่ายของเขานั่นล่ะ

หลังคุยสั้นๆกับเจ้าของโรงแรม ลิสบอนคืนกุญแจให้เจ้าของโรงแรมตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับและได้กุญแจใหม่มา แล้วเขาก็ยื่นกุญแจนั้นให้ผม

“นี่เป็นกุญแจเปิดห้อง 305 มันเป็นห้องเตียงคู่ เจ้าเข้าไปวางของได้เลย ข้าจะไปดูอลิซก่อน”

ผมหยิบกุญแจและพยักหน้ารับ เดาว่าคงอีกนานกว่าเขาจะเข้าห้องเพราะต้องปลอบน้องสาวก่อน

ขณะผมเดินต่อไปที่ห้อง 305 ที่อยู่ชั้น 3 ลิสบอนหยุดตรงชั้นสอง ผมไขกุญแจและเข้าไปในห้อง

เตียงเดี่ยวสองเตียงตั้งอยู่เต็มห้อง

ผมถอดเสื้ออย่างรวดเร็วและเสกน้ำออกมาอาบ เวทมนตร์มันสะดวกอย่างนี้ ขนาดมีน้ำวนอยู่ระหว่างเตียงสองเตียง พื้นหรือเตียงก็ยังไม่เปียก

ผมอาบน้ำเสร็จและทำให้น้ำหายไป จากนั้นก็ใช้เวททำให้ตัวแห้ง

ฮ้า สดชื่นชะมัด!

สามวันที่ผ่านมา อย่าว่าแต่อาบน้ำเลย ผมต้องคอยตรวจว่ามีน้ำพอดื่มหรือไม่ มันสะดวกสบายกว่าเยอะตอนนี้ที่ผมสามารถใช้เวทมนตร์ได้ตามใจ เหมือนมีแขนงอกออกมาอีกสองข้าง

ผมนั่งบนเตียงแล้วเริ่มเอาของออกจากกระเป๋า เพราะในป่าผมเปิดกระเป๋ามิติไม่ได้จึงต้องมีกระเป๋า แต่ตอนนี้มันมีไว้โชว์เฉยๆ ถึงอย่างนั้นถ้าผมเดินทางไปอาร์คิเพลาโกโดยไม่มีกระเป๋าสักใบคงดูน่าสงสัย ผมจึงตัดสินใจใส่ของเบาๆเอาไว้ ส่วนของหนักก็เอาใส่กระเป๋ามิติ อีกอย่างการเอาของออกจากกระเป๋ามิติกว่าง่ายกว่าด้วย

กระเป๋าดูฟีบลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมย้ายของเข้าไปในกระเป๋ามิติ ผมเลยเอาผ้าห่มในกระเป๋ามิติออกมาใส่ให้มันดูโป่งเหมือนเดิม

ผมนึกถึงหัวหน้าของผมในกองทัพที่เป็นคนสอนเรื่องนี้และคิดได้อีกครั้งว่าประสบการณ์ในชาติก่อนมีประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง ผมสามารถพับกระดาษหนังสือพิมพ์หรือลังกระดาษใส่กระเป๋าได้ด้วยนะ แต่สงสัยว่าจะมีของอย่างนั้นในหมู่บ้านหรือเปล่า

หลังเก็บของเสร็จ ผมดูในกระเป๋ามิติ มันจัดเรียงไว้อย่างดีจึงไม่ต้องควานหาของ

ตอนที่ผมสร้างกระเป๋ามิติเป็นครั้งแรก ผมนึกภาพช่องเก็บของแบบในเกมเพื่อให้สามารถเห็นได้ทันทีว่ามีอะไรอยู่ข้างใน

ผมไล่เรียงชื่อของในกระเป๋ามิติเพื่อหาว่ามีกระดูกโอเกอร์หรือของที่ขายได้บ้างไหม

แท่งโอริฮัลคัม แท่งมิธริล แท่งอดามันไทต์ ชิ้นส่วนของปีศาจ เครื่องมือเวทมนตร์ที่ผมสร้างขึ้น...

ในที่สุดผมก็เจอชิ้นส่วนของโอเกอร์ ถ้าจำไม่ผิด ผมน่าจะเก็บมันไว้ตอนหกขวบ

ผมสร้างกระเป๋ามิติขึ้นมาช่วงวันเกิดอายุหกขวบ นี่น่าจะเป็นพวกของที่ผมเก็บไว้เป็นการฉลองที่สร้างสำเร็จ

ทำได้ดีมาก ตัวฉันในอดีต!

ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้สวย ผมน่าจะปลอมบัตรประชาชนได้และที่เหลือก็เอาไปขายในตลาด

ก๊อกๆ

เจ้าโง่เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา เขาถือกระเป๋าใบใหญ่มาด้วย

“ฮ่าๆ ข้าต้องเก็บของเลยช้าไปหน่อย โทษที”

ลิสบอนจัดของด้วยรอยยิ้ม

“หือ? เจ้าอาบน้ำเหรอ?”

“หา?เปล่า”

“เหรอ? ผิวเจ้าสะอาดเหมือนเพิ่งอาบน้ำมาเลย”

เพราะอย่างนี้ผมถึงไม่ชอบพวกโง่ที่ช่างสังเกต เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

“จะว่าไป นอกจากชื่อแล้วพวกเราก็ไม่รู้อะไรกันเลยนะ”

“จริงด้วย เจ้าอายุเท่าไหร่?”

“สิบหก”

“อะไร? สิบหก? เจ้าอายุมากกว่าที่ข้าคิดอีก เท่ากับอลิซเลย เธอสิบหกและข้ายี่สิบ”

ต่อจากอายุ เจ้าโง่ก็พูดถึงทุกอย่างตั้งแต่เรื่องหมู่บ้านของเขาจนถึงทุกอย่างที่เขาทำจนถึงตอนนี้

สรุปว่า ลิสบอนเป็นลูกชายคนที่สองของไวเคานท์คนหนึ่ง พี่ชายคนโตเป็นผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์จากพ่อ เขาจึงเดินทางไปอาร์คิเพลาโกเพื่อเป็นอัศวิน น้องสาวของเขามีความสามารถด้านเวทมนตร์จึงไปที่นั่นเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์

แต่ดูเหมือนเขายังมีสามัญสำนึกอยู่บ้างจึงไม่ถามเรื่องของผม ผมเตรียมเรื่องโกหกไว้แต่ดูท่าว่าไม่จำเป็นแล้ว

ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเกินสามวันเริ่มครอบงำผมขณะฟังเรื่องของลิสบอน ผมรู้สึกได้ว่าเวลาตอบลิสบอนแล้วเสียงตัวเองเนือยลง

“ราตรีสวัสดิ์ เดน”

“...อืม ราตรีสวัสดิ์...ลิสบอน”

***

กริ๊ง กริ๊ง

ผมกระโดดลงจากเตียงเมื่อได้ยินเสียง

ที่นี่ที่ไหน!?

ตอนแรก ผมจำไม่ได้เพราะกำลังสะลึมสะลือ แต่ไม่นานก็นึกออกถึงเจ้าโง่ที่ให้ที่พักแก่ผม

กริ๊ง กริ๊ง

ผมรีบปิดเสียงปลุกและมองไปที่ลิสบอน โชคดีที่เขายังไม่ตื่น

ตอนนี้เป็นเวลาตี 5:45 เมื่อคืนผมหลับไปประมาณ 3 ทุ่ม ดังนั้นจึงหลับไปเกือบ 9 ชั่วโมง

ผมเปลี่ยนเวลาปลุกเป็น 7 โมงเช้า ตอนแรกผมตั้งเวลาไว้เช้ามากเพราะกำลังหลบหนี แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าขนาดนั้นแล้ว

ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ข้างนอกหน้าต่างเป็นความมืด

ทำอะไรดีล่ะ?

ไปเลยดีไหมเพราะฉันไม่อยากติดหนี้เจ้าโง่มากไปกว่านี้ หรือจะอยู่ต่ออีกหน่อยดี?  

ลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วผมก็เอาปากกาและหมึกออกมาจากกระเป๋ามิติ ผมไม่อยากติดหนี้เขาไปมากกว่านี้จึงตัดสินใจจากไปเงียบๆ

จะจากไปโดยไม่บอกอะไรเลยก็เสียมารยาท ผมจึงทิ้งจดหมายไว้

-ขอบคุณสำหรับอาหารร้อนๆและที่นอน

ประโยคเดียวก็พอเพราะพวกเราเจอกันไม่นาน ผมจะตอบแทนเขาเมื่อมีโอกาสได้เจอกันอีก

ผมคว้ากระเป๋าและย่องออกจากห้อง

ขนาดผมปิดประตูแล้วลิสบอนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

ผมคิดว่าเขาทื่อเกินไปสำหรับคนที่ตั้งใจจะเป็นอัศวิน แต่เรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับผมนี่นะ

ผมออกจากโรงแรมเงียบๆและปีนขึ้นหลังคาเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน เข้าไปในซอกตึกก็ได้ผลเหมือนกันแต่ผมปีนหลังคาเพราะไม่อยากเจอพวกอันธพาล

ดูจากท่าทางที่ลิสบอนและยามหน้าหมู่บ้านมีต่อผมแล้ว ผมน่าจะดูอายุน้อยกว่าที่เป็นจริง แบบเดียวกับคนตะวันตกมองคนเอเชียว่าหน้าอ่อนกว่าวัย เป็นไปได้ว่าในสายตาคนของจักรวรรดิก็มองคนจากหมู่บ้านของผมเช่นนั้น

ไม่เหมือนกับคนของจักรวรรดิ ทุกคนในหมู่บ้านของผมมีตาสีดำผมสีดำแบบชาวเอเชีย

ผมนั่งบนหลังคาและเริ่มทำการปลอมบัตรด้วยกระดูกโอเกอร์และมีด

ฉับ-ฉับ-ฉับ... ไม่นะ!  

มือผมกระตุกและทิ้งรอยมีดขนาดใหญ่ไว้บนกระดูกของโอเกอร์

ผมเก็บผลงานที่ล้มเหลวเข้าไปในกระเป๋ามิติและเริ่มใหม่

ฉับ ฉับ ฉับ!

คราวนี้ขอบดูไม่เรียบ ผมเอากระดูกชิ้นใหม่ออกมา

เฉือน เฉือน เฉือน...

โว้ย!

แบบนี้คงทำกระดูกโอเกอร์เสียหมดแน่ ถ้าผมใช้เวลาสี่ชั่วโมงบนหลังคาเพื่อปลอมบัตรแต่ล้มเหลว แปลว่าผมไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้

สุดท้าย ผมสรุปว่าพยายามปลอมบัตรด้วยตัวเองนั่นเองที่ผิด งานแบบนี้ต้องยกให้ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ผม

ผมเริ่มมองหาคนที่สามารถปลอมบัตรได้ คนแบบนั้นควรเกี่ยวข้องกับองค์กรใต้ดิน ถ้าอย่างนั้นปิดบังหน้าตาตัวเองเสียหน่อยก็ไม่เลว

“แปลงร่าง!”

หน้าตาของผมอาจทำให้คนดูถูก หรือหากคนรู้ว่าผมใช้ชื่อปลอมก็อาจถูกจับกุมได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ผมเปลี่ยนตัวเองเป็นชายวัยกลางคนขนดก ผมสีน้ำตาล หน้ามีแผลเป็น

คาถานี้เป็นแค่การใช้ภาพลวงตาคลุมร่างผม ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างร่างกายจริงๆ ดังนั้นผมต้องระวังไม่ให้คนแตะหน้าและไม่ขยับตัวเร็วเกินไปไม่อย่างนั้นมันจะทำให้เกิดเสียงเหมือนกระจกแตก

ตอนนี้ ผมตัดสินใจไปจับคนแบบที่กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งในตรอก ใช้เวลาหาประมาณ 10 นาทีผมก็เจอกลุ่มนักเลง 5 คน

เผื่อว่าพวกเขาเป็นแค่คนทั่วไปที่แค่มาเกาะกลุ่มคุยกัน ผมจึงทำเป็นเดินผ่านและชนไหล่กับชายคนหนึ่ง มันเป็นความจงใจ แต่ตรอกเล็กๆนี้ทำให้เดินผ่านโดยไม่ชนกันได้ยาก

“เฮ้ย ตาแก่! เดินชนใครก็ขอโทษด้วยสิ”

คนที่ดูเถื่อนเป็นพิเศษคุยกับผม

ผมคิดว่าเปลี่ยนตัวเองให้เป็นชายวัยกลางคนนะ ทำผิดเหรอ? แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาพูดไปอย่างนั้น

นักเลงจับแขนซ้ายแล้วพูด “โอ๊ย สงสัยแขนจะหัก”

จุดที่ผมชนเป็นแขนขวา

“จ่ายค่ารักษามา 3,000 เบี้ย”

3,000 เบี้ยคือหนึ่งเหรียญเงินกับเหรียญทองแดงบริสุทธิ์ 20 เหรียญ นั่นแพงกว่าค่าครองชีพหนึ่งเดือนของครอบครัวขนาดสี่คน

ขณะที่ไอ้โง่ที่ผมชนจับแขนของเขา นักเลงอีกสี่คนข้างหลังเริ่มหัวเราะคิกคัก

“ดูมันกลัวสิ!”

“เคะๆ ใช่ไหม!”

เหมือนพวกเขาจะคิดว่าผมกลัวเพราะผมไม่พูดอะไร

ไอ้โง่ที่ผมชนเดินมาทางผมแล้วพูด “ตาแก่ ส่งเงินมาเร็วๆ”

มันอะไรกัน?

เขากำลังอ้อนเหรอ?

งั้นฉันตบเบาะๆแล้วกัน

ปัง!

เขาดูดุร้ายน้อยกว่าหมาสามหัวในหมู่บ้านผม ผมจึงตั้งใจจะตบเขาเบาๆ แต่ผมกะแรงผิดและตบร่างเขาฝังเข้าไปในกำแพง

ลุงไม่ได้พูดเว่อร์ไปเรื่องงอช้อนสินะ



สารบัญ                                 บทที่ 18

 





  


วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

แปลเพลง Badflower - Family


วันก่อนนะ คนแปลเจอเพลงใหม่ของ badflower ล่ะ วงนี้ดีนะขอบอก เพลงเพราะเยอะเลยแต่จะไปทางมืดมน บางเพลงก็น่ากลัวหน่อยๆ เพลงโปรดของคนแปลคือ 30,Move me แล้วก็ Promise me ค่ะ ขณะทำงานไปจมดิ่งกับอีโมหนักอึ้งไป เหี้ยห่าและสารพัดสัตว์ก็ลอยมาจากข้างหน้า ขนาดเสียบหูฟังเปิดเสียงดังสุดแล้วนะ (สงสัยต้องหาหูฟังใหม่)

พอถามว่าเป็นอะไรกัน ได้ความว่ามีข่าวค่ะ พ่อเลี้ยงทุบตีลูกเลี้ยงจนชาวบ้านต้องจับส่งตำรวจแต่คนเป็นแม่เฉยบอกเป็นเรื่องครอบครัว เออ น่าด่าจริงๆ ขนาดน้องที่ไม่ค่อยโกรธง่ายๆยังแช่งว่าขอให้ติดโควิดตาย 55+

เรื่องครอบครัวนี่นะ มีหลายแบบจริงๆแหละ ครอบครัวอบอุ่นไม่เป็นข่าว ที่เป็นข่าวก็หดหู่จริงๆ เราว่าฟังก์ชั่นพื้นฐานสุดของครอบครัวคือคนเป็นพ่อแม่ให้ที่อยู่,อาหารและการศึกษาลูก คุ้มครองเค้าจนกว่าจะช่วยตัวเองได้ออกไปหางานสร้างครอบครัวของตัวเองต่อนะ ถ้าไม่ผ่านจุดนี้ก็จะกลายเป็นอย่างในข่าว

ถ้าผ่านจุดนั้นก็จะมาถึงเรื่องความสัมพันธ์ ต่อให้พ่อแม่ให้ทุกอย่างแก่ลูกแล้ว ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่จะสามารถคาดหวังให้เค้าเป็นในแบบที่พ่อแม่อยากให้เป็นได้นะ แต่พอผิดหวังแล้วจะเกลียดเค้าได้ลงคอเลยเหรอ เห็นคนร้องตอนร้องท่อน Don't hate me แล้ว :'( โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ
 
เพลงนี้ กล่าวถึงคนหนึ่งที่แม้จะรักพ่อแม่ น้องสาว แต่นิสัยของเขาไม่ใช่คนเอาใจใส่ ทำให้คนในครอบครัวเสียใจทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นค่ะ เอาล่ะ แปลเพลงกันดีกว่า

ลิงค์เพลงยูทูป Badflower - Family (Official Music Video)

Taste bitter on a guilty tongue
It's hard to see I'm the chosen one
Fake friends with a camera phone
Ugly, drunk, cold, and missing home

รสขมปร่าบนลิ้นเลว
ฉันไม่อาจมองว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ
เพื่อนปลอมๆกับกล้องบนมือถือ
น่าเกลียด,เมา,หนาว,และบ้านที่หายไป

This home of mine, I see it in my dreams
Where everyone looks happy and everyone still likes me
This home of mine, I miss it all the time
What happened to this family? What happened to this family? (Have I let you down?)

บ้านของฉัน เห็นมันในความฝัน
ที่ซึ่งทุกคนดูสุขใจ ใครๆยังรักฉัน
บ้านของฉัน ฉันคิดถึงมันทุกวัน
เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้นะ? เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้? (ฉันทำให้พวกคุณผิดหวังเหรอ?)

Texts, calls, hugs, birthday cards
Being thoughtful can be so hard
First fifteen years, I'm the favorite son
Last fifteen years, I'm the hated one

ส่งข้อความ,โทรหา,กอด,บัตรอวยพรวันเกิด
การใส่ใจก็ยากเหมือนกัน
สิบห้าปีแรก ฉันเป็นลูกชายสุดโปรด
สิบห้าปีหลัง ฉันเป็นลูกชายสุดเกลียด

This heart of mine gets blacker all the time
Affection makes me nauseous, believe me, I don't want this
I hurt my blood tonight, I made my sisters cry
I never say I love you, even though I want to

หัวใจของฉัน มืดดำลงทุกวัน
ความรักทำให้ฉันคลื่นไส้ เชื่อสิฉันไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้
คืนนี้ฉันทำร้ายสายเลือดเดียวกัน ทำให้น้องสาวพากันร้องไห้
ฉันไม่เคยบอกคุณว่ารัก แม้อยากบอกเพียงใด

I'm just my father's son, my mother's kid
A shitty brother, I'm nobody's friend
This is all my fault, I only make you cry
I don't deserve this family, you're better off without me

ฉันเป็นแค่ลูกชายของพ่อ เด็กน้อยของแม่
พี่ห่วยแตก ไม่ใช่เพื่อนของใคร
ทั้งหมดฉันผิดเอง ได้แต่ทำให้พวกคุณร้องไห้
ฉันไม่คู่ควรกับครอบครัวนี้ พวกคุณไม่มีฉันจะดีกว่า

'Cause I let you down, and I lost my fucking mind
Then everything got messy, and everyone got angry
I cursed my blood tonight, it happens all the time
Is everyone against me? Has everyone Goddamned me?

เพราะฉันทำให้คุณผิดหวัง และฉันบ้าไปแล้ว
แล้วทุกอย่างก็ยุ่งเหยิงไปหมด และทุกคนก็โกรธ
คืนนี้ฉันด่าสายเลือดตัวเอง มันเกิดขึ้นเสมอ
นี่ทุกคนต่อต้านฉันเหรอ? นี่ทุกคนด่าฉันเหรอ?

What happened to this family?
What happened to this family?
What happened to this family?
What happened to this family?

เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้?
เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้
เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้
เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้

Don't hate me, don't hate me
Don't let me drown

อย่าเกลียดฉัน อย่าเกลียดฉัน
อย่าปล่อยให้ฉันจมลง

I hate goodbyes, so cringey I could die
We only say "I love you", 'cause that's what we're supposed to
And most families lie, but I meant it every time
I treat you like you're worthless, I never said I'm perfect

ฉันเกลียดการลา น่าอายจะตาย
เราพูดแค่ “ฉันรักเธอ” เพราะเป็นสิ่งสมควรทำ
และครอบครัวส่วนใหญ่โกหก แต่ฉันจริงใจทุกครั้ง
ฉันทำกับคุณเหมือนไร้ค่า ฉันไม่เคยพูดว่าฉันดีเลิศ

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 16

บทที่ 16 เดินทางสู่เมืองหลวง (3)


“ฮ่าๆ ข้าพาเขามาเพราะเขานั่งตากฝนข้างนอก”

“พี่? นี่ไม่ใช่บ้านเรานะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ไม่เป็นไรหรอกเพราะที่บ้านเรามีห้องเยอะ แต่ตอนนี้เรากำลังไปเมืองหลวง คิดถึงสถานะด้านการเงินของเราด้วยสิ!”

ตรงข้ามกับพี่ชาย อลิซดูจะฉลาดกว่า เธอดุลิสบอนแล้วหันมาทางผม

“เฮ้ เจ้าอย่าตามคนแปลกหน้าง่ายๆสิ”

คำพูดของเธอมีเหตุผลเป็นที่สุดจนผมตอบไม่ถูก

“ฮ่าๆ อย่าโกรธเขาเลยอลิซ ข้าเป็นคนบังคับพาเขามาเอง นี่คือเดน มาร์ค”

ผมรู้ว่าอลิซเกือบจะโกรธจัดแล้วเมื่อเธอกระชากคอเสื้อลิสบอน

“พี่ล้อเล่นใช่ไหม? พี่ทำแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว? หา?”

น่าเสียดายไม่มีป๊อบคอร์นให้ผมเคี้ยวระหว่างดูพี่น้องทะเลาะกัน ดูการต่อสู้มันสนุกเสมอเพราะความเร้าใจและรู้สึกเหมือนได้ประสบการณ์สดใหม่

“เอ้อ ฮ่าๆ...”

เจ้าโง่นับนิ้ว

“ไม่อยากรู้!”

อลิซปล่อยคอเสื้อของลิสบอนและตรงไปที่บันได

“เจ้าจะไปไหน?”

“ไม่สน! ข้าจะนอนแล้ว!”

อลิซขึ้นไปที่ห้องอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“ฮ่าๆ ปกติเธอไม่ใช่แบบนั้นหรอก ข้าคิดว่าเธอคงเหนื่อยจากการเดินทางไกล”

น่าจะเพราะเหนื่อยกับนายมากกว่านะ

“มานั่งก่อนเถอะ อยากกินอะไร?”

ผมตัดสินใจอย่างจริงจังไม่ให้กลายเป็นคนแบบเขาขณะมองลิสบอนยิ้มและส่งเมนูให้ผม ผมได้เรียนรู้จากการมองเขาจริงๆ นอกจากนั้นการปฏิเสธน้ำใจจากคนอื่นเป็นเรื่องเสียมารยาทด้วย ผมอ่านเมนูและสั่ง

“ข้าขอสตูว์ไก่กับขนมปังไรน์”

ที่จริงผมอยากกินสตูว์เนื้อกับขนมปังข้าวสาลี แต่มันแพงกว่าสามเท่า การเลือกของแพงเวลาคนอื่นเป็นคนจ่ายเงินก็หยาบคายเช่นกัน

“เท่านั้นจะอิ่มได้ไง? สั่งอาหารหน่อยครับ”

“จ้า”

“เอาสตูว์ไก่สองที่ ขนมปังไรน์สามก้อน มันฝรั่งทอด ไข่เจียวหนึ่งครับ”

“จ้า รอสักครู่”

พนักงานเสิร์ฟรับออร์เดอร์แล้วเข้าไปในครัว ไม่นานอาหารก็มา ไม่แปลกเพราะอาหารที่ผมสั่งใช้เวลาปรุงไม่นาน

จะว่าไป มีคำว่าวอนกลางชื่อแปลว่าเขาเป็นขุนนาง แต่ลิสบอนใช้เงินไม่เยอะเลย

“ฮ่าๆ ที่จริงแล้วข้าใช้เงินไปมากระหว่างทางมาที่นี่...”

สรุปว่าระหว่างการเดินทางเขาใช้เงินช่วยคนอื่นมากเกินไป

ไม่แปลกใจเลยที่น้องสาวของเขาโกรธ แต่เขาเป็นคนเลี้ยงอาหารผมก็ต้องขอบคุณเขาหน่อย

ผมตัดสินใจใช้โอกาสนี้เพิ่มพูนความรู้ทางโลกที่จำกัดของผม “ข้ามีเรื่องที่สงสัยอยู่”

“อะไรเหรอ?”

“ราคาตลาดตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”

“อะไรนะ?” ลิสบอนดูประหลาดใจกับคำถามที่คาดไม่ถึง

ปกติคนจะถาม “ทำไมเจ้าดีกับข้านัก?” แต่ผมรู้แล้วนี่นะว่าเพราะเขาเป็นไอ้โง่ ผมจึงคิดว่าใช้โอกาสนี้หาความรู้ดีกว่า

“ข้ามาจากบ้านนอก พวกเราซื้อขายด้วยการแลกเปลี่ยนของ”

ไม่ใช่บ้านนอกธรรมดา บ้านนอกโคตรๆ เมืองที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปกว่าพันกิโลเมตร เรามี “เงินตรา” แต่มันทำจากชิ้นส่วนของปีศาจหรือพวกเกล็ดมังกร เพราะเหตุนี้ในกระเป๋ามิติของผมจึงเต็มไปด้วยชิ้นส่วนของปีศาจและมังกร แน่นอน ผมล่าพวกมันเอง

มาคิดดูแล้ว ถ้าขายชิ้นส่วนพวกนี้ในตลาดน่าจะได้เงินอยู่นะ?

ผมควรเข้าตลาดอีกรอบพรุ่งนี้ แล้วก็หาธนาคารด้วย เอาเหรียญทองคำขาวไปฝากแล้วถอนเหรียญอื่นออกมา

“เข้าใจล่ะ ถ้ารู้ราคาทั่วไปก็สะดวกดี เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามีเหรียญแปดอย่าง เหล็ก เหล็กบริสุทธิ์ ทองแดง ทองแดงบริสุทธิ์ เงิน เงินบริสุทธิ์ ทองคำและทองคำขาว?”

ว้าว เจ้านี่ดูถูกกันเกินไปแล้ว!

“แน่นอน!”

“เราใช้หน่วยที่เรียกว่าเบี้ยเป็นหน่วยพื้นฐาน มันเป็นคำโบราณแปลว่าเปลือกหอย เหรียญเหล็กหนึ่งเหรียญเท่ากับหนึ่งเบี้ย”

ผมรู้เรื่องนี้จากในหนังสือแล้ว ผมอยากรู้เกี่ยวกับราคาข้าวของเครื่องใช้ แต่หมอนี่ทำเหมือนผมไม่รู้อะไรเลย

“เหรียญเหล็กบริสุทธิ์หนึ่งเหรียญเท่ากับเหรียญเหล็ก 5 เหรียญ นั่นก็คือมันมีค่าห้าเบี้ย เหรียญทองแดงมีค่าสองเท่าของเหรียญเหล็กบริสุทธิ์ก็สิบเบี้ย เหรียญทองแดงบริสุทธิ์มีค่าห้าเท่าของเหรียญเหล็กบริสุทธิ์ นั่นก็คือยี่สิบห้าเบี้ย”

ลิสบอนดื่มน้ำดับกระหายแล้วอธิบายต่อ

การอธิบายของลิสบอนเป็นเค้าโครงง่ายๆแบบนี้

เหรียญเหล็ก = 1 เบี้ย, เหรียญเหล็กบริสุทธิ์ = 5 เบี้ย, เหรียญทองแดง = 10 เบี้ย, เหรียญทองแดงบริสุทธิ์ = 25 เบี้ย, เหรียญเงิน = 2,500 เบี้ย, เหรียญเงินบริสุทธิ์ = 25,000 เบี้ย, เหรียญทองคำ = 250,000 เบี้ย, เหรียญทองคำขาว = 25,000,000 เบี้ย

“เหรียญทองหกหรือเจ็ดเหรียญก็พอใช้จัดการดินแดนเล็กๆ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเงินจำนวนมาก”

อ๋อ ดินแดนเล็กๆใช้เหรียญทองหกหรือเจ็ดเหรียญก็พอ แต่ผมขอเป็นเงินทอนจากเจ้าของร้านอัญมณี

ขอโทษนะเจ้าของร้าน!

“งั้นเหรียญทองคำขาวล่ะ?”

“งบประมาณสำหรับดินแดนใหญ่ๆของขุนนางระดับเคานท์อย่างต่ำหนึ่งเดือน?”

ขอโทษนะเจ้าของร้าน!

“ก็นะ เหรียญทองคำขาวเป็นของในฝันที่ขุนนางเล็กๆอย่างข้าไม่มีวันเจอ ขนาดเหรียญทองข้าก็เคยเจอไม่กี่ครั้ง-”

หยุด

HP ของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีฉันเป็นศูนย์แล้ว!

“เนื่องจากเหรียญที่มีค่ามากกว่าเหรียญเงินไม่ได้ใช้กันทั่วไป ข้าจะอธิบายแต่เหรียญที่เห็นง่ายกว่านะ”

ลิสบอน ในกระเป๋ามิติของฉันมีเหรียญทองคำขาวที่นายเรียกว่าของในฝันเพียบเลยนะ

ดูท่าว่าการให้เหรียญทองคำขาวจะทำให้เดือดร้อนมากกว่า ผมคงต้องตอบแทนเขาทีหลังแล้วล่ะถ้าเจอกันอีก

“นี่คือเหรียญเหล็ก นี่เหรียญเหล็กบริสุทธิ์ และนี่คือเหรียญทองแดง”

ลิสบอนไม่เอาเหรียญที่มีค่ากว่าเหรียญทองแดงออกมา โชคดีที่ดูเหมือนเขายังมีสามัญสำนึกอยู่บ้าง

“ข้าอยากให้เจ้าดูเหรียญทองแดงบริสุทธิ์กับเหรียญทองนะ แต่น้องสาวข้าเก็บเหรียญใหญ่พวกนั้นไว้”

จะบ้าตาย นายโง่หรือวะ?

ไม่ใช่เขาไม่อยากเอาออกมาให้ดู แต่เขาไม่มี! หากไม่มีน้องสาว ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าเขาลงเอยด้วยการเสียชีวิตในที่ไหนสักแห่ง

“แต่ถ้าเป็นการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เหรียญเหล็กบริสุทธิ์กับเหรียญทองแดงก็พอแล้ว”

ลิสบอนชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะแล้วพูด “อาหารหนึ่งมื้อมีค่าประมาณหนึ่งหรือสองเหรียญเหล็กบริสุทธิ์ สตูว์ไก่ชามละห้าเบี้ย ขนมปังไรน์ก้อนละหนึ่งเบี้ย มันฝรั่งทอดสองเบี้ย ไข่เจียวสามเบี้ย รวมเป็น 18 เบี้ย”

สิบแปดนี่เอง สิบแปดสิบเปรต ทำไมผมต้องมาอยู่กับเจ้าโง่แบบนี้ด้วย? ผมดูน่าสมเพชขนาดนั้นเลยเหรอ?

“งั้นค่าโรงแรมเท่าไหร่?”

“โรงแรมนี้สะอาดดีทีเดียวเพราะงั้นจึงใช้ประมาณสิบเหรียญเหล็กบริสุทธิ์ ถ้าเป็นโรงแรมทั่วไปก็ห้าเหรียญเหล็กบริสุทธิ์และข้าก็เคยเห็นบางที่ที่ถูกกว่านั้น”

ที่ถูกแบบนั้นคงมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน

เดี๋ยว ถ้านายเคยเห็น แปลว่าเคยพักที่แบบนั้นด้วยเหรอ? ขุนนางพักที่แบบนั้นด้วยแฮะ!

“ถ้ารวมค่าอื่นๆเช่นอาบน้ำและทิป ก็จะประมาณหกเหรียญเหล็กบริสุทธิ์กับสองเหรียญทองแดงสำหรับพวกเราสามคน”

ประมาณหกเหรียญเหล็กบริสุทธิ์สำหรับเราสามคน สาม? หมอนี่รวมผมเข้าไปในคำว่าพวกเราอย่างเป็นธรรมชาติมาก

น้องสาวของเขาตัดสินใจได้ฉลาดมากที่กลับห้องไปก่อน ถ้าอยู่ตรงนี้เธออาจตบหน้าพี่ชายของเธอได้

“ราคาของในแต่ละหมู่บ้านก็ต่างกันไปเลยบอกแน่นอนไม่ได้ แต่ทั่วไปแล้ว เหรียญเงินหนึ่งเหรียญคืองบสำหรับใช้จ่ายหนึ่งเดือนของครอบครัวธรรมดาที่มีสมาชิกสี่คน”

งบสำหรับใช้จ่ายหนึ่งเดือนของครอบครัวธรรมดาน่าจะน้อยกว่าที่เขาพูดเพราะลิสบอนมาจากครอบครัวขุนนาง ถึงอย่างนั้นก็ตาม ถ้าผมคำนวณถูก เขาบอกว่าเหรียญเงินเท่ากับ 2,500 เบี้ย และเหรียญทองคำหกเหรียญเป็นค่าดูแลจัดการรายเดือนในดินแดนขนาดเล็ก หมายความว่าดินแดนขนาดเล็กสามารถรองรับได้ 600-700 ครัวเรือนหากถือว่าครัวเรือนทั้งหมดนั้นเป็นครอบครัวสี่คน

สำหรับเคานท์ที่มีค่าดูแลจัดการดินแดนรายเดือนเป็นหนึ่งเหรียญทองคำขาว ดินแดนของเขาเท่ากับดินแดนขนาดเล็ก 10-20 แห่งรวมกัน

“เข้าใจแล้ว ถ้าไม่ว่าอะไร... ขอข้าดูบัตรประชาชนของเจ้าได้ไหม?”

ผมรู้ว่ามันเป็นคำขอที่หยาบคาย จู่ๆก็ถามหาบัตรประชาชนของเขาแสดงว่าผมสงสัยเขา แต่นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้

ผมให้คนอื่นดูบัตรประชาชนไม่ได้เพราะทุกคนที่เห็นมัน (ถึงที่ผ่านมาจะมีแค่สองคนก็เถอะ) จะรู้สึกกลัวและก้มหัวให้

ที่ผมต้องการคือสถานะที่ทำให้คนไม่ดูถูกผม ไม่ใช่ทำให้คนก้มหัวให้

ผมคิดว่าลิสบอนจะโกรธ แต่เขากลับหยิบบัตรออกมาโดยไม่มีทีท่าโกรธเลย ซึ่งผมไม่อาจประทับใจได้ไม่ว่าเขาจะเป็นคนถูกหลอกง่ายขนาดไหนก็ตาม

“เอาไปสิ”

เขายังยื่นบัตรให้ผมอีกด้วยนะ

นี่มันอะไรกัน? หมอนี่ไม่รู้จักระวังตัวเลยเหรอ? ไม่คิดว่าฉันจะเอาบัตรหนีไปเลยเหรอ? หรือมั่นใจว่าต่อให้ฉันหนีเขาก็จับได้?

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เข้าใจได้

“ขอบคุณ”

ผมรับบัตรประชาชนมาสำรวจอย่างตั้งใจ มันต่างจากของผมจริงๆ รูปแบบเหมือนกันแต่ขนาดใหญ่กว่าสองเท่า อีกอย่าง บัตรของผมมีคาถาร่ายไว้ 15 อย่างเพื่อป้องกันการปลอมแปลง แต่บัตรนี้มีคาถาน้อยกว่าบัตรของผมไป 10 อย่าง

แต่ดูชื่อกับที่อยู่ที่เขียนบนบัตรก็ไม่ต่างจากบัตรประชาชนใบอื่นนัก วัสดุที่ใช้ทำบัตรเหมือนจะเป็นงาสัตว์หรือกระดูก

“ตัวบัตรมีสัมผัสแปลกๆนะ มันทำจากอะไร?”

“เอ่อ เท่าที่ข้ารู้มันทำจากกระดูกโอเกอร์ แน่นอนว่ามันเทียบไม่ได้กับบัตรประชาชนของขุนนางระดับเคานท์ขึ้นไปที่ทำจากกระดูกปีศาจ แต่มันคือโอเกอร์นะ”

ลิสบอนทำท่าโอ้อวดก่อนจะอธิบายต่อ

“เทียบกับบัตรที่ทำจากงาช้างของขุนนางระดับบารอนลงไป หรือบัตรของสามัญชนที่ทำจากไม้ก็น่าประทับใจทีเดียวใช่ไหมล่ะ”

“อืม น่าประทับใจมาก”

โอเกอร์... ผมนึกว่ามันมีเกลื่อนกลาดจนไม่ต้องจงใจออกล่าก็ได้เสียอีก

ต้นไม้แถวบ้านยังตัดยากกว่าอีกไม่ใช่เหรอ?

ต้นไม้พวกนั้นต่อให้ใช้ขวานอดามันไทต์ยังตัดยาก นอกจากตัดด้วยดาบที่อาบรัศมีดาบ

“ขอบคุณที่ให้ดู”

ผมคืนบัตรให้ลิสบอน ผมใช้เวทจำรูปแบบ ขนาดและน้ำหนักไว้แล้ว ไว้ค่อยหาในกระเป๋ามิติว่ามีกระดูกโอเกอร์สำหรับทำบัตรปลอมบ้างไหม

ระหว่างที่ผมดูบัตร อาหารบนโต๊ะก็หายไป ที่ผมกินเข้าไปคือสตูว์ไก่ ขนมปังครึ่งก้อน ไข่เจียวครึ่งลูก และมันฝรั่งสองสามชิ้น

ชายตรงหน้าผมกวาดขนมปังใหญ่เท่าหน้าเขาไปสองก้อนครึ่ง และสตูว์ไก่และมันฝรั่งที่เหลือ เขากินอย่างหมดจดจนรู้สึกว่าไม่ต้องล้างจาน

ช่างกินง่ายนัก ทำให้ผมสงสัยว่าหมอนี่เป็นขุนนางจริงๆเหรอ



สารบัญ                                                 บทที่ 17

 





...ตกลงว่าสกุลเงินเป็นเบี้ย แล้วจะบอกราคาของเป็นเหรียญเงินเหรียญทองทำหยัง เหมือนเราถามราคาของแล้วคนขายตอบว่า 5 เหรียญห้าบาท... มีแต่เหรียญสิบกับเหรียญบาทพี่จะเอาไหม แล้วคนพกเหรียญกับธนบัตรทำไม เพราะทุกคนยอมรับมันเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน มีเหรียญแต่ไม่มีใครรับแล้วจะมีเพื่อ ซื้อขายระหว่างดินแดนก็ใช้เช็คสิ มีธนาคารไม่ใช่เรอะ มันควรจะเลิกผลิตหรือไม่ควรมีตั้งแต่แรกแล้วนะเหรียญทองกับทองคำขาว พกไว้ก็โดนปล้นตายเปล่า... 

สรุปว่าเรื่องนี้เวลาอ่านต้องอ่านด้วยใจที่เปิดกว้างนะคะ :D


วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 15

 บทที่ 15 เดินทางสู่เมืองหลวง (2)


แม้บลัดดี้จะไม่เคยเรียนเวทมนตร์ เขาก็ได้เห็นประโยชน์และพลังของมันเมื่อมาทำงานให้จักรวรรดิ

เมื่อเผ่าผีเสื้อ เผ่านักรบที่ทุ่มเทด้านเวทมนตร์ใช้พลังเวททั้งหมดยิงเวท พลังนั้นมากพอจะกวาดล้างหมู่บ้านหนึ่งแห่ง

แม้แต่เผ่านั้นก็ยังไม่สามารถควบคุมพลังเวทในป่าโอลิมปัสได้ พอคิดว่ามีคนที่สามารถใช้เวทมนตร์ล้มมังกรในป่าแบบนั้น... และคนที่ว่านั่นออกจากป่ามาแล้ว...

ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปสักเล็กน้อย เป็นไปได้มากว่าจักรวรรดิจะถูกทำลาย บลัดดี้เชื่อว่าเขาไม่ได้คิดเลยเถิดเกินไป

หลานของเขาคือเจ้าเซ่อที่หนีออกจากบ้านทั้งๆที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะเป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อไป หัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันสมัยหนุ่มยังไม่แข็งแกร่งเท่าลูกของเขา ขนาดนั้นแล้วดูมสโตนยังถูกทั้งโลกตราหน้าว่าเป็นอสูรกาย แล้วเดนเบอร์กที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับดูมสโตนคนปัจจุบันล่ะ ไม่ใช่ดูมสโตนสมัยหนุ่มนะ

เฮสเทียอยากให้ข้าหาคนหนีและติดต่อไปถ้าเจอเหรอ?

หรือข้าควรจะเรียกเผ่ามังกรกลับมาแล้วไปเขตแดนปีศาจเองดีนะ... 

บลัดดี้คิดเช่นนี้

***

เมื่อเข้าหมู่บ้านผมก็เจอปัญหา ผมไม่มีเงินใช้ ที่จริงแล้วผมมีเงิน ผมมีเงินเป็นค่าใช้จ่ายที่ได้จากพ่อและเฮสเทียตอนทำงานให้กระทรวงต่างประเทศและเงินที่ผมเก็บเข้ากระเป๋ามิติก่อนหนีออกจากหมู่บ้าน ผมมีเงินในมืออยู่เยอะ

แต่ปัญหาคือผมใช้เงินพวกนั้นไม่ได้

หมู่บ้านของผมมีรายได้หลักจากชิ้นส่วนของปีศาจและสัตว์ประหลาด และแร่หาโคตรยากเช่นอดามันไทต์ มิธริล โอริฮัลคัม แล้วยังมีตัวเร่งปฏิกิริยาพลังเวทกับสมุนไพรหายากที่ขึ้นแต่ในป่าโอลิมปัส โชคร้าย ของที่หมู่บ้านผมขายพวกนี้มันหายากขนาดว่าคนธรรมดาจนถึงขุนนางยศต่ำแทบไม่เคยเห็นพวกมัน หรือก็คือ หมู่บ้านของผมแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงินตราระดับสูงที่คนทั่วไปอาจเคยเห็นแค่ครั้งเดียวในชีวิต

เงินของจักรวรรดิแยกเป็นเหรียญ 8 ประเภทตามนี้ เหล็ก,เหล็กบริสุทธิ์,ทองแดง,ทองแดงบริสุทธิ์,เงิน,เงินบริสุทธิ์,ทองคำและทองคำขาว

มันเริ่มมืดแล้ว แต่ผมไปดูที่ตลาดมาและพบว่าเหรียญที่คนส่วนใหญ่ใช้มีตั้งแต่เหล็กถึงทองแดงบริสุทธิ์ โดยเหล็กและเหล็กบริสุทธิ์ถูกใช้เยอะที่สุด บางครั้งผมเห็นของที่ตั้งราคาเป็นเหรียญเงิน แต่ก็มักจะเป็นของราคาแพงหรือสิ่งก่อสร้าง ดูเหมือนว่าเหรียญเงินจะเป็นขีดจำกัดของสามัญชนส่วนใหญ่ และเหรียญที่สูงค่ากว่านั้นมีเหล่าขุนนางใช้เป็นหลัก

ปัญหาคือผมมีแต่เหรียญทองคำขาว ผมลองไปแลกเป็นเหรียญขั้นต่ำกว่ามาแล้ว

ผมไม่ได้สังเกตตอนมองอยู่ห่างๆ แต่ตลาดที่นี่ใหญ่แทบจะเท่ากับเมืองๆหนึ่ง บางทีเพราะเหตุนี้ยามหน้าทางเข้าจึงใส่เกราะคุณภาพดีแบบนั้น

เอาเป็นว่าตลาดใหญ่แบบนี้ต้องมีร้านบริการเหล่าขุนนางโดยเฉพาะแน่ มองหาไม่นานผมก็เจอร้านอัญมณีแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเมื่อเห็นผมเข้าร้านก็มองอย่างไม่ไว้ใจ เสื้อผ้าของผมอาจดูสกปรกเพราะผมวิ่งหนีในป่าไม่มีเวลาซักมัน แต่มันทำจากหนังมังกรที่ผมฆ่าตอนอายุสิบสองนะ

รวมกับเวทหลายๆชั้นที่ผมร่ายทับ แน่ใจว่าเสื้อผ้าที่ผมสวมอยู่นี่อย่างน้อยก็แพงกว่าดาบที่ผมเก็บเข้าไปในกระเป๋ามิติแล้ว

เมื่อให้เขาดูบัตรประชาชน ท่าทางของเจ้าของร้านก็เปลี่ยนทันควัน เขาพูดว่า “ข้าขออภัยที่ไม่รู้ว่าท่านเป็นบุตรท่านเคานท์”

ดูเหมือนบัตรนี่จะเป็นของขุนนางขั้นสูงกว่าที่ผมคิดไว้ ช่างเถอะ ผมเลือกเครื่องประดับไปมั่วๆแล้วเอาเหรียญทองคำขาวออกมา

เมื่อเห็นเหรียญ เจ้าของร้านบอกผมด้วยสีหน้าอึดอัดว่าต่อให้เขาขายของทั้งหมดในร้านรวมกับร้านด้วยแล้วก็ยังได้ไม่เท่ากับเหรียญของผม

ผมคิดในใจว่าเขาเป็นคนดีเหมือนกันนี่นา เพราะเขาสามารถหลอกขายของผมก็ได้ แม้ไม่อยากถูกมองเป็นไอ้โง่แต่ผมก็ตัดสินใจให้เหรียญไปเพราะผมต้องการเงินทอน

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอซื้อเครื่องประดับทุกอย่างในร้าน เงินทอนก็เอาแค่เงินทั้งหมดเท่าที่เจ้ามี ส่วนร้านไม่ต้อง”

เจ้าของร้านตัวสั่น คุกเข่าแล้วขอร้อง

“นายน้อย? โปรดเมตตา เงินแบบนั้นข้าคนเดียวรับไม่ไหว ได้โปรด! ข้ามีลูกเมียรออยู่”

“ข้าแค่อยากได้เศษเหรียญ เท่านั้น-”

“ขออภัยจริงๆ ถ้าเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าล่วงเกินท่าน ข้าขออภัย ได้โปรดเถอะ”

โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!

เจ้าของร้านโขกศีรษะกับพื้นจนเลือดออก

“หยุดเถอะ ข้าไปก็ได้”

“ขอบคุณ! ขอบคุณ!”

เขาขอบคุณเหมือนรอดตาย ผมไม่มีทางเลือกนอกจากออกจากร้าน

ผมลงเอยด้วยการนั่งคุดคู้ตรงมุมถนนถัดจากโรงแรม

บ้าเอ๊ย!

กลายเป็นคนจรจัดทั้งๆที่ฉันมีเงินเนี่ยนะ?

ต้องนอนข้างถนนทั้งๆที่โรงแรมก็อยู่ตรงนี้เนี่ยนะ?

มาคิดดูอีกที ผมว่าผมทำให้เจ้าของร้านอัญมณีตกที่นั่งลำบากไปล่ะ

ผมไม่แน่ใจว่าเหรียญทองคำขาวมีค่าเท่าไหร่แน่ แต่มันเป็นเหรียญที่มีค่าสูงที่สุด ที่ผมทำไปคงเหมือนกับเข้าร้านกาแฟ สั่งรายการอาหารทุกอย่างในเมนูแล้วยื่นเช็คร้อยล้านวอนให้แล้วขอเงินทอนเป็นเงินสด จะว่าไปก็ไม่รู้ด้วยว่าที่นี่มีธนาคารให้เอาเงินมากขนาดนั้นไปฝากหรือเปล่า 

ถ้ามีข่าวลือว่าเจ้าของร้านแลกทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อเหรียญทองคำขาว เป็นไปได้ว่าอาจถูกปล้นฆ่าทั้งครอบครัว

หนำซ้ำผมยังแสดงบัตรประชาชนให้เขารู้ว่าเป็นขุนนาง ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธคำขอของผมได้

คิดแบบนี้แล้ว สรุปว่าผมทำตัวเหมือนเศษสวะเลย

“ฮู่!”

ผมค้นในกระเป๋าและเอาเนื้อตากแห้งชิ้นหนึ่งออกมา โชคดีที่ขโมยอาหารจากกระทรวงต่างประเทศในปริมาณสำหรับ 10 วัน จึงมีพอให้กินไปสักอีกสัปดาห์

หลังจากนั้น... ถ้ายังหาเศษเหรียญไม่ได้ อาจต้องปล้นร้านค้าสักหน่อย

ตอนนั้นเอง สายฝนก็พรมลงมาจากฟ้า

“กระซิก กระซิก”

ดวงตาของผมรื้นน้ำตาขณะรู้สึกสลดกับสภาพการณ์ตอนนี้ มีคำกล่าวไว้ ว่าจากเรือนเหมือนนกที่จากรัง และดูท่าว่าผมกำลังจะกลายเป็นคนจรต้องทนนอนตากฝน

ผมคงไม่เศร้าขนาดนี้ ถ้าที่นี่เป็นทุ่งหญ้าหรือป่า แต่นี่มันกลางหมู่บ้านและคนอื่นต่างเข้าไปอยู่ในบ้านตัวเองกันหมดแล้ว

ฝนเริ่มตกหนัก มีทีท่าว่าจะตกทั้งคืน

ไม่ว่าจะหดหู่แค่ไหนผมก็คงไม่ตากฝนทั้งคืนหรอก ขณะผมกำลังจะร่ายเวทกันฝน จู่ๆร่มคันหนึ่งก็ยื่นมาเหนือผม

“เจ้าหนู พ่อแม่ไปไหนล่ะ?”

คนที่กางร่มให้ผมเป็นชายหนุ่มผมบลอนด์ผู้มีทรงผมดูดี

ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าเป็นผู้หญิงคงตกหลุมรักไปแล้ว แต่โชคดีที่ผมเป็นผู้ชายและไม่มีรสนิยมชอบผู้ชาย

“ข้าไม่ใช่เจ้าหนู”

แน่นอน ผมไม่ใช่เด็ก! อายุทางความคิดมากกว่าสี่สิบแล้ว พูดถึงด้านร่างกายก็จัดเป็นผู้ใหญ่ตามกฎของจักรวรรดิตั้งแต่สองวันก่อน

“อ้อ ขอโทษที แล้วพ่อแม่ไปไหนล่ะ?”

ก็บอกว่าไม่ใช่เด็ก ทำไมยังถามหาพ่อแม่อีก?

หรืออยากจะสืบสานประเพณียาวนานของเกาหลี ชาติพันธุ์นักสู้ออนไลน์ โดยถามว่าพ่อแม่เป็นยังไงบ้าง?

พ่อฉันไปอเมริกาแล้ว!

“พวกเขาอยู่ในที่ๆไกลมาก”

อย่างน้อยก็ 1,000 กม. ความรู้สึกของผมบอกว่าน่าจะเพิ่มได้อีก 300 กม. แต่ผมไม่ชอบนับรวมอะไรที่ไม่แน่ใจเข้าไป

“-เข้าใจล่ะ-”

จู่ๆชายหนุ่มก็มองผมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ไม่ได้กำลังคิดว่าพ่อแม่ฉันตายหรือถูกขายไปเป็นทาสอยู่ใช่ไหมนั่น?

“วันนี้เจ้ามีที่พักหรือเปล่า?”

ผมส่ายศีรษะ ถ้ามีฉันก็ไม่มานั่งจ่อมอยู่ตรงนี้หรอก

ผมเห็นสีหน้าของชายหนุ่มคนนี้ยิ่งเคร่งขรึมกว่าเดิม

“ถ้าอย่างนั้นมากับข้าไหม?”

ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าผมพูดไปว่าแม่เคยบอกว่าห้ามตามคนแปลกหน้า สีหน้าของเขาคงยิ่งแย่กว่าเดิม ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดว่าชายคนนี้อาจพยายามเอาอวัยวะผมไปขายหรืออะไรแบบนี้นะ แต่ชายคนนี้ดูหลอกง่ายเกินกว่าจะทำเรื่องอย่างนั้น

แน่นอน เราไม่สามารถตัดสินคนจากรูปร่างหน้าตาภายนอก แต่ผมก็มั่นใจว่าถ้าเขาพยายามทำอะไรกับผม ผมสามารถทำให้เขาเสียใจไปชั่วชีวิต

“ข้าไม่ใช่คนไม่ดี ข้าฝึกฝนเพื่อเป็นอัศวิน ไม่มีทางทำผิดหลักอัศวิน”

เขาเริ่มแก้ตัวเหมือนอ่านใจผมออกว่ากำลังระแวง แทนที่จะโกรธที่ถูกมองอย่างไม่ไว้ใจ เขากลับมองมาด้วยความเห็นใจเต็มเปี่ยม เหมือนกำลังสงสารที่ผมไม่เชื่อใจคนและกำลังสงสัยว่าผมต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายอะไรมาจึงกลายเป็นแบบนี้

ไม่ใช่ การเข้าหาคนอื่นแบบนี้แล้วมาหวังให้คนอื่นไว้ใจต่างหากที่ไม่มีเหตุผล ดูเหมือนชายคนนั้นจะคิดแบบนั้นไม่ได้

เฮ้อ การยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนี้จะเหนื่อยได้ แต่ผมกำลังอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะผมก็ไม่มีเงินเหมือนกัน

“หืม?”

เขามองผมด้วยดวงตาซื่อตรง

อาจจะชั่วไปสักหน่อยที่คิดแบบนี้ แต่เขาเหมือนคนที่เหมาะกับการใช้ประโยชน์ชั่วคราวแล้วทิ้ง

เอาล่ะ ตัดสินใจได้แล้ว!

ถ้าเขาพยายามทำร้ายผม ผมจะทำให้เขาเสียใจไปชั่วชีวิต ถ้าเขาเป็นไอ้โง่ ผมจะรับความช่วยเหลือจากเขาสักหน่อยแล้วค่อยจากไป เหรียญทองคำขาวสักเหรียญน่าจะเพียงพอกับการตอบแทน

เมื่อผมพยักหน้า เขาก็ยื่นมือให้

“ข้า ลิสบอน วอน คาร์เตอร์ เพื่อนๆเรียกข้าว่าลิส”

ชื่อเล่นเหมือนผู้หญิงเลย

อืม... ลิสบอน วอน

เอาล่ะ! จากนี้ไปชื่อเล่นของเขาคือป่องป่อง

ผมจับมือลิสบอนลุกขึ้นพลางแนะนำตัว “เดน มาร์ค”

มันเป็นชื่อที่ทำให้ผมนึกถึงกางเขนสีขาวบนผืนธงสีแดง แต่เป็นชื่อปลอมที่ดีเพราะเป็นชื่อที่ใช้กันทั่วไปทั้งชื่อและนามสกุล เพื่อนและคนในครอบครัวก็เรียกผมว่าเดนด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นชื่อที่คุ้นเคย

“โอเค เดน ข้าพักที่โรงแรมตรงนั้น วันนี้นอนที่นั่นกันเถอะ”

ลิสบอนจับมือผมและดึงไปทางโรงแรม

มันเป็นช่วงอาหารมื้อค่ำ โรงอาหารในโรงแรมจึงเต็มไปด้วยผู้คน

“ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม?”

ไม่รอให้ผมตอบ ลิสบอนลากผมไปทางโต๊ะที่มีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อน

“ขอแนะนำนะ... คนนี้เป็นน้องสาวของข้า อลิซ”

เด็กสาวเป็นน้องสาวของเขา เมื่อมองดีๆแล้วก็หน้าคล้ายกัน

“พี่? พามาอีกคนแล้วเหรอ?”

เสียงร้องของอลิซทำให้ผมได้ทราบว่าชายคนนี้เป็นไอ้โง่จริงๆด้วย





สารบัญ                                        บทที่ 16


วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ชีวิตข้าฯ - บทที่ 14

บทที่ 14 เดินทางสู่เมืองหลวง (1)


เมื่อหนีออกจากบ้านได้สำเร็จ ผมบินหนีไปให้เร็วที่สุดเผื่อว่าหน่วยไล่ตามจะยังตามผมอยู่ หลังจากอยู่บนฟ้าได้สองชั่วโมงก็นึกได้ว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองไปทางไหน

ผมกำลังบินไปทางตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นทิศทางของเมืองหลวง แต่เพราะไม่มีแผนที่และไม่เคยบินอย่างอิสระขนาดนี้มาก่อน ผมจึงไม่แน่ใจว่ากำลังบินเร็วขนาดไหนและมาไกลเท่าไหร่แล้ว เท่าที่รู้คือมันเร็วกว่าการวิ่งมาก ดังนั้นตอนนี้ผมจึงตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ไม่มีอะไรมาวัดความเร็ว ไม่มีแผนที่ใช้ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ไหน

ผมมองไปมั่วๆ โชคดีที่มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ผมลงพื้นและมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน

มีกลุ่มยามเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขาใส่เกราะหนัง แผ่นเหล็กปิดจุดสำคัญของร่างกายและศีรษะสวมหมวกเกราะ

ปกติแล้วคนจะจินตนาการว่าทหารในยุคกลางจะสวมเกราะเหล็กเต็มตัว แต่เกราะแบบนั้นมีแต่อัศวินที่ใส่เนื่องจากปริมาณเหล็กจำนวนมากที่ต้องใช้ตีมันขึ้นมา ในความเป็นจริง เกราะที่พวกยามกำลังสวมอยู่นี้เป็นเกราะที่ดีที่สุดสำหรับทหารทั่วไป

“หยุด!”

ผมมองรอบๆหลังจากทหารยื่นหอกมาปิดทางเข้าหมู่บ้าน แต่ตรงนี้ก็มีเพียงผมคนเดียว

พวกเขาพยักหน้าเมื่อผมชี้ตัวเอง

“อะไรเหรอ?”

ทหารชี้ไปทางซ้ายของเอวผม ดาบเล่มหนึ่งแขวนตรงนั้น

“โอ๊ะ ปัญหาอยู่ที่อาวุธเหรอ?”

“ใช่ เจ้าต้องแสดงใบอนุญาตพกอาวุธก่อน”

อาจเพราะชุดที่ผมสวมอยู่ดูไม่แพงหรือหน้าเด็ก พวกทหารจึงพูดอย่างไม่นอบน้อม แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนี้

“ข้าไม่มีของแบบนั้น”

โชคร้ายที่ผมไม่มีใบอนุญาตพกอาวุธ

ถ้าเป็นในนิยาย เราพกอาวุธแบบนี้ไปมาได้ง่ายดาย

“ไม่มี? งั้นเจ้าได้ดาบนั่นมาจากไหน?”

“อะไรนะ?”

“ข้าถามว่าดาบมาจากไหน เขาห้ามขายดาบให้คนที่ไม่มีใบอนุญาตพกปืน มันผิดกฎหมาย”

ไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้จะมีกฎหมายที่ทันสมัย เน้นปฏิบัติจริง และไม่สะดวกแบบนี้ ผมดูถูกจักรวรรดิหน่อยๆเพราะระบบศักดินาของมัน แต่ผิดคาดมันดูเหมือนจะเป็นประเทศที่มีกฎหมายบังคับใช้

จะว่าไป ต่อให้เป็นยุคกลางในโลกที่ผมอยู่เมื่อชาติก่อน ผู้ปกครองตัวจริงคงไม่ยอมให้คนพกอาวุธอย่างไร้ข้อจำกัด แน่นอนว่าคนจะทำตามกฎหมายพวกนั้นหรือไม่มันอีกเรื่อง

“ข้าก็ไม่รู้ ข้าได้มันมาจากพ่อ”

ผมโกหก ช่างเหล็กที่เก่งที่สุดของหมู่บ้านใช้เวลาหลายวันตีดาบนี้ขึ้นมา ตอนรับดาบผมได้ยินว่ามันสร้างจากแร่อดามันไทต์ มิธริลและโอริคฮัลคัม และมันมีค่าเท่าคฤหาสน์นอกหมู่บ้าน

“อ้อ งั้นเหรอ”

โชคดีว่าพวกทหารไม่ติดใจสงสัย

“ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ต้องไปเอาใบอนุญาตก่อนเข้าหมู่บ้าน เจ้าต้องมีใบอนุญาตไม่ว่าจะพกอาวุธแบบไหน”

“ข้าจะไปเอาได้จากไหน?”

“อืม เรื่องแบบนี้มีบ่อยกว่าที่คิด เลยมีเจ้าหน้าที่รับทำด้านนี้ประจำในตึกด้านหลัง แต่ป่านนี้พวกเขาคงเลิกงานแล้ว”

ผมดูนาฬิกา 5:45 น.

เจ้าหน้าที่เลิกงานเร็วขนาดนี้เลยเหรอ ฉันไปเป็นข้าราชการดีไหม?

“ถ้าพวกเขาไม่ทำงานแล้ว เจ้าก็ยังเข้าหมู่บ้านได้ถ้าทิ้งอาวุธไว้ข้างนอก เอายังไง?”

เอาไงดี?

ดาบของผมแพงมาก แต่มันฝังเวทมนตร์ที่จะกลับมาหาผมถ้าผมเรียกมัน แต่ถ้าใครรู้ราคาของดาบเล่มนี้คงกลายเป็นเรื่องวุ่นวายไม่น้อย จากนี้ไปผมควรเก็บมันไว้ในกระเป๋ามิติ

ทหารหว่านล้อมเมื่อผมลังเล

“ไม่ทิ้งไว้ล่ะ? ถึงแถวนี้จะถือว่าปลอดภัยแต่ก็มีสัตว์ประหลาดออกมาบ้างนะ อีกอย่างดูสภาพเจ้าคงนอนกลางป่ามาหลายวันแล้ว ไปหาห้องพักนอนให้สบายไม่ดีกว่าเหรอ?”

ทหารดูเหมือนจะเป็นคนดีกว่าที่คิด เอาเถอะ ผมไม่ได้กังวลอะไรเพราะผมจะหนีเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าเกิดมีปัญหา

“เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน”

“ดีแล้ว ข้าคงรู้สึกไม่ดีถ้าต้องไล่คนอายุน้อยอย่างเจ้าออกไป ฮ่าๆ” ทหารยิ้มอย่างใจดี

ถึงเขาบอกว่าผมอายุน้อย แต่ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้ารวมอายุชาติก่อนด้วยก็เกิน 40 ปีแล้ว

“งั้นขอดูบัตรประชาชนหน่อย?”

บัตรประชาชน? ฉันมีไหมหว่า?

“ทำไม? เจ้าไม่มีบัตรประชาชนเหรอ? ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เหรอ?”

ทหารมีสีหน้ากลุ้มใจ

ดูเหมือนผมจะเข้าหมู่บ้านไม่ได้ถ้าไม่มีบัตรประชาชน มาคิดดูแล้ว ไม่กี่เดือนก่อนเฮสเทียให้บัตรอะไรสักอย่างกับผมและบอกว่าพวกมันเป็นบัตรใช้ยืนยันตัวตนของจักรวรรดิกับสาธารณรัฐ จำได้ว่าตอนนั้นผมคิดอยู่ว่ามันไม่เหมือนกับที่คิดไว้

“ข้ามี เดี๋ยวนะ”

ผมดึงบัตรประชาชนออกมาจากกระเป๋ามิติโดยทำท่าเหมือนควานหาในกระเป๋า ผมใช้เวทมนตร์เปลี่ยนให้เหมือนมาจากเมืองอื่น เผื่อว่าคนจากหมู่บ้านจะมาตามหาตัวผมถึงที่นี่

สีหน้าทหารแข็งค้างเมื่อเห็นบัตรของผม

“เจ้าเป็นขุนนางเหรอ?”

ทหารมีปฏิกิริยาที่ผมคาดไม่ถึง

บัตรของคนทั่วไปกับขุนนางไม่เหมือนกันเหรอ?

“ใช่”

ผมตอบเหมือนก็แน่อยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้โกหกนะ

เพราะว่าลุงเป็นนายพลของกองทัพจักรวรรดิ ผมในฐานะคนในครอบครัวของเขาก็เป็นขุนนางด้วย

“ขออภัยที่เสียมารยาท ท่านเข้าไปได้เลยครับ”

ท่าทางของทหารเปลี่ยนไป 180 องศา เอ่อ ผมว่ามันก็ไม่เสียหายอะไร...

“อา แล้วดาบ-”

“เข้าไปได้เลยครับ ขุนนางพกอาวุธได้อยู่แล้ว”

เรอะ? บรรดาศักดิ์จงเจริญ!

“งั้นข้าไปล่ะนะ สวัสดี”

ผมโบกมือลา ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าบัตรประชาชนของผมมอบให้แต่ขุนนางระดับเคานต์ขึ้นไป

เรื่องที่ผมได้รู้ความจริงข้อนี้ภายหลังและขวนขวายหาทางปลอมบัตรให้เป็นของขุนนางระดับล่างเพื่อจะได้เป็นข้าราชการนั้นขอยกไปเล่าวันหลัง

***

ใจกลางเมืองหลวงของจักรวรรดิ บ้านของขุนนางมากกว่าร้อยชีวิต เหยี่ยวตัวใหญ่ตัวหนึ่งบินเข้าไปในบ้านพักแห่งหนึ่ง หลอดใส่จดหมายติดอยู่ที่ขาของมัน

บลัดดี้ เบลด เจ้าของบ้านพักและนายพลของกองทัพแห่งจักรวรรดิ เปิดจดหมายที่ส่งตรงจากบ้านเกิดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย

ครึ่งปีที่ผ่านมา เขาใช้เวลาไปกับการปกป้องชายแดนที่ติดกับเขตแดนปีศาจ จดหมายต้องใช้เวลานานกว่าจะส่งมาถึงเขา แต่ทันทีที่มาถึงบ้าน เขาก็ได้จดหมายทันที

เพื่อทำหน้าที่ปกป้องชายแดนแทนบลัดดี้ นายพลจากเผ่ามังกรต้องไปแทนที่เขา แต่บลัดดี้ยังดีใจ

อีกครึ่งปี นายพลคนนั้นจะเปลี่ยนหน้าที่ของเธอกับนายพลจากเผ่าผีเสื้อ อีกหนึ่งปีจากนี้ บลัดดี้ต้องกลับไปที่ชายแดนปีศาจเพื่อผลัดกับนายพลจากเผ่าผีเสื้อ

จดหมายเริ่มด้วยการพูดถึงดินฟ้าอากาศตามเคย

ถึงลุงบลัดดี้

ตอนนี้เป็นฤดูที่ดอกไม้เริ่มผลิบาน

ที่โอลิมปัส กวางยังกัดกระชากคอโอเกอร์เช่นเคย เหล่าอสูรนำพาความมั่งคั่งมาให้หมู่บ้าน

เหมือนว่าตอนเขียนจดหมายนี้เฮสเทียจะมีอารมณ์ไม่ปกตินัก แต่บลัดดี้ผู้เติบโตในหมู่บ้านอดรู้สึกคิดถึงไม่ได้

แต่เขาก็ต้องตึงเครียดขึ้นเมื่ออ่านจดหมายไปเรื่อยๆ

วันก่อน พ่อเลือกผู้สืบทอดขึ้นมา โอ๊ะ หากท่านกังวล ท่านพ่อยังแข็งแรงดีดังนั้นอย่าเป็นห่วงไปเลยค่ะ

ก่อนที่ข้าจะอธิบายว่าทำไมท่านจึงประกาศตัวผู้สืบทอดเร็วนัก ขอบอกก่อนว่าเดนเบอร์ก เบลดเป็นผู้ถูกเลือก

เดนเบอร์กถูกเลือกเพราะ ในขั้นตอนการอบรมสั่งสอนแบบเฉพาะตัวของพ่อ เขาล้มมังกรด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้พ่อช่วย

หากเป็นคนอื่นบอกข้าอย่างนั้น ข้าคงคิดว่าเป็นเรื่องโกหก แต่เพราะเป็นพ่อบอกข้าเองข้าก็ได้แต่ต้องเชื่อ

เอาเป็นว่า พ่อตั้งใจให้เดนเบอร์กเป็นผู้สืบทอด แต่วันก่อนที่เดนเบอร์กจะเข้าพิธีเป็นผู้ใหญ่ เขาบอกพ่อว่าอยากจะไปทำงานในเมืองหลวง

พ่อจึงต้องบอกเขาว่าตั้งใจให้เดนเบอร์กเป็นผู้สืบทอด

เดนเบอร์กยอมรับ และตอนทานอาหารเย็นด้วยกันวันนั้น พ่อบอกเรื่องนี้กับทุกคน

ข้าไม่เคยสนใจตำแหน่งนั้นอยู่แล้วเพราะร่างกายอ่อนแอ เลชาก็ไม่เช่นกันเพราะเธอเลือกทุ่มเทไปที่เวทมนตร์ไม่ใช่วรยุทธ์

กาเวนข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าคิดว่ากัลลาฮาดจะคัดค้านเสียอีก แต่เขากลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง อาจเพราะกลัวเอกสารกองโตของพ่อ

อย่างน้อยก็ข้าคนหนึ่ง ที่นึกภาพกัลลาฮาดจมอยู่กับกองเอกสารไม่ออก

ด้วยเหตุนี้เราจึงแสดงความยินดีกับเดนเบอร์ก และวันต่อมา ระหว่างพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของเดนเบอร์ก พ่อเรียกประชุมผู้เฒ่าและบอกว่าเดนเบอร์กเป็นผู้สืบทอดของเขา

จากนั้นเรากำลังจะเริ่มงานฉลอง แต่พบว่าเดนเบอร์กทิ้งจดหมายไว้และหนีไปแล้ว

เราส่งหน่วยไล่ตาม 1,500 นายไปจับเขา แต่ไล่ล่าอยู่ 3 วันเขาก็หลบหนีไปได้สำเร็จ

ตามที่ท่านรู้ เดนเบอร์กเป็นนักเวทที่เก่งกาจมาก

ในฐานะนักเวทที่สามารถสังหารมังกรได้ในป่าโอลิมปัส เราตัดสินว่านอกจากพ่อก็ไม่มีใครจับเขาได้

แต่เพราะเรื่องที่พ่อก่อขึ้นสมัยท่านยังหนุ่ม (ลุงรู้เรื่องนี้ดีกว่าข้า) เขาไม่อาจออกจากป่าโดยไม่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศได้

ข้าอยากให้ลุงร่วมมือในการจับตัวเดนเบอร์ก ตอนนี้เขาควรจะกำลังมุ่งหน้าไปเมืองหลวง

หากท่านเจอเขา บอกข้าด้วยนะคะ

จากหลานผู้น่ารักของท่าน

เฮสเทีย

บลัดดี้หน้าเครียดหลังอ่านจดหมายจบ

ถ้าเรื่องที่เดนเบอร์กล่ามังกรตอนอายุสิบสองเป็นเรื่องจริง เขาย่อมเหมาะสมกับฐานะผู้สืบทอดของดูมสโตน

ถ้าไม่ใช่คนมีความสามารถขนาดนี้แล้วใครเล่าจะเป็นผู้นำของเผ่ากาแห่งโอลิมปัส?

แต่คนแบบนั้นหนีไป?

สัตว์ประหลาดที่ใช้เวทมนตร์ฆ่ามังกรในป่านั่นได้น่ะนะ?


สารบัญ                                  บทที่ 15





สรุปตอนที่ 1-13 ในจดหมายของเฮสเทีย 

ตอนที่ 12 เราแปลเลชาว่าเป็นน้องสาวของเดนเบอร์ก แปลผิดนะคะ เลชาเป็นพี่สาวเดนเบอร์ก จนตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าเฮสเทียลูกสาวคนโตกับกัลลาฮาดลูกชายคนโตใครเกิดก่อน 55... เราก็แปลโดยเดาว่ากัลลาฮาดเป็นลูกคนแรก กาเวนคนที่สอง เฮสเทียคนที่สามแล้วก็เลชาคนที่สี่ค่ะ