วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 177


บทที่ 177 – ป้องกัน (1)

ประตูปิดเมื่อวูจินและเมโลดี้เข้าไปในสิ่งก่อสร้าง พวกเขาถูกตัดขาดจากภายนอกโดยสิ้นเชิง
เขาได้ยินเสียงวิ้งๆในหูและรู้สึกปวดศีรษะ วูจินขมวดคิ้วนวดขมับ
“อะไรวะ?”
เขารู้สึกถึงอันตรายที่บอกไม่ได้ และเกิดความรู้สึกระแวงรอบตัวตามสัญชาติญาณ เขามองรอบๆแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยน
มีทางเดินสะอาด มีรูที่มีบันไดให้ปีนลงไป มันเป็นของที่เห็นในยานอวกาศทั่วไป
ไม่ใช่ภายนอกที่เปลี่ยน แต่เป็นบางอย่างข้างใน
“...”
เขาไม่รู้สึกถึงพลังงานเวทเลย
“แรมสัน”
“...”
วูจินเรียก แต่ไม่รู้สึกถึงตัวตนของอสูรรับใช้แรมสันแม้แต่น้อย
“โดลเซ! เจนิส!
“...”
เสียงของเขาไปไม่ถึงเหล่าอสูร เสียงเพียงสะท้อนกลับมาในที่นี้
“คุณจะไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงของเทพีอาเรีย”
“...”
วูจินหันไปเห็นพลังเวทอ่อนโยนรอบตัวเมโลดี้ เขารู้ว่าเมโลดี้มีพลังเวทเต็มเปี่ยมเพราะมันแสดงตัวตนเป็นแสงรอบตัวเธอ
“น่าสนใจ”
นี่คือมิติเฉพาะของอาเรียหรือ?
นี่เป็นครั้แรกที่วูจินมาวิหารเทพ เขาจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิหารนัก
เขาได้แต่เดา
ไม่ว่าจะเป็นโลกหรืออัลเฟน เขาไม่เคยอยู่ห่างจากอสูรของเขาขนาดนี้
มีครั้งหนึ่งสิ
ตอนที่เลเวลของเขาถูกเปลี่ยนกลับไปที่1
ตอนที่เขายังไม่ผ่านเงื่อนไข อสูรของเขาถูกผนึกไว้
ตอนนี้ก็ยังมีรงรง เขายังเจอมันไม่ได้จนกว่าเลเวล 90
“เธอมาที่นี่เพื่ออะไรก็ไปทำซะ”
“แล้วคุณ...”
“ฉันก็จะทำเรื่องที่ฉันมาทำ”
“...”
ผู้ไม่ตายมีธุระอะไรที่วิหารอาเรีย?
เมโลดี้ยืนนิ่งดวงตามีความกังวล วูจินพยักหน้าไปยังทางเข้าด้านล่าง
“ไป”
“ฉันจะมาหาคุณในอีกไม่นานค่ะ”
เมโลดี้ตามพลังเลือนรางที่เหมือนกำลังเรียกเธออยู่ไป
เมื่อเมโลดี้ไปแล้ว วูจินมองรอบๆภายในวิหาร
มองข้างนอก สิ่งก่อสร้างดูเป็นเหลี่ยมเป็นมุม แต่ที่ว่างข้างในไม่ใหญ่ขนาดนั้น
ดูเหมือนเขาต้องลงรูกลางห้อง
เมื่อจับบันได เขาก็พบว่ามันเย็นเป็นน้ำแข็ง
ตึง ตึง
ทุกครั้งที่เขาไต่ลงบันไดไป เสียงดังขึ้นเหมือนใครกำลังเอาไหล่กระแทกกำแพง มันเป็นความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่ง
ตึก
หลังจากไต่ลงมาเป็นเวลานาน เขามาถึงพื้นที่โล่งว่าง
หลุมยังลึกลงไปอีก วูจินสามารถเห็นศีรษะของเมโลดี้ขณะเธอกำลังไต่บันไดลึกลงไป
ดูเหมือนว่าที่หมายของเธอยังอยู่อีกลึกกว่ามาก
วูจินตัดสินใจหยุดตรงนี้ และเริ่มคลำหากำแพง
มือเขาไม่โดนสวิทช์อะไร แต่เกิดแสงสว่างในห้อง มือเขายกค้าง วูจินกำมือแล้วมองไปรอบๆ
“กว้างแฮะ”
“มันใช่ยานอวกาศแน่เหรอ?”
วูจินครอบครองอาณาเขตมิติ เขาเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดและไอเทมมหัศจรรย์จากมิติหลากหลาย เขาไม่ประหลาดใจนักที่เห็นสิ่งก่อสร้างที่เหมือนยานอวกาศบนอัลเฟน
ไม่มีเครื่องยืนยันว่าของแบบนี้เป็นของโลก
อย่างเดียวที่ทำให้เขาสงสัยคือเรื่องที่มันเป็นวิหารของอาเรีย
วูจินมองรอบๆแล้วขยับไปทางโต๊ะตัวหนึ่ง เขายื่นมือออก
วิ้ง
จอภาพโผล่ขึ้นมาบนโต๊ะ วูจินยิ้ม
“น่าสนใจ”
สัญลักษณ์และตัวอักษรที่อ่านไม่ออกปรากฏบนหน้าจอสัมผัส
มันไม่ใช่ภาษาเกาหลีหรืออังกฤษ เขาอ่านไม่ออก แต่มันเป็นอินเตอร์เฟสที่คุ้นเคย
“มันคือคอมพิวเตอร์...”
ในบรรดาความรู้สึกที่เขาเคยรู้สึก 20 ปีบนอัลเฟน ที่เขารู้สึกอยู่ในขณะพิเศษสุด
เขาไม่รู้ว่านี่เกี่ยวข้องกับโลกหรือไม่ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ?
นี่คือสิ่งเชื่อมต่อระหว่างโลกกับอัลเฟนหรือ? หรือเทคโนโลยีปัจจุบันของโลกถูกสร้างขึ้นโดยคนในอดีต? หรือนี่เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโบราณของอัลเฟน?
วูจินแตะหน้าจอสัมผัสมั่วๆ
เสียงเตือนดังไม่หยุดเหมือนเกิดเหตุขัดข้อง แต่เขาไม่หยุดนิ้ว
“พังมันเลยดีไหม?”
เมื่อเขาตัดสินใจจะทำตามนั้น โต๊ะฉายภาพโฮโลกราฟฟิคของร่างหนึ่งขึ้นมา
“อะไร? เธอฟังอยู่ตลอดเลยเหรอ?”
วูจินมองผู้หญิงที่เขารู้จัก เขามีสีหน้างุนงง
[ไม่ได้เจอกันนาน]
“นี่เป็นครั้งที่สองที่เจอกัน”
วูจินคิดถึงตอนที่เขาเจออาเรียครั้งแรก
“นี่คือความจริง? ฝัน? หรือแค่ภาพโฮโลแกรม?”
[มันสำคัญนักเหรอที่ต้องตัดสินว่าอะไรคือความจริง?]
“อืม ฉันไม่รู้ว่ามันสำคัญหรือเปล่า”
ที่สำคัญคือต้องตัดสินว่าสิ่งนี้มีเจตนาดีหรือไม่ แต่เขามีเรื่องอื่นให้ต้องกังวลมากกว่า
สำหรับวูจินตอนนี้ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“เธอคืออะไร?”
[ข้าคือเทพีแห่งการทำนาย พวกเขาเรียกข้าว่าอาเรีย]
“เธอเป็นพวกโปรแกรมทำนายเหรอ?”
[ข้าไม่ทราบ]
“เธอทำให้ฉันปวดหัว”
วูจินกดขมับ
“เอาอย่างนี้ ถ้าฉันถามคำถาม เธอจะตอบไหม? หรือจะพูดวกไปวนมาแบบคราวที่แล้วอีก?”
มันเป็นแบบนั้นตอนเขาเจออาเรียครั้งแรก
เขาไม่รู้ว่ากำลังฝันหรืออยู่ในมิติอื่น เขาคุยกับเธอในที่ๆมีแต่เมฆหมอก และเขาไม่ชอบการคุยกันครั้งนั้นนัก
ตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนเป็นนักเรียนประถมถูกเรียกไปห้องครูใหญ่ มันเป็นประสบการณ์ที่น่าอึดอัด
เธอบอกว่าเธอเฝ้ามองเขา ชมเขาและบอกให้ขยันกว่าเดิม
“แปลว่าเธอพาฉันไปที่ๆเธออยู่ตามใจชอบแบบครั้งก่อนไม่ได้แล้ว?”
วูจินยิ้มพลางมองรอบโต๊ะ
[…]
“ตอบฉันจะดีกว่า ก่อนที่ฉันจะทำลายทุกอย่างในนี้”
[ก็ได้ แต่ว่า เจ้าไม่มีเวลาเหลือให้ถามคำถามนัก]
“รหัสคืออะไร?”
[มันคือสิ่งที่ทุกคนมี เจ้ามีรหัสสู่โลก มันเหมือนสิ่งยืนยันตัวตนของคนที่อยู่บนดาวดวงหนึ่ง คล้ายกับสัญชาติ]
“...เป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงเลย”
[...]
ใบหน้าวูจินเปลี่ยนเป็นดุดัน
“ลอร์ดมิติทำเรื่องวุ่นวายขนาดนี้เพราะของไม่สำคัญนั่นเหรอ?”
[พวกเขาพยายามหารหัสตัวหลัก]
“รหัสตัวหลัก?”
[ไม่ใช่รหัสที่อนุญาตให้ผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในมิตินั้น มันมอบอำนาจในการปกครอง]
“วุ่นวายชะมัด แปลว่าพวกมันอยากเป็นเทพ?”
[…]
วูจินส่ายศีรษะขณะที่อาเรียเงียบแทนคำตอบ
“ทำยังไงถึงจะได้รหัสนั่น?”
[เจ้าเดาถูกแล้ว]
ลอร์ดมิติทำอะไร? พวกมันยึดดันเจี้ยน สร้างอาณานิคมและค้นหาทั่วดวงดาว พวกมันทำลายและเข่นฆ่า...
“ฉันต้องฆ่าคนที่มีรหัส?”
[ใช่]
“เข้าใจล่ะ โลกหนึ่งมีรหัสแค่รหัสเดียว?”
[ขึ้นอยู่กับแต่ละโลก]
“อัลเฟนมีกี่อัน?”
[เรามี 5]
“อาเรีย สเกีย ลีเซีย เฮเรส คัวร์?”
[...ใช่]
อัลเฟนมีเทพและเทพีมากมาย
แต่มีไอเทมศักดิ์สิทธิ์เพียง 5 ชิ้นที่เป็นวัตถุดิบสร้างเซ็ทไอเทมทราช
“ฉันคนเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกว่านี่มันน่าขนลุก?”
[…]
“ทราช เขาเป็นรหัสเหรอ?”
[รหัสลับ มันคืออำนาจหนึ่งที่พวกเราตกลงผนึกไว้]
นี่คือคำใบ้ที่เขาไม่เคยแก้ได้ วูจินข่มใจให้สงบแล้วถาม
“ฉันจะหาผู้ประหารได้ที่ไหน?”
[...เจ้าทำได้แค่รวบรวมกุญแจบนอัลเฟน รหัสลับอยู่ที่อื่น]
คิ้ววูจินกระตุก
เขาถูกเรียกตัวจากโลกมาที่อัลเฟน
เซ็ทไอเทมทราชเป็นของเฉพาะของเนโครแมนเซอร์ มันเป็นของสำหรับเขา
“เธอจะบอกว่ามันอยู่บนโลก?”
[…]
“ตอบสิ!
[ใช่]
“รหัสลับทำอะไรได้? มันทำให้คนกลายเป็นผู้ปกครอง? เทพ?”
[...]
ร่างในโฮโลแกรมกระพริบ
[มันต่างจากสิทธิ์ในการปกครอง มันใช้ลบล้าง]
“แปลว่ามันให้สิทธิ์ในการลบล้าง”
นี่คือสิ่งที่เขาหา มันคือความสามารถของผู้ประหาร นี่คือสิ่งที่เจนิสยืนกรานว่าพวกเขาต้องหา
คำใบ้ถูกเฉลยแล้ว
คำตอบอยู่บนโลก
วูจินมีสีหน้าผ่อนคลายและกำลังจะหันจากไป แต่เสียงกริ่งดังขึ้นหยุดเขา ภาพโฮโลแกรมขยับปาก
[มีผู้แข่งขันมากมาย พวกเขาเริ่มหันมาเอาจริงกับเจ้าแล้ว]
“ฉันเป็นจุดสนใจของพวกมันมาตลอดอยู่แล้ว”
วูจินไม่สนใจแม้ว่าลอร์ดมิติทั้งหมดจะเป็นศัตรูกับเขา ต่างจากความมั่นใจของวูจิน อาเรียกังวลมาก
[มีคนมากมายพยายามแย่งประตูของเจ้าไป]
“หมายถึงอาณานิคมเหรอ? ฉันแค่ใช้อุโมงค์กลับก็ได้แล้ว”
[...เจ้าไม่มีรหัสของอัลเฟน เจ้าใช้อุโมงค์ที่นี่ไม่ได้]
“...”
นั่นมันปัญหาใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ?
“จริงอ่ะ?”
[จริง]
“...”
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมลอร์ดมิติและผู้อพยพให้ความสำคัญกับดาวบ้านเกิด
รหัสผู้อยู่อาศัย
วูจินสามารถใช้อุโมงค์กลับบนโลกได้อย่างอิสระ นั่นเพราะเขาเป็นคนของโลก
ถ้าเขาใช้อุโมงค์ไม่ได้ ทางเดียวที่เขาจะไปยังอาณาเขตของตัวเองคือผ่านประตูของดันเจี้ยนหรือของอาณานิคม
วูจินคิดถึงความลำบาก 20 ปีกว่าจะได้กลับโลก
“เมโลดี้ใกล้เสร็จแล้วยัง?”
[เธอจะขึ้นมาที่นี่ในอีกไม่นาน]
วูจินรออย่างกระวนกระวายและจู่ๆก็นึกขึ้นได้ เขาถาม
“คำพยากรณ์... หมายถึงปัญหาของฉันตอนนี้ใช่ไหม?”
[…ใช่ เพราะอย่างนี้เจ้าจึงไม่ควรเอาเวลาเดินทางมาที่นี่]
เธอบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาจะพบคำตอบ แต่สูญสิ้นหนทาง
“เฮ้อ แทนที่จะพูดให้กำกวม พูดออกมาชัดๆเลยไม่ได้เหรอ?”
[…]
วูจินส่ายศีรษะและจู่ๆก็มีแท่นกลมออกมาจากหลุมกลางห้อง เมโลดี้กำลังยืนบนนั้น
เธอใส่รัดเกล้าแวววาว วูจินยินดีที่ได้เห็นเธอ เขารีบเดินไปหา
“ไว้เจอกันใหม่”
[ขอให้โชคดี]
แท่นกลมรองรับวูจินและเมโลดี้ มันลอยขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนลิฟต์ โฮโลแกรมของอาเรียเหลือเพียงลำพังแต่ยังไม่หายไป
[...ขอให้เจ้าโชคดี]
ไม่เพียงทางเข้าอาณาเขตมิติของเขาที่ถูกโจมตี ประตูที่นำเขากลับโลกก็อยู่ในอันตรายเช่นกัน...
วูจินต้องมีโชคดีมากมายจึงจะช่วยโลกได้ ในทางตรงข้าม ความอยู่รอดของอัลเฟนเป็นสิ่งแน่นอน
อัลเฟนได้ผู้กล้าที่ถูกเรียกว่าผู้ไม่ตาย
ความโกรธเกรี้ยวของเขาจะพุ่งใส่ลอร์ดมิติที่มีประตูบนอัลเฟน
***
อาณานิคมเซารุส
บรรยากาศหนักอึ้งยิ่งกว่าหนัก ผ่านไป 10 วันแล้ว
“กองทัพฝ่ายนั้นมีมากกว่า 100,000! เราต้องตัดสินใจ!
“เราตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เราต้องปกป้องอาณานิคมและต้นไม้โลก”
กราแฮมฟังคำพูดของลาตาชาแล้วส่ายศีรษะ
“ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ กำลังพลมันต่างกันเกินไป กำแพงปราสาทไม่สามารถป้องกันเราได้ ยิ่งกว่านั้นเรายังติดต่อผู้ไม่ตายไม่ได้”
“...ถ้าเราหนีแล้วจะเป็นยังไง”
“เรายังมีชีวิตอยู่ เราสามารถคิดแผนใหม่ได้เสมอ”
“ถ้าผู้ไม่ตายอยู่ที่นี่...”
ถ้าต้องการใช้ข้อได้เปรียบเฉพาะของเมืองอาณานิคม การเติมจำนวนกำลังพลได้เรื่อยๆ เจ้าของต้องอยู่ใช้แต้มที่นี่
“...”
ลาตาชาหันไปมองต้นไม้โลก
มารดา...
เจมินที่นั่งเงียบตรงมุมหนึ่งลุกพรวด เขาตะโกน
“ครับพี่!
เขาตื่นเต้นจนพูดคำที่ใช้ติดต่อในใจออกมา แน่นอน ทุกคนหันไปมองเจมิน
เจมินหน้าแดงพลางสนทนาในใจกับวูจิน หลังจากนั้นเขาถ่ายทอดข้อความให้ทุกคนในที่นี้ฟัง
“ผมติดต่อเขาได้แล้ว! เขากำลังมาที่นี่”
“เฮ้อ ลูกพี่ทำให้พวกเรากังวลแทบแย่”
“เฮ้อ...”
ซุงกูบ่นพึม ลาตาชาถอนหายใจและภาวนา ผู้ไม่ตายสังหารบิดาของเธอแต่เธอกลับดีใจที่เขากำลังกลับมา โชคชะตาช่างเป็นสิ่งไม่แน่นอน
“เขาบอกว่าต่อให้เดินทางเร็วที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์...”
เขาอยู่ไกลขนาดนั้น คนในนี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทัวริคก้าวออกมาควบคุมสถานการณ์
เป็นข่าวไม่ดีนัก แต่ตอนนี้พวกเขามีความหวังแล้ว
“พวกเรามาปกป้องอาณานิคมให้ได้หนึ่งสัปดาห์เถอะ”
พวกเขาต้องปกป้องอาณานิคมจนกว่าคังวูจินจะกลับมา เพื่อสหพันธ์และเพื่อการร่วมมือระหว่างอลันดาล


สารบัญ                                       บทที่ 178

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 176

บทที่ 176 – วิหารอาเรีย (2)

สัญลักษณ์ขนาดใหญ่เติบโตเหนือภูเขาเซารุส

ลาตาชา ลอร์ดแห่งเอลฟ์นอนใต้ต้นไม้โลก เธอมีชื่อที่เป็นที่รู้จักมากกว่าว่าศรเงิน

เธอมองแสงอาทิตย์ลอดผ่านใบไม้ลงมาถึงตัวเธอ รู้สึกเหมือนอยู่ในสวรรค์

เธอนอนนิ่งสัมผัสลมหายใจของต้นไม้ ระลึกถึงคืนวันที่ป่าร้องเพลงให้บรรพบุรุษของเธอฟัง

เธอไม่เคยโชคดีได้อยู่ในช่วงเวลาสงบสุขเช่นนั้น แต่มันอาจเป็นสัญชาติญาณที่อยู่ในสายเลือด

“ทำอะไรอยู่ครับ?”

เสียงของโดเจมินดังขัดจังหวะความคิดถึงอดีตของเธอ

“อา เคาท์เจมิน”

เขาเป็นคนของโลกที่เปลี่ยนเป็นลอร์ดแวมไพร์ เขามีฐานะที่แปลกและอันตรายเพราะเป็นน้องชายของผู้หญิงของผู้ไม่ตาย

“หลับอยู่เหรอ?”

“เปล่า ข้ากำลังสัมผัสลมหายใจของต้นไม้โลก”

“หืม ผมนึกว่ามันเป็นแค่สัญลักษณ์ของอาณานิคมเสียอีก...”

“มันเป็นสิ่งพิเศษสำหรับข้า”

“...”

เจมินมองต้นไม้เงียบๆ ลาตาชาเป็นคนแรกที่หัวเราะก่อน เธอเห็นเจมินทำหน้าเคร่งขรึมเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ

“ฮึๆ แล้วเจ้ามาหาข้าทำไม?”

“อ๊ะ ทัวริคกำลังเรียกผู้กล้าทุกคน”

“เข้าใจแล้ว”

พวกเขาเดินไปทางปราสาทสร้างใกล้ต้นไม้โลก ปราสาทที่ผู้ไม่ตายสร้างนี้ใหญ่โต แม้ผู้กล้า 10 คนมาอาศัยอยู่แล้วก็ยังดูว่างเปล่า

“ศรเงิน”

“มีอะไรกันหรือ?”

ลาตาชาถามเมื่อเห็นผู้กล้ามารวมกัน

ผู้กล้าแต่ละคนมีหน้าที่นำทีมของตัวเอง พวกเขาควรขยายฐานด้วยการออกไปต่อสู้กับมอนสเตอร์รอบๆภูเขาเซารุส ด้วยเหตุนี้การรวมตัวแบบนี้จึงไม่เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วัน

“ทางใต้มีมอนสเตอร์จำนวนมากกำลังรวมตัวกันที่ที่ราบเนโร”

“...นั่นเป็นเรื่องแย่ที่สุดในช่วงนี้เท่าที่ข้าเคยได้ยิน”

“มันแย่กว่านั้นอีก”

ทัวริคกางแผนที่บนโต๊ะ มันเป็นแผนที่แสดงรายละเอียดระหว่างภูเขาเซารุสกับที่ราบเนโร ระยะทางระหว่างสองที่ห่างกันใช้เวลาเดินทางราวสองสัปดาห์ อาณาจักรของมนุษย์เคยครอบครองแถบนั้น แต่ตอนนี้มันอยู่ใต้การปกครองของลอร์ดมิติชื่ออูนอน

“ไม่ใช่แค่กองทัพของอูนอน ชิราโอ ปาทู เลียและกองกองก็อยู่ที่นั่น”

ลาตาชาตาโตแทบหลุดจากเบ้าเมื่อได้ยินคำพูดของทัวริค

“พระเจ้า เจ้ากำลังจะบอกว่าลอร์ดมิติร่วมมือกัน?”

“โชคไม่ดี นั่นคือสิ่งที่กำลังเป็นอยู่”

“...”

ลอร์ดมิติไม่เคยร่วมมือกัน พวกมันแม้ไม่ใช่ศัตรูที่คอยเข่นฆ่ากันแต่ก็สู้เพื่อแย่งชิงอาณาเขต เพราะเหตุนี้สหพันธ์จึงยังรอดมาได้

ลอร์ดมิติสู้กันเอง คนของโลกเป็นเพียงเหยื่อของพวกมัน

ถ้าพวกมันร่วมมือกัน เพียงปีเดียวก็ทำลายอัลเฟนได้แล้ว

“เรื่องที่ไม่น่าเชื่อนี่เกิดขึ้นได้อย่างไร”

สหพันธ์กำลังจนมุม พวกเขากำลังรวบรวมกองกำลังที่เหลืออยู่

พวกเขาเป็นภัยคุกคามขนาดนั้นเลยเหรอ?

พวกเขาไม่น่าจะกระตุ้นความสนใจของพวกลอร์ดมิติได้

การเกิดสหพันธ์ไม่แม้แต่ทำให้ลอร์ดมิติโกชูชูหรือจูเลียลระวังตัวขึ้น ในอดีต สหพันธ์รวมตัวกันบ่อยๆโดยไม่เกิดการตอบโต้ร้ายแรงแบบนี้

“ไม่แน่ใจ ถ้าให้ข้าเดา คงเป็นเพราะคนผู้นั้นกลับมา...”

“ผู้ไม่ตาย...”

ตัวตนเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นภาระหนักของเหล่าลอร์ดมิติ

ลอร์ดมิติเริ่มร่วมมือกันเมื่อผู้ไม่ตายปรากฏตัวอีกครั้ง เหตุผลที่พวกมันร่วมมือกันเดาได้ง่ายมาก

ลอร์ดมิติเพียงคนเดียวก็เป็นศัตรูร้ายกาจแล้ว แต่พวกเขาต้องสู้กับลอร์ดมิติ 5 ตน สหพันธ์ไม่ต่างจากเปลวเทียนกลางลม

ยิ่งกว่านั้น ตัวตนที่สามารถป้องกันลมนั้นได้ก็อยู่กับเมโลดี้ กำลังมุ่งหน้าไปทางวิหารอาเรีย พวกเขาล่วงลึกผ่านทุ่งราบเนโรเข้าไปในเขตแดนของศัตรู

“ถ้าผู้ไม่ตายไม่อยู่ที่นี่ การปกป้องฐานทัพคงยากเกินไป เราต้องหาที่ซ่อนใหม่”

คอนทซ์ ราชาแห่งฮอนชูพูดขึ้น จอมเวทกราแฮมเห็นด้วย

“ถูกต้อง อย่างไรเสียภูเขาเซารุสก็เป็นที่ๆไม่เหมาะกับการป้องกันการโจมตีจากศัตรูตั้งแต่แรกแล้ว มีโอกาสที่ศัตรูจะโดดเดี่ยวพวกเรา เราต้องย้ายฐานก่อน”

“ไม่นะ คุณจะทิ้งอาณานิคมไปง่ายๆได้ยังไง?”

ซุงกูร้อง

อาณานิคมไม่ใช่แค่ที่ๆพวกเขาสามารถซื้อไอเทมได้ สำหรับคนจากโลกที่นี่คือประตูกลับโลกของพวกเขา

“ราชาธาตุไฟพูดถูก อีกอย่าง ข้าจะไม่ทิ้งต้นไม้โลก”

“ผมเป็นราชาธาตุไฟเหรอ...”

กราแฮมพยายามหว่านล้อมลาตาชา

“ลอร์ดเอลฟ์ เรียกมันว่าต้นไม้โลกอาจจะเกินไป”

“ไม่ มันคือต้นไม้โลก”

“เอ่อ”

ลอร์ดแห่งเอลฟ์คนปัจจุบันบอกว่ามันคือต้นไม้โลก นักเวทชาวมนุษย์จะเถียงได้อย่างไร? แต่การอยู่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องฉลาด พวกเขาจะถูกฆ่า

“พวกเราทำอะไรได้บ้าง? อูนอนเป็นนายพลตำแหน่งสูง เขาครอบครองบัลลังก์ที่ 36”

“...เขาสร้างเมืองนี้ขึ้น เขาจะปกป้องมัน”

เธอไม่อยากเสียศักดิ์ศรีด้วยการพึ่งพิงผู้ไม่ตาย แต่เธอพูดคำนั้นออกมาเบาๆ เจมินที่ยืนฟังเงียบๆเดินออกมา

“ผมติดต่อเขาได้”

“โอ้!”

โดเจมินเป็นเสนาธิการของอลันดาล เขาสามารถเชื่อมต่อความคิดของเขากับลอร์ดมิติคังวูจินได้

“เขาสามารถใช้อุโมงค์มาที่นี่ได้ทันทีถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน”

“นั่นเป็นข่าวดี”

บรรยากาศหดหู่ดีขึ้นทันที ผู้ไม่ตายเป็นคนๆเดียว แต่ตัวตนของเขาเพียงพอจะสลายความกังวลว่าจะแพ้
ทุกคนเชื่อมั่นว่าผู้ไม่ตายสามารถจัดการศัตรูเหล่านั้นได้

“รายงานปัญหาของเราให้เขาฟังด้วยเถอะ”

กราแฮมเรียกร้อง โดเจมินรีบติดต่อกับวูจิน

[พี่วูจิน]

[…]

ทุกคนมองเจมินอย่างมีความหวัง เจมินเรียกวูจินแต่ไม่มีคำตอบรับ

เจมินเลียริมฝีปากเมื่อความคาดหวังเปลี่ยนเป็นกังขา

‘ถ้าอยู่คนละมิติจะติดต่อไม่ได้หรือเปล่านะ?’

โดเจมินเป็นเสนาธิการก็จริง แต่เขาไม่รู้จักพลังและความสามารถในการติดต่อสื่อสารของลอร์ดมิตินัก
เขาเกาศีรษะพลางพูด

“ผมคิดว่าเขากำลังเคลียร์ดันเจี้ยนอยู่”

“หืม ท่านติดต่อกับเขาไม่ได้ถ้าเขาอยู่ในดันเจี้ยน?”

“น่าจะอย่างนั้น”

บรรยากาศเปลี่ยนเป็นอึดอัดเหมือนพวกเขาไม่เชื่อ ทัวริคเป็นคนออกหน้าพูดเพื่อคลี่คลายความอึดอัด

ผู้ไม่ตายและสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่ พระของสเกียกลายเป็นเสาหลักทางจิตใจของคนที่นี่

“ข้ารู้ว่ามีบ้างที่ไม่เห็นด้วยที่มาตั้งฐานทัพตรงนี้ แต่สุดท้ายพวกเราก็ยินยอม”

“...”

“เราตั้งฐานทัพที่นี่ เพราะมันเป็นที่ๆเหมาะกับการตอบโต้ เราไม่อาจหนีตั้งแต่แรกเห็นศัตรูมารวมกัน”

“ท่านพูดถูก”

ผู้นำเผ่าออร์ค ครูเกอร์เงียบมาตลอดตั้งแต่ลาตาชาพูด ตอนนี้เขาชูกำปั้นขึ้น

“ข้าไม่อยากตายระหว่างกำลังหนี เราไม่ควรสู้เพื่อเอาตัวรอด เราต้องสู้เพื่อชัยชนะ”

พวกเขามักจะผลัดแผนการไปไว้ทีหลังเสมอ สหายร่วมรบเท่าไหร่แล้วที่ถูกพวกเขาทิ้งไว้ข้างหลังขณะหนี? บางทีนี่อาจเป็นเวลาที่พวกเขารอมาตลอด

“อลันดาลกับสหพันธ์ร่วมมือกัน ถ้าพวกเราปกป้องอาณานิคมไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะร่วมมือกัน”

ราชาคนแคระ ราอูล พูดขึ้นบ้าง

“สู้เถอะ! ถ้าเราเร่งมือรวบรวมกำลังและสร้างฐานทัพเสร็จ ทำไมเราจะปกป้องที่นี่ไม่ได้”

เมื่อทุกคนเห็นตรงกัน ทัวริคก็ประกาศ

“พวกเราเตรียมตัวป้องกันอาณานิคมเถอะ”

“โอ้!”

จะไม่มีการหนีอีกต่อไป ในเมื่อพวกเขาได้ดาบที่สามารถใช้สู้ พวกเขาจะไม่ปล่อยมันไปแม้จะหนักแค่ไหนก็ตาม

พวกเขาแค่ต้องรอจนกว่าดาบคมอันตรายชื่อว่าผู้ไม่ตายกลับมา

***

ดินเหนียวหนืดจนชวนให้สงสัยว่าใต้เท้าพวกเขาเป็นดินจริงๆเหรอ มันให้ความรู้สึกไม่สบาย

ต้นไม้ใหญ่เน่า เห็ดราประหลาดปกคลุมกิ่งไม้

อากาศเป็นพิษส่งกลิ่นเหม็น ในป่าไม่มีสิ่งมีชีวิต

วูจินบ่น

“ทำไมเจ๊มาสร้างวิหารที่นี่นะ?”

เมโลดี้ที่ได้รับการปกป้องจากคำอวยพรของเทพีตอบ

“เทพีไม่หลบหนีความลำบาก ท่านเลือกมาอยู่ในสภาพแวดล้อมทารุณเช่นนี้...”

วูจินตัดบท

“อย่ากุเรื่องหน่อยเลย”

“...ไม่ได้กุเรื่องค่ะ มันถูกเล่าต่อมา...”

“เออ ช่างเถอะ เรื่องโกหกถ้ามันพูดซ้ำๆก็เป็นจริงได้นี่นะ”

“...”

เมโลดี้มีคำโต้เถียงเต็มไปหมด แต่เธออดกลั้นไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะวูจินเธอคงฝ่าศัตรูกลับมาที่นี่ไม่ได้

ถ้าเป็นเธอคงต้องใช้เวลาสองเดือนถึงจะเดินมาถึงที่นี่ได้ พวกเขาล้มดันเจี้ยนและอาณานิคมทุกแห่งที่อยู่ระหว่างทางแต่ยังใช้เวลาเพียงเดือนเดียว

ถ้าขี่ม้าปีศาจมาโดยไม่แวะที่ไหนเลยคงลดเวลาได้อีกครึ่งหนึ่ง

“ฉันไม่เคยได้ยินคนพูดถึงที่ย่ำแย่ขนาดนี้มาก่อน”

วูจินส่ายศีรษะขณะมองไปรอบตัว

ต้นอ้อที่ใหญ่เท่าขาคน โตสูงก่อนจะตายไป เหลือเพียงตอแห้งปกคลุมพื้น มันดูน่ากลัว

เขาเห็นซากศพของแมลงปอตัวเท่าไวเวิร์น โครงกระดูกของหมีแปดขา และต้นไม้เน่าตาย พวกมันล้วนแต่ใหญ่มาก

ถ้าเมืองๆหนึ่งถูกเปลี่ยนเป็นให้กลายเป็นยักษ์และสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ มันจะเหมือนที่นี่

“คงไม่ใช่น้ำมันนะ นี่อะไร?”

น้ำเหนียวดำนองพื้น มันดูไม่เข้ากับที่นี่เลย

“เราเกือบถึงแล้วค่ะ น่าจะเป็นตรงโน้น”

เมโลดี้ได้รับการนำทางจากเทพี เธอเดินผ่านทางป่าวงกตและมาถึงที่หมายในที่สุด

พวกเขาเดินทางผ่านป่าและพื้นดินร้อนระอุด้วยน้ำสีดำ ที่รอรับพวกเขาอยู่คือแอ่งขนาดใหญ่
มันเหมือนเป็นๆที่มีอุกกาบาตตกใส่

ใจกลางแอ่งเห็นสิ่งก่อสร้างเล็กๆแห่งหนึ่ง ถูกปกคลุมด้วยมอสสีดำ

ดูผาดๆมันเหมือนก้อนหินแหลม แต่ภาพนั้นไม่สอดคล้องกับรอบข้างอย่างประหลาด

“มันคืออะไร?”

“วิหารของเทพีอาเรียค่ะ”

“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้ถามถึงอันนั้น”

วูจินเดินลงแอ่งไปช้าๆ

พื้นร่วงลงมาทุกครั้งที่เท้าวูจินเหยียบลง พื้นดินไม่มั่นคงและหินแหลมโดนเท้าเขา

“พวกนี้มันกระดูกเหรอ?”

มันไม่ใช่หินแหลม มันคือกระดูก

เขาไม่รู้ว่ามันเป็นของสัตว์หรือคน กระดูกนับหมื่นชิ้นกลายเป็นพื้น

“...”

วูจินเดินไปเงียบๆ เมโลดี้เดินตามหลัง สีหน้าเธอกลายเป็นเคร่งเครียดเช่นกัน

“เธอเคยมาที่นี่หรือเปล่า?”

“นี่เป็นครั้งแรกค่ะ”

“นี่คือ...”

เทพีแห่งคำพยากรณ์ อาเรีย

เมโลดี้เรียกมันว่าวิหาร วูจินจึงคิดว่า...

วูจินและเมโลดี้ไปถึงใจกลางแอ่ง พวกเขายืนตรงหน้าสิ่งก่อสร้างสีดำ มันเหมือนเสาที่โค้งเหมือนเขา

“มันดูไม่สมดุลนะ?”

“...”

เมโลดี้ไม่รู้จะตอบอย่างไร เธอไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับวิหารอาเรียเช่นกัน เธอรู้สึกถึงแรงดึงจากเทพี และรู้ว่าจะมาที่นี่อย่างไรโดยสัญชาติญาณ

มอสสีดำเริ่มร่วงหลุดไป เผยกรอบเหลี่ยมเห็นได้ว่าเป็นวงกบประตู

มอสหล่นลงพื้นขณะที่ประตูเปิดออก

วูจินเงียบเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่อีกด้านของทางเข้า

“...”

“โอ เทพี”

เมื่อประตูเปิดออก พลังของเทพีจำนวนมหาศาลก็ลอยเข้ามาในตัวเมโลดี้ เมโลดี้คุกเข่าลงคำนับตรงประตู

วูจินรู้สึกขัดแย้งเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ

“มันคือยานอวกาศ”

ไม่มีคำอธิบายอื่น

ถ้าเขาอยากรู้เหตุผลทั้งหมด เขาต้องเผชิญหน้ากับมันตรงๆ

วูจินก้าวผ่านประตูไป



สารบัญ                                                บทที่ 177


วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 175

บทที่ 175 – วิหารอาเรีย (1)


มินชานมองสำรวจนักข่าวทุกคน

“ไฟบนภูเขากำลังลุกไหม้ คุณจะทำอย่างไร?”

เมื่อมินชานถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นักข่าวแถวหน้าที่ไม่ทันตั้งตัวตอบ

“เราต้องดับไฟ”

“แล้วถ้ามันไม่ใช่ไฟแต่เป็นลาวาล่ะ?”

มินชานสบตากับนักข่าวอายุน้อย

“ถ้าอย่างนั้นเราต้องหนี”

“แล้วถ้าหนีจนไม่มีที่ให้หนีแล้วล่ะ?”

“...คุณกำลังพยายามจะบอกว่าอะไร?”

“ผมกำลังบอกว่าพวกเรามีหน้าที่ต่างกัน”

มินชานตอบอย่างมั่นใจ

“เมื่ออยู่ในที่ๆเกิดไฟไหม้ เราจะแบ่งหน้าที่เป็นทีมช่วยเหลือ กับทีมดับไฟ”

“...”

“พระราชาของอลันดาลกำลังหาวิธีหยุดการเกิดดันเจี้ยนอย่างถาวร ซึ่งมันเกิดบ่อยกว่าภูเขาไฟระเบิดอีก เราควรพยายามป้องกันและอดทนกับการโจมตีจนกว่าเขาจะหยุดมันได้ไม่ใช่เหรอ?”

นักข่าวมีสีหน้าเย็นชา

“คุณจะบอกอะไร?”

“คุณไม่เข้าใจเหรอ? เดี๋ยวนี้เขาให้คนเรียนไม่จบป.6เป็นนักข่าวได้แล้วเหรอ?”

นักข่าวเมื่อได้ยินคำพูดชวนทะเลาะของมินชานก็หน้าแดง

“แค่นี้ทำไมผมจะไม่เข้าใจ? ผมถามถึงท่าทีของอลันดาล คุณยินดีจะหาวิธีที่ว่าทั้งๆที่เกาหลีกำลังจะถูกทำลายหมดเหรอ?”

มินชานยืนขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดโมโหของนักข่าว

ไม่มีอะไรน่าเกลียดไปกว่านักข่าวที่คุมสติตัวเองไม่อยู่ คนแบบนี้ไม่คู่ควรจะคุยด้วย

“ผม...คือผม...”

นักข่าวยืนขึ้นและพยายามจะแก้ตัว มินชานจ้องเขาเขม็ง

พระราชาของเขาจะพูดอย่างไรในสถานการณ์นี้ จะยอมรับคำโวยวายเห็นแก่ตัวแบบนี้ไปเรื่อยๆหรือเปล่า?

ดูเหมือนการเป็นนายกรัฐมนตรีของอลันดาลไม่ใช่งานดีนัก

“ถ้าพูดแบบนี้ยังไม่เข้าใจ ผมจะลดตัวลงพูดอย่างคุณก็ได้”

คำพูดของมินชานกระด้างจนเขาแปลกใจ และนักข่าวก็มองอย่างแปลกใจเช่นกัน

“จะคร่ำครวญก็อย่าให้มันมากนัก ชีวิตตัวเองก็หัดรับผิดชอบเอง ต่อให้พวกคุณไม่ร่ำร้องอลันดาลก็ทุ่มเททั้งหมดเพื่อช่วยโลกอยู่แล้ว”

“...!”

มินชานหันหลังแล้วเดินออกจากห้องแถลงข่าว วูซุงฮุนรีบเดินมาทางเขาแล้วกระซิบถาม

“ไปแบบนี้จะดีเหรอครับ?”

“เฮ้อ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ”

“...”

ดูเหมือนท่านนายกรัฐมนตรีจะเครียดมากแล้ว

วูซุงฮุนพยักหน้าแรงๆ ที่จะพูดก็พูดไปแล้วนี่นะ...

อีกอย่าง พวกเขามีสองสัญชาติก็จริง แต่ก็เป็นคนของอลันดาลมากกว่า

“จบการแถลงข่าวเท่านี้ครับ”

งานแถลงข่าวจบท่ามกลางเสียงดังของเหล่านักข่าว ตอนจบยิ่งวุ่นวายกว่าก่อนเปิดงาน

- อลันดาลเลือกเป็นอิสระ? แล้วความร่วมมือระหว่างเกาหลีกับอลันดาลล่ะ?

- คำขอร้องจากชาวเกาหลีถูกเมินเฉย สภาคิดถอนสัญชาติพลเมืองเกาหลีของอลันดาล

- นายกรัฐมนตรีของอลันดาลประกาศ! เขาทำงานเพื่อโลก ไม่ใช่เพื่อเกาหลี

ถึงไม่นับรวมบทความซ้ำๆที่สร้างขึ้นทุกนาทีก็ยังมีบทความใหม่เกี่ยวกับอลันดาลขึ้นมาเป็นสิบ

จุงมินชานเลิกมองหน้าจอแล้วนั่งพิงเก้าอี้

“เฮ้อ”

“คุณโอเคไหมครับ?”

มินชานกระตุกยิ้มเมื่อได้ยินวูซุงฮุนถาม

“ผมหงุดหงิดที่พวกเขาไม่เข้าใจว่าเรากำลังพยายามจะทำอะไร”

เขาอยากช่วยโลก เกาหลีสำคัญสำหรับเขา

แต่ป่ากำลังไหม้ จะต่างอะไรถ้าต้นไม้ต้นเดียวไม่ถูกเผา? ที่สุดแล้วสิ่งสำคัญกว่าคือการดับไฟ
คังวูจินทำงานหนักกว่าใครเพื่อดับไฟนี้...

“เอ่อ สำหรับพวกเราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนนี่ครับ”

“หือ?”

“ลืมที่พระราชาพูดแล้วเหรอ? ต่อไปจะไม่มีประเทศแล้ว โลกกำลังจะเป็นที่ๆศีลธรรมล่มสลาย...”

“อืม”

เขาจำได้ แต่ตอนนั้นเขาคิดว่าวูจินพูดเพื่อทำให้รู้สึกถึงความคับขัน ถ้าคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คำพูดของคังวูจินไม่เหมือนคำขู่ลอยๆแล้ว

มันอาจเป็นจริง ถ้าคนหมดความเชื่อมั่นในรัฐบาลของพวกเขาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ อาจจะไม่มีรัฐบาลต่างๆแล้วจริงๆ

ที่น่ากลัวคือเรื่องนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องในอนาคตห่างไกล

“ผมโอเคกับสภาพนิ่งแบบนี้นะ”

“คุณหมายความว่ายังไง?”

วูซุงฮุนยักไหล่

“ผมมีสิทธิ์อะไรไปพูดถึงการปกป้องมนุษยชาติ? ผมแค่รู้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีถ้าพระราชาทำงานของท่านสำเร็จ ไม่เห็นผมจะต้องทำงานเกินความสามารถตัวเองเลย”

เขาจากคนขายโทรศัพท์มาเป็นสมาชิกแรกก่อตั้งกิลด์ ตอนนี้กลายเป็นเลขานุการส่วนตัวของพระราชาผู้มีอิทธิพลไปทั่วโลก

เขาพอใจกับสถานะของตัวเองตอนนี้ ไม่รู้สึกต้องก้าวหน้าไปกว่านี้

ไม่ใช่สิ เขาถูกวางในตำแหน่งที่ตัวเองมีความสามารถไม่ถึง

เขาไม่คิดโลภมากจึงไม่กดดันอะไร เขาจะทำงานที่ทำเสมอมา ทำงานที่คังวูจินสั่งให้ดีก็พอ

วูซุงฮุนคิดแบบนี้มาตลอดจนถึงตอนนี้

“คุณนี่ช่าง...”

จุงมินชานส่ายหน้า

เขาเป็นนายกรัฐมนตรีของอลันดาล เขาไม่ปฎิเสธความรับผิดชอบและความกดดัน

“ใช่ เราแค่ต้องตามพระราชา”

“แน่นอน”

พวกเขาเป็นคนสะสางที่คังวูจินก่อเรื่องไว้เสมอ แต่คราวนี้จุงมินชานเป็นคนก่อเรื่อง...

“คุณด่าได้ถูกแล้ว ผมยังรู้สึกดีเลย”

“โฮ่ๆ”

เขารู้สึกเสียใจทีหลังที่เปลี่ยนสื่อมวลชนเป็นศัตรูโดยการพูดสิ่งไม่จำเป็นออกไป แต่เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง

“ผมรับรองเลย คุณอดทนกับนักข่าวได้ดีกว่าพระราชาของเราเป็นร้อยเท่า”

“ซุงฮุน คุณนี่... ฮะๆ”

มินชานหัวเราะ

เพราะอย่างนี้เองพระราชาจึงให้วูซุงฮุนอยู่ข้างๆ

มินชานรู้สึกเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

***

เขากำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปยังวิหารอาเรีย

วูจินขี่ชิงชิงและกำลังเขี่ยหูตัวเอง

“เอ หูฉันคันแปลกๆ”

“พักกันก่อนไหมคะ”

เมโลดี้นั่งด้านหลัง เธอจับเขาแน่นเหมือนกลัวตก

“ไม่เป็นไร”

“...”

วูจินเหลือบมองข้างหลังเมื่อไม่มีคำตอบ เมโลดี้หน้าซีด ดูเหมือนเธอจะไม่ได้พูดเพราะเป็นห่วงเขา เธออยากพัก

“...พักกันเถอะ”

วูจินหยุดชิงชิงแล้วมองรอบตัว มีเนินเล็กแห่งหนึ่งมีลำธารเล็กไหลผ่าน แต่น้ำมีกลิ่นเหม็นเหมือนมีอะไรบางอย่างตายตรงต้นน้ำจึงไม่เหมาะกับการดื่ม

“กาเกบิ ไปดูว่ามีดันเจี้ยนหรืออาณานิคมใกล้ๆไหม”

[รับทราบ]

กาเกบิปลีกตัวออกจากเงาของวูจินและเริ่มสำรวจพื้นที่รอบๆ

วูจินไม่คิดจะหลบหลีกศัตรู ถ้ามีเขาก็จะเก็บกวาดพวกมันให้หมด

วูจินเปิดคลังหวังจะเอาน้ำออกมาต้ม รวมถึงวัตถุดิบง่ายๆสำหรับทำอาหาร...

“พวกนั้นกินหมดเลย”

เจมินเป็นคนเดียวที่เขามอบสิทธิ์ดึงของออกจากคลังส่วนตัวของเขาผ่านทางคลังของมิติ ผู้รอดชีวิตจำนวนมากรวมตัวกันที่อาณานิคมของเขาและดูเหมือนอาหารและน้ำจะถูกมอบให้คนเหล่านั้น

แต่ตอนนี้เมืองอาณานิคมตั้งเสร็จแล้ว พวกเขาจะมีวิธีซื้อไอเทมจากร้านของเมืองโดยใช้บลัดสโตน ไม่จำเป็นต้องปล้นจากคลังของเขาแล้ว

“ไหน”

วูจินเปิดร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จ ซื้ออาหาร,น้ำ,เก้าอี้และโต๊ะมาวาง

“...”

เมโลดี้มองอยู่ข้างๆ วูจินพยักหน้าให้

“นั่งสิ”

“ค่ะ”

เมโลดี้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ชื่อพรจากอาเรีย

อสูรของวูจินเป็นปฏิปักษ์กับพลังของอาเรียอย่างมาก เธอจึงไม่สามารถใช้พลังได้เมื่ออยู่บนหลังม้าปีศาจ จึงมีอาการวิงเวียนจากการขี่ม้าที่ไม่คุ้นเคย

เมื่อลงจากหลังม้า เธอใช้พรจากเอเรียทันที

เมโลดี้นั่งลง

“คุณไม่ได้ใช้พลังของอาณานิคม คุณใช้พลังแห่งการสร้าง”

“อืม มันไม่ต่างกันเท่าไหร่”

ร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จคล้ายกับร้านค้ามิติแต่ต่างกันเล็กน้อย

“...เหมือนเทพ”

“หา? ฉันไม่ได้สร้างอะไรนะ ฉันแค่ซื้อมัน”

“ฉันก็เคยใช้ร้านค้าของมิติค่ะ”

“...”

เมโลดี้รู้จักร้านค้าของมิติ แม้จะสูญเสียมันไปแล้วแต่เธอเคยเป็นลอร์ดมิติ

“มันประหลาดมาก มันสามารถเลียนแบบปาฏิหาริย์ของเทพได้”

อย่างนั้นเหรอ? วูจินแค่คิดว่ามันคือไอเทมช็อป แต่ระบบที่ๆเกมไหนก็มีนี้ถูกเมโลดี้เรียกว่าปาฏิหาริย์ของเทพ

“คุณปลูกต้นไม้โลก สร้างปราสาทและบ้านเรือน สร้างขนมปังและอาหาร...”

“เธอกำลังจะบอกอะไร?”

วูจินขมวดคิ้ว

เมโลดี้ถามอย่างระวัง

“ฉันสงสัยว่าผู้ไม่ตายเป็นเทพไปแล้วหรือไม่คะ?”

“เทพ...”

วูจินดื่มน้ำหมดแก้วแล้วกัดขนมปัง

ทุกอย่างที่เขาซื้อจากร้านมิติหรือร้านแลกเปลี่ยนความสำเร็จจะกลายเป็นจริง จะมองมันเป็นศาสตร์แห่งการสร้างก็ได้ เขาจะแก้ไขความเข้าใจผิดนี้อย่างไรดี? ไม่ใช่สิ มันเป็นความเข้าใจผิดจริงๆเหรอ?

“สำหรับเธอ เทพคืออะไร?”

“...”

เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือเทพีองค์หนึ่ง คำถามนี้ง่ายเกินไป หรือมันซับซ้อนเกินไปสำหรับเธอนะ?

เมโลดี้ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ง่ายๆ ความเงียบดำเนินต่อไป

[ทางเหนือมีดันเจี้ยนแห่งหนึ่ง]

กาเกบิกลับมา วูจินลุกขึ้น

“เอาล่ะ ฉันไปเคลียร์ดันเจี้ยนก่อน เธอรอตรงนี้”

“ค่ะ”

วูจินขี่ชิงชิงจากไป เมโลดี้นั่งคิดหนักเป็นเวลานาน

คำถามที่วูจินถามไม่อาจตอบได้ง่าย สีหน้าของเมโลดี้เปลี่ยนเป็นซับซ้อน

***

เมืองอาณานิคมเซารุส

ลานฝึกที่เป็นลานจัตุรัสด้วยสร้างขึ้นตรงพื้นที่สำคัญ คนรวมกันที่ลานมองเปลวไฟ

ไฟกองใหญ่หดตัวสลับกับโหมไหม้ เหมือนไฟในเตาหลอมที่เต้นไปตามแรงเป่า

คนๆหนึ่งกำลังยืนอยู่ในเปลวไฟ

“ฮู้ว ควบคุมเจ้านี่ไม่ค่อยอยู่เลย”

ซุงกูเอียงศีรษะแล้วสร้างไฟขึ้นมาใหม่

ใช้เวลาไม่ถึง 1 วินาทีร่างเขาก็ลุกไหม้ ซุงกูเปลี่ยนร่างกายเป็นไฟ มองเหมือนร่างเขาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และหดตัวกลับมาเป็นขนาดเดิมเรื่อยๆ เขาทำแบบนี้ไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ผู้คนโดยเฉพาะเด็กๆมองอย่างสนุกสนาน บางคนพนมมือเข้าหากันเหมือนกำลังสวดภาวนา

“ทำอะไรอยู่เหรอ?”

โดเจมินผ่านมาเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังกุมมือภาวนาจึงถาม เด็กหญิงตกใจแล้วค้อมศีรษะลง

“ท่านเคาท์เจมิน”

เขาเป็นขุนนางแห่งราตรี โดเจมินรับสืบสายเลือดมาจากเคาท์และเป็นลอร์ดแห่งแวมไพร์ เขาโด่งดังในสหพันธ์เพราะพลังต่อสู้

โดเจมินและฮงซุงกูเป็นที่รู้จักในฐานะคนรับใช้ของผู้ไม่ตาย นอกจากนั้นยังมีบลังกา,เชฮีซอลและหน่วยแฟนธ่อม ผู้คนมองพวกเขาอย่างเลื่อมใส

“หนูภาวนากับดวงวิญญาณแห่งธาตุค่ะ”

“...ดวงวิญญาณแห่งธาตุเหรอ?”

“ค่ะ”

เด็กหญิงพยักหน้าเหมือนมันของแน่อยู่แล้ว เจมินเหลือบมองฮงซุงกู

“อ้อ...”

เขาก็เหมือนดวงวิญญาณแห่งธาตุจริงๆ...

“หนูเคยคิดว่าผู้ไม่ตายน่ากลัว แต่เขาเป็นคนพิเศษมากเลย เขามีราชาภูติไฟกับท่านเคาท์คอยรับใช้ คนที่รับใช้เขาเก่งๆทั้งนั้น”

“อ้อ...นั่นน่ะ...”

พวกเขาไม่ได้เก่งมาตั้งแต่แรก แต่เจมินไม่อยากเถียง เขาแค่หัวเราะ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคนบนโลกนี้คิดกับเขาอย่างไร

“อืม ดูต่อไปเถอะ”

“ค่ะ”

เจมินมองซุงกูอย่างนับถือ ซุงกูไม่สนใจที่ถูกมอง เขามีสมาธิฝึกต่อ

‘ถ้าเป็นฉันคงอายมาก’

สมาธิเขาดีมาก? หรือไม่รู้ตัวกันแน่?

โดเจมินส่ายศีรษะ

‘พี่วูจินจะไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัยไหมนะ?’

วูจินวางแผนจะให้เมโลดี้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของอาเรียอย่างเป็นทางการ จะได้เอาไอเทมศักดิ์สิทธิ์ของเธอ

เขาเดินทางไปวิหารอาเรีย นี่ก็สองวันแล้ว

มันตั้งอยู่กลางเขตของศัตรู แต่เจมินไม่รู้สึกเป็นห่วงเพราะเป็นวูจิน

‘ถ้าได้ไอเทมของเทพีอาเรียมาแล้วก็เหลืออีกอันเดียว’

นี่คือคำพูดของวูจิน

ถ้าเขาได้ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งเวลาเฮเรส วูจินจะได้ไอเทมสำหรับสร้างชุดเซ็ทของเขาครบ

คำใบ้สำหรับทำลายดันเจี้ยนอยู่ในชุดเซ็ทนี้ เจมินจึงอยากให้มันสร้างเสร็จให้เร็วที่สุด

อยู่ที่อัลเฟนก็ไม่แย่นัก แต่เจมินคิดถึงบ้านแล้ว

เขาสงสัยว่าพี่วูจินทนกับความเหงาได้อย่างไร ตั้ง 20 ปี...



สารบัญ                                    บทที่ 176


วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เนโครแมนเซอร์แห่งสถานีกรุงโซล - บทที่ 174

Chapter 174 – Air Strike (3)


-ดันเจี้ยนระเบิดที่สถานีแดจุนสาเหตุจากความบกพร่องทางการสื่อสารระหว่างกองทัพกับสำนักงานผู้มีพลังพิเศษ จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตราว...

เสียงสงบของผู้ประกาศข่าวดังเข้ามาในหูของเขา

-คังวูจิน ราชาแห่งอลันดาลยังไม่ปรากฏตัว แต่เรือบรรทุกเครื่องบินที่เขาซื้อปรากฏบนท้องฟ้า ฝูงไวเวิร์นและผู้ขี่ไวเวิร์นถูกส่งออกมา พวกเขากำจัดมอนสเตอร์ในบริเวณสถานีแดจุน...

เหมือนจู่ๆเส้นสมองของเขาก็ทำงาน เขาได้สติชัดเจนและจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้

“เฮือก!”

มินแจครางพลางลืมตา ผ้าห่มบางที่คลุมตัวเขาเลื่อนหล่นพื้น เขามองไปรอบๆตัว

เตียงหลายหลังวางเรียงกัน มีหลายคนกำลังนอนอยู่เช่นเดียวกับมินแจ

-โลกกำลังเผชิญกับดันเจี้ยนระเบิดอย่างกะทันหัน แต่คนและสิ่งของสำหรับปกป้องโลกถูกแบ่งไปยังอัลเฟน ความคิดเห็นของสาธารณชนเป็นไปทางลบในเรื่อง...

เมื่อเขาหันไปทางต้นเสียงก็เห็นโทรทัศน์ติดอยู่บนผนัง

มันคือรายการข่าว เมื่อก่อนเขาดูมันบ่อยๆเพื่อดูข่าวเกี่ยวกับดันเจี้ยนเบรก

ที่ต่างไปคือครั้งนี้เขาเป็นคนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย และเกือบเสียชีวิต ตอนนี้ที่ๆเขาอยู่คงเป็นโรงพยาบาล

“คุณหายดีแล้วล่ะ”

“...”

เมื่อมินแจหันไปก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็กสูงแค่เอวเขา

“ใคร...?”

“หนูชื่อโซอา ฮิๆ หนูเป็นคนขอพรให้คุณ”

โซอาคว้ามือมินแจไว้แล้วหลับตาลง เขาผงะไปกับการกระทำที่คาดไม่ถึง

แต่ไม่นานเขาก็หยุดขัดขืน เขารู้สึกถึงพลังจำนวนมากส่งผ่านจากมือเข้ามา เขารู้สึกจิตใจสงบลง มินแจปิดตาลงอย่างไม่รู้สึกตัว

“เฮ้อ คุณสบายดีแล้วล่ะ กลับบ้านได้ค่ะ”

“ข...ขอบใจ”

มินแจเกาศีรษะอย่างอายๆแล้วขอบคุณ ตอนนี้เขารู้สึกมั่นใจว่าเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง

‘นี่คือการอวยพรเหรอ?’

มินแจเพิ่งพัฒนาความสามารถบาเรียของตัวเองขึ้นมาไม่นาน เขาจึงรู้ได้ เด็กหญิงคนนี้ใช้พลังอวยพร

“อ๊ะ? มินแจ?”

ประตูเปิดออก เพื่อนของมินแจวิ่งมาเขาอย่างดีใจ เมื่อพวกเขาเห็นโซอาก็ก้มศีรษะให้ พวกเขาทำเหมือนเจออาจารย์บนทางเดิน

“ไว้เจอกันใหม่ค่ะ”

โซอาโบกมือแล้วเดินจากไป เพื่อนๆของมินแจก้มศีรษะลา

“ครับ รักษาตัวด้วย”

“เด็กนั่นใครเหรอ?”

“ไปเรียกเขาว่าเด็กได้ไง!”

เพื่อนๆของมินแจโวยวายใหญ่

“เธอเป็นเจ้าหญิงของอลันดาล”

“หา?”

“น้องสาวของคุณคังวูจิน”

“หา? อะไรนะ?”

“น้องสาวของคุณคังวูจิน”

“ฮ้า!”

มินแจตะลึง เขามองมือกับประตูที่โซอาเดินออกไปสลับไปมา

ความอุ่นในมือของเขาและความรู้สึกสงบสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

เขานึกไม่ถึงว่าเธอจะเป็นน้องสาวของคังวูจิน...

เขารู้สึกเหมือนเพิ่งเจอดารา

“ตอนนายเป็นลมฉันนึกว่านายจะตายเสียแล้ว ตกใจหมด”

“ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน?”

เมื่อมินแจถาม เพื่อนเขาตอบอย่างตื่นเต้น

“นายไม่รู้เหรอ? ถ้ามือถือฉันไม่หายฉันถ่ายรูปเซลฟี่ไปแล้ว”

“โรงพยาบาลที่ไหน?”

“ไม่ใช่โรงพยาบาล มันคือปราสาทของบิบิ”

“อะไรนะ?”

“ปราสาทบิบิ! เรือบรรทุกเครื่องบินของอลันดาล”

“ฮะ!”

เขาแทบไม่เชื่อว่านี่คือความจริง เพื่อนของเขาตื่นเต้นมากกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น

“พวกเราเจอกับเรื่องใหญ่”

พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นพวกพระเอกในภาพยนตร์

แต่ มินแจมองเพื่อนของเขาอย่างหดหู่

“ใช่ เราเจอเรื่องใหญ่”

“...”

เพื่อนของเขาเปลี่ยนจากตื่นเต้นเป็นหม่นหมองในแทบทันที

-โลกจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือยิ่งกว่าอัลเฟนไม่ใช่หรือ? นี่คือความเห็นส่วนใหญ่ของประชาชน คำถามนี้ถูกถามไปยังอลันดาล ที่ใดกันแน่ที่ต้องการความช่วยเหลือจากอลันดาล? โลกหรืออัลเฟน?

คำถามของผู้ประกาศข่าวเข้าหูของเขา

เขาเกือบเสียชีวิต เขาไม่ตระหนักถึงความจริงของสถานการณ์ตอนนี้เมื่อดูข่าว แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วเมื่อเขาเจอเรื่องนี้กับตัว

ถ้าการโจมตีไม่เกิดในแดจุน พวกเขาคงตื่นเต้นไปกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก

“คนตายไปเยอะเลย...”

เมื่อคำพูดหดหู่ของเพื่อนดังขึ้น ความกังวลที่มินแจข่มไว้ก็เกิดขึ้นอีก คนมากมายถูกสังหาร และมันอาจจะเป็นครอบครัวของเขา...

“กลับบ้านกันก่อนเถอะ”

“อืม เราจะไปยังไง?”

“เราอยู่ที่โซล เพิ่งจอดไม่นาน นั่งรถบัสไปก็ได้”

ระหว่างมินแจสลบ เพื่อนเขาสำรวจเรือบรรทุกเครื่องบินเรียบร้อยแล้วจนมันกำลังจะลงจอด

“ค่ารถล่ะ?”

“...”

สามสหายมองหน้ากัน พวกเขานึกได้ว่าไม่มีใครมีเงินจึงคอตก

“นาย...นายว่าเขาจะให้เรายืมเงินไหม?”

“น่าจะให้นะ เนอะ?”

พวกเขารู้ว่ากำลังทำตัวหน้าไม่อาย คนของอลันดาลช่วยพวกเขาไว้แต่พวกเขาหวังว่าจะได้เงินเป็นค่ารถกลับบ้าน มินแจและเพื่อนเดินออกจากห้อง

***

เขาอยู่ในห้องๆหนึ่งของร้านอินเตอร์เน็ตเกาะเชจู

เมาส์ขยับอย่างว่องไว นิ้วรัวบนคีย์บอร์ด

<5Piktap กำลังเข้าสู่โอเวอร์ไดรฟ์ >

“ฮ่า!”

ลีซังโฮมองตัวละครของเขาที่เพิ่งเปลี่ยนคลาสอย่างรักใคร่

ถ้าชีวิตจริงเหมือนเกมจะดีแค่ไหนนะ?

เทียบกับความจริงแล้วเกมยุติธรรมกว่า ในเกมทุกคนเริ่มต้นเหมือนกัน แพ้ชนะตัดสินกันที่ความพยายามของเจ้าตัว

ถ้าโลกเหมือนเกม เขาคงกำจัดไอ้คังวูจินได้ง่ายดาย

“ประธาน ผมคิดว่าเจอแล้วล่ะครับ!”

ลีซังโฮยังอยู่ระหว่างเล่นเกม เขาถามโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอ

“ใคร?”

“ชายวัย 70 โรคกามตายด้านของเขาหายด้วยปาฏิหาริย์ของเทพ”

“ข้อมูลเอามาจากไหน”

“นิตยสารครับ...”

“นิตยสารประเภทไหน”

“กอสซิบครับ”

“...”

ลีซังโฮหันไปมองลูกน้อง เขาเชื่อคนแบบนี้ ไม่แปลกที่กิลด์กับบริษัทของเขาล่ม

“นายอยากถูกอัดเหรอ?”

“ผมจะไปหาอีกทีครับ”

“เฮ้อ”

ลีซังโฮหยิบบุหรี่มาจุดสูบ เขากำลังจะหันไปเล่นเกมต่อ

“ผมก็เจอเหมือนกันครับ”

“แหล่งข้อมูลล่ะ?”

“คอลัมน์ข่าวของยอนฮับครับ”

ลูกน้องของเขาตอบอย่างมั่นใจ ลีซังโฮมอง คนนี้ฉลาดกว่าคนก่อนหน่อย

“สรุปมาสิ”

“เรือบรรทุกเครื่องบินของอลันดาลออกมาตอนสถานีแดจุนระเบิดใช่ไหมครับ? นักเรียน 3 คนโชคดีได้ขึ้นเรือ พวกเขาได้รับการรักษาและส่งกลับบ้าน นี่เป็นบทสัมภาษณ์ของพวกเขา”

ลีซังโฮติดตามคังวูจินและอลันดาล แต่นี่ไม่ใช่ข้อมูลที่เขาต้องการ เขาต้องหาเทพหรือคนที่สามารถทำเรื่องปาฏิหาริย์ได้

“มันว่าไง?”

“ถ้าคุณอ่านบทสัมภาษณ์...”

“โว้ย”

ลีซังโฮรำคาญ เขาออกจากเกมแล้วหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของลูกน้อง

“ไหน?”

“ตรงนี้ครับ”

-เธอจับมือผมแล้วส่งคำภาวนา ผมรู้สึกเหมือนร่างกายได้รับการรักษา เหมือนเทวดาตัวน้อยกำลังจ้องลงมา...

“อืม”

ในหมู่เราส์มีผู้รักษาและผู้ใช้เวทสนับสนุนมากมาย

พลังรักษาเกิดขึ้นได้จากการยืมพลังของเทพ ในอีกด้าน เราส์ยังสามารถใช้พลังของตัวเองเร่งกระบวนการรักษาตัว บนโลกไม่มีเราส์ที่สามารถใช้พลังของเทพ

เมโลดี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้โด่งดัง ใช้พลังของเทพได้ แต่เธอมาจากอัลเฟน

“ข้อมูลไม่น้อยไปหน่อยเหรอ?”

พลังศักดิ์สิทธิ์ถูกใช้ในอลันดาล แต่มันก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ เขาคงเอาข้อมูลแค่นี้ไปรายงานอิเอลโลไม่ได้

“ผมคิดว่าน่าจะสืบเรื่องนี้ต่อ”

“อืม นายไปจัดการ”

“ครับ”

ลีซังโฮกลับไปเล่นเกมต่อ

พนักงานของเขาอีกหลายคนกำลังท่องเว็บไซท์ พยายามหาข่าว

ลีซังโฮ ลูกน้องคนสนิทของอิเอลโลได้ประโยชน์จากยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร เขารวบรวมข้อมูลอย่างสบาย

***

เขตแดนของอลันดาลใกล้สถานีโซล

ปราสาทบิบิลอยนิ่งบนฟ้า มองขัดกับทิวทัศน์ของเมืองมาก

ทุกคนในเมืองมารวมตัวกันเพื่อดูปราสาทบิบิ เหมือนพวกเขากำลังมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์

อลันดาลกำลังอยู่ในช่วงขนย้าย

นายกรัฐมนตรีจุงมินชานออกแถลงข่าวตามคำขอของสื่อมวลชน

ต่อให้พวกเขาปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์อย่างเย่อหยิ่ง ประเทศหรือสื่อมวลชนไหนก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้ความเห็นของประชาชนที่มีต่ออลันดาลแย่ลง

ทุกคนหวาดกลัวเพราะดันเจี้ยนระเบิดที่ไม่มีการประกาศล่วงหน้า

หายนะเกิดได้ทุกเมื่อ แต่คนเชื่อว่ามันสามารถป้องกันได้หากมีการเตรียมตัว เมื่อคิดถึงว่าการเตรียมตัวนี้ควรจะให้ใครไปทำ พวกเขาคิดถึงอลันดาล

พูดให้ชัดเจนขึ้นอีกคือพวกเขาคิดถึงคังวูจินของอลันดาล

เขาปรากฏตัวเมื่อเกิดเรื่องคาดไม่ถึง เขาแก้ปัญหาทุกอย่าง แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้วและมันทำให้ทุกคนกระวนกระวายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในเกาหลี

พวกเขาคิดเสมอว่า ‘คังวูจินอยู่ใกล้พวกเรา เขาจะป้องกันทุกอย่างให้พวกเรา’

ความคิดนั้นเปลี่ยนเป็น ‘ฉันกำลังจะตาย เขาไปทำบ้าอะไรอยู่ที่ไหน?’

ถ้ามินชานรายงานความคิดเห็นของมวลชนให้คังวูจินรู้ เขาจะตอบอย่างไรนั้นเดาได้ง่ายมาก เพราะเหตุนี้มินชานจึงออกมาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เขาพูดเก่งพูดดี ปัญหาแบบนี้เป็นหน้าที่ของเขา

“เขาเดินทางไปอัลเฟนวันหลังไม่ได้เหรอครับ?”

“นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อความปลอดภัยของโลก พระราชากำลังหาวิธีทำให้พวกเราหลุดจากดันเจี้ยนเหล่านี้”

เมื่อตอบคำถามนี้เสร็จ มินชานรอตอบคำถามต่อไป นักข่าวคนหนึ่งยกมือขึ้น มินชานชี้ไปที่เขา

“มีคนพูดว่าอลันดาลกำลังย้ายไปอัลเฟน”

“นั่นเป็นไปไม่ได้”

“อลันดาลสร้างเรืออาร์คของคังวูจินเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

“...”

นายกรัฐมนตรีของอลันดาลถลึงตาใส่นักข่าวที่ถามคำถาม

เรืออาร์คของคังวูจิน

พวกเขาเริ่มเอาไปเทียบกับเรือโนอาห์บ่อยขึ้น...

พวกเขาหมายถึงเมืองอาณานิคมที่วางบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ปราสาทบิบิ

ชาวโลกไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่ พวกเขาจึงอาจมองปราสาทบิบิเป็นเครื่องช่วยชีวิตที่ทำให้พวกเขารอดจากหายนะไปได้

มีบทความนับไม่ถ้วนเขียนถึงบุคคลชั้นนำของประเทศสัญญาจะให้เงินอลันดาลเป็นจำนวนมาก พวกเขาหวังจะได้ขึ้นไปบนปราสาทบิบิ

จุงมินชานระวังมากเมื่อข้อกล่าวหานี้ถูกนำมากล่าวถึง

‘ถ้าพวกเขารู้ว่าราชาของพวกเราทำงานหนักแค่ไหนคงไม่พูดแบบนี้...’

คังวูจินต้องการปกป้องโลกยิ่งกว่าใคร ที่จริงแล้วจุงมินชานไม่ได้กลัวความเห็นของประชาชนจะเป็นไปในแง่ลบ เขากลัวว่าคังวูจินจะผิดหวังกับคนบนโลก

เขากลัวว่าคังวูจินจะทิ้งโลกไปเพราะผิดหวังกับความเห็นแก่ตัวของคนบนโลก

ไม่นับเรื่องความลำเอียงของเขา ราชาแห่งอลันดาลไม่มีเหตุผลต้องช่วยโลก

เขาเป็นลอร์ดมิติ ถ้าต้องการเขาสามารถช่วยเพียงครอบครัวของเขาและสมาชิกกิลด์ของอลันดาล

“มันเป็นป้อมปราการ ผมไม่เห็นด้วยที่จะเรียกมันว่าอาร์ค คำถามต่อไป”

นักข่าวคนหนึ่งยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว

“คุณบอกว่ามันเป็นป้อมปราการ คุณวางแผนจะปราบปรามมอนสเตอร์ทั่วเกาหลีหรือ?”

มินชานยิ้มบาง

“แน่นอน เราจะไปยังที่ๆต้องการความช่วยเหลือ ปราบปรามมอนสเตอร์ ไม่แค่ในเกาหลี แต่ทั่วโลก”

“ที่พูดนั่นไม่อันตรายไปหน่อยเหรอครับ? เรารู้ว่าตอนนี้ในอลันดาลว่างเปล่า อลันดาลกำลังย้ายเข้าปราสาทบิบิ พวกคุณวางแผนจะทิ้งเกาหลีไปเหรอ?”

“เราไม่ได้ทิ้งใคร เรากำลังพยายามปกป้องโลก”

“พวกคุณไม่ใช่คนเกาหลีเหรอ?”

“เราคือชาวโลก”

“...”

เขามองนักข่าวแล้วพูดอย่างหนักแน่น

“เกาหลีต้องหยุดความคิดเรื่องพึ่งพาอลันดาล ประเทศควรปกป้องตัวเองได้ เราเป็นแค่ผู้ช่วย”

พวกเขากำลังดูถูกความสามารถในการปกป้องประเทศตัวเองหรือเปล่า? หรือกำลังโวยวายเพราะความสิ้นหวัง?

‘ฉันอาจพูดเรื่องไม่จำเป็นออกไป’

มินชานพูดออกไปโดยไม่คิดเพราะรู้สึกขัดข้องใจ เขารู้สึกเสียใจทีหลัง

เขาไม่รู้ว่ามวลชนทั่วโลกจะคิดอย่างไร แต่อย่างน้อยคนเกาหลีต้องไม่ชอบใจแน่

‘ชักเป็นห่วงข่าวที่จะออกมาพรุ่งนี้แล้วฉัน’

ปากกาขยับยิกบนสมุดของพวกสื่อมวลชน เสียงปากกาเหมือนมันกำลังทิ่มแทงใจเขา


สารบัญ                                                บทที่ 175